ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา กระแสข่าววิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริกา เริ่มถูกจับตามอง
แน่นอนว่า หนึ่งในธุรกิจที่ สื่อมวลชนในสหรัฐฯ เฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวอย่างแทบไม่กระพริบตา
คืออุตสาหกรรมยานยนต์

เมื่อวิกฤติ Sub Prime อันมีผลมาจากภาคการปล่อยกู้อสังหาริมทรัพย์ กันสนุกมือเกินไป
นายแบงค์นักลงทุน นักเลงหุ้น ทั้งหลาย เอาแต่กอบโกยความสบายส่วนตัวจนทุกอย่างถึงคราวฉิบหาย
อย่าว่าแต่คนอเมริกันจะไม่มีปัญญาผ่อนค่าบ้านเลย ค่าผ่อนรถ ก็ยังไม่มีจะจ่าย
จึงไม่น่าแปลกใจนักหรอก ที่ยอดขายรถยนต์ในตลาดสหรัฐฯจะลดต่ำลง

ผู้ผลิตฝั่งญี่ปุ่นเอง ก็พยายามดิ้นหนีตาย ทั้งการปลดคนงาน ลดจำนวนกะผลิต
และเริ่มปล่อยแคมเปญเช่าซื้อที่ดึงดูดใจลูกค้ามากขึ้น ขณะที่ค่ายเกาหลีอย่างฮุนได ก็พยายามอาศัยจังหวะนี้
ออกแคมเปญดุเดือดชนิดไม่มีใครกล้าทำมาก่อน ถึงขนาดว่า ออกรถวันนี้ ถ้าคุณไม่มีเงินจะผ่อนดื้อๆ
ฮุนได ยินดีจะปล่อยให้คุณพักชำระหนี้ไปได้เลย 3 เดือน แต่ถ้าเกินจากนั้น คุณลูกค้ายังหาเงินมาผ่อนไมได้
ค่อยมาคุยกันว่าจะเอาอย่างไรดี! เรียกได้ว่า ทั้งเอาใจและประนอมหนี้กันสุดๆ

ส่วนที่ได้รับผลกระทบกันเต็มๆ เห็นจะเป็นค่ายรถอเมริกัน จริงอยู่ Ford Motor ยังพอจะประคับประคองไปได้ ด้วยชั้นเชิง
การเอาตัวรอด ที่ ถึงขั้นยอมเฉือนเนื้อตัวเองกันสุดๆ ต้องขายหุ้นใน Aston Martin ทิ้ง ตามด้วย Jaguar
ที่ขายพ่วงไปกับ Land Rover ให้ Tata Motor และล่าสุด ก็คือการขายหุ้นของตนเกือบจะทั้งหมดใน Mazda ทิ้ง
โดยยังคงเล็งๆอยู่ว่า จะขาย Volvo ทิ้งออกไป อีกสักแบรนด์ เพื่อให้เหลือเฉพาะ แบรนด์หลักของตนเอง
ทั้ง Ford อันเป็นแบรนด์หลักที่ทำรายได้ให้ประคับประคองอยู่ได้ Mercury ที่คาดว่า เจ๊งแน่นอน ไม่รอดชัวร์ๆ
และ Lincoln ซึ่งพอจะได้กระแส เอสยูวีรุ่นยักษ์ๆ มาประคับประคองแบรนด์นี้ไว้ในช่วง หลายปีที่ผ่านมา
เลยกลายเป็นบริษัทเดียว ในกลุ่ม ที่ยังกัดฟันสู้ โดยไม่ขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล ในยามนี้

(และอันที่จริง โอกาสนี้ ถือเป็นจังหวะดีที่ ฟอร์ด ควรจะอาศัยความเพลี้ยงพล้ำของ GM
เน้นหนักในการปรับปรุงคุณภาพรถ และงานออกแบบ อย่างที่พยายามทำกันอยู่ในช่วงหลายปีมานี้
ให้เข้มข้นขึ้นไปอีก จนกว่าคนอเมริกันจะกลับมายอมรับ เพื่อที่ยอดขายจะได้แซงหน้าชาวบ้านเขาได้ซะที)

