Headlightmag.com เคยนำเสนอโครงการแพลทฟอร์มรถเล็กโครงใหม่รองรับการเติบโตของตลาดรถเล็กทั่วโลกในนาม A-platform ผ่านบทความ Nissan March เจเนเรชั่นที่ 4 เปิดตัวในไทยครั้งแรกในโลกช่วงต้นเดือนสิงหาคม ในคอลัมน์สปายช็อตอย่างคร่าว ๆ

รถในโครงการ A-platform จะมีถึง 3 ตัวถัง ได้แก่ Nissan March โฉมใหม่ แฮทช์แบค 5 ประตู,รถซีดานรหัสพัฒนา L02B และรถมินิแวนขนาดย่อม W02C ในประเทศไทย อินเดีย จีน และแหล่งผลิตอีก 2 แห่งที่ยังไม่ระบุซึ่งมีความได้เปรียบด้านต้นทุนและการส่งออกอย่างมาก

แต่ท้ายที่สุดชื่อโครงการ A-platform ที่ Nissan เคยบอกให้กับสื่อมวลชนตั้งแต่ต้นก็ถูกเปลี่ยนเป็น V-platform ในที่สุด คาดเดาได้ว่าคงไม่อยากให้ลูกค้าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแพลทฟอร์มสำหรับรถขนาดจิ๋วมาก ๆ แบบ K-car ในญี่ปุ่น

และเมื่อใดที่มีรายละเอียดโครงการนี้ในมือผมปุ๊บ ผมก็จะนำมารายงานให้ท่านทราบโดยไว และรายละเอียดที่แถลงในงานวันนี้ Headlightmag.com ถือเป็นสื่อมวลชนไทยรายแรกที่นำเสนอก่อนใครในประเทศไทยเช่นเคยครับ

 
 
 

วันนี้ (29 ตุลาคม 2009) บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดแถลงรายละเอียดแพลทฟอร์มใหม่ สำหรับรถยนต์ขนาดเล็กระดับโลกหรือ V-platform ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเพื่อไขข้อสงสัยของสื่อมวลชนทั้งหลายที่อัดอั้นและอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการนี้มาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2009

และนั่นก็เป็นการประกาศว่านับจากนี้ไป นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ก้าวเข้าสู่วงจรบริษัทระดับรถยนต์โลกอย่างแท้จริง หลังจากที่บริษัทเพียรพยายามปรับตัวถึง 6 ปีนับตั้งแต่บริษัทแม่เข้ามาถือหุ้น

แต่ใช่ว่า Nissan เพิ่งแถลงโครงการนี้ในไทยเป็นที่แรกในโลก ก่อนหน้านั้น Nissan เคยแถลงโครงการนี้ให้กับสื่อมวลชนจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ณ ศูนย์การพัฒนาวิจัย Nissan ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 20 ตุลาคมก่อนวันงาน Tokyo Motorshow  1 วัน และ Nissan ประเทศอินเดียก็เพิ่งแถลงโครงการนี้ไปในวันที่ 27 ตุลาคมไม่นานนัก

ดังนั้นทีมงานรับผิดชอบหลักของโครงการ V-platform ทั้ง 4 ท่านจากบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ได้แก่
มร. วินเซนท์  โคบี รองผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและโปรแกรมไดเร็กเตอร์
มร. โนริทาคา  ซึรุ  วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแพลทฟอร์ม
มร. ซึโยชิ  โคบายาชิ  หัวหน้าวิศวกรด้านยานยนต์
และมร. คาโตะ  เคโน หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์
ต้องเหนื่อยกันหน่อยเพื่อเดินสายแถลงรายละเอียดโครงการนี้ในประเทศที่มีความสำคัญต่อโครงการนี้มาก ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น,ประเทศอินเดีย ล่าสุดประเทศไทยก่อนที่พวกเขาจะต้องบินไปแถลงกันต่อที่ประเทศจีนต่อไป

