ใครก็ตามที่เป็นแฟนประจำรีวิวรถใหม่ของผม ตั้งแต่ Pantip.com ห้องรัชดา
จนถึงเว็บแห่งนั้นที่คุณก็(น่าจะ)รู้อยู่เต็มอกว่าเว็บไหน  คงพอจะทราบกันอยู่บ้างแล้วว่า

ผมหนะ ไม่ชอบ เอสยูวี เอาเสียเลย

เพราะเมื่อใดที่ขึ้นขับเจ้ายักษ์ใหญ่ซึ่งมีขนาดใหญ่โตเท่าบ้าน (แถมบางทีราคายังแพงพอๆกับบ้านเดี่ยว แสนสิริ)
แต่มี 4 ล้อ เหล่านี้ ตำแหน่งนั่งของผม จะอยู่สูง ไล่เลี่ยกันกับคนขับรถบรรทุก 6 ล้อ ถึงจะมองทางข้างหน้า
ได้ไกลกว่า แต่กลับหาทางขับขี่ในเมืองได้ยากเย็นเข็ญใจ แถมยังเข้าจอดยากเกินทน ต่อให้มีเซ็นเซอร์ช่วยจอด
ร้องเตือนด้วยเสียงอันระคายเคืองเยื่อแก้วหูชั้นใน ก็ไม่อาจแน่ใจว่า จะไม่ถอยหลังไปทับหัว(แม่เท้า)ลูกเต้าเหล่าใครเขาเข้า

นี่ยังไม่นับประเด็นที่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลกพากันก่นด่าสาบแช่งเหยียดหยาม
ถึงความ “แดกกกก” เชื้อเพลิง ของรถยนต์ประเภทนี้ ว่ามักมีค่าเฉลี่ยสูงกว่ารถประเภทใดๆที่มีขายในท้องตลาด

อาจเป็นรองก็เพียงแค่ รถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ และ ฝูงรถเพื่อการรบทุกประเภทของกองทัพ ทัพไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า
เป็นเพราะเบิกน้ำมัน หลวง ได้ฟรีตามโควต้าในแต่ละเดือน พวกก็เลยยิ่งใช้กันกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์กันเข้าไป
จากรถที่ “ใช้ในราชการเท่านั้น” กลับกลายเป็นรถเพื่อ “ใช้ในราชเกิน (ของกรู) เท่าไหน (ก็ได้)” ไปเสียฉิบ!

เอิ่ม…รู้สึกว่า ขึ้นต้น ประเดิมเปิดเว็บใหม่ ก็พาออกทะเล ไปหาคุกตะรางแถวตะรุเตาอีกแล้ว
(Commander CHENG : says  มึมอยากกินข้าวผัด กับโอเลี้ยง ทำไมไม่บอกกรู๊ๆๆๆๆๆ” )

 

 

แต่…X5 เป็นหนึ่งในข้อยกเว้น

เพราะมันเป็น หนึ่งใน เอสยูวี ไม่กี่คัน ที่ผมเคยคิดฝัน แอบอยากลองขับเป็นการส่วนตัว

จะไม่ให้เกิดกิเลสได้อย่างไรกันละ? ในเมื่อ ผู้คนที่เคยลองขับรถรุ่นเดิม ที่ตกรุ่นไปได้สัก 2 ปี
ต่างพากันเอื้อนเอ่ยวจี พากันพรรณากรอกหูผมเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เป็นเนืองๆ ทั้งในด้านดี และด้านที่พวกเขาไม่ชอบ

แต่เมื่อรุ่นเก่า ผมยังไม่เคยลองขับ พอมีรุ่นใหม่ ตกมาถึงบ้านเรา
กว่า BMW Thailand จะมีรถมาให้ยืมทดลองขับกัน วันเวลาก็ล่วงเข้าไป 1 ปี กว่าๆ
เกือบ 2 ปี ที่รถรุ่นนี้ ถูกส่งเข้ามาทำตลาดในไทย

กระนั้น การรอคอยของผม ก็ถือว่า คุ้มค่า สำหรับการได้ลองขับพรีเมียมเอสยูวีรุ่นหนึ่ง
ซึ่งมีผู้คนกล่าวขวัญถึงมันไปทั่วโลก

และวันนี้ ก็ถึงเวลาที่ผมจะพาคุณไปค้นหาว่า มันดีสมค่าอย่างที่ใจผมรอคอยไว้หรือเปล่า?