แต่ที่หนักหนาอาการโคม่ากว่าใคร ก็คือ GM และ Chrysler

GM นั้น มีปัญหาที่ ซับซ้อนมาก มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
โดยหลักๆ อยู่ที่ ต้นทุนของรถ 1 คัน ราคาสูงกว่าคู่แข่งเขา แต่คุณภาพกลับทำได้ไม่ดีเท่ารถญี่ปุ่น
จนขายสู้รถญี่ปุ่นไม่ได้ มานานแล้ว แถม ต้นทุนที่ว่านั้น นอกจาก เกิดจากการบริหารจัดการภายใน
ที่ไม่ดีพอแล้ว ยังเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านดูแลสุขภาพของลูกจ้าง และครอบครัว พวกเขาเบิกยากันอีท่าไหนไม่รู้ละ
แต่มันมากเสียจน Pizer ผู้ผลิตยา Viagra ออกมาแถลงว่า GM คือลูกค้าที่ซื้อยาปลุกกระตุ้นทางเพศยี่ห้อดังนี้
เยอะสุดในโลก!!! แล้วอย่างนี้มันจะไม่เจ๊งได้อย่างไรกันละ?

แต่รายหลังนั้น เรียกได้ว่า โคตรซวยยิ่งกว่า  เพราะหลังจากทนกัดก้อนเกลือกิน กับการควบรวมกิจการ
กับทาง Daimler-Benz มา 10 ปีพอดี ในที่สุด เมื่อปีที่แล้ว กลุ่มผู้บริหาร Daimler-Benz ฝั่งเยอรมัน
อัดประธาน ซะเละยับ ศพไม่เหลือซาก คาที่ประชุมผู้ถือหุ้น เรื่องที่ฝ่ายอเมริกันเป็นตัวถ่วงความเจริญ
ขณะที่ฝ่ายอเมริกัน ก็สวนหมัดกลับไปว่า พวกเยอรมันเจ้ายศเจ้าอย่าง หยิ่งยโส ทะเลาะกันเละเทะ
จนในที่สุด ฝ่ายเยอรมัน ต้องมีมติร่วมกันว่า ขายกิจการ Chrysler หลุมที่ไม่มีวันถมให้เต็มได้ แห่งนี้
ให้กับกลุ่มนักลงทุน Cerberus ไป และ ล่าสุด ถ้าเจรจาควบรวมกิจการกับ Fiat ไม่สำเร็จ
ค่ายรถแห่งนี้จะต้องเข้าสู่กระบวนการ ล้มละลาย Chapter 11 ซึ่ง GM กำลังจ่อคิวจะกระโดดลงไปก่อนหน้าแล้ว

สิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงบางเศษเสี้ยวของข่าวสาร ที่ประชาชนในประเทศไทย ได้รับรู้
ผ่านทางสื่อมวลชน หลายแขนง จนบางที ผมว่ามันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่โตแล้วละ

ผมเห็นแต่การนำเสนอข่าวด้านร้ายๆ ของอุตสาหกรรมยานยนต์ บนหน้าจอโทรทัศน์มาพักใหญ่
พร้อมไปกันกับ ความพยายาม ในการเชื่อมเอาแต่เรื่องการปลดคนงานประเภทลูกจ้างชั่วคราว
Sub-Contract ในโรงงานบ้านเรา ไม่กี่โรงงาน ผูกพ่วงผนวกโยง เข้ากับเหตุการณ์ในสหรัฐอเมริกา
จนดูราวกับว่า มันส่งผลกระทบมางเมืองไทยแล้ว

ทั้งที่ความจริง ตลาดรถยนต์ในเมืองไทย มันไม่ได้อิงแอบแนบชิดอะไรกับประเทศพญาอินทรีย์ (ปีกหัก) นั่นเลยสักหน่อยนึง!

ไม่เถียงละว่า ที่นำเสนอกันไปนั่น ถ้าเป็นเรื่องในต่างประเทศ มันเป็นเรื่องจริง
แต่โทน และข้อมูลในการนำเสนอนั้น แน่ใจแล้วหรือ?