ทำไมถึงต้องเป็น V-platform

ชื่อโครงการ V-platform นั้นย่อมาจากคำว่า Versatility แปลว่าหลากหลายได้อย่างคล่องตัว โครงการนี้เริ่มต้นงานพัฒนาในปี 2005 หรือใช้เวลาพัฒนารถในโครงการนี้ประมาณ 4 ปี เน้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาหรือตลาดขยายตัวเร็วอย่างประเทศ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีนหรือคำที่นิยมเรียกกันว่ากลุ่มประเทศ BRIC

 

Nissan เชื่อว่าตลาดรถเล็กระดับ A-B Segment ยังมีช่องว่างเติบโตในตลาดซึ่งเกิดจากความต้องการรถเล็กที่ประหยัดน้ำมัน รถดังกล่าวมีราคาซื้อหาได้จึงมีแนวโน้มการขยายตัวของตลาดสูงขึ้นประมาณปีละ 2% นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นไป ทำให้โครงการดังกล่าวต้องเปิดตัวในประเทศที่กำลังพัฒนา ต้นทุนต่ำ ขยายตัวเร็วอันได้แก่ ประเทศไทย อินเดีย และจีน เป็นลำดับต้น ๆ ของโลก แทนที่จะเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเช่น ญี่ปุ่น ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา

แนวคิดพื้นฐานของ V-platform มีหัวใจหลัก 3 ประการคือ ความกว้างขวาง กะทัดรัดน้ำหนักเบา,ดีไซน์สำหรับลูกค้าทั่วโลก ตอบสนองการใช้งานของคนท้องถิ่นได้,วิศวกรรมแพลทฟอร์มและเครื่องยนต์ใหม่เพื่อคุณค่าที่ดียิ่งขึ้น ทำให้สามารถตั้งราคาที่แข่งขันในตลาดได้

 

รายละเอียดทางวิศวกรรมที่สามารถยืดหยุ่นได้ตามเหมาะสมของตลาดแต่ละประเทศนั้น ๆ ได้แก่ สามารถปรับเปลี่ยนพวงมาลัยซ้ายและพวงมาลัยขวาได้,มีเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ที่ไล่ระดับค่าไอเสียตั้งแต่แค่ Euro3 จนไปถึง Euro6 อันเข้มงวด,มีเกียร์ธรรมดา เกียร์อัตโนมัติ และเกียร์ CVT,ปรับให้เหมาะสมกับสภาพถนนทุกรูปแบบ

 

รถในโครงการ V-platform ก็ยังยืนยันว่ามีรถอย่างน้อย 3 รุ่นที่ใช้พื้นตัวถังแบบใหม่นี้และแชร์ชิ้นส่วนร่วมกัน (Common Part) ถึง 80% ใช้โครงสร้างตัวถึงครึ่งคันหน้าร่วมกันแต่ต่างกันที่รายละเอียดการดีไซน์รอบคัน (นึกภาพ Toyota Yaris และ Vios หรือ Honda Fit รุ่นแรก,Honda City เจเนเรชั่นที่แล้ว และ Honda Airwave ออกนะครับ ว่ารถดังกล่าวใช้โครงสร้างครึ่งคันหน้าร่วมกัน แต่ต่างกันที่ดีไซน์) อันได้แก่

คันแรก Nissan March เจเนเรชั่นที่ 4 รหัสพัฒนา X02A หรือบางครั้งก็เรียกว่า B02A แน่นอนต้องเป็นรถท้ายตัด 5 ประตูแต่ขนาดตัวถังถูกขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเห็นได้ชัด และเกลารูปร่างทั้งคันให้ดูเรียบง่ายเข้าถึงทุกเพศได้มากกว่ารุ่นเดิม

รุ่นที่ 2 เป็นรถซีดานรหัสพัฒนา L02B ที่ Headlightmag เคยนำเสนอไป จากการสังเกตภาพรถในพรีเซนเทชั่นพบว่าสัดส่วนครึ่งคันหน้าเท่ากับ Nissan March X02A ความยาวด้านหน้ารถดูยาวสมส่วนรับกับด้านท้าย และสัดส่วนของรถดูสมส่วนกว่าภาพ Clay Model ที่เคยลงในคอลัมน์สปายช็อตอีกด้วย