 

 

X5 รุ่นแรก รหัสรุ่น E53 เริ่มต้นโครงการพัฒนาเป็นครั้งแรกเมื่อราวช่วงกลางทศวรรษ 1990
โดยมี Chris Bangle หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ BMW เป็นคนตวัดปลายปากกา รังสรรค์เส้นสายของรถรุ่นแรก

X5 เปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลก ณ งาน North American International Auto Show เมื่อ 4 มกราคม 1999
BMW เรียกมันว่า SAV (Sports Activity Vehicle) นัยว่าพยายามจะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ทั้งเพื่อนร่วมชาติ
อย่าง Mercedes-Benz M-Class หรือพรีเมียม เอสยูวีจากญี่ปุ่นอย่าง Lexus RX  

แม้จะสร้างขึ้นในรูปแบบโครงสร้างตัวถังแบบ โมโนค็อก บนพื้นตัวถังที่ปรับปรุงมาจาก ซีรีส์ 5 รุ่น E39
(ไม่ได้ใช้พื้นเดียวกัน หากแต่ นำพื้นเดิมนั้นมาดัดแปลงปรับปรุง) แต่ระบบกันสะเทือนหน้าและหลัง
ไปจนถึงอุปกรณ์ไฟฟ้า ก็ยกชุดมาจาก ซีรีส์ 5 รุ่น E39 (อันถือได้ว่า เป็น BMW ที่ดีที่สุดที่เคยทำมา)
และซีรีส์ 7 รุ่น E38 โปะเข้าไปเพื่อลดต้นทุนการพัฒนา

มิติตัวถังยาว 4,660 มิลลิเมตร กว้าง 1,872 มิลลิเมตร สูงระหว่าง 1,707 – 1,750 มิลลิเมตร
ขึ้นอยู่กับ แต่ละรุ่นย่อยว่าติดตั้งรางหลังคาหรือไม่ ระยะฐานล้อ 2,820 มิลลิเมตร
น้ำหนักตัวตั้งแต่ 1,990 ถึง 2,085 กิโลกรัม ระยะห่างจากพื้นรถจนถึงพื้นดิน 180 มิลลิเมตร

ในช่วงแรก มีเครื่องยนต์ 2 ขนาด คือรุ่น 3.0i วางเครื่องยนต์รหัส  M54B30 บล็อก 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3,000 ซีซี
225 แรงม้า (HP) ที่ 5,900 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 293 นิวตันเมตร (29.8 กก.-ม.) ที่ 3,500 รอบ/นาที
เชื่อมด้วยกับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียรือัตโนมัติ 5 จังหวะของ GM

และ M62 TU B44 บล็อก V8 DOHC 32 วาล์ว 4,398 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VANOS
286 แรงม้า (BHP) ที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร (44.8 กก.-ม.) ที่ 3,600 รอบ/นาที
เชื่อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ รุ่น  A5S 440Z

ติดตั้งระบบกันสะเทือน หน้าแบบปีกนกคู่ หลังแบบ มัลติลิงค์  หยุดรถด้วย ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อม ABS EBD
รวมทั้งระบบ ควบคุมเสถียรภาพ DSC (Dynamic Stability Control) ระบบกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง CBC
(Cornering Break Control) ระบบช่วยลดอาการล้อหมุนฟรีขณะขับขี่บนทางลื่น  ADB-X (Automatic Differential Brake)
และระบบควบคุมความเร็วขณะขับลงเขา HDC (Hill Descent Control)

หลังจากเริ่มทำตลาดมาได้สักพัก พร้อมกับกระแสการออกสื่อต่างประเทศที่บ่อยและถี่เอาเรื่อง

ในเดือน สิงหาคม 2001 BMW ก็เพิ่มเครื่องยนต์ V8 DOHC 4.6 ลิตร 347 แรงม้า เข้ามาอยูในสายพันธ์

รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ คลอดออกมาในช่วงสิ้นปี 2003 แต่เริ่มส่งมอบในเดือนเมษายน 2004
เปลี่ยนชุดไฟหน้าใหม่ แบบ Adaptive Headlight HID เป็นไฟเลี้ยวแบบเลนส์ใส เพิ่มโทนสีภายนอก
และปรับโทนสีภายในแบบใหม่ ปรับปรุงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่ เพิ่มระบบ Trailer Stability Program
และแน่นอน ยกระดับสมมรถนะของเครื่องยนต์กันใหม่

