ผมกำลัง นั่งทบทวน ความจำ กันอยู่ว่า ครั้งสุดท้ายที่ผมได้ขับรถยนต์ยี่ห้อสี่ห่วงน่ะ มันเมื่อไหร่กัน?

จำได้ว่า ต้นปี 2008 คือ ช่วงเวลาที่ผมได้มีโอกาส พา Audii RS4 By MTM Thailand ทะยานไปด้วยความเร็ว
สูงถึง 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง และนั่นก็เป็นตัวเลขความเร็วที่สุดเท่าที่ผมเคยลองขับมา หลังจากนั้น ก็ยังไม่มี
โอกาสได้เจอรถที่ไปได้เร็วกว่านั้นอีกเลย (และก็ภาวนาว่า อย่าเจอกันง่ายๆนัก กลัวพลาดพลั้งขึ้นมาแล้ว
เกิดอุบัติเหตุละยุ่งเลย)

หลังจากรีวิวชิ้นนั้น คลอดออกไป ดูเหมือนว่า ผมจะพยายามติดต่อ คุณโต สุวิชชา ลีนุตพงษ์ แห่ง MTM Thailand
ไม่ได้อีกเลย นานเป็นปีๆ ก็เลยแอบนึกสงสัยว่า เอ๊ะ คุณโต เขาแอบเคืองอะไรหรือเปล่า ที่เราพาเจ้า RS4 ไปแตะ
ใกล้กับลีมิตสูงสุดของตัวรถกันถึงระดับ 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง กันขนาดนั้น

มีอยู่วันหนึ่ง ลองโทรเข้าไปหา ปรากฎว่ามีเสียงผู้หญิงรับสาย และบอกว่า ไม่ใช่เบอร์ของคนชื่อโต..เอาแล้วไง…
ไม่ได้ใช้เบอร์นี้แล้ว ทีนี้จะติดต่อกันยังไงละเนี่ย….

หลังจากวันนั้น ผมก็ได้แต่คิดในใจว่า สงสัยคงไม่มีโอกาสได้ติดต่อกับคุณโต อีกแล้ว….จนกระทั่ง…..

คืนวันที่ 11 ธันวาคม 2010 คุณโต เพิ่งจะว่าง และเริ่มเข้ามาในโลกอินเตอร์เน็ต เสริชไปมา จนมาเจอเว็บไซต์
Headlightmag.com ของเรา เท่านั้นแหละ คุณโต ก็เลยเพิ่งได้รู้ว่า ผมทำเว็บนี้แล้วนะ แถมพอเข้ามาอ่านในเว็บบอร์ด
ก็แสนจะบังเอิญ ที่มีคุณู้อ่านถามไถ่มาว่า ผมจะมีโอกาสได้ลองขับ Audi A5 กับ Skoda Fabia 1.2 TSI หรือไม่
ซึ่งรถทั้งคู่ ผมก็ดันลืมไปแล้วว่า การทำตลาด ก็อยู่ในความดูแลของ MTM Thailand พอดี๊พอดี

คุณโต หาอีเมล์ผมเจอ ส่งเบอร์โทรมาให้ บอกว่า ยังมิได้หายไปไหน ยังสุขสบายดี แต่แค่จำเป็นบางประการ
จนต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ เบอร์ของข้าพเจ้า ก็เลยหายไปด้วย และนั่นคือ จุดเริ่มต้นการกลับมาต่อติด
ความสัมพันธ์อันดีที่เคยขาดหาย ให้กลายกลับมาดำเนินต่อเนื่องกันต่อไป ตามเดิม เหมือนเช่นที่เคยเป็น

และนั่นคือที่มาของรีวิว ที่คุณกำลังนั่งอ่านกันอยู่นี้….

ที่ผ่านมา ผมอาจจะมีโอกาสลองขับ Audi จากทาง MTM Thailand มาแล้ว 2 คัน แต่ทั้งคู่ ก็เป็นการขับในลักษณะ
วันเดียวจบ สั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งเราจะรับรู้รสชาติการขับขี่ กันแบบสั้นๆ แต่อาจยังไม่ครบสูตรนัก ฉะนั้น S3 MTM
อาจถือได้ว่า เป็น Audi คันแรก ที่ผมนำกลับมาทดลองขับกันที่บ้าน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 4 วัน 3 คืน และรถคันนี้
ก็ทำให้ผม ได้พบเจอสายตาจากเพื่อนร่วมเส้นทางมากมาย…

ทั้งสายตาที่มองในแง่ดี ด้วยสีตัวถังที่ ส้มแปร๋นแก่นเซี้ยว กันสุดฤทธิ์เหลือเกิน เรียกความสนใจจากสาวๆ
ที่เดินข้ามถนนได้ชะงัด แต่นั่นก็เพียงแค่แวบแรก วินาทีต่อมา ที่เขามองเห็นหน้าตาของคนขับ (คือผม)
กับโทนสีของล้ออัลลอย 19 นิ้ว สายตาเหล่านั้น ก็หันขวับกลับไปอย่างไม่ใยดี อาจเพราะคงคิดว่า นี่คือ
รถซิ่ง ของเล่นคนรวย หรือไม่ก็ เพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ นั่งรถมาจอดเทียบข้าง ขณะจอดแวะซื้อของ
ที่ร้านขายของชำ ลงมาทักทายผม บอกคนขับรถให้ขับกลับไปก่อน ไม่ต้องรอ แล้วก็เดินมาวนๆ ดูรอบๆ
รถคันสีส้ม ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน!

นี่ยังไม่นับรวมสายตาที่มองในแง่ร้าย ตั้งแต่หมั่นไส้ จนถึงขับจี้บั้นท้ายผม อยู่บ่อยๆ ชวนให้เสียวไส้ยิ่งนัก
ครั้นจะแตะเบรกให้หัวคะมำ แล้วเร่งพรวด ออกไป อันเป็นวิธี ที่ผมใช้แก้เผ็ด พวกชอบขับจี้ก้น ก็ไม่กล้าทำ
กลัวว่าจะพลาดพลั้งข้นมา แล้วจะทำให้ เจ้าส้มน้อย มีราคี ขึ้นมา ซึ่งนั่นอาจทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์
ในเวลาต่อมาได้แน่ๆ  ส่วนรถที่ขับมาจี้บั้นท้ายเจ้า S3 MTM คันนี้ มีตั้งแต่ กระบะ Vigo Fortuner บ้าพลัง
ไปจนถึง Camry 2.0 ที่ภาคภูมิใจในรถตัวเองจนขับเร็วโอเวอร์เกินเหตุ (รุ่น V6 3.5 ลิตร เขายังไม่ซิ่งกัน
เลย) ยังไม่นับรวม Civic 1.8 ที่ขับเร็ว ยิ่งกว่ารุ่น 2.0 ลิตร ไม่เว้นแม้กระทั่ง 370Z สีขาว สปอยเลอร์ใหญ่
จนคล้ายราวตากผ้า และรถกระบะส่งของ (-_-‘) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นทั้งที่ผมขับช้าๆ หลบให้ชาวบ้านแซงล้วนๆ!

แต่ต่อให้สายตาผู้คนรอบข้างจะเป็นอย่างไร ผมก็ไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะทั้งหมดนั้น ไม่สำคัญเท่ากับว่า
ผมคิดอย่างไรกับรถคันนี้…และทุกสิ่งที่ผมคิด ก็รอให้คุณเริ่มต้นอ่านกันได้แล้ว ข้างล่างนี้…

แน่นอนว่าคุณๆ ก็คงจะคุ้นเคยกับรถยี่ห้อ Audi กันมาพักใหญ่ หลังจากที่เริ่มกลับมาทำตลาดในเมืองไทย
อย่างจริงจังอีกครั้ง ช่วงราวๆ ปี 1991 โดยตอนนั้น คุณอรรถพล ลีนุตพงษ์ หรือ เสี่ยเซียะ เข้ามาบริหารดูแล
ต่อจากคุณพ่อ ของคุณพิทักษ์พันธุ์ วิเศษภักดี หรือ คุณหมู ตอนนั้น ใช้ชื่อว่า คอมเมอเชียล มอเตอร์ เวิร์คส์
จากนั้น Audi ก็กลายมาเป็น รถอีกยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งอยู่ในการดูแลของ กลุ่มยนตรกิจ ตราบจนถึงปัจจุบัน
ที่มีการแบ่งสันปันธุรกิจ ให้ต่างฝ่ายต่างคนไปดูแลกัน แต่ในส่วนของ MTM นั้น หลายคนก็อาจจะยัง
เพิ่งเคยได้ยินยี่ห้อนี้ครั้งแรกด้วยซ้ำ…ความจริงแล้ว ชื่อนี้ ไม่ใช่แบรนด์ใหม่ในวงการรถยนต์ทั่วโลก
โดยเฉพาะคนที่ชอบ รถโมดิฟาย จากฝั่งยุโรป

MTM ย่อมาจากภาษาเยอรมันว่า MOTOREN TECHNIK MAYER โอเค 2 คำแรก ก็แปลตรงตัว
ว่า Motor แล้วก็ Technic นั่นเอง แต่คำว่า Mayer ที่ห้อยมาต่อท้ายนั้น มาจาก นามสกุลของผู้ก่อตั้ง
นั่นคือ Roland Mayer ชายคนนี้ แรกเริ่มเดิมที ในช่วงปี 1985 เขาเคยทำงานอยู่ในฝ่ายเทคนิค
ของ Audi ในเยอรมัน และเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมงานที่ คิดและพัฒนา เครื่องยนต์ 5 สูบ
ซึ่งวางอยู่ในรถยนต์ Audi หลายๆรุ่น นับจากยุคกลางทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา

พอปี 1990 Roland Mayer ก็ได้ลาออกมา เปิดบริษัท MTM ของตนเอง เพื่อรับปรับแต่ง และปรับปรุง
สมรรถนะของรถยนต์ ยุโรปต่างๆ ตั้งแต่ Audi Volkswagen Seat Skoda ไปจนถึงรถยนต์สมรรถนะสูงๆ
ระดับ Super Car อย่าง Bentley Porsche และแม้แต่ Ferrari บริษัทนี้ เขาก็รับงานด้วย!

หลังเปิดบริษัทมาได้ 2 ปี พวกเขาก็ปรับปรุงสมรรถนะของเครื่องยนต์ Audi บล็อก 5 สูบ ด้วยการติดตั้ง
Turbo จนมีกำลังสูงสุดถึง 400 แรงม้า (HP)  และกลายเป็นเครื่องยนต์ Audi เครื่องแรก ที่ทำความเร็วสูงสุด
ทะลุ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกทั้งยังสามารถจดทะเบียนเป็นรถที่แล่นได้ บนถนนสาธารณะอีกด้วย

แต่โครงการที่สร้างชื่อให้กับ MTM จนโด่งดังมากขึ้นในระดับสากลก็คือ ความบ้าระห่ำที่เอาเครื่องยนต์
4 สูบ Turbo วางลงไปใน Audi TT พร้อมกัน ถึง 2 เครื่องรวด!! พละกำลังรวมทั้งหมด ถึง 1,000 แรงม้า
แต่ ด้วยความคิดที่ว่า มันอาจจะขับบนถนนทั่วไปยากมาก ก็เลยลดกำลังเครื่องยนต์แต่ละเครื่อง ลงมา
เหลือ 370 แรงม้า เท่ากับว่า รถคันนี้จะมีกำลังสูงถึง 740 แรงม้า มันมีชื่อว่า MTM – Bimoto project
ให้อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาแค่ 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 374 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ปัจจุบันนี้ MTM เยอรมัน มีพนักงานทั้งสิ้น 23 คน (รวมเจ้าของ คือ Roland Mayer) ด้วยแล้ว และสถาน
ของบริษัทแห่งนี้ ได้รับอนุญาตจากทางการ ให้เป็น “ผู้ผลิตรถยนต์” ซึ่งมีสิทธิ์ตอกเลขเครื่องยนต์ และออก
เลขตัวถังรถยนต์ (VIN Number หรือ Vehicles Indentity Number) ได้เองแล้ว เท่ากับว่า พวกเขา อยู่ใน
สถานภาพ เป็น “โรงงานผลิตรถยนต์ และสำนักแต่งรถ ครบวงจร เต็มตัว”

แล้ว MTM มาอยู่ในเมืองไทยได้อย่างไร?