อีกทั้งบางเรื่อง ซึ่งเกิดขึ้นในเมืองไทย มันไม่ได้ตรงกับที่ ผู้รายงานข่าว เขานำเสนอออกไปเลย

เช่นเรื่องของ พนักงาน GM ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในภาวะ ลดกำลังการผลิต
จนถึงขั้นต้องสั่งพักไลน์ผลิตรถเก๋ง ออพตร้า เอวิโอ ไป 1 เดือน และพักไลน์ รถกระบะ 15 วัน
แต่สิ่งที่ผู้สื่อข่าวเหล่านั้น มักแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นคือ ความจริงแล้ว พนักงานเหล่านั้น
ยังมีผู้ที่ บริษัทให้ลาหยุดไปนอนตากพัดลมเล่นอยู่กับบ้าน 15 วัน !!
แถมใครที่บอกว่าเบิก OT ไม่ได้ แล้วทำไมยังมีคนเบิกกันได้?

พูดตรงๆว่า ผมรู้สึกหงุดหงิด และออกแนวรำคาญเสียด้วยซ้ำ
กับคนที่ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องราววงการรถยนต์มากพอ แต่นำเสนอข่าวสารออกไปแบบนั้น

เข้าใจละว่า
ในวงการสื่อสารมวลชน อย่างที่ทราบกันดี ข่าวร้าย ย่อมขายได้ดี และน่าสนใจกว่าข่าวดี

แต่…เอาเข้าจริงแล้ว ในบรรดาข่าวร้ายมากมาย ของอุตสาหกรรมรถยนต์
เรายังมีข่าวดีซ่อนอยู่ ข่าวดีที่ผู้คนลืม และไม่สนใจจะมองกัน

ทำไมผมถึงเชื่อเช่นนั้นหรอกเหรอ?

มา! เรามาดูเกร็ดข้อมูล ที่น่าสนใจกัน

– BMW X5 รุ่นใหม่ คันละตั้งแต่ 6.2 ล้านบาทขึ้นไป ในสต็อก 10 คันเศษๆ
บัดนี้ ขายออกไปหมดจนเกลี้ยงแล้ว!

– นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อ 19 มีนาคม Nissan Teana เจเนอเรชันใหม่ กวาดยอดจอง
ทั่วประเทศ รวมทั้งในงานมอเตอร์โชว์แล้ว กว่า 500 คัน!! หรือ คิดเป็น 1 ใน 6
ของเป้าหมายตั้งแต่เปิดตัว ลากไปยันสิ้นปีนี้ (คนรู้จักรอบข้างผม ซัดไปรวมกันได้ 3 คันแล้ว)

– ยอดสั่งจองรถยนต์ ใน Motor Show ปีนี้ Toyota ทำยอด ถึงวันที่ 1 เมษายน ปาเข้าไป 1,734 คัน แล้ว!
   และยังเหลืออีก 3-4 วันที่น่าจะทำตัวเลขเพิ่มได้มากขึ้นอีก

– ส่วน Honda ทำได้แล้ว 1,102 คัน และยังจะเพิ่มขึ้นได้อีก สำหรับค่ายนี้ เชื่อไหมว่า
หลังจากเปิดโรงงาน แห่งที่ 2 ในพื้นที่ของนที่นิคมฯ โรจนะ แล้ว
ฮอนด้า ยังเก็งยอดผลิตต่ำกว่าความต้องการจริงของลูกค้าชาวไทย
จนตอนนี้ ต้องปรับเพิ่มกำลังการผลิต อีกครั้ง เพราะไม่เช่นนั้น
ลูกค้าที่ต้องรอ City Jazz Civic กันนานถึง 2 เดือน
คงจะเปลี่ยนใจถอนจองไปเล่นยี่ห้ออื่นกันหมดแน่ๆ!!

– ขณะที่ รถยนต์แบรนด์รองๆในตลาด Mitsubishi ในงาน Motor Show รวม 8 วัน (นับจนถึงวันที่ 1 เมษายน)
ยังทำยอดได้ถึง 321 คัน และที่น่าประหลาดใจคือ รถที่ขายดีสุด กลับเป็น Pajero Sport ทำยอดไปแล้วถึง 122 คัน
แซงขึ้นหน้ารถกระบะ Triton ไปอย่างฉิวเฉียดจนงุนงงกันไปทั้บริษัท!