รุ่น 3.0i เพิ่มพละกำลังขึ้นเป็น  231 แรงม้า (BHP) ที่ 5,900 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุดเพิ่มเป็น 300 นิวตันเมตร (30.57 กก.-ม.) ที่ 3,500 รอบ/นาที

ส่วนรุ่น V8 4.4i เพิ่มพละกำลังสูงขึ้นเป็น 320 แรงม้า (BHP) ที่ 6,100 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร (44.83 กก.-ม.) ที่ 3,600 รอบ/นาที

นอกจากนี้ ในตลาดสหรัฐอเมริกา ยังเพิ่มรุ่น 4.8i
เครื่องยนต์ V8  4,800 ซีซี 350 แรงม้า

และเพิ่มรุ่น 3.0d 218 แรงม้า (BHP) ที่ 4,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 369 นิวตันเมตร ( 37.6 กก.-ม.) ที่ 2,000 – 2,750 รอบ/นาที

 

 

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 10 ปีแล้วนะ ที่เอสยูวีรุ่นนี้ อยู่ในตลาดมา
และโรงงาน ของ BMW ที่ Spartanburg มลรัฐ South Carolina สหรัฐอเมริกา
ทำคลอด เอสยูวีรุ่นนี้ออกมาแล้ว ทั้งรุ่นเดิมและรุ่นปัจจุบัน มากถึง 845,000 คัน!!
เป็นรถที่ ผ่านการทดสอบการชนจาก EuroNCAP ในระดับ 5 ดาว
และเป็นเอสยูวีรุ่นแรกๆ ที่ถูกยอมรับว่า ปลอดภัยที่สุดในกลุ่ม

แต่ท่ามกลางการตอบรับของลูกค้า และวงการรถยนต์ทั่วโลก
ยังมีบางส่วน ตั้งคำถาม ถึงคุณภาพของมัน เพราะนับตั้งแต่ปี 2000 – 2003
BMW เคยเรียกคืน (RECALL) X5 รุ่นแรก ถึงราวๆ 10 ครั้ง
นิตยสาร Consumers Report เอง ก็ยังเคยกล่าวตำหนิ ในเรื่องนี้
เพราะจากรายงานสำรวจคุณภาพของ J.D.Power ในปี 2002
ก็ไมได้แนะนำให้ใครซื้อรถรุ่นแรกนั่นซะด้วย เพราะมีการรายงานว่า
พบปัญหาถึง 159 ข้อ จากรถยนต์ 100 คันที่เจ้าของรายงานกลับมา หลังซื้อไปใช้เพียง 3 เดือนแรก

ขณะที่ฝั่งเมืองไทย ก็มีเรื่องอื้อฉาว  ในเรื่อง การตีความจัดประเภท X5 ในการเสียภาษีนำเข้า
BMW พยายามบอกว่า รถรุ่นนี้ เป็น SAV คือ เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ ที่สร้างข้นบนพื้นฐานของรถเก๋ง
ไม่ใช่ เอสยูวีแท้ๆ แต่ อย่างไรก็ตาม เมื่อดูตามคุณลักษณะของรถ ไปจนถึงการวัดความสูงของตัวรถ
ทำให้ BMW ต้องทำใจ และจ่ายภาษีในอัตราที่สูง เป็นกลุ่มเดียวกับรถยนต์ ออฟโรด และนั่นทำให้
ระดับราคาขายปลีก พุ่งพรวดขึ้นไป จาก 4 ล้านบาทเศษ เป็น 8.6 ล้านบาท!

และนั่น ก็คือ อดีตเพียงคร่าวๆ ของ X5 รุ่นแรก ที่ไม่ยาวมาก เกินไปกว่าที่คุณควรจะรู้เอาไว้

 

 

รุ่นปัจจุบัน เป็นรุ่นที่ 2 ใช้รหัสรุ่น E70 เผยโฉมสู่สายตาชาวโลกครั้งแรกเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2006

เรียกได้ว่า ผลลัพธ์ พลิกไปจากเดิม ในปีค.ศ. 2007 เพียงปีเดียว X5 ได้รับรางวัลดีไซน์ยอดเยี่ยมจาก
นิตยสารรถยนต์ auto motor und sport ของเยอรมัน และรางวัลชนะเลิศด้านความพึงพอใจของลูกค้า
ในผลิตภัณฑ์จาก J.D. Power อีกทั้งยังครองรางวัลที่ 1 จากนิตรสาร Auto Bild

ในปีค.ศ. 2008 BMW X5 ยังคว้ารางวัลที่ 1 ในฐานะ “The best cars” ซึ่งได้รับจากการโหวตโดยผู้อ่าน
นิตยสาร auto motor und sport จากทั่วประเทศเยอรมัน อีกทั้งยังได้รางวัล Value Master of the year จากนิตยสาร Auto Bild

ฟังดูเหมือนจะดี….

บินมาเปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทย
ณ งานบางกอก มอเตอร์โชว์ มีนาคม 2007 ที่ไบเทค
แต่ด้วยราคาเปิดตัว รุ่น 4.8 ลิตร ปาเข้าไป 9 ล้านกว่าบาท เล่นเอาช็อคไปเลย

วันนี้ BMW Thailand ตัดสินใจกระตุ้นตลาดอีกครั้ง  ส่งรุ่น เครื่องยนต์ ดีเซล 3,000 ซีซี สู่ตลาดเมืองไทย
ในราคาที่ย่อมเยากว่ากันเอาเรื่อง 6,299,000 บาท…..

เอ่อ….นี่ขนาดย่อมเยากว่าเดิม…แล้ว..นะ….

เปิดตัวเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2008 และเผยโฉมในบ้านเรา ครั้งแรก
ณ งาน มอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 ที่ผ่านมา

แต่ก่อนอื่น คงต้องบอกกล่าวกันสักนิด ว่า เนื่องจากรถคันที่ BMW Thailand จัดมาให้ผมทดลองขับนั้น
เป็นรถยนต์ DEMO ดังนั้น อุปกรณ์บางอย่าง ที่ระบุว่าต้องมีมาให้ในค่าตัว 6.29 ล้านบาทนั้น
อาจไม่มีติดตั้งมาให้กับรถคันนี้

มาดูกันดีกว่า ว่า รุ่นใหม่ เป็นอย่างไรบ้าง 

 

 

 

X5 รุ่นใหม่ กลายเป็นพื้นฐาน ให้กับ X6 ในด้านงานวิศวกรรม ด้านล่างเกือบทั้งหมด รวมทั้งชิ้นส่วนตัวถังครึ่งคันหน้า ไม่เว้นแม้แต่ แผงหน้าปัด

หรืออีกนัยหนึ่ง X6 คือเวอร์ชัน สปอร์ตท้ายลาด ของ X5 นั่นเอง! คู่แข่งของ X5 ในตลาดโลกนั้น อย่างที่ทราบกันดี มีทั้ง Porsche Cayenne,

Volkswagen Touareg, Mercerdes-Benz M-Class,Audi Q7, Range Rover Sport, Volvo XC90, Lexus GX-450

(หรือ Land Cruiser Prado เปลี่ยนหน้าตาเป็นพิเศษ และขายไม่ค่อยดี), Acura MDX, และ Infinity FX35 กับ FX45 

 

 

 

ถ้าจอดเทียบข้างกันกับรุ่นเดิม หากไม่ใช่คนที่ติดตามข่าวสารในแวดวงรถยนต์มา
ก็คงยากจะเดาได้ว่า รุ่นไหนคือรุ่นใหม่กว่า

กระนั้น หากพินิจดูให้ดี จะพบว่า ทีมออกแบบของ BMW ในยุคท้ายๆ ก่อนที่ คริส แบงเกิล จะลาออกมานั้น
ได้พยายาม ขัดเกลาแนวเส้นสาย อันแข็งทื่อของรถรุ่นเดิม ซึ่งแทบไม่ต่างกับการนำเอา เรนจ์โรเวอร์ รุ่นเก่าๆ
มาแปะกระจังหน้าไตคู่ และเติมแนวโค้งรูปตัว C อันเป็นเอกลักษณ์บริเวณเสาหลังคาด้านหลังสุด (D-Pillar)
เข้าไปเพียงเท่านั้น

ให้ดู มีทะมัดทะแมงขึ้น ดูหนาขึ้น มีมัดกล้ามมากขึ้นเล็กน้อยด้วยโป่งซุ้มล้อของมัน และมีเส้นสายลงตัวขึ้น
แต่ขณะเดียวกัน กลับมีความเป็นสตรีมากขึ้น ข้อหลังนี้ ผมอาจจะนึกคิดไปเอง แต่ถ้าจอดเทียบกับคันเก่า
รถรุ่นใหม่ ดูเหมือนเป็นเช่นนั้น