เรื่องราวเริ่มขึ้นประมาณปี 2005 Roland Mayer เจ้าของ MTM เขารู้จักกับชาวต่างชาติคนหนึ่ง ที่มาทำงาน
ดูแล Volkswagen ในไทย ในช่วงแรก ดูเหมือนว่า ยังไม่มีใครในยนตรกิจตอนนั้น สนใจจะทำ MTM
จนกระทั่ง คุณ โต เริ่มเข้ามาดูแลธุรกิจ พอจะไปทำ Citroen ทางนั้น ก็มีรูปแบบธุรกิจ ของเขากันอยู่แล้ว
ดังนั้น คุณโต ก็เลยเริ่มมองหาช่องทางว่า จะทำอะไรได้บ้าง กับธุรกิจรถยนต์

บังเอิญในตอนนั้น Audi ที่เยอรมัน ออก รถรุ่น RS4 ทาง MTM ก็เอาไปยกระดับสมรรถนะให้แรงขึ้น
เป็น 435 แรงม้า (PS) กันต่อ คุณโต เกิดอยากลองขับ และมองเห็นศักยภาพของ MTM ว่า มันน่าจะ
พอไปได้ในตลาดรถยนต์บ้านเรา ก็เลยตัดสินใจ ติดต่อ และมาร่วมเป็นตัวแทนจำหน่าย รถยนต์
และผลิตภัณฑ์ของ MTM ในเมืองไทย ซะเลย

แล้วทุกอย่าง ก็ดำเนินมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ ชื่อ ของ MTM เริ่มติดหู คนบ้ารถยนต์ และรักความแรง
เป็นชีวิตจิตใจ เยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็ถือว่า จากจุดเริ่มต้น มาถึงวันนี้ ทำได้ขนาดนี้ ก็นับว่า ดีมากแล้ว
เมื่อเทียบกับ ปัจจัยทางธุรกิมากมาย ที่พวกเขาต้องเผิชญหน้ากับมัน ตลอด หลายปีที่ผ่านมา

ตอนนี้ MTM Thailand เป็นหนึ่งใน 40 ผู้นำเข้า / ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และชิ้นส่วนชุดแต่ง ทั่วโลก
ของบริษัท MTM เยอรมัน โดยในเมืองไทย มีอู่ซ่อมบำรุง ริมถนนสุขุมวิท ย่านบางจาก รองรับการ
ซ่อมบำรุงและปรับแต่งเครื่องยนต์ ด้วยช่างที่ชำนาญฝึกฝนโดยตรงจากประเทศเยอรมัน

หลังจากที่ MTM Thailand เริ่มนำ Audi RS4 เวอร์ชัน อัพเกรดสมรรถนะโดย MTM เป็น 435 แรงม้า (PS)
เข้ามาหยั่งเชิงในบ้านเราแล้ว กาลต่อมา พวกเขา ก็ได้สั่งนำเข้า Audi S3 รุ่นที่เห็นอยู่นี้ เข้ามาเอาใจกลุ่ม
ลูกค้ากระเป๋าหนักที่รักความแรงสะใจจากรถเยอรมันยี่ห้อ สี่ห่วง

ครั้งแรกที่โลกได้เห็น Audi S3 นั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ รุ่นแรกของ A3 อันเป็นรถยนต์ Premium Compact Hatchback
ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง PQ34-Platform ร่วมกับพี่น้องในตระกูล ทั้ง Volkswagen Golf / Jetta Audi TT Seat Leon
และ Skoda Octavia รุ่นแรก คลอดออกสู่ตลาดโลก เมื่อปี 1996 หลังจากนั้น เริ่มมีลูกค้าจำนวนไม่น้อย อยากได้
ความแรงที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น S3 รุ่นแรก รหัสรุ่น 8L จึงออกสู่ตลาด เมื่อ ปี 1998 ในฐานะ รถรุ่นปี 1999 และทำตลาด
มาเรื่อยๆ จนถึง ปี 2003

จนกระทั่งงาน Geneva Motor Show 2003 Audi เผยภาพถ่าย และรูปโฉมคันจริง ของ A3 เจอเนรเรชัน 2
ออกมา ในตอนนั้น สื่อมวลชนด้านรถยนต์ฝั่งยุโรป หลายสำนัก ตั้งคำถามว่า แล้วจะมี เวอร์ชันร้อนแรง
อย่าง S3 ออกมาขายด้วยหรือไม่ ในที่สุด Audi ก็ตอบคำถามพวกเขา ในปีถัดมา ด้วยการปล่อยภาพแรกของ
Audi S3 เจเนอเรชันที่ 2 รุ่นปัจจุบัน รหัสรุ่น 8P สู่สายตาสาธารณชนทั่วโลก อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่
1 สิงหาคม 2006 ส่วน S3 ที่ได้รับการปรับแต่งสมรรถนะโดย MTM นั้น พร้อมออกสู่ตลาด หลังจากนั้น
ไม่นานนัก คือในเดือน กุมภาพันธ์ 2007 และนี่ก็ปาเข้าไปจะ 5 ปีแล้ว ที่รถรุ่นนี้เริ่มทำตลาด แต่ยังคงมี
ยอดขายอยู่ได้เรื่อยๆ แม้ว่าล่าสุด Audi เยอรมัน เพิ่งจะเปิดตัว RS3 SportBack ออกมาหมาดๆ แต่ด้วย
ค่าตัวที่สูงเกินเอื้อมถึงได้โดยง่าย อีกทั้ง ความแรงของ S3 เอง ก็สามารถปรับแต่งออกมาให้ใกล้เคียงกัน
กับ RS4 และ RS3 เวอร์ชันมาตรฐานได้ S3 ก็จึงยังคงมีลูกค้าอุดหนุนในต่างประเทศอยู่เรื่อยๆ

ตัวรถมีความยาว 4,214 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร สูง 1,399 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,578 มิลลิเมตร
น้ำหนักตัวเปล่า 1,530 กิโลกรัม เมื่อรวมน้ำหนักบรรทุกแล้ว จะอยู่ที่ 2,015 กิโลกรัม

รายละเอียดที่แตกต่างไปจาก Audi A3 รุ่นมาตรฐาน ที่เราเคยทดลองขับสั้นๆไปก่อนหน้านี้ มีทั้ง เปลือกกันชนหน้า
สไตล์สปอร์ต สำหรับ Audi S-Line ออกแบบใหม่เป็นพิเศษ พร้อมช่องรับอากาศขนาดใหญ่ มีสัญลักษณ์ S3 ติดมาให้
ที่กระจังหน้า และประตูห้องเก็บของด้านหลัง ไฟหน้าเป็นแบบ Xenon พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับรถตอน
กลางวัน Daytime Running Lamp เปิดตลอดเวลาที่ขับรถ แถมด้วยกรอบกระจกมองข้างแบบ Aluminium Look

ส่วนด้านข้างนั้น จะมีสเกิร์ตด้านข้าง ติดตั้งที่ชายล่างของรถ เปลือกกันชนหลังออกแบบมาเป็นพิเศษ สำหรับ
Audi S-Line และมีแถบ Diffuser เป็นสีเทา Platinum Grey มีสปอยเลอร์เหนือฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง
ปลอกท่อไอเสียคู่ Twin Oval และล้ออัลลอยขนาด 7.5J x 18 นิ้ว ET offset: 56 ลาย S-Design พร้อมยาง
ขนาด 225/40 R18 92 Y

แต่สำหรับ เวอร์ชันที่ตกแต่งโดย MTM คันนี้ ล้ออัลลอย จะเป็นขนาด 8.5J x 19 นิ้ว ลาย BiMoto 9 ก้าน
ค่า PCD 5 รู 112 เอกลักษณ์ของ MTM พร้อมยาง Continental Sport Contact 3 ขนาด 235/35 ZR19 ทั้ง 4 เส้น

การเปิดประตู ใช้กุญแจแบบพับเก็บลูกกุญแจ เหมือนมีดพับของสวิส พร้อมรีโมทคอนโทรล และระบบกันขโมย
Immobilizer ในตัว ส่วนการติดเครื่องยนต์ ก็ยังต้องใช้กุญแจไปบิดในช่องเสียบ ที่คอพวงมาลัย แบบดั้งเดิมอยู่ดี
รีโมทนี้ ถ้ากดปุ่มปลดล็อก 1 ครั้่ง จะปลดล็อกเฉพาะประตูฝั่งคนขับ แต่ถ้ากดซ้ำอีกครั้ง ประตูฝั่งผู้โดยสารจะถูก
ปลดล็อกตามมา ส่วนฝากระโปรงหลัง กดปุ่มตรงกลาง แช่ไว้ 2-3 วินาที ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลังจึงจะ
ปลดล็อก

เมื่อเปิดประตูฝั่งคนขับ คุณอาจจะเห็นว่า มีสวิชต์ หน้าตาแปลกๆ ไม่เคยพบเห็นมาก่อน อยู่ที่แผงประตูด้านข้าง
มันเป็นสวิชต์ สำหรับเปิดให้ระบบกันขโมยที่ติดตั้งมากับรถ ทำงาน ในกรณีที่มีใครมายกลากรถทั้งคัน ระบบ
ก็จะร้องลั่น ส่วนปุ่มข้างล่าง เอาไว้สำหรับเปิดไว้ ให้ระบบทำงาน ในกรณีที่ยกรถขึ้นไปบน Slide-on หรือว่า
จอดอยู่บนทางลาดชัน ถ้าเมื่อไหร่ รถเลื่อนลงมาได้เองแล้วละก็ สัญญาณเตือนของรถจะแหกปากร้องลั่นทันที

ไม่ต้องมาถามผมนะครับว่า มันทำงานเป็นอย่างไร ผมไม่กล้าลองใช้ เพราะถ้าเกิดกดปุ่มทำงาน แล้วมันร้อง
หาแม่นม ไม่ยอมหยุดขึ้นมา ผมก็ไม่มีปัญญาไปหาขวดนมมาป้อนให้มันกิน จะหาทางปิดสวิชต์ ก็ไม่แน่ใจว่า
ระบบมันจะหยุดทำงานเลยหรือเปล่า พอดี ไม่มีคู่มือติดรถมาให้ เลยไม่กล้าไปยุ่งกับ 2 ปุ่มนี้ ตลอดเวลาที่รถ
มาใช้ชีวิตอยู่กับผม เกิดมา ผมก็เพิ่งเคยเห็นรถที่มีปุ่มแบบนี้ มันก็คราวนี้นั่นแหละ!