รุ่นที่ 3 รถมินิแวนอเนกประสงค์รหัสพัฒนา W02C จากการสังเกตภาพรถในพรีเซนเทชั่นพบว่าใช้โครงสร้างตัวถังร่วมกับรถสองรุ่นดังกล่าวแต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดให้แตกต่างขึ้น จากการรวบรวมข้อมูลโดยผู้เขียนพบว่า Nissan เองก็มีโครงการพัฒนารถมินิแวนสำหรับตลาดอาเซียนที่มีความสูงเพียงแค่ 1,500 กว่ามิลลิเมตร ดังนั้นรถคันนี้จังมีความเป็นไปได้สูงมากว่าคือ Nissan Grand Livina หรือ Livina Geniss โฉมต่อไปแน่นอน

มร. วินเซนท์  โคบี รองผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและโปรแกรมไดเร็กเตอร์กล่าวเพิ่มเติมว่ารถที่พัฒนาบน V-platform ทั้ง 3 รุ่นจะต้องถูกผลิตจากฐานการผลิต 5 แหล่งได้แก่ ไทย อินเดีย จีน และฐานผลิตอีก 2 แห่งที่ยังไม่ระบุ ตั้งยอดผลิตให้ได้ถึง 1 ล้านคันต่อปีเพื่อวางจำหน่ายมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลกภายในปี 2013 ให้ได้

นำเสนอความทันสมัย ความกว้างขวาง ประหยัดน้ำมัน ความคล่องตัว ความทนทาน คุณภาพดี เชื่อถือได้

ประเทศไทยจะได้รับเกียรติเปิดตัว Nissan March โฉมใหม่ซึ่งเป็นรถ V-platform คันแรกของโลกและยังเป็นรถในโครงการอีโคคาร์คันแรกของประเทศไทยในเดือนมีนาคม 2010 โดยใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศถึง 80% จากนั้นก็จะถึงคิวของประเทศอินเดียเปิดตัวภายในเดือนพฤษภาคม 2010 ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 80% หลังจากนั้นประเทศจีนก็จะเปิดตัวตามไม่นานนักแต่เพิ่มสัดส่วนชิ้นส่วนภายในประเทศมากถึง 90% ก็เพราะว่าประเทศจีนรับผิดชอบผลิตชิ้นส่วนบางชิ้นป้อนประเทศไทยและอินเดีย เช่น ชิ้นส่วนเครื่องยนต์บางชิ้น เป็นต้น

ในอนาคตประเทศไทยอาจจะเพิ่มชิ้นส่วนภายในประเทศจาก 80% เป็น 94% ภายในปี 2012

 

 

งานวิศวกรรม V-platform อันโดดเด่น

ผู้ที่สามารถอธิบายแนวคิดเบื้องต้นได้ดีที่สุดหนีไม่พ้น มร.โนริทาคา  ซึรุ  วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแพลทฟอร์มซึ่งมีฉายาว่า “Godfather” แห่ง V-platform นั่นเอง (ผมแอบค้นประวัติเล่น ๆ ใน Google.com เขาเคยทำงานให้กับ GM มาก่อนแล้วครับ)

รถทุกคันที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง V-platform นั้นจะต้องเป็นรถคอมแพคท์ที่ห้องโดยสารกว้างขวาง ต้นทุนต่ำ ประหยัดน้ำมัน น้ำหนักเบาแต่สามารถรองรับน้ำหนักตัวถังสูงสุดถึง 1,600 กิโลกรัม รองรับแรงบิดสูงสุดถึง 20.42 กิโลกรัมเมตร เน้นแอโรไดนามิคที่ดี โดยมีสโลแกนท้าทายการพัฒนาสำหรับทีมวิศวกร Nissan ประจำใจว่า “ความเรียบง่ายคือความเท่ห์ ความเท่ห์คือความยอดเยี่ยม”