ชิ้นส่วนตัวถังบริเวณซุ้มล้อคู่หน้า ดูเหมือนจะเป็นโพลิเมอร์

 

กระนั้น ไม่รู้ว่าผมจะคิดไปเองหรือเปล่า แต่ เส้นสายของตัวรถ มันดู Feminine มากขึ้น

มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น กว่าเดิม แต่ในบางมุม ก็มีกลิ่นอายของ ซีรีส์ 3 เจือจางให้ได้เห็นกันอยู่

 

 

 มิติตัวถังของ X5 ใหม่ มีความยาว 4,854 มิลลิเมตร กว้าง 1,933 มิลลิเมตร สูง 1,766 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวถึง 2,933 มิลลิเมตร

ถ้าเปรียบเทียบกับรถรุ่นเดิมแล้ว รุ่นใหม่จะมีความยาวเิ่พิ่มขึ้น 194 มิลลิเมตร กว้่างขึ้น 61 มิลลิเมตร สูงขึ้นเล็กน้อย ราวๆ 10 มิลลิเมตร นิดหน่อย

แต่มีระยะฐานล้อยาวเพิ่มขึ้นถึง 113 มิลลิเมตร

 

 

การขยายระยะฐานล้อให้ยาวขึ้นนั้น เป็นสิ่่งที่ยากเกินหลีกเลี่ยง และพูดลำบาก ถ้าไม่รักษาความสมดุลย์ กันพอดี ระหว่างสัดส่วนตัวถัง

ความกว้างช่วงล้อ ไปจนถึงความสูงของตัวรถ การเพิ่มระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น อาจหมายถึงการทำให้บุคลิกการขับขี่ที่ผู้ขับจะได้รับสัมผัสจากตัวรถ

ผิดเพี้ยนไปจากรถรุ่นเดิมเลยก็เป็นได้ 

 

แต่สำหรับ X5 ใหม่แล้ว หาได้เป็นเช่นที่่กังวลใหม่ ชาวมิวนิค เขารู้ดีว่า รถที่ดี และผู้บริโภคจะชอบ ต้องมีสมรรถนะเป็นอย่างไร

พวกเขายังคงออกแบบมาได้อย่าง น่าหลงไหล และสร้างความรู้สึกใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น 

 

เพียงแต่ว่า ทันทีที่เปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ ก็ต้องพบกับข้อที่ต้องปรับปรุงข้อแรกเข้าให้จนได้

 

 

 

 

สิ่งที่คุณจะเห็นจากภาพคือ ชายด้านล่าง

ลองนึกดูสิครับ  วันไหน ฝนตก น้ำท่วมถนนลาดพร้าว
หรือเกิดต้องไปลุยถนนลูกรัง แล้ววันนั้น คุณก็ไม่ได้ทำงานอยู่กรมอุตุนิยมวิทยาเลยไม่รู้ว่า
ฟ้าฝนดันจะอยากแกล้งคุณให้เปียกปอนเล่นๆ แถม พยากรณ์อากาศทางโทรทัศน์ก็ยังไม่ได้ดูอีกต่างหาก
(ในกรณีที่ไม่ได้ติดตั้งระบบโทรทัศน์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สั่งพิเศษ สำหรับเวอร์ชันต่างประเทศ)

คุณจะพบว่า การก้าวขึ้นรถ X5

มันเริ่มไม่ใช่เรื่องง่าย

 

 

จะว่าไป ชะตากรรมของลูกค้า X5 ก็จะคล้ายกันกับลูกค้าที่ซื้อ X3 ญาติผู้น้องของ BMW กันเองนั่นละ!