บานประตูมีน้ำหนักมาก แบบเดียวกับที่พบได้ในรถยุโรป ก่อนปี 2010 เวลาเปิด มี 3 จังหวะ
แผงประตูตกแต่งด้วยลาย Aluminium บริเวณด้านล่างของมือจับและช่องวางแขน

การเข้าออกจากรถนั้น หากเป็นเบาะนั่งแบบมาตรฐาน ในรุ่น A3 แบบปกติ จะเข้าออกได้สบายกว่านี้ แต่ด้วยเหตุที่
เบาะรองนั่งของ S3 ทำขึ้นมาเป็นปีกล็อกตัวผู้ขับขี่ และผู้โดยสารเอาไว้ ในลักษณะคล้ายกับเบาะนั่งของ RS4 ดังนั้น
วิธีที่ผมจะเข้าออกจากรถคันนี้ได้สบายที่สุด มีทางเดียวคือ ต้อง ยกคันโยก เลื่อนเบาะถอยหลังไปจนสุด เข้าไปนั่ง
แล้วค่อยปรับเบาะเข้ามาใกล้กับพวงมาลัยอีกครั้ง ไม่เช่นนั้น บอกได้เลยว่า ไม่มีทาง ที่คุณจะลุกเข้าออกจากรถคันนี้
ได้อย่างสะดวกโยธิน

บรรยากาศภายใน จะกระชับ ในแบบที่ Audi เขาเป็นมาตลอด บางคนอาจรู้สึกอึดอัด แต่บางคน
จะรับได้ และไม่มีปัญหา ส่วนหนึ่งเพราะว่า Audi มีเอกลักษณ์การออกแบบเส้นสะเอว หรือ
แนวเส้นขอบกระจกหน้าต่างด้านล่าง ค่อนข้างสูงกว่ารถทั่วไปเล็กน้อย จึงอาจสร้างความรู้สึก
อึดอัดได้ ในรถบางรุ่น แต่ก็เป็นธรรมเนียมด้านการออกแบบของ รถค่ายสี่ห่วงนี้มาช้านานแล้ว
อย่างไรก็ตาม พื้นที่กระจกหน้าต่างของ A3 / S3 เจเนอเรชันปัจจุบัน หรือที่เรียกว่ารุ่น 8P นี้
ค่อนข้างโปร่ง และสบายตา กว่า Audi ขนาดเล็ก รุ่นอื่นๆ ก่อนหน้านี้

ชุดเบาะนั่งคู่หน้า ดูคุ้นตา เหมือนกับที่เคยพบกันมาแล้วใน RS4 เมื่อเปิดรูปจากรีวิวเก่า
เปรียบเทียบกัน ก็พบว่า พนักพิง กับเบาะรองนั่ง มีรูปทรงเหมือนกัน แต่อาจแตกต่างกัน
ตามลวดลายบนหนัง และรายละเอียดปลีกย่อย เช่น ฐานรองชุดเบาะ ที่ต้องแยกจากกัน
เพราะ RS4 มีระบบปรับตำแหน่งดันหลัง และปีกข้าง ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า แต่ S3 จะไม่มี
ของเล่นเหล่านี้มาให้ (เว้นแต่คุณจะยกระดับไปเล่น RS3 ขุมพลัง V8 กันเลย นั่นอีกเรื่อง)

มิน่าละ สัมผัสจากเบาะนั่ง จึงแทบจะเหมือนกันกับ RS4 เปี๊ยบ คือโอบกระชับลำตัวชัดเจน
แต่ บริเวณไหล่เนี่ย นอกจากหน้าตาจะเหมือน ดาร์ธ เวเดอร์ใน Star Wars แล้ว มันยังก่อ
ความรำคาญเล็กๆ ให้นิดนึงเหมือนกัน สรุปว่า นั่งขับขี่ในท่าปลอดภัย ไม่ยาก แต่ถ้านั่งนานๆ
ก็น่าจะมีอาการปวดหลังแอบให้เห็นนิดๆ ได้เช่นกัน

ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ มีเหลือกำลังดี ไม่ใช่เรื่องน่าห่วง สำหรับรถยนต์ในระดับ Premium Compact
Sporty แบบนี้ เพียงแต่ว่า ถ้าคิดจะปรับระดับพนักศีรษะละก็ เสียใจด้วยครับ ทำเช่นนั้นไม่ได้
เพราะพนักศีรษะ ถูกออกแบบและผลิตขึ้นมา ให้เป็นชิ้นเดียวกันกับ ชุดพนักพิงหลังไปเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียประการหนึ่ง ที่ต้องทำใจก็คือ ชุดเบาะนั่งคู่หน้า บักเก็ตซีท รูปทรงเดียวกับหน้าตา
ของดาร์ธ เวเดอร์ นี้ หากคุณคิดจะเลื่อนเบาะเพื่อให้สามารถเข้าไปนั่งเบาะหลังได้ ถ้าคุณไม่รู้มาก่อนว่า
มีคันกดปลดล็อก บริเวณช่องฝั่งซ้ายของพนักพิงเบาะ ให้พับโน้มพนักพิงขึ้นมาข้างหน้า คุณอาจจะต้อง
ออกแรง และเสียเวลา ทั้งเลื่อนเบาะขึ้นมาข้างหน้า ด้วยคันโยกที่ใต้เบาะรองนั่ง แถมยังต้องหมุนปรับ
พนักพิงหลังให้โน้มมาข้างหน้า ซึ่งต้องใช้เวลากันพอสมควรเลยทีเดียว ไม่สะดวกเอาเสียเลย อีกทั้ง
ชุดเบาะคู่นี้ ยังเบียดบังพื้นที่การเข้าออก สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง ไปอีกนิดหน่อย ด้วยซ้ำ

ผมใช้ความพยายามอยู่พักหนึ่ง ในการจะพาสารรูปของตัวเอง ปีนเข้าไปนั่งบนเบาะหลังของ S3
และพบว่า พื้นที่เหนือศีรษะ มีเพียงพอสำหรับคนตัวสูง 170 เซ็นติเมตร โดยประมาณ พนักพิงหลัง
แอบแข็งนิดนึง ส่วนเบาะรองนั่ง ถึงจะไม่ได้รองรับช่วงต้นขา ยาวถึงข้อพับ แต่ก็ถือว่านั่งเดินทาง
ไปได้ ในระยะไม่ไกลนัก อย่างไม่น่ามีปัญหา เว้นเสียแต่ว่า ผู้โดยสารตอนหน้าจะถอยร่นเบาะ
ที่เขานั่ง มาเบียดบังพื้นที่วางขาของคุณก็เท่านั้นเอง

และถ้าสงสัยว่า พื้นที่ด้านหลัง นั่งกันได้หรือเปล่า? คำตอบ ก็คงต้องดูรูปข้างล่างนี่ละครับ…

ทั้ง น้อง Bombe เจ้ากล้วย BnN และน้อง Toyd พิสูจน์ให้คุณได้เห็นแล้วว่า ทั้ง 3 คน นั่งบนพื้นที่
ดเบาะหลังของ S3 ได้แน่ๆ โดยเราต้องไม่ลืมว่า Bombe สูง 180 เซ็นติเมตร หนัก 80 กิโลกรัม
ส่วน BnN กับ Toyd สรีระไล่เลี่ยกัน คือสูงราวๆ 170 เซ็นติเมตร น้หนักตัวแถวๆ 50 – 60 กิโลกรัม

มองขึ้นไปยังเพดาน ด้านบน จะพบว่ามี ไฟส่องสว่างสำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้อีกด้วย แถมยังมี
การออกแบบ ช่องวางแขน สำหรับ ผู้โดยสารด้านหลัง ไว้บนแผงพลาสติก ที่ติดตั้งแปะอยู่กับด้านข้าง
ของตัวรถ เอาไว้วางแจนได้พอดีๆ อีกต่างหาก และถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามี แผงตาข่าย กันสัมภาระที่
วางบนแผงบังสัมภาระหลัง มาให้อีกด้วย พนักศีรษะ รูปตัว L ต้องยกขึ้นใช้งาน เท่านั้นจึงจะไม่เกะกะ
ระคายเคืองต้นคอ มาแนวเดียวกับรถยุโรปยุคใหม่

และเมื่อ เปิดพนักพักแขนตรงกลางลงมา สามารถดึงช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่งเป็นลิ้นชักออกมาได้
อีกทั้ง เมื่อเปิดฝาขึ้นมา จะพบ เครื่องมือปฐมพยาบาลซ่อนอยู่ในซองสีแดงอย่างที่เห็น ช่องตรงกลาง
ของพนักวางแขน สามารถดึงฝาเปิดทะลุไปยังห้องเก็บของด้านหลังได้

นอกจากนี้ เบาะหลังยังสามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง
โดยกดปุ่มปลดล็อก ตรงบริเวณไหล่ของพนักพิงหลัง ทั้งฝั่งซ้าย และขวา ส่วนฝากระโปรงหลัง
ใช้ระบบกลอนไฟฟ้า เปิดยกขึ้นมาได้สูงอย่างที่เห็น ขอบล่างของฝาประตู อยู่ชิดติดกับขอบกันชน
สะดวกต่อการนำสัมภาระ เข้า ออก จากตัวรถ

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีความจุ เมื่อยังไม่พับเบาะหลังลงไป อยู่ที่ 281 ลิตร ตามมาตรฐานการวัด
ของ VDA แห่งเยอรมัน มีแผงบังสัมภาระด้านบนมาให้ และถ้าอยากวางของจุกจิก ไว้บนแผงบังดังกล่าว
ก็ยังมีแผงตาข่าย กั้นข้าวของ ร่วงลงมาโดนศีรษะผู้โดยสารด้านหลัง อย่างที่เห็น

เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบว่า มีอุปกรณ์ฉุกเฉินต่างๆ ทั้งเครื่องมือประจำรถ อย่างเช่น แม่แรง
ถอดน็อตล้อ ป้ายสามเหลี่ยมฉุกเฉินสีแดง ล้ออะไหล่แบบบาง ใช้ความเร็วได้ ไม่ควรเกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แล้วก็มีถุงพลาสติกใส่อะไรมาให้ก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจเท่าไหร่

เมื่อขึ้นมานั่งในห้องโดยสาร จะพบว่า แผงหน้าปัด ก็ยังมีหน้าตาเหมือนกับเจ้า A3 MTM คันที่ผมเคยขับ
มาก่อนแล้วนั่นเอง ไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร มีมาให้ เป็นไฟขนาดใหญ่ แต่ไม่แยกเป็นไฟอ่านแผนที่
มาให้แต่อย่างใด คือ ถ้าจะอ่าน ก็ต้องเปิดสวิชต์ จาก 0 ไปที่ 1 กันอย่างเดียวเลย เล่นง่ายจังแหะ ยังดีที่ว่า
แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้าขนาดเล็กให้ และมีไฟส่องสว่างมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง กระจกมองหลังเป็นแบบ
ตัดแสงอัตโนมัติ เปิด-ปิดการใช้งานได้ตามต้องการ

ความแตกต่างจาก A3 คันเดิมที่ผมเคยขับ มีอยู่นิดหน่อย ทั้งพวงมาลัย แบบ 3 ก้าน จับกระชับมือพอประมาณ
แบบเดียวกับที่พบได้ใน A6 เพียงแต่ว่า ลวดลายของมัน ชวนให้นึกถึง วงพวงมาลัยของ Honda Jazz รุ่นแรก
อยู่นิดนึง ส่วนที่เหลือ ก็หุ้มหนังมาอย่างดี แอบมีสัญลักษณ์ S3 แปะมาให้ บนพวงมาลัยอีกด้วย มองไปทาง
ด้านขวา จะเจอ สวิชต์เปิด-ปิด ไฟหน้า ไฟตัดหมอกหน้า และไฟตัดหมอกหลัง รวมทั้ง สวิชต์ ปรับระดับ
ความสว่าง ของแผงมาตรวัด สวิชต์ กระจกหน้าต่างบนแผงประตู เป็นแบบ One-Touch ทั้งขาขึ้นและขาลง
เหมือนกันทั้ง 2 บานประตู ส่วนกระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง แม้จะปรับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้าแบบหมุน และโยก
ตามปกติของรถยุโรปทั่วไป แต่….เวลาพับเก็บ ต้องพับด้วยมือ เหมือนทั้ง Lancer EX และ Prius นั่นแหละ!