– นอกจากนี้ ค่ายยุโรป อย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฟันยอดของไปแล้ว ถึง 201 คัน ขณะที่คู่รักคู่แค้นอย่าง BMW
ทำตัวเลขได้ ถึง 111 คัน (นับถึงแค่ 30 มีนาคม)

– ไม่เว้นแม้แต่ Citroen แบรนด์ฝรั่งเศส ที่เหมือนชื่อหายไปนาน คราวนี้ ยังทำยอดสั่งจองได้ถึง 42 คัน!!

– และที่อยากนำเสนอให้ชมก็คือ ค่ายอเมริกัน ที่ว่าแย่ๆกันนักหนานั่น GM/Chevrolet ยังได้ยอดจองไป 245 คัน
ส่วนฟอร์ด ตามมาด้วยตัวเลข 120 คัน (นับถึงวันที่ 30 มีนาคม) 

เอาละ แม้ว่า ฟอร์ด จะมีตัวเลขแย่กว่าที่คาดไปหน่อย ทั้งที่กระหน่ำเปิดตัวรถใหม่ มาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา

จริงอยู่ ยอดจองในงานหนะ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้มากนักหรอก จองได้ ก็ถอนจองกันได้
แต่ ตัวเลขที่ออกมา มันสะท้อนให้เห็นภาพบางอย่างที่ชัดเจนออกมา

 คุณผู้อ่านก็คงจะพอมองเห็นภาพคร่าวๆแล้ว ว่า อะไร เป็น อะไร

มันแสดงให้เห็นว่า ในช่วงนี้ ยาวจนถึงสิ้นปี
ผู้บริโภค จะซื้อรถยนต์ กันตามความจำเป็นอย่างแท้จริง
ไม่ได้ซื้อหาตามอำเภอใจเหมือนเมื่อก่อนหน้า

คนที่ยังจำเป็นต้องใช้รถ หรือคิดจะเปลี่ยนรถ แทนคันเก่า ยังมีอยู่อีกมาก
กำลังซื้อที่ ไม่น่าจะก่อหนี้เสีย ยังมีอยู่ในระบบอีกไม่น้อยเลยทีเดียว!
และยอดขายรถยนต์ในประเทศ จากลูกค้ากลุ่มนี้ จะยังคงช่วยประคับประคอง
ให้อุตสาหกรรมรถยนต์เมืองไทย จะยังไปรอดได้ อย่างตลอดรอดฝั่ง
แม้จะต้องดำน้ำ แหวกว่ายผ่านกระแสน้ำเชี่ยวกรากไปบ้าง

แถมในด้านการส่งออกตอนนี้
คนใน Mitsubishi เอง ก็เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ ตลาดยุโรป เริ่มมีคำสั่งซื้อกลับมาแล้ว
หลังจากที่ พักรอดูสถานการณ์และระบายสต็อคไป 1-2 เดือน นั่นหมายความว่า
กำลังการผลิตที่เคยลดลงนั้น อาจจะถูกปรับขึ้นได้ อีกเล็กน้อย ตามสภาพความเป็นจริง

และเพื่อตอกย้ำว่า วงการรถยนต์เมืองไทย จะยังคงละเลงงบ (ที่แทบทุกค่ายอ้างว่า ถูกตัดออกไปกว่าครึ่ง)
เทใส่สารพัดแคมเปญการตลาด แข่งขันกันแย่งชิงลูกค้าอย่างสนุกสนานต่อไป

ผมจึงขอกางแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในเมืองไทย จนถึงสิ้นปีนี้กันอีกสักที
เป็นการอัพเดทข้อมูล และฉายหนังซ้ำกันรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้จากผม กันดีกว่า

– หลังงาน มอเตอร์โชว์ เจอกันแน่ๆกับ Ford New Everest Minor Change หน้าตาคราวนี้ สวยจนลืมของเก่าไปเลย

– แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืม Mercedes-Benz E-Class Full Modelchange พระเอกสำคัญของ ค่ายดาวสามแฉกเด็ดขาด!
– รวมไปถึง C220 CDI ที่หลายคนเฝ้าเพียรถามหากันด้วย รถประกอในประเทศ ใกล้จะพร้อมแล้ว

– สิงหาคมนี้ Toyota จะงัดข้อกับ Nissan Teana ด้วย New Camry Minorchange
 แถมยังจะเปิดตัว Camry HYBRID ครั้งแรก ของการขึ้นไลน์ผลิตรถยนต์ไฮบริดในเมืองไทยอีกด้วยเนี่ยสิ !
ปรับเปลี่ยนแค่ไหน เปิดเว็บ Headlightmag.com ดูซะ!