แม้ว่าจะมีออพชันเสริมเข้ามา ให้มีแถบ Scuff late เพื่อให้สะดวกต่อการก้าวเข้าออกรถมากขึ้น แต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก

 

 

 

เบาะสำหรับผู้โดยสารทั้ง 5 คน หุ้มหนังแท้แบบ “Nevada”

เบาะคู่หน้า ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบ Memory บันทึกตำแหน่งของเบาะที่ปรับไว้ 2 หน่วยความจำ

นั่งสบาย แต่ในบางอิริยาบถ ก็อาจมีอาการเมื่อยได้บ้าง เป็นธรรมดา แต่ถ้าขับทางไกล ผมยังไม่มีปัญหากับเบาะนี้เท่าใดนัก

 

ที่วางแขนในตำแหน่งต่างๆของ X5 ยังคงรองรับสรีระช่วงท่อนแขนของผู้โดยสารตอนหน้าได้ดี

แม้อาจจะมีตำแหน่งเหลื่อมล้ำต่ำสูงไปนิดนึง แต่ก็รับได้ 

 

 

 

ข้อที่ควรปรับปรุงข้อต่อมาก็คือ

ประตูทางเข้าผู้โดยสารด้านหลังนั้น มันเปิดกางออกได้มากที่สุด เพียงเท่าที่คุณเห็นอยู่ในภาพนี้ แค่นั้น!
มันเปิดกางออกได้น้อยไปหน่อย อันที่จริงมันควรจะอ้าแขนต้อนรับผู้โดยสารแถวหลังได้กว้างกว่านี้  
แต่ไม่รู้เกิดเหตุอาเพศอันใด BMW ถึงไม่สามารถออกแบบให้มันกางออกได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งที่ BMW เองก็มี
ซีรีส์ 1 แฮตช์แบ็ก 5 ประตู ที่ถึงแม้จะนั่งด้านหลัง อึดอัดระดับ “ปลากระป๋องชาวดอย”
แต่ก็ยังมีบานประตูคู่หลังที่ยังเปิดได้กว้างกว่าแบบไม่มีอะไรให้ X5 เหลือไว้หักล้างเพื่อปกป้องตนเองอีกเลย

ถ้าคุณทำช่องประตูแคบแบบนี้ การขึ้นลงจากรถนั้น จะไม่มีปัญหา หากผู้โดยสารเป็นเด็ก
แต่ถ้า เป็นผู้ใหญ่ ไซส์ ประมาณ ผม หรือหนักหนาขนาดตา Commander CHENG หมีขาวสุดขั้วโลก
หนัก 152 กิโลกรัมนั่น รับประกันเลยว่า มีปัญหาแน่ๆ!

แล้วยิ่งถ้าเจอกาบข้างใต้ประตูทั้ง 4 บาน แบบนี้ ถ้าในวันที่ไปลุยน้ำท่วมมาหมาดๆ ขากางเกง เปื้อนแน่ๆ! ต่อให้ระวังยังไงก็ตาม

 

 

เบาะแถวหลัง พนักพิง ไม่นุ่มไม่แข็งจนเกินไป อยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางแข็ง
แต่ก็ยังดีกว่า Range Rover Sport ซึ่งรุ่นนั้น เบาะแถวหลังแข็งมาก พอกับเบาะหลังของ Toyota Yaris เลยทีเดียว
กระนั้น เบาะรองนั่งที่นุ่มสบายดี กลับสั้นไปนิดนึง แต่พอเข้าใจว่า ถ้ายื่นความยาวของเบาะรองนั่งออกมาอีกนิด
การก้าวขาขึ้นลงจากประตูแถวหลัง ซึ่งทำได้ยากลำบากอยู่แล้ว จะยิ่งน่าหงุดหงิดเข้าไปกว่านี้อีก

 

 

ถึงการเข้าออกจะยากลำบากไปสักนิด แต่เมื่อได้ขึ้นไปนั่งแล้ว อย่างน้อย เบาะนั่งที่ไม่ถึงกับแข็งสาหัสมากเท่าเรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต

น่าจะช่วยให้ผ่อนคลายได้พอสมควรเลยทีเดียว  พื้นที่วางขา สำหรับคนที่มีสรีระร่างใหญ่กว่าปกติมนุษย์ เช่นผม ก็ยังมีพื้นที่วางขา เหลืออยู่อย่างที่เห็น

 

 

มีที่พักแขน อยู่ตรงกลาง พร้อมที่วางแก้วน้ำในตัว พับลงมาได้
การวางแขนนั้น ทำได้สบายดีมากๆ อีกทั้งยังมีช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้ ด้านหลังกล่องคอนโซลกลาง อีกด้วย

 

 

นอกจากนี้ สามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน…60:40 ตามมาตรฐานของรถยนต์ประเภทนี้ ที่พึงต้องมี 

 

 

 