แป้นคันเร่ง แบบ Piano Paddle Type แป้นเบรก และแป้นเหยียบคลัชต์ เป็นแบบสปอร์ต อะลูมีเนียม มาให้
จากรุ่นปกติ ช่องแอร์ แบบวงกลม มีวงแหวนล้อมรอบ เป็นสีเงิน เอาไว้ เปิด – ปิด ให้อากาศไหลออกมา ด้วย
การหมุนทางซ้าย – ขวา และ S3 ก็ยังมาในมุขเดียวกันกับ Ford Fiesta คือ ไม่มีสวิชต์ปลดล็อกประตูแบบ
กลไก ในประตูทั้ง 2 บาน มีเพียงแค่ สวิชต์ ของระบบ Central Lock ที่อยู่ที่มือเปิดประตูฝั่งคนขับเท่านั้น

หน้าจอมอนิเตอร์ตรงกลางนั้น ถ้าเป็น Audi รุ่นอื่นๆ จะสามารถตรวจเช็คค่าอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
และข้อความต่างๆ นาๆ เป็น Multi Information System แต่ ใน S3 คันนี้ เราพยายามหาปุ่มปรับหน้าจอกันแล้ว
ยังไม่เจอเลย ทำให้หน้าจอตรงกลาง ทำหน้าที่แค่แจ้งเตือนว่า เวลาติดเครื่องยนต์ ต้องเหยียบแป้นคลัชต์ ด้วย
เพื่อความปลอดถัย อีทั้ง ยังบอกอุณหภูมิภายนอกรถ แทร็คเพลงที่เล่นอยู่ หรือ คลื่นวิทยุ ที่คุณล็อกเอาไว้ แค่นั้น
ส่วน Trip Meter มีมาให้แค่ Trip A เพียง Trip เดียว มาตรวัดแสดงผลแบบ MPH มาให้ด้วย แสดงว่า เป็นรถจากอังกฤษ

อีกรายละเอียดหนึ่งที่ทำให้ S3 แตกต่างจาก A3 รุ่นปกติ ก็คือ รายละเอียดการตกแต่ง บนแผงควบคุมกลาง
ในขณะที่ A3 ให้วิทยุ AM/FM/TAPE แบบ 1 DIN กะโหลกกะลา มา 1 เครื่อง แต่ใน S3 ชุดเครื่องเสียงที่ให้มา
เป็นแบบ Audi Concert ประกอบด้วย วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD แผ่นเดียว ไม่มี USB หรือ AUX มาให้
หน้าตา อาจจะดูแตกต่างจากใน RS4 แต่ ตำแหน่งของสวิชต์ควบคุมหนะเหมือนกันเปี๊ยบ และ คุณภาพเสียง
ก็ถือว่า ดีใกล้เคียงกันกับใน RS4 นั่นละครับ เพียงแต่ ความใสอาจจะยังด้อยกว่ากันนิดนึง แต่ยังพอรับได้

การติดตั้งชุดเครื่องเสียงแบบ 2 DIN ทำให้ ตำแหน่งของสวิชต์ไฟฉุกเฉิน พร้อมช่องใส่นามบัตร และสวิชต์
เปิด – ปิด ระบบ ควบคุมเสถยรภาพ ESP รวมทั้ง สวิชต์ เครื่องปรับอากาศ แบบแยกฝั่ง ซ้าย -ขวา พร้อม
สวิชต์ปรับอุณหภูมิ แบบ มือบิดกระดิกนิ้ว ที่สร้างความเย็นได้เร็วพอประมาณ ต้องเลื่อนลงมาข้างล่าง
จนอยู่ชิด ติดกับ แผงตกแต่งฐานรองเกียร์ จากลายไม้ ก็กลายเป็นแบบ อะลูมีเนียม เหมือนแผงประตู
มีช่องเขี่ยบุหรี่ แบบมี ฝาปิด – เปิด อย่างนุ่มนวลมาให้

ส่วนช่องเก็บของพร้อมฝาปิด ฝั่งผู้โดยสาร ก็ยังคงมีรูปแบบไม่ต่างจากเดิม แบ่งเป็น 2 ชั้น 3 ช่อง
ใส่เอกสารคู่มือประจำรถ สมุดทะเบียน และกรมธรรม์ประกันภัย แต่ก็ไม่ได้มีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับ
ของจุกจิกอย่างอื่นเท่าใดนัก มีไฟส่องสว่างภายในเก๊ะลิ้นชักมาให้ด้วย

พนักวางแขนตรงกลาง เมื่อเปิดฝายกขึ้น จะเห็นช่องใส่ของจุกจิกอยู่ พอจะใส่แว่นกันแดด หรือโทรศัพท์มือถือ
แต่ใส่ กล่อง CD หรือ กล้องถ่ายรูปขนาดใหญ่ ไม่ได้ (แต่ถ้าพวก กล้อง Digital บางๆ หรือ กล้อง Video Sanyo
Xacti ละก็ น่าจะใส่ได้สบายๆเลยละ) การปรับระดับพนักวางแขน ใช้วิธี ยกขึ้นไปไว้ด้านบนสุด จากนั้น ค่อย
ดึงโน้มลงมา ค่อยๆ ยกขึ้นทีละระดับตามความชอบใจ วิธีนี้ เหมือนกับเคยพบได้ใน Mitsubishi Lancer Cedia
รุ่นปี 2001 นอกจากนี้ ยังมีช่องวางแก้วน้ำมาให้ 2 ตำแหน่ง วางได้ทั้งแก้วเล็ก กับแก้วใหญ่ แต่ ต้องยกกล่อง
เก็บของจุกจิก พร้อมที่วางแขนในตัว นี้ออก จึงจะใช้งานได้เต็มที่

ทัศนวิสัยด้านหน้า มองเห็นฝากระโปรงหน้าได้ แม้ว่าจะปรับเบาะนั่งให้อยู่ใน
ตำแหน่ง ต่ำที่สุด อย่างที่ คุณผู้อ่าน เห็นอยู่ในภาพนี้ก็ตาม มองออกไป โปร่งกำลังดี

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา เห็นได้ชัดว่า ถูกออกแบบมา โดยพยายามลดการบดบัง
แต่อาจจะมีบางมุม ที่โดนบดบังบ้างนิดนึง ตอนเข้าโค้งขวา ในถนนแบบ 2 เลนสวนกัน
กระนั้น ก็ถือว่า ไม่เยอะแต่อย่างใด กระจกมองข้างฝั่งขวา มองเห็นพอใช้ได้ ต้องปรับให้ดีๆ

เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งซ้าย ถือว่าไม่ได้บดบังในจังหวะเลี้ยวกลับรถแต่อย่างใด
กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ก็ยังถือว่าทำหน้าที่ของมันได้ดี แม้ว่า จะมีสวนบน มุมขวา
ถูกเสาหลังคา บดบังไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

ส่วเสาหลังคาด้านหลัง ค่อนข้างหนา แม้จะบดบัง จักรยายนยนต์ ได้เกือบจะมิดคัน
แต่ด้วยการออกแบบอย่างตั้งใจ ทำให้ บรรยากาศของรถ ค่อนข้าง โปร่งขึ้น กว่า
Audi รุ่นก่อนๆ ทั้งท่ยังคงมีเส้นสะเอวด้านข้าง สูงตามสไตล์การออกแบบของ
ค่าย สี่ห่วง เขาอยู่เหมือนเดิม

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ขุมพลังใต้ฝากระโปรงหน้าของ S3 นั้น หากดูจากฝาครอบเครื่องยนต์ อาจจะคิดว่า
ไม่เหมือนกันกับเครื่องยนต์ของ Golf GTi แต่มันก็อาจจะเป็นเครื่องยนต์เดียวกันก็ได้

อยากจะบอกว่า คุณคิดผิดครับ ฝาครอบเครื่อง และตำแหน่ง อุปกรณ์ต่อเชื่อมต่างๆ ยังมี
ความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ขณะที่ Golf GTi ใช้เครื่องยนต์ EA888 บล็อกใหม่ แต่
สำหรับ S3 นั้น กลับได้ใช้เครื่องยนต์ที่แตกต่างออกไป

เป็นเครื่องยนต์ รหัส EA113 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,984 ซีซี เสื้อสูบทำจากเหล็กหล่อ
ฝาสูบอะลูมีเนียมอัลลอย กระบอกสูบ x ช่วงชัก 82.5 x 92.8 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.8 : 1
ตามปกติแล้ว เป็นเครื่องยนต์ที่วางอยู่ใน Audi A3 A4 , Volkswagen Golf MK5 กับ Passat
Skoda Octavia และ Seat ทั้งรุ่น Leon ,Toledo, Altea ขับวาล์วด้วยสายพานราวลิ้น

แต่ EA113 เวอร์ชันสำหรับ Audi S3 นั้น จะติดตั้งระบบอัดอากาศ Turbocharger พ่วง ระบบระบาย
ความร้อนของไอดี Intercooler ใบเขื่อง แต่บางกว่าปกติ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเทคโนโลยี ระบบ
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงเข้าห้องเผาไหม้ FSI (Fuel Stratified Injection หรือถ้าแปลตรงๆ มันก็คือ
เครื่องยนต์แบบ GDI Gasoline Direct Injection นั่นเอง) พ่วงเข้ามาด้วย แถมยังมีระบบแปรผัน
หัวแคมชาฟท์ฝั่งไอดี ควบคุมระยะยกของวาล์วฝั่งไอดี (ก็ในทำนองเดียวกับ VVT-i ของ Toyota
นั่นแหละ) มาให้อีกต่างหาก

พละกำลังสูงสุดดั้งเดิมจากโรงงานของ Audi AG อยู่ที่ 265 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด มากถึง 350 นิวตันเมตร (35.6 กก.-ม.) ที่รอบตั้งแต่ 2,500 – 5,000 รอบ/นาที
ดูเผินๆ เหมือนกับว่า แรงบิดนั้น มากันเป็น Flat Torque หรือ แรงบิดต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ
ยันรอบสูง เลยทีเดียว โดยปกติเครื่องยนต์ ตัวนี้ จะถูกนำไปวางกับ Volkswagen Golf R
อีกด้วย!