มร. ซึโยชิ  โคบายาชิ  หัวหน้าวิศวกรด้านยานยนต์ กล่าวเสริมว่าหัวใจหลักของการบรรลุเป้าดังกล่าวจะต้องลดการใช้ชิ้นส่วนทั้งคันลง 18% ,ออกแบบชุดชิ้นส่วนให้มีความซับซ้อนน้อยที่สุดหรือพยายามลดขนาดชิ้นส่วนให้ได้มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับรถซับคอมแพคท์ Nissan March รุ่นปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น

-ชุดชิ้นส่วนชุดเบาะหน้าจากเดิมจะต้องใช้ชิ้นส่วนจำนวน 85 ชิ้นลดลงเหลือเพียง 50 ชิ้นเท่านั้น
-ชุดแผงแดชบอร์ดประกอบเสร็จจากเดิมจะต้องใช้ชิ้นส่วน 56 ชิ้นลดลงเหลือเพียง 28 ชิ้นเท่านั้น
-ชุดชิ้นส่วน Subframe ด้านหน้าจากเดิมจะต้องใช้ชิ้นส่วน 20 ชิ้นลดลงเหลือ 13 ชิ้นเท่านั้น
-เปลี่ยนแปลงระบบท่อไอเสียใหม่เบากว่ารถรุ่นเดิม 3 กิโลกรัม
-ลดขนาดถังน้ำมันลงซึ่งเบากว่ารถรุ่นเดิม 2.2 กิโลกรัม

ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจมาก Nissan สามารถลดน้ำหนักจาก Nissan March รุ่นเดิมถึง 50 กิโลกรัม ฟังดูน้อยนิดยิ่งนัก แต่ต้องอย่าลืมว่า Nissan March เจเนเรชั่นที่ 4 มีขนาดตัวถังใหญ่กว่ารุ่นเดิมทุกมิติอย่างเห็นได้ชัดคือขนาดพอ ๆ กับ Mazda 2 โฉมใหม่

โดยปกติแล้วรถรุ่นใหม่ที่ขนาดตัวถังใหญ่ขึ้นมักมีน้ำหนักตัวมากขึ้น แต่สำหรับรถในโครงการ V-platform สวนทางธรรมเนียมปฏิบัตินั้นอย่างสิ้นเชิง

ถ้าจะสรุปให้เห็นภาพ Nissan March เจเนเรชั่นที่ 4 จะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยระหว่าง 880 – 990 กิโลกรัม น้ำหนักระดับนี้แตะสูสีรถจิ๋วระดับ K-car ทั้ง ๆ ที่ขนาดตัวถังใหญ่กว่ามาก!!! เมื่อเทียบกับ Nissan March เจเนเรชั่นปัจจุบันที่มีน้ำหนักตัวระหว่าง 930 – 1,040 กิโลกรัมซึ่งก็จัดว่าเบาอยู่แล้ว

ถือว่า Nissan สามารถช่วงชิงตำแหน่งรถขนาดซับคอมแพคท์ที่มีน้ำหนักเบาที่สุดไปครองจนอย่างพลิกความคาดหมาย

ผลของการทำให้รถเบาลงแต่ตัวถังใหญ่ขึ้นก็ทำให้รถมีอัตราเร่งที่ดีขึ้น ลดการใช้เชื้อเพลิง ปล่อยมลพิษน้อยลงและเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับควบคุมรถได้ดีขึ้น การขับขี่ผ่อนคลาย เข้าจอดในที่แคบได้สะดวกราวกับว่ารถคันนี้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

ผลดีประการสุดท้าย ผู้ใช้สามารถลดค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาได้ในระดับเดียวกับรถเล็ก A-segment ด้วยราคาอะไหล่ที่ต่ำกว่ารถระดับ B-segment 1.5 ลิตรทั่ว ๆ ไปอีกด้วย