 

เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ซึ่งมีแผ่นม่านปิดบังสัมภาระ เลื่อนม้วนเก็บได้ ติดตั้งมาให้

 

 

 

 

สิ่งที่น่ายกมาพูดถึงสักหน่อยก็คือ ลูกเล่นเล็กๆน้อย ที่ BMW เอามาใส่ไว้ให้ลูกค้า
นั่นคือ พื้นห้องเก็บของด้านหลัง ซึ่งต้องยกขึ้นได้ เพื่อเป็นช่องเก็บยางอะไหล่ แบ็ตเตอรี
และเครื่องมือต่างๆนั้น มี ช็อกอัพไฮโดรลิค ไว้ช่วยค้ำยัน และเพื่อให้การเปิด-ปิดนุ่มนวล

 

 

การเปิดประตูเข้าไป ยังคงใช้ Remote Control แบบ Keyless Entry ถ้าจะเปิดประตู แค่พกรีโมทเอาไว้ เดินเข้าใกล้รถ

เอามือแตะ มือเปิดประตู เพียงเท่านั้น ก็สามารถ เหยียบเบรก เพื่อกดปุ่มติดเครื่องยนต์ได้แล้ว ระบบนี้ กลาเยป็นมาตรฐานของ

BMW ทุกรุ่นตอนนี้ไปเสียแล้ว ส่วน เวลาลงจากรถ ก็ใช้นิ้ว แตะไปที่ รอย 3 ขีด ที่มีไว้บนช่องเสียบกุญแจ ของมือจับนั่นละ

 

เปิดเข้ามา คุณจะพบ แผงหน้าปัด และแผงประตู ตกแต่งด้วลายไม้แบบ Burled Walnut, ดูเรียบง่าย

และเอียงเข้าหาผู้ขับขี่เล็กน้อย แต่พองาม ไม่เหมือนรถรุ่นเก่าๆของ BMW   ที่เอียงเข้าหาตัวเยอะไปหน่อย

 

 

 

จอมาตรวัดต่างๆ ยังคงเป็นสีส้มแบบมาตรฐานของ BMW ถ้าลองสังเกตดีๆ จะพบว่า ไม่มี มา่ตรวัดความร้อนให้เห็นกันอีกแล้ว 

พวงมาลัยแบบสปอร์ทพร้อมสวิทช์ควบคุมแบบมัลติฟังก์ชัน ออน-บอร์ด คอมพิวเตอร์
อุปกรณ์สำหรับใช้งานร่วมกับโทรศัพท์พร้อมบลูธูท ซึ่งก็ทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง

 

 

 

ตำแหน่งการวางอุปกรณ์ บนแผงคอนโซลกลาง ไม่ได้แตกต่างจากรุ่นเดิมมากมายเท่าไหร่

เครื่องปรับอากาศสามารถแยกปรับอุณหภูมิ ซ้าย-ขวา
และมีช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารแถวหลังอีกด้วย

ระบบเครื่องเสียงแบบ BMW Professional audio system with HIFI Loudspeaker system
พร้อมช่องสำหรับเสียบ iPod ให้คุณภาพเสียง ที่จัดอยู่ในขั้น ดีขึ้น เหนือกว่า ชุดเครื่องเสียงแบบมาตรฐานทั่วไปของ BMW นิดหน่อย

ถัดลงมาด้านล่างสุด เป็น สวิชต์ควบคุม ทั้งระบบ เซ็นเซอร์ถอยหลังเข้าจอด Parktronic

ระบบควบคุมเสถียรภาพ ป้องกันล้อหมุนฟรีตอนออกตัว DTC (Dynamic Traction Control)

ระบบ HDC (Hill Descent Control)

 

 

มีระบบ i-Drive ซึ่งยังคงเป็นหน้าจอขนาดเล็ก แบบเดียวกับที่ติดตั้งมาใน ซีรีส์ 5 ตัวถัง E60  ประกอบในประเทศรุ่นล่างๆ

มันดูทีวี ไมไ่ด้ แต่นอกนั้น อยากให้ทำอะไรละ มันทำได้เหมือนๆกัน ตั้งแต่จะเลือกปรับระบบปรับอากาศ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า จะมีเมนูมา

ให้เลือกกัน ละเอียดไปถึงไหน งงไปหมเดเลย ไปจนถึง การเลือกโหมดเครื่องเสียง ที่ออกแนววุ่นวายเล็กๆ 

แถมกว่าจะเข้า Trip Computer ก็ ต้องใจเย็นๆ สรุปแล้ว ระบบนี้ ไม่ได้ช่วยลดสายตาของผู้ขับขี่  จากพื้นถนนเลย

เพราะ ระบบมันออกแบบมาให้ คุณ จอดรถเข้าข้างทางเสียก่อนจะเริ่มต้นปรับแต่งค่าระบบต่างๆ ตามใจคุณ

 

ไม่ใช่ Touch Screen  ไปเสียเลย จะง่ายกว่าไหม?