ด้วยพื้นฐานเครื่องยนต์เดิมที่ดีอยู่แล้ว เมื่อมาเจอกับชุดแต่ง และอัพเกรดขุมพลังจาก MTM
สมรรถนะของ S3 คันนี้ จึงถูกผลักดันออกไปจนไกล เกือบจะถึงที่สุดเท่าที่ตัวรถจะรองรับได้

ซึ่งหากเข้าไปดูในเว็บไซต์ของพวกเขา www.mtm-online.de คุณจะพบว่า S3 สามารถนำไป
อัพเกรดเครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อนได้ถึง 6 ระดับความแรง ตั้งแต่เพียงแค่จูนกล่องสมองกล
แบบ Re-Mapping ECU เพื่อปลดล็อกความเร็วสูงสุด โดยคงกำลังสูงสุดไว้ที่ 264 แรงม้า เท่าเดิม
หรือเพิ่มกำลังไปเป็น 310 315 330 350 และ 380 แรงม้า ตามลำดับขั้น และงบประมาณ

แต่ในเวอร์ชันที่เรานำมาลองขับกันนี้ ถูกปรับปรุงด้วยการถอด Turbo จากโรงงานออก แล้วใส่
Turbo ของ MTM เข้าไป เปลี่ยนมาใช้ท่อทางเดินไอดี และไอเสีย ที่ MTM ออกแบบและผลิต
ขึ้นมาใหม่เอง นอกจากนี้ยังมีการจูนกล่องสมองกล ECU ใหม่ และเปลี่ยนมาใช้ระบบไอเสีย
MTM Full Exhaust System ประกอบไปด้วย ท่อไอเสียแบบ Stainless Steel ติดตั้ง 1st middle
silencer  downpipe (หม้อพักบริเวณ ท่อไอเสียท่อนที่ออกมาจากเทอร์โบ) เครื่องฟอกไอเสีย
แบบ metalcatalyst catalytic converter หม้อพักกลาง และหม้อพักท้าย (middle & rear silencer)
ปล่อยไอเสียออกมาผ่าน ปลอกท่อไอเสียคู่ของ MTM

ทำให้ตัวเลขกำลังสูงสุด พุ่งขึ้นไปอยู่ถึง 330 แรงม้า (PS) ที่ 6,340 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดสูงสุด
พุ่งพรวดขึ้นไปเป็น 420 นิวตันเมตร (42.79 กก.-ม.) ที่ รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 3,250 – 4,600 รอบ/นาที

ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ที่เมื่อไล่อัตราทดแล้ว ชวนให้นึกถึงอัตราทดเกียร์ DSG
ใน Volkswagen Golf GTi อยู่ชอบกล เพราะตัวเลขนั้น ใกล้เคียงกันมากๆ ชุดคลัชต์เป็นแบบแห้ง
แผ่นเดียว ไฮโดรลิก ปราศจากสารใยหิน asbestos และตะกั่ว

มีอัตราทดเกียร์ ดังนี้
เกียร์ 1                3.36
เกียร์ 2                2.09
เกียร์ 3                1.47
เกียร์ 4                1.09
เกียร์ 5                1.10
เกียร์ 6                0.91
เกียร์ R                3.99
อัตราทดเฟืองท้าย    4.24 (เกียร์ 1 – 4 ) และ 3.27 (เกียร์ 5 – 6 และ R)

การเข้าเกียร์ถอยหลัง ให้กดคันเกียร์ลง แล้วโยกไปทางซ้ายจนสุด แล้วดันขึ้น
เมื่อเข้าเกียร์ได้แล้ว จะมีสัญญาณเตือนดัง “ปี๊บ” 1 ครั้ง ให้รู้ว่า ตอนนี้อยู่ใน
เกียร์ถอยหลังแล้ว กรุณาขับระวังๆ

เชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาควบคุมด้วยอีเล็กโทรนิคส์ quattro เจเนอเรชัน 5
โดยใช้ชุด Differential แบบ Torsen (มาจาก Torque Sensing) Type C พร้อมระบบเฟืองท้าย
แบบ EDL (Electronic Differential Lock) กระจายแรงบิดสู่ล้อคู่หน้า – หลัง ในอัตราส่วน
40 : 60 และสามารถปรับเปลี่ยนการกระจายแรงบิดได้เองโดยอัตโนมัติ ตามความต้องการ
และสภาพพื้นผิวถนน โดยสามารถกระจายแรงบิดสู่ล้อคู่หน้า ได้มากสุดถึงร้อยละ 70 ขณะที่
สามารถกระจายแรงบิดไปยังล้อคู่หลัง ได้มากสุด ร้อยละ 85 จากแรงบิดทั้งหมด ที่ผ่านมา
ทางเกียร์ธรรมดา ลงสู่เพลาขับเคลื่อนแล้ว

ตัวเลขสมรรถนะที่โรงงาน Audi เคลมเอาไว้นั้น อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงอยู่ที่ 5.7 วินาที
ความเร็วสูงสุด อยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าอัพเกรดด้วยชุดแต่ง MTM แล้ว อัตราเร่งจะลด
ลงมาเหลือเพียง 5.1 วินาที และความเร็วสูงสุด จะเพิ่มขึ้นเป็น 264 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แม้ว่าจะยังไม่แรงทะลุเพดานอย่างที่ RS4 เคยทำเอาไว้ให้ใจผมสั่นขนาดนั้น แต่ตัวเลขที่ทาง MTM
ระบุมาให้นั้น ก็ทำเอาผมหวั่นไหวไปได้มากเลยทีเดียว เพียงแต่ว่า ถ้ามาดูถนนเมืองไทยกันแล้ว ตัวเลข
จะออกมาใกล้เคียงที่โรงงานระบุมาหรือเปล่า? เรามาทดลองกันตามมาตรฐานเดิม คือ นั่ง 2 คน
เปิดแอร์ และทดลองกันในตอนกลางคืน และตัวเลขที่ออกมา มีดังนี้

เอาอีกแล้ว…อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก มากมาย….หัวใจแทบจะวาย หล่นไปกองที่ตาตุ่ม
275 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ. 6,400 รอบ/นาที ที่เกียร์ 6

กลายเป็นว่า S3 คือรถที่ผมขับเร็วที่สุดเท่าที่เคยทำรีวิวตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งก็แซงหน้า
เจ้าของสถิติเก่า RS4 ไปเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่า ในครั้งนั้น RS4 ยังไปต่อได้อีก และผม
เชื่อว่า ตัวเลขโรงงานจะบอกว่า RS4 คันนั้น จบที่ 282 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทว่า เอาเข้าจริง
ถ้าพื้นที่ถนนข้างหน้ายังว่าง ผมคงสามารถพา RS4 ไปแตะระดับ 295 กิโลเมตร/ชั่วโมง
(จากมาตรวัด) ได้แหงๆ

แต่…เพียงแค่ S3 คันนี้ ผมก็ว่า พอแล้วครับ!

พอตัวเลขไต่ถึงระดับดังกล่าว ผมใช้เวลาอีกแค่ 3-4 วินาที เพื่อดูว่า ตัวเลขบนหน้าปัด ไม่ขยับ
ขึ้นไปอีกแล้ว เท่านั้นละครับ ถอนเท้าจากคันเร่ง แล้วก็เหยียบเบรก ค่อยๆ ชะลอความเร็วกลับมา
อยู่ในระดับ 110 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามเดิม ขับประหยัดเป็นเต่าคลาน กลับเข้าบ้าน
ด้วยความเร็วเท่านี้แหละ!!

ปล่อยให้ บรรดา Camry 2.0 Civic 1.8 ล้อ 15 นิ้ว ไปจนถึง Vigo 4 ประตูสีดำบ้าพลัง เขรอะทั้งคัน
แปะป้ายทะเบียนบุรีรัมย์ ที่ผมแซงพวกเขามาก่อนหน้านี้ทั้งหมด แซงหนีทิ้งห่างผมไป….
และแน่นอนว่า กว่าที่พวกเขาจะตามขึ้นมาแซงผมได้ ก็ใช้เวลา และระยะทาง นานพอประมาณ
เลยทีเดียว

ผมโบกไม้โบกมือ….แถมตะโกนลั่นรถ ทั้งที่นั่งด้วยกันอยู่ 2 คนนั่นแหละว่า…
“ไปเห๊อะ! ไปเลย แซงไปเลย อยากแซง แซงไปเลย กรูพอแล้ววววว”
ตา Nick เจ้าของล็อกอิน Lectter The Ripper ในเว็บของเรา ผู้เป็นคนอ่านที่มาช่วยผม
ทดลองรถ อยู่หลายครั้ง คราวนี้ มาบันทึกความเร็วท็อปสปีดให้ เป็นกรณีพิเศษ
หัวเราะร่วนก๊าก ชอบอกชอบใจ เป็นการใหญ่

พอแล้วจริงๆครับ กับรถคันนี้ ทำครั้งเดียว ก็พอแล้ว คนที่ซื้อรถคันนี้ไป จะได้ไม่ต้องเอาไปทำเองอีก
ให้มันเสี่ยงอันตรายเล่นๆ แบบนี้ เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอเนี่ยแหละ รถเครื่อง 4 สูบ 2.0 ลิตร Turbo
บ้านๆ บ้าอะไรก็ไม่รู้ เหยียบมิด ได้เร็วมากขนาดนี้ คุณผู้อ่านทั้งหลาย อย่าทำตามนะครับ อันตรายเกินไป

เพียงแต่ ผมตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า เอาเข้าจริง แรงดึงที่เกิดขึ้นกับตัวรถนั้น เหมือนว่ามันไม่ได้เยอะแยะ
มากมาย ไปกว่า Golf GTi เท่าใดนัก พูดง่ายๆคือ แรงดึงค่อนข้างโหด แต่ก็เกินกว่า Golf GTi นิดเดียว

แถมกว่าที่ เราจะเริ่มรับรู้รสสัมผัส ถึงพละกำลังอันมหาศาลของเครื่องยนต์บล็อกนี้ ก็ต้องรอจนกระทั่ง
เข็มวัดรอบเครื่องยนต์ กวาดขึ้นไปที่ระดับ 2,800 รอบ/นาทีเสียก่อน เมื่อนั้น Turbocharge จึงจะเริ่ม
บูสต์ทำงานขึ้นมาให้เราได้เห็นถึงอานุภาพของมัน

เท่ากับว่า ยังไงๆ ก็คงต้องมีอาการ Turbo lag หรืออาการรอรอบเครื่องยนต์กันอยู่ดี แน่นอนว่า RS4
ไหลลื่นตั้งแต่ช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ต่ำๆ ดีกว่านี้ชัดเจน แต่ก็อีกนั่นแหละ จะเอานิสัยของ
เครื่องยนต์ V8 4.2 ลิตร N/A มาเทียบกับ 4 สูบ 2.0 ลิตร ติด Turbo มันก็ดูจะไม่เข้าที

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากตัวเลขอัตราเร่งแล้ว จะพบว่า อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น
หากอยู่ในเกียร์ 3 จะอยู่ที่ 3.41 วินาที และถ้าอยู่ในเกียร์ 4 ตัวเลขจะอยู่ที่ 4.42 วินาที และตัวเลขนี้
ถือว่า ทำได้เร็วกว่า Audi RS4 คันเดิมที่เราเคยจับเวลากันไว้ ซึ่งออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกใจอยู่
สักหน่อย และกลายเป็นว่า S3 MTM 8อรถที่มีตัวเลข 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร็วที่สุด เท่าที่เรา
เคยทดลองกันมา