– ปลายไตรมาส 3 ต้น ไตรมาส  4 เจอกันแน่ กับ Mitsubishi ALL NEW LANCER Full Modelchange หน้าฉลาม
ที่รอกันมานานแสนนานประมาณสามล้านสี่สิบห้าปีแสง! 1.8 ลิตร และ 2.0 ลิตร อ้อ! ใครใช้ แลนเซอร์ ตัวปัจจุบัน
ก็ไม่ต้องกลัวรถตนเองตกรุ่น เพราะรุ่นเดิม ยังจะลากขายพ่วงถังก๊าซ CNG กันต่อไป กับเครื่อง 1.6 ลิตรเท่านั้น

– และอย่าเพิ่งลืม Honda FREED มินิแวน 7 ที่นั่ง ขุมพลัง Jazz และ City 1.5 ลิตร ซึ่งมาพร้อมกับแรงบันดาลใจ
จาก เตาแก็สลักกี้เฟรม (อย่างที่หลายท่านคงรู้ ไปสังเกตดู สวิชต์แอร์ สิ เวรี่ เตาแก็ส จริงๆ!!)

– ปิดท้าย ขาดไมได้ การบุกตลาดครั้งแรก และครั้งใหญ่ของ Mazda 2 แฮตช์แบ็คคันเล็กเครื่องยนต์ 1.5 ลิร
ซึ่งจะเปิดตัวก่อน จากนั้น Ford Fiesta เวอร์ชันฝาแฝดร่วมพื้นตัวถัง จะเปิดตัวตามๆกันออกมาไม่ห่างนัก

และแผนทั้งหมดนี้ ไม่มีการเลื่อนออกไปแต่อย่างใด และอีกต่อไป!

การขยัน ออกรถใหม่กันขนาดนี้ ไม่ใช่เพื่อกระตุ้นตลาด หากแต่เป็นช่วงเวลาที่และบริษัทต่างก็ทราบดีอยู่แล้ว
ว่าควรจะกระตุ้นตลาดกัน เพื่อให้มันคึกคัก เรียกความสนใจจากผู้คนได้อีกมากโข

เมื่อคุณได้รู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว
คุณจะยังเชื่อในภาพที่ สื่อมวลชน สายเศรษฐกิจ “บางคน ที่ไม่รู้จริง ในเรื่องของวงการรถยนต์”
กรอกหูคุณอยู่ทุกเที่ยงวันอย่างนั้นอีกหรือไม่

สุดแท้แล้วแต่คุณครับ ผมไม่ได้ห้าม ไม่ได้บอกว่า ไม่ควรเชื่อเขา
หนำซ้ำ ยังจะบอกว่า อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ผมเขียนอีกต่างหาก

เพราะอยากให้คุณๆ ได้ลองเช็คข่าวสารกันเองบ้าง
ว่าทั้งหมดที่ผมพูดมาข้างบนเนี่ย มันจริง หรือไม่?

อย่ามัวแต่ นั่งงอมืองอเท้าอยู่หน้าจอทีวี กดรีโมท ฟังรายการเล่าข่าวเจื้อยแจ้วกันไปอย่างที่เป็นอยู่ เพียงอย่างเดียว

อย่าลืมนะครับ การรับสื่อ ควรใช้วิจารณญาณให้จงหนัก

อ้อ ถ้าผู้สื่อข่าว หรือ ผู้ลอกข่าว ผู้ฟอร์เวิร์ดข่าวรายใด
อยากจะช่วยกระจาย “ความจริงวันนี้” ออกไปให้ผู้คนรับรู้
ช่วยกรุณา อ้างอิงแหล่งที่มาด้วยนะครับ

ว่า จาก J!MMY เจ้าของเว็บไซ์ www.headlightmag.com
และสมาชิกของ pantip.com ห้องรัชดา

จะได้ไม่โดนคนดูเขา “จับได้” และอาจนำมาซึ่งการ “ประจานกลางเว็บ” ในภายหลัง

 

———————————-///————————————

 

J!MMY

สงวนลิขสิทธิ์

เผยแพร่ครั้งแรก

www.headlightmag.com

3 เมษายน 2009