 

สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทำไมอุปกรณ์ในรถคันทดลองขับ ดูน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

พอกางเอกสารของ BMW Thailand อ่านดู ก็พบว่า ในรุ่นทำตลาดบ้านเรา จริงๆแล้วจะมี แร็คราวหลังคา,
หลังคากระจกแบบพาโนรามิค (แต่ดูเหมือนรายการนี้ คันทดลองขับจะไม่มี)

ระบบ Rain Sensor ปรับความเร็วของที่ปัดน้ำฝนทำงานตามปริมาณน้ำฝน (อันนี้มี)
ไฟหน้าเปิดเองโดยอัตโนมัติเมื่อเข้าที่มืด, ระบบ Parktronic เตือนเมื่อเข้าใกล้สิ่งกีดขวางในขณะจอดรถ 

(ขอโทษเถอะ เสียงร้องเตือน ป๊อกๆ เปี๊ยกๆ เป๊กๆ ปุ๊กๆๆ ของระบบเซ็นเซอร์ถอยหลังเข้าจอดใน BMW ทุกรุ่น

มันช่าง ชวนให้ Paranoid ดีเหลือเกิ๊นนน ทำออกมาพิมพ์เดียวกันหมดเลยเป๊ะ) 

ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Redar Cruise Control

ที่จะทำงานร่วมกับระบบเบรกเพื่อลดความเร็วเมื่อเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป

(นี่ก็ไม่มี ที่ติดตั้งมาให้ เป็นระบบ Cruise control แบบมาตรฐานเหมือน BMW รุ่นอื่นๆ เท่านั้น) 

 

อุปกรณ์เหล่านี้จะได้รับการติดตั้งเป็นมาตรฐานให้กับ BMW X5 ทุกคัน ในเวอร์ชันไทย

แต่ไม่ใช่ในรถคันที่ผมรับมาทดลองขับ…ต้องบอกกันไว้ก่อนนะครับ 

 

 

ทัศนวิสัย จากกระจกบังลมหน้า โปร่งตา ตามมาตรฐานที่รถประเภทนี้ ควรจะเป็น แต่น่าแปลกว่า แล่นด้วยความเร็วสูงๆ ตอนกลางคืน

เราจะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็น นักฆาตกรรมหมู่แมลง มากเหมือนกับ เอสยูวีรุ่นอื่นๆ ซึ่งมีกระจกบังลมตั้งชันกว่า 

 

 

เสาหลังคาฝั่งขวา ไม่ค่อย บดบัง ตอนเข้าโค้งขวา บนถนนสองเลนมากนัก

 

 

เสาหลังคาฝั่งซ้าย กลับดูบาง และไม่ได้บดบังในขณะเลี้ยวกลับรถ เป็นลักษณะเสาหลังคาที่พบได้ใน BMW หลายๆรุ่นที่ผ่านๆมา

อีกทั้งกระจกมองข้าง ใหญ่ขึ้น ช่วยให้มองเห็นรถคันข้างหลังได้ดีขึ้น แต่การมีมุมเอียงแบบรถยุโรปทั่วไป อาจหลอกตาบ้างนิดหน่อย

 

 

แต่สำหรับ ด้านหลัง แล้ว เสาหลังคาด้านหลัง ที่หนาอยู่นั้น อาจมีผลบ้าง เล็กน้อย

แต่การมีกระจกหน้าต่างด้านหลัง ก็ช่วยลดปัญหานี้ลงไปได้นิดหน่อย  

 

 

 

รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ

เครื่องยนต์ที่วางอยู่ใน X5 XDrive 3.0d คันนี้
เป็นรหัส  M57TUD30 แบบ 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 2,993 ซีซี

ในแค็ตตาล็อกของ X5 เวอร์ชันอินเตอร์