ส่วนอัตราเร่ง 0 -100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 7.06 วินาที จะด้อยกว่า ที่เราเคยทำได้ใน RS4 เล็กน้อย
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพียงแต่ว่า ตัวเลขที่แตกต่างจาก อัตราเร่งจริง ซึ่งทางโรงงานทดลองไว้เยอะ
ส่วนหนึ่งยอมรับว่า งานนี้ ผมต้องถนอมรถคันนี้เอาไว้พอสมควร เพราะรถคันนี้ แล่นมาแค่ 590 กิโลเมตร
ในวันรับรถ นั่นหมายความว่า ก่อนหน้านี้ มีเพียงคุณโต เท่านั้นแหละ ที่พามันออกมาวิ่งเล่น ไม่เช่นนั้น
รถคันนี้ก็คงจะจอดอยู่บนโชว์รูมกันเฉยๆ ดังนั้น การถนอมรถที่มีสมรรถนะระดับนี้ ให้กับเจ้าของที่คิด
จะมาซื้อต่อไปใช้นั้น จำเป็นมากครับ เพราะสำหรับรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ถ้าคุณออกตัวแบบเดียวกับที่คุณ
ทำกับรถขับเคลื่อนล้อหน้าบ่อยๆ โอกาสที่เกียร์จะแตก เพลาจะขาด มันก็มีสูงอยู่ ซึ่งนั่นหมายความว่า
ค่าซ่อม ก็คงจะมโหฬารจนเกินกว่าผมจะใช้หนี้ทาง MTM ไหวแน่ๆ ตัวเลขที่ออกมาได้เพียง 7 วินาที
แบบนี้ คุณโต บอกว่า เข้าใจครับ ยอมรับได้ ว่าจำเป็นต้องถนอมรถ…

การออกตัวของผม ก็เลยทำแค่เพียง เลี้ยงรอบเครื่องยนต์เอาไว้ที่ระดับ 3,000 รอบ/นาที ถอนคลัชต์ช้าๆ
พร้อมกับเลี้ยงคันเร่ง เพื่อรักษารอบเครื่องให้อยู่ในระดับ 3,000 รอบ/นาที ต่อไปตลอดจนกว่าจะถอน
คลัชต์ออกจนหมด (เพราะถ้ารอบตกฮวบลงไปต่ำกว่านี้ ตัวเลขที่ได้ ก็จะช้าหลุดลุ่ยไปเลย เนื่องจาก
อย่างที่ได้บอกไปว่า ในช่วงรอบเครื่องยนต์ต่ำกว่า 2,800 รอบ/นาทีนั้น ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรเลย ไม่ต่างจาก
รถเก๋งบ้านๆ ธรรมดาทั่วๆไป 1 คัน ซึ่งทำได้ดีที่สุด เท่าที่พอจะหาตัวเลขมาได้ และต้องถนอมรถไปด้วย
ก็ออกมาได้แค่นี้ละครับ

ส่วนการใช้งานในชีวิตประจำวันนั้น ถ้าเป็นคนชอบรถเกียร์ธรรมดา คุณน่าจะรักรถคันนี้ไปเลย
เพราะน้ำหนักแป้นคลัชต์กำลังดีมากๆ คันเกียร์ ก็มีความกระชับ เข้าคล่อง ง่าย Shift Feeling อยู่ใน
ขั้นดีมากๆ การขับรถคันนี้ คลานไปตามสภาพการจราจรที่ติดขัดนั้น ถ้าคุณคุ้นเคยกับ S3 MTM
คันนี้ล้ว จะพบว่า ไม่ได้ขับยากเย็นอะไรเลย อย่างที่บอกละครับ ตราบใดที่คุณเหยียบคันเร่งลงไป
ไม่ถึง 2,800 รอบ/นาที รถคันนี้ ก็จะมีสภาพไม่ต่างจาก รถบ้านๆ เกียร์ธรรมดาๆ ทั่วไปคันหนึ่ง
แค่นั้นเลย แต่หลังจากจุดดังกล่าวนั่นละ ความสนุกต่อเนื่อง มันจะไหลมาเทมา เป็นรถที่ขับสนุก
เพราะพละกำลังของเครื่องยนต์เป็นหลัก บวกกับการปรับแต่งช่วงล่าง ที่ดี

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ปีกนกชิ้นล่าง และซับเฟรม ทำจากอะลูมีเนียม
พร้อมเหล็กกันโคลง พร้อมกับ track-stabilising steering roll radius ส่วนด้านหลังถ้าเป็น A3 รุ่น
ขับล้อหน้าทั่วๆไป ก็จะเป็นแบบ ทอร์ชันบีม แต่ถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro อย่าง S3 นี่แล้วละก็
จะได้ระบบกันสะเทือนหลังแบบ 4 จุดยึด แยกสปริงกับช็อกอัพ ออกจากกัน พร้อมซับเฟรม และ
เหล็กกันโคลง

แต่สิ่งที่ S3 MTM คันนี้ จะแตกต่างจาก S3 รุ่นปกติ อยู่ที่ ชุดสปริงจาก MTM ซึ่งจะลดความสูงของรถ
ลงมาอีก 45 มิลลิเมตร ซึ่งอันที่จริงแล้ว สามารถสั่งให้ทาง MTM เยอรมัน ทำสปริง ออกมาตามความ
ต้องการ ของคุณเองก็ยังได้ แต่อาจต้องจ่ายเพิ่มอีกพอสมควร อีกทั้ง รถคันนี้ยังมีการติดตั้ง Spacer
ของ MTM เสริมขึ้นมาอีก 20 มิลลิเมตร ด้วย

ช่วงล่างของ S3 นั้น มาในแนวสปอร์ต ดิบ แข็ง กล่าวคือ ถึงแม้ว่าจะเซ็ตมาค่อนข้างแข็ง กระนั้น
การซับแรงสะเทือน ขณะขับผ่าน พื้นผิวถนนปูนหรือยางมะตอยที่ไม่ค่อยเรียบ ก็ยังทำได้ดีอยู่
ไม่ได้มีอาการเต้นเป็นจังหวะ มากอย่างที่คิด ผมว่า BMW 330i E90 และ 325i Coupe E92 ยังจะ
สะเทือนบนพื้นปูน มากกว่า S3 MTM อยู่นิดนึง ด้วยซ้ำไป! อย่างไรก็ตามถ้าเจอรอยต่อผิวถนน
ที่ใหญ่สักนิด ย่อมมีอาการกระเทือนเข้ามาให้ได้สัมผัสกันอย่างชัดเจนไม่ต่างกันนักหรอกครับ

ถ้าจะเปรียบเทียบให้พอเห็นภาพ ก็คงต้องเปรียบกันเป็นระดับตัวเลข หากความแข็ง ของเกวียน
ล้อไม้ คือความแข็งระดับ 10 และความแข็งของช่วงล่าง MINI Cooper S อยู่ที่ระดับ 8.5 และ Mazda
MX-5 ใหม่ จัดอยู่ในระดับ 8.3 ความแข็ง ของช่วงล่างรถญี่ปุ่นทั่วไป อยู่แถวๆ 4 – 6 แล้ว ความแข็ง
ของ ช่วงล่าง S3 MTM คันนี้ จะอยู่ที่ ระดับ 8.1 เท่ากันกับ Audi RS4 นั่นละ

ช่วงล่างของ S3 MTM มีส่วนเพิ่มความคล่องแคล่ว และฉับไว ในการเปลี่ยนเลน หรือบังคับเลี้ยว
เพิ่มมากยิ่งขึ้น ตอบสนองได้ นิ่ง แน่น แม่นยำ ตามใจสั่งได้พอสมควร บนพื้นผิวถนนทั่วไป
เช่นบนทางด่วนใน กรุงเทพฯ

ส่วนการตอบสนองในทางโค้ง หลายๆรูปแบบนั้น S3 MTM ยังคงให้ความมั่นใจได้ในการเข้าโค้ง
ทุกช่วงความเร็ว เหมือนเช่นที่คุณคาดหวัง เพียงแต่ว่า ถ้าคุณสาดเข้าโค้งบางวัว ด้วยความเร็ว สูงระดับ
210 กิโลเมตร/ชั่วโมง อย่างที่ผมลองทำกับ S3 คันนี้ พบว่า อาการมันก็เหมือนถอดแบบมาจาก RS4 ผู้พี่
ทุกกระเบียดนิ้ว กล่าวคือ หน้ารถจะพยายามแถออก ไม่ค่อยยอมเข้าโค้ง อาการจะออกไปในแนวทาง
Understeer หรือ หน้าดื้อ อยู่พอสมควร แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่คุณจะบังคับพวงมาลัยเพิมขึ้นอีกนิด
พารถออกจากโค้งได้ด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องลุ้นมากมายเท่าใดนัก

พวงมาลัยแบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง แบบ Electro-Mechanical
หรือพูดง่ายๆก็คือ เป็นระบบเพาเวอร์ กึ่งไฟฟ้า ช่วยปรับความหนืดของพวงมาลัย
ตามความเร็วรถ นั่นเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทีบบกับ Golf GTi แล้ว รัศมีวงเลี้ยว
(Curb to Curb) ของ Golf GTi อยู่ที่ 10.9 เมตร แต่ S3 MTM จะเหลือ 10.7 เมตร ส่วน
อัตราทดเฟืองพวงมาลัย ของ Golf GTi อยู่ที่ 15.6 : 1 แต่ S3 MTM จะอยู่ที่ 16.2 : 1
แต่ถ้าหมุนจากซ้ายสุดไปขวาสุด (Lock to Lock) ทั้งคู่ทำได้ 3.01 รอบ เท่ากัน

S3 MTM ถือเป็นรถอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งใช้พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ที่ปรับแต่งมาดี และให้สัมผัสที่
คนซึ่งไม่เคยขับรถที่ใช้พวงมาลัยไฟฟ้ามาก่อน อาจเข้าใจผิดได้ว่าเป็นพวงมาลัยไฮโดรลิก
ธรรมดา เพียงแต่ว่า ความแตกต่างจากพวงมาลัยไฮโดรลิกนั้น คุณจะสัมผัสได้ทันทีที่เริ่มออกรถ
ในความเร็วต่ำๆ

การตอบสนองของพวงมาลัย ในย่านความเร็วต่ำ เบากว่า Golf GTi นิดหน่อย ใช้นิ้วเกี่ยวเพื่อหักเลี้ยว
ก็ยังได้เลย เหมือนรถที่ใช้พวงมาลัยไฟฟ้าทั่วไป แต่ไม่ต้องกลัวครับ ไม่ได้เบาหวิวขนานั้น มันยังมีความ
ตึงมือให้สัมผัสอยู่ชัดเจน ขณะเดียวกัน ความแม่นยำในการบังคับเลี้ยวนั้น อยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะกับการ
ใช้งานในชีวิตประจำวัน ระยะฟรีมีไม่มาก และมีความหนืดเพิ่มขึ้น เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้น วงพวงมาลัย
ของ S3 MTM มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าของ Golf GTi นิดนึง ทำให้สัมผัสจากพวงมาลัย เหมือนกับว่า
ตอบสนองแตกต่างกันนิดหน่อย แต่ความจริงแล้ว ถ้าจับสัมผัสไปเรื่อยๆ ในแต่ะลรูปแบบสภาพผิวถนน
การบังตับเลี้ยวตามแยกใน ตรอก ซอก ซอย ไปจนถึงการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง บุคลิกของพวงมาลัยใน
S3 MTM นั้น จะปรากฎออกมาให้ได้ทราบว่า ไม่ได้แตกต่างไปจาก Golf GTi ไปมากนักอย่างที่เข้าใจกัน