ผลลัพธ์ที่เกิดทั้งหมดบรรลุได้คงไม่ได้มีเพียงแค่วิศวกร Nissan เท่านั้น มันเกิดขึ้นจากการที่ Nissan ยอมเปลี่ยนวิธีคิดการพัฒนารถยนต์แบบเดิม ๆ ลองเปลี่ยนวิธีแบบสวนทางกัน โดยปกติแล้วผู้ผลิตรถยนต์จะต้องออกแบบและพัฒนามาก่อนแล้วต้องส่งแม่แบบไปยังซัพพลายเออร์เพื่อจัดซื้อและผลิตตามสเปคที่กำหนด แต่โครงการ Nissan V-platform คิดกลับกันโดย Nissan ติดต่อกับซัพพลายเออร์เบื้องต้น เคาะประเมินราคา และพัฒนาชิ้นส่วนเหล่านั้นร่วมกันกับคนในท้องถิ่นทั้ง ไทย จีน และอินเดีย เพื่อให้ได้สินค้าที่ถูกใจตลาดและลดต้นทุนได้ต่ำที่สุด

โครงการ Nissan V-platform คือการกล้าฉีกขนบธรรมเนียมการพัฒนารถในรอบ 10 ปีนี้มาเลยทีเดียว

 
เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและเทคโนโลยีที่ฉลาด

ใช่ว่า Nissan จะมุ่งเน้นแต่การลดต้นทุนและลดน้ำหนักรถจนลืมใส่ใจเทคโนโลยีให้กับ V-platform ในเมื่อเป้าหมายสูงสุดคือการเป็นรถที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีเยี่ยม มร. โนริทาคา  ซึรุ ผู้รอบรู้ V-platform ก็ตอกย้ำกับเราว่านอกเหนือจะเป็นรถที่น้ำหนักเบา กดต้นทุนได้ แต่ก็ยังต้องเป็นรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco Friendly) มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้

เริ่มจากเครื่องยนต์ใหม่ที่จะถูกติดตั้งรถในโครงการ V-platform คือเครื่องยนต์เบนซินบล๊อก 3 สูบตั้งแต่ 1.0 – 1.2 ลิตร ถูกออกแบบให้ลดการเสียดทานทำให้เครื่องยนต์ทำงานราบรื่น นิ่มนวล และสมรรถนะดีกว่าเครื่องยนต์ 3 สูบทั่ว ๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด สามารถเรียกกำลังเครื่องอย่างฉับพลันในรอบต่ำ สำหรับตลาดเมืองไทยจะถูกติดตั้งเครื่องยนต์ 1.2 ลิตรเท่านั้นเพื่อทำตลาดในพิกัดอีโคคาร์

เกียร์ XtronicCVT ลูกใหม่ล่าสุดของโลกที่พัฒนาร่วมกับ JATCO ออกแบบให้ตัวขับพูลเล่ย์กะทัดรัดลงจนสามารถลดขนาดเกียร์ลงได้ 10 % และลดน้ำหนักลงได้ 13% เพิ่มอัตราทดส่งกำลังให้สูงกว่ารถเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ช่วยเพิ่มสมรรถนะดีขึ้นกว่าเกียร์ XtronicCVT ดั้งเดิมถึง 10% และช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองพลังงานถึง 13% เมื่อเทียบกับ XtronicCVT ชุดเดิม (กรณีนี้เทียบ performance ตัวเกียร์ด้วยกันนะครับ)

เกียร์ XtronicCVT ขนาดกะทัดรัดรุ่นใหม่ก็จะถูกติดตั้งในรถในโครงการ V-platform ครั้งแรกของโลกด้วยเช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นเกียร์ CVT ที่ล้ำสมัยกว่าใครในโลก และล้ำสมัยกว่า XtronicCVT ที่ติดตั้งใน Nissan Teana รุ่นปัจจุบันเสียอีก

ระบบช่วยดับเครื่องยนต์ชั่วคราวขณะจอดรถหรือ Idling Start-Stop ที่เริ่มได้รับความนิยมในหมู่รถเล็กยุโรปก็จะถูกติดตั้งเพื่อเพิ่มอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้สูงขึ้นและช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง

เทคโนโลยีทั้งหมดจะช่วยเพิ่มความประหยัดมากถึง 50% เมื่อเปรียบเทียบกับ Nissan March รุ่นปัจจุบัน และทำให้รถในโครงการ V-platform ดูล้ำสมัยมากกว่ารถขนาดคอมแพคท์ Tiida แบบก้าวกระโดดพอสมควร

Next Generation Nissan March in Thailand be as First Mover ECO-CAR

ยืนยันกันอีกครั้งหนึ่งว่ารถคันนี้จะเป็นอีโคคาร์รุ่นแรกของเมืองไทย เปิดตัวและวางจำหน่ายครั้งแรกในโลกในเดือนมีนาคม 2010 ช่วงงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2010 มีจำหน่ายทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ XtronicCVT ลูกใหม่ของโลก

 

ส่วนราคาจำหน่าย มร.วินเซนต์ โคบี ยืนยันว่า Nissan Ecocar “ไม่ใช่รถราคาถูก” ผมเชื่อว่านักข่าวฟังครั้งแรกก็น่าจะตกใจจนสะอึกกันก่อนแล้วว่า ราคาคงต้องแพงแน่หรือผู้บริโภคบางกลุ่มคงเข้าใจไปก่อนว่าแพงเกินเอื้อมแน่ ๆ 

 

แต่ช้าก่อนคำว่า Nissan Ecocar ไม่ใช่รถราคาถูกนั้นหมายถึง Nissan Ecocar จะไม่ลงมาเล่นโพสิชันนิ่งรถราคาต่ำแบบเดียวกับ Tata Nano ที่เคาะราคาต่ำมาก ๆ แค่ 1 แสนบาท หรือรถคันจิ๋ว ๆ มาตรฐาน อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานจนเป็นรถกระป๋องต้องตั้งราคาต่ำ ๆ แค่ 3 แสนต้น ๆ

 

แต่ Nissan Ecocar มันจะต้องเป็นรถที่มีราคาสมเหตุสมผล ราคาที่คนส่วนใหญ่หาซื้อกันได้เหมาะสมกับสิ่งที่รถนั้นให้มา (สรุปไม่ใช่รถราคาแพงล่ะครับ) ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ภายนอกที่ใหญ่ระดับเดียวกับ Sub Compact ห้องโดยสารกว้างขวางเพียงพอกับผู้ใหญ่ 5 คนได้ คุณภาพการขับขี่ที่ดี คุณภาพเครื่องยนต์และเกียร์ที่สมรรถนะดี ประหยัดน้ำมัน รวมไปถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยลดมลภาวะ มาตรฐานความปลอดภัยอยู่ในระดับสูง

 

นั่นเป็นเพราะลูกค้ารถเล็กทั่วโลกมิใช่แค่ต้องการรถที่ราคาต่ำอย่างเดียว แต่ยังแคร์เรื่องคุณภาพตัวรถอย่างมาก(โดยเฉพาะลูกค้าคนไทยที่ซื้อรถต้องเอาให้คุ้ม) และจะไม่ยอมถูกเอาเปรียบด้านคุณภาพตัวรถอย่างเด็ดขาด หากรถราคาต่ำมากจริงแถมคุณภาพตัวรถก็ต่ำตามไปด้วย ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เลี่ยงที่จะไม่ซื้อเช่นกัน ยกตัวอย่าง คุณลองเปรียบเทียบระหว่าง Proton Savvy ,Chery QQ และ Naza Forza ดูสิครับ ว่ารถรุ่นใดมีคุณภาพดีที่สุด คำตอบนี้ไม่ยากครับนั่นก็คือ Proton Savvy ที่มีราคาแพงกว่า 2 รุ่นนั้นเล็กน้อยเท่านั้น ลูกค้าหลายคนก็ยอมรับในคุณภาพที่ดีกว่า Chery QQ และ Naza Forza จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมยอดขาย Proton Savvy ถึงมียอดขายเฉลี่ย 120 คันต่อเดือนทิ้งห่าง Chery QQ และ Naza Forza ที่ทำยอดขายเดือนละไม่กี่สิบคันทั้ง ๆ ที่ราคาต่ำกว่า Proton Savvy !!

 

เหตุผลประการสำคัญคือข้อบังคับมาตรฐานอีโคคาร์ที่รัฐบาลกำหนดมานั้นเข้มงวดอย่างมาก ได้แก่ ต้องทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่ต่ำกว่า 20 กิโลเมตรต่ลิตร,ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 120 กรัมต่อกิโลเมตร,ต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัย UNECE 94/95 ซึ่งสร้างความลำบากใจแก่ผู้ผลิตรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 6 ราย เพราะกฎเหล่านี้อาจทำให้ต้นทุนของรถสูงขึ้นจนไม่สามารถตั้งราคาได้ต่ำ ๆ มากนัก

 

เพื่อความกระจ่างเราจึงถามนอกรอบกับทีมผู้รับผิดชอบ V-platform และคุณประพัฒน์ เชยชม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและการขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ว่าราคาสมเหตุสมผลนั้นเป็นเช่นไร

 

พวกเขาบอกว่ารถ Ecocar ของ Nissan นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและเทคโนโลยีเพื่อความประหยัดและสิ่งแวดล้อมดั่งที่กล่าวไปแล้วนั้น แน่นอนว่าจะไม่ลงไปเล่นกับกลุ่มรถยนต์ต้นทุนต่ำทั้งหลายจำพวก Tata Nano เป็นต้น แต่หากจะหวังราคา 3 แสนต้น ๆ – 3.5 แสนบาทนั้นเป็นไปได้ยากมากเพราะข้อบังคับอีโคคาร์ของรัฐบาลค้ำคอเอาไว้อีกอย่างการลดราคากับรถระดับนี้มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เพราะคุณต้องหั่นต้นทุนให้ได้ถึงที่สุดและที่สุด (ฟังแล้วดูยากมากใช่ไหมล่ะครับ เพราะมันต้องคิด process กันทั้งระบบ) ดังนั้น Nissan Ecocar ไม่ใช่รถกระป๋องอย่างที่คนไทยคิดแน่นอน

 

แต่คุณสามารถหวังราคาไว้ราว 4 แสนบาทได้แน่นอน (ผู้เขียน : ราคาจำหน่ายจริงคงป้วนเปี้ยนระัดับนั้นล่ะครับ เพราะเราเคยเห็นสูตรคำนวณภาษีระหว่างรถ 1.5 ลิตรอัตราภาษี 25% และรถอีโคคาร์อัตราภาษี 17% มันก็ออกมาแนว ๆ นี้ล่ะครับ)ราคาระดับนี้ถือว่าสมเหตุสมผลมากเพราะถูกกว่ารถระดับ 1.5 ลิตรแสนกว่าบาททั้งที่รถไม่ได้เล็กกว่ากันมากหนำซ้ำยังใหญ่กว่าบางรุ่นด้วย และราคานี้สามารถ – หรือ + ไปอีก 20,000 บาท คือสามารถตั้งเริ่มต้นไว้ที่ 399,000 บาท – 419,000 บาท ก็เป็นไปได้ ส่วนราคาที่แท้จริงเป็นเช่นไรเราก็ไม่สามารถจะให้คำตอบได้ 100%  แต่คิดว่าราคาก็ไม่หนีไปจากนี้แล้วล่ะครับ

 

สรุปว่า หากใครรออีโคคาร์ที่ราำคาต่ำมาก ๆ 3 แสนต้น ๆ นั้นเป็นไปไม่ได้เลยครับ และหากใครที่ยังทำใจรับราคาอีโคคาร์ 4 แสนบาทไม่ได้เลย(เพราะอยากได้รถราคาต่ำ) ทาง Headlightmag.com คงต้องแนะนำให้ผู้อ่านมองตัวเลือกอื่นเตรียมไว้ครับ อาทิ กัดฟันซื้อรถซับคอมแพคท์ 1.5 ลิตรราคา 5-6 แสนบาทขึ้นไปหรือรถยนต์มือสอง ส่วนใครที่ยังต้องการอีโคคาร์ที่ประหยัดน้ำมันมาก ๆ และสามารถรับราคาประมาณ 4 แสนบาทได้ ได้รถที่ขนาดใหญ่และกว้างขวางแบบรถ 1.5 ลิตร ดูดีไม่กระป๋อง เอาไปอวดเพื่อน ๆ ได้นั้น กรุณาเก็บเงินรอเอาไว้เลยครับเพราะรถจะเปิดตัวในเดือน มีนาคม 2010 ครับ