ส่วนระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ แม้ว่า MTM จะจับมือ พันธมิตรอย่าง Brembo ทำชุดจานเบรก
เส้นผ่าศูนย์กลาง x ความหนา ตั้งแต่ 330 x 32 มิลลิเมตร หรือจะใหญ่ขึ้นมาเป็น 365 x 34 มิลลิเมตร
ไปจนถึง 380 x 34 มิลลิเมตร พร้อมคาลิเปอร์ 8 ลูกสูบ ให้ลูกค้าเลือกติดตั้ง

แต่ใน S3 MTM ที่เราทดลองขับกันนี้ ไม่ได้มีการปรับปรุงระบบเบรกแต่อย่างใด ยังคงใช้ระบบเบรก
เดิมๆ จากโรงงาน มีรูระบายความร้อนมาให้ทั้งคู่หน้าและคู่หลัง จานเบรกคู่หน้า เส้นผ่าศูนย์กลาง
345 มิลลิเมตร ส่วนจานเบรกหลัง เส้นผ่าศูนย์กลาง 310 มิลลิเมตร ติดตั้งพร้อมระบบป้องกันล้อล็อก
ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกไปยังล้อทั้ง 4 EBD (Electronics Brake
Force Distribution) ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronics Stability Program) ระบบป้องกัน
ล้อหมุนฟรีตอนออกตัว ASR Traction Control และระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist

การตอบสนองของเบรก ในความเร็วต่ำ ระดับคลานต้วมเตี้ยมในเมือง สามารถเลี้ยงให้หยุดรถนุ่มๆ
ได้ง่ายดายกว่า Golf GTi เยอะมาก แต่ในช่วง ที่ต้องชะลอรถลงมาจากย่านความเร็วสูง ก็ทำได้ดี
อย่างที่รถระดับนี้ควรจะเป็น คือ หน่วงลงมาได้ไว เร็ว และให้ความมั่นใจได้ดีมากๆ แป้นเบรก
ตื้นไปนิดนึง แตะนิดเดียว รถก็หยุดแล้ว คนที่ชอบแป้นเบรกตื้นๆ น่าจะชอบระบบเบรกของ S3 คันนี้

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ถึงแม้ว่า S3 เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงแค่ไหน  แต่สิ่งที่หลายๆคน น่าจะอยากรู้ไม่แพ้กับตัวเลข
อัตราเร่ง และพละกำลัง นั่นคือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เราจึงยังคงทำการทดลองกันตามมาตรฐาน
ดั้งเดิม นั่นคือ ขับรถไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการ Caltex พหลโยธิน (เยื้องกับ
เบนซ์ ราชครู และปากซอยอารีย์ กับสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์)

เราเติมน้ำมันลงไปในถังขนาด 60 ลิตร ของรถ แต่ เอาแค่หัวจ่ายตัด ก็เพียงพอแล้ว งานนี้ ไม่ต้อง
ถึงกับเขย่ารถจนกล้ามเบ่งปอดบาน อย่างที่เคยเป็นมา เพราะว่า รถในกลุ่มนี้ ลูกค้าที่ซื้อไป ไม่ค่อย
ได้สนใจในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกันเท่าใดนัก ดังนั้น ตัวเลขที่เราทำออกมา จึงเป็นเพียง
แค่ค่าสำหรับเอาไว้ใช้ในการเปรียบเทียบแบบไม่ถึงกับจริงจังนัก ในบรรดารถยนต์พิกัดเดียวกัน
ที่เราทำการทดลองขับ ก็เพียงพอ

ผู้ร่วมทดลองไปกับเราวันนั้น ก็ยังคงเป็น ตาหลุยส์ เจ้าของร้านเป็ดย่างแมนดาริน ซอยทองหล่อ
เพื่อนที่ร่วมงาน ช่วยทดลองรถกันมา นี่ก็ปาเข้าไป จะขึ้นปีที่ 6 แล้วกระมัง อีกทั้ง หลุยส์ เอง
ก็อยู่ใน Audi Club Thailand ซึ่งเจ้าตัว ก็ชื่นชอบรถ Audi อยู่แล้ว ดังนั้น การชักชวนหลุยส์
มาช่วยทำการทดลองคราวนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด

เติมน้ำมันจนเต็มถัง หัวจ่ายตัด จากนั้น ก็เซ็ต 0 บน Tip Meter ขับออกจากปั้ม ลัดเลาะไปเข้า
ซอยอารีย์ ไปขึ้นทางด่วน ที่ด่าน พระราม 6 มุ่งหน้าไปยังปลายสุดสายทางด่วนเชียงราก แล้ว
เลี้ยวกลับมา ขึ้นทางด่วนอีกครั้ง ย้อนกลับเส้นทางเดิม ใช้ความเร็วมาตรฐานเดิมคือ ที่ระดับ
110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน

เรามาลงทางด่วนกันที่ด่านอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับ
ที่หน้าโชว์รูม เบนซ์ ราชครู แล้วก็เข้าปั้ม Caltex แห่งเดิม เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron
เหมือนเดิม และที่หัวจ่ายเดิม!

มาดูกันดีกว่า ว่าตัวเลขที่รถคันนี้ทำได้เป็นอย่างไร
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 95.3 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับทั้งหมด จนถึงหัวจ่ายตัด 7.05 ลิตร

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 13.51 กิโลเมตร/ลิตร

นี่เท่ากับว่า ทำตัวเลขออกมาได้ พอกันกับ Ford Focus 1.8 Chevrolet Optra 1.8 (เกียร์อัตโนมัติทั้งคู่)
ไปจนถึง BMW 730Ld ใหม่ ตัวถัง F02 กันเลยนะเนี่ย!

ตัวเลขที่ออกมา หากคิดแบบผิวเผิน อาจดูเหมือนว่า เมื่อเทียบกันกับ Golf GTi ซึ่งใช้เครื่องยนต์
บล็อกเดียวกัน พละกำลังน้อยกว่า อัตราการกินน้ำมันของ Golf GTi ย่อมดีกว่านั้น เป็นความเข้าใจ
ที่ ไม่ถึงกับถูกต้องไปเสียทีเดียว

เราต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงที่ว่า แม้ตัวรถจะมีขนาดพอกัน ใช้เครื่องยนต์ที่คล้ายคลึงกัน  แต่ Golf GTi
เป็นรถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ขณะที่ S3 MTM ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ซึ่งจำเป็น
ต้องมีท่อนเพลากลางเชื่อมต่อ จากล้อคู่หน้า ไปยังเพลาขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ยิ่งมีท่อนเพลาเพิ่มขึ้น
ก็เท่ากับว่า ยิ่งเพิ่มภาระในการออกแรงเพิ่มขึ้น

ดังนั้น แม้ว่าจะใช้รอบเครื่องยนต์ เท่าๆกัน ที่ความเร็วเท่าๆกัน แต่ ในกรณีนี้ รถขับเคลื่อนสี่ล้อ
จะต้องใช้พละกำลังไปหมุนล้อ เยอะกว่า จึงจะได้ความเร็วในระดับเท่ากัน ดังนั้น การสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิง ย่อมมีมากกว่ากันนิดหน่อย ดังเช่นที่เห็นอยู่นี้

ตัวเลข 13.51 กิโลเมตร/ลิตร สำหรับผมแล้ว ถือได้ว่า เป็นไปตามที่คาดคิด ว่ารถยนต์แบบนี้
เครื่องยนต์แรงขนาดนี้ แถมยังขับเคลื่อนสี่ล้อ อีกทั้งล้อทั้ง 4 ก็ใหญ่โต 19 นิ้ว เส้นรอบวง
ก็ย่อมมากกว่า ทำให้ตัวเลขระยะทางบนมาตรวัด ก็ย่อมเพิ่มมากกว่า ทั้ง Golf GTi และ Scirocco
ดังนั้น ผลที่ออกมา ถือว่า สมเหตุสมผลครับ กับปริมาณน้ำมันเติมกลับอย่างที่เห็น

เพียงแต่ แอบแปลกใจนิดหน่อยว่า ปริมาณน้ำมันเติมกลับนั้น เท่าๆ กันกับ Scirocco เลยแหะ

********** สรุป **********
เร่าร้อนลดหลั่นจาก RS4 ไม่มากอย่างที่คิด ในราคาถูกกว่ากัน เกินครึ่งนึง!

หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันมา 4 วัน 3 คืน ผมออกจะมีเรื่องแปลกใจอยู่นิดหน่อย ที่ว่า แม้ผมจะเกิดความรู้สึก
ไม่อยากคืนรถ กับ S3 MTM คันนี้ เมื่อต้องคืนกุญแจกันไป แต่ความรู้สึกนั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรง
เหมือนที่เคยเกิดขึ้น ตอนคืนกุญแจ ของ Golf GTi

ทั้งที่ความจริงแล้ว หากเอาคำถามนี้ ไปคุยกับ ตาแพน Commander CHENG! เจ้าตัวจะมองในทางตรงกันข้าม
เพราะ รถแบบนี้แหละ คือรถที่เขาอยากได้ และใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต รถเก๋งท้ายตัด เครื่องยนต์ แค่ 2.0 ลิตร ติด
Turbocharger พร้อม Intercooler แถมมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ กับช่วงล่างดีๆ เบรกกำลังดี และพวงมาลัยก็
เพียงพอเหมาะสมต่อการใช้งานทั้งในเมือง และเดินทางไกล กับสภาพถนนอย่างในประเทศไทย แถมยัง
พร้อมเสมอสำหรับการนำไปยกระดับโมดิฟาย ให้แรงสะใจ ระห่ำจิตอันหงุดเงี้ยว ของเจ้าตัว เขาได้เช่นนี้
นอกจาก Subaru Impreza WRX STi กับ Mitsubishi Lancer Evolution ทั้งหลายแหล่แล้ว ก็ดูเหมือนจะมีแต่
S3 By MTM คันนี้แหละ ที่ตาแพน จะโปรดปราน

อันที่จริง ผมก็ชอบเลยนะ ไม่คิดมาก่อนว่า ความแรงระดับ S3 จะบังคับควบคุมง่ายดาย ไม่ยาก ไม่เรื่องมาก
ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้สบายๆ ไปไหนไปกัน บทจะขับประหยัด เจ้าตัวก็ประหยัดให้ตามความเหมาะสม
13.5 กิโลเมตร/ลิตร ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีเกินกว่าผมจะคาดคิดไปไม่น้อย บทจะอยากบู๊ขึ้นมา บางครั้ง
ไม่ต้องสับเกียร์ลงต่ำ แค่เหยียบคันเร่งให้จมมิด แล้วรอพบกับแรงดึงที่พาให้ น้องส้มของเรา พุ่งพรวด
ทะยานโลดขึ้นไป จนถึงจุดที่ต้องการ และก็แค่ถอนเท้า เท่านั้น ก็เป็นอันสร้างความสุขขี ให้ผมมากแล้ว
และถ้าบทจะเล่นกับโค้ง ในความเร็วต่ำ และความเร็วปานกลาง ธรรมชาติของรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ก็จะพา
ให้ผม ลัดเลาะไปตามเส้นทาง ได้อย่างมั่นใจในระดับหนึ่ง นั่นดูจะเป็นข้อดีทั้งหมด เท่าที่พอประมวล
ออกมาได้ จาก S3 คันนี้

ที่สำคัญ พละกำลังที่มีมาให้ มากเกินกว่า Golf GTi ไปนิดหน่อย และด้อยกว่า RS4 ไม่มากอย่างที่คิด
นั่นละ คือสิ่งที่ทำให้ S3 MTM คันนี้ ได้ใจผม ไปพอสมควร แรงระดับกลางๆ พอดีๆ

ส่วนข้อที่ควรปรับปรุงของรถคันนี้ ผมเองก็ยังนึกไม่ค่อยออก มากมายไปกว่า เบาะนั่งที่ไม่ควรจะมี
ปีกข้างเบาะรองนั่งสูงมากขนาดนี้ สูงกันไปไหน จะทิ่มตำกันทุกทีเมื่อขึ้นขับขี่กันเลยหรือไง กับ
บรรยากาศของห้องโดยสาร ที่ผมแอบจะนึกถึง RS4 มากกว่า ก็ต้องงานออกแบบช่องแอร์นี่แหละ
ที่แอบทำให้ S3 ดูแอบคล้าย Chevrolet Aveo ไปหน่อย ทั้งที่ใช้วัสดุดีกว่ากันเยอะ ก็ตาม อยากเห็น
Audi ใส่ใจในการออกแบบ ภายในห้องโดยสารของ A3 รุ่นต่อไป มากกว่าที่เป็นอยู่นี้อีกเยอะ
วัสดุ หนะไม่ถึงกับเป็นปัญหา มากเท่าการออกแบบ จะเชื่อไหมว่า แค่ช่องแอร์ ที่แตกต่างกัน
มันทำให้ แผงหน้าปัดของ RS4 ดูน่าใช้ชีวิตอยู่ด้วย แม้ว่า Layout การวางตำแหน่ง สวิชต์ต่างๆ
ของ S3 จะสะดวกต่อการละสายตามาควบคุม ขณะขับขี่มากกว่าก็ตาม

สำหรับเรื่องการขับขี่ คนที่ชอบรถขับโหดๆ กว่านี้ ตีนผีกว่านี้ อาจมองว่า S3 หนะ ยังดู
อ่อนด้อยความดุไปหน่อย (เอ่อ อันที่จริง นี่ก็ดุร้ายเอาเรื่องแล้วนะ) แต่สิ่งที่ผมอยากจะ
เห็นพัฒนาการจาก Audi ก็คือ ทำอย่างไร ให้สามารถเข้าโค้งในความเร็วสูง ได้ เนี้ยบ
มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะอาการหน้าดื้อ ในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงนั้น แม้ว่า จะ
แก้ได้ ด้วยการเพิ่มวงเลี้ยวให้มากขึ้นอีกนิดนึง ก็เพียงพอ แต่ดูเหมือนจะกลายเป็น
ปัญหาระดับโลก ที่บรรดานักนิยมความแรงทั้งหลาย เขาพากัน “ปลง” ให้กับอุปนิสัย
ของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro จาก ค่ายสี่ห่วงไปเสียแล้ว

ไม่ต้องถึงขั้นทำรถออกมาให้เป็นอย่าง BMW หรอก เพราะว่า การยึดติดกับระบบ
ขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นสิ่งที่ Audi  ดูจะมีความสุขมากกว่า การไปจี้ตามก้น BMW
ในเรื่อง “ความคิดที่ติดอีโก้ ในด้านระบบขับเคลื่อน” ของคนบ้ารถ บางจำพวก
ที่เราเห็นกันดาษดื่นในโลกอินเตอร์เน็ต ทั้งในเมืองไทยและเมืองฝรั่ง เพียงแต่
ขอให้ ผมไม่ต้องใช้ความพยายามเยอะนัก ในการบังคับพวงมาลัยเข้าโค้งบางวัว
ที่ความเร็ว 210 กิโลเมตร/ชั่วโมงเหมือนอย่างที่ RS4 และ S3 รุ่นนี้ เป็นมา ก็พอแล้ว
และในเบื้องต้น นั่นคือทั้งหมดที่ผมคิดว่า Audi น่าจะยังเอาไปปรับปรุงต่อได้…

รวมทั้ง การปรับปรุงเครื่องยนต์ ที่ยังคงต้องทำกันต่อไป ทำอย่างไร ให้สามารถ
เรียกพละกำลังขึ้นมารอให้ได้ใช้งานกันเลยตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ยังไม่สูงนัก
ว่าง่ายๆก็คือ เครื่องยนต์ EA888 ของ Golf GTi ตอบสนองการทำงานในรอบต่ำๆ
ได้ดีกว่า S3 คันนี้อย่างชัดเจน และอย่างที่บอกไปแล้วว่า ต้องรอให้พ้น 2,800 รอบ
ไปก่อน เราจึงจะเห็นความแตกต่าง…ซึ่งอันที่จริง ก็ไม่ได้ถึงกับต่างกันห่างไกลนัก
เป็นไปได้ไหม ที่ในอนาคต S3 รุ่นต่อไป อาจใช้เครื่องยนต์ EA888 ที่พัฒนาต่อเนื่อง
ให้รองรับสมรรถนะได้สูงๆยิ่งกว่าที่เป็นอยู่นี้อีก?

นอกเหนือจากทั้งหมดนี้แล้ว ผมอาจจะมองไม่เห็นข้อต้อยปรับปรุงอะไรมากนัก
เหตุหนึ่งก็เพราะว่า รถที่ผมขับอยู่นี้ มันเป็นเวอร์ชันปรับแต่งโดย MTM ซึ่งดูราว
กับว่า น่าจะแก้ปัญหาต่างๆ ของ S3 รุ่นมาตรฐานจากโรงงาน Audi ไปหมดแล้ว
นั่นอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง ก็เป็นได้ ทุกสิ่ง เลยออกมาในส่วนผสมที่ผมว่า พอดีๆ

อ้อ! นั่นไง ข้อสุดท้ายที่ผมนึกออก ก็คือ เรื่องของ “ราคา”

ถ้าต้องเปรียบเทียบกับ พี่น้องร่วมตระกูล อย่าง Golf GTi ซึ่งมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2.4 ล้าน ถึง
2.65 ล้านบาท กับ RS4 คันละ 7.9 ล้านบาทแล้ว หากเป็นรถใหม่ป้ายแดง S3 MTM คันนี้
จะมีราคาแถวๆ 4 ล้านบาทกลางๆ เป็นราคาที่อยู่ตรงกลาง ระหว่าง รถทั้ง 2 คันนี้อีก ต่อให้
จับรวม Scirocco เข้ามาด้วยก็ตามเถอะ ราคาก็ยังโดดไปค่อนข้างไกล

เพียงแต่ว่า ค่าตัว รถคันสีส้ม คันนี้ ณ วันที่รีวิวฉบับนี้ คลอดสู่สายตาคุณผู้อ่าน ปลายเดือน
ธันวาคม 2010 อยู่ที่ 3 ล้านบาทกลางๆ ซึ่งก็แพงกว่า Golf GTi ประมาณ เกือบ 1 ล้านบาท
แต่เมื่อมานั่งคิดดูว่า ได้ความแรงระดับน้องๆ RS4 MTM แถมยังมีบุคลิกรถที่ใกล้เคียงกันมาก
แต่ไม่ต้องจ่ายเงิน 7.9 ล้านบาท ก็ไม่เลวเหมือนกัน

เพียงแต่ คุณต้องแน่ใจว่า ยอมรับได้กับการที่จะต้องจ่ายเงินประมาณ 3 ล้าน – 4 ล้านบาท เพื่อ
แลกกับความแรง ในระดับใกล้เคียง RS4 แต่ต้องทำใจกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ที่จะ
ขาดหายไป อย่างเช่นพวงมาลัย Multi-Function หรือกระจกมองข้างพับด้วยไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบัน
ต้องยอมรับว่า รถที่มีราคาระดับนี้ ควรจะมีอุปกรณ์เหล่านี้มาให้เป็นมาตรฐานกันได้แล้ว
ซึ่งเงินระดับนี้ คุณอาจหาซื้อรถขับสนุกคันอื่นๆในตลาดได้ หารถเปิดประทุนอย่าง BMW Z4
หรือ Mercedes-Benz SLK ที่ใกล่้จะตกรุ่น แต่ทั้งคู่ จะไม่มีความแรงในระดับเดียวกันนี้
มอบให้คุณมาเสร็จสรรพแน่ๆ

หรือถ้าจะต้องเล่นกับ Nissan 370 Z ราคาของ Nissan Motor Thailand อยู่ที่ 5.2 ล้านบาท
คุณจะได้รถสปอร์ตแท้ๆ แต่ บางทีจะขนเพื่อนไปไหนต่อไหนด้วยในบางครั้ง ก็ยาก ไม่เช่นนั้น
ก็คงต้องเปลี่ยนแนว ไปเล่น Mercedes-Benz E250 CGI Avantgarde AMG กันไปเลย
ในราคา 5.2 ล้านบาท เท่าๆกัน

เฮ้อ…อะไรๆมันช่างไม่ลงตัวเท่าไหร่เลย

ผมจะไม่แปลกใจ ถ้าใครจะอ่านรีวิวนี้จบลง แล้วทำในสิ่งที่ผมจะพูด 2 ข้อ..

ข้อแรก คือ เดินเข้าไปติดต่อที่ MTM Thailand (หรือผ่านทาง www.mtm-thailand.com)
เพื่อบอกว่า อยากจะซื้อรถคันนี้ ซึ่งมันมีเหลืออยู่ไม่กี่คันแล้ว คนกลุ่มนี้ น่าจะมีจำนวน
น้อยมากๆๆๆๆ เมื่อเทียบกับคนกลุ่มที่สอง ซึ่งจะตัดสินใจได้เสียทีว่า จะ เดินเข้าโชว์รูม
Volkswagen แล้ว เซ็นใบจอง Golf GTi กันไปเลย และเราคงต้องยอมรับความจริงว่า
คนกลุ่มที่สอง น่าจะมีมากกว่าคนกลุ่มแรกแน่นอน

เพราะอย่างที่บอกไป ถ้าในเมื่อ ความแรง อาจจะด้อยกว่า S3 MTM แถมยังเป็นรถขับล้อหน้า
อีกต่างหาก แต่ในเมื่อ สมรรถนะ ใกล้เคียงกันพอสมควร และยังมีค่าตัวถูกกว่ากัน เพราะมีกำลัง
ไม่เกิน 210 แรงม้า (เรื่องนี้ เป็นผลจากโครงสร้างภาษีรถนำเข้าในบ้านเรา ที่กำหนดเอาไว้ว่า
หากมีกำลังสูงสุด เกิน 220 แรงม้า การคิดภาษีนำเข้า จะต้องบวกเพิ่มขึ้นไปเป็นอีกพิกัดหนึ่ง
ซึ่งแพงกว่ากันเอาเรื่อง)

ยอมรับว่าเสียดาย โอกาส ที่คนไทยจะได้เป็นเจ้าของรถสมรรถนะดี เพียงเพราะข้อจำกัด
ด้านภาษี จนทำให้ค่าตัวของรถเหล่านี้ กระโดดขึ้นไปแพงมหาศาลมากเกินกว่าความเป็นจริง

เสียดายจริงๆครับ
—————————///—————————-

ขอขอบคุณ
คุณสุวิชชา ลีนุตพงษ์
MTM Thailand
www.mtm-thailand.com
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ 

—————————————————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพวาด คอมพิวเตอร์กราฟฟิค เป็นของ
Audi AG. สหพันธรัฐเยอรมัน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
19 ธันวาคม 2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures
All of Computer Graphic pictures & illustration
is use by permission of  Audi AG.
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
December 19th,2010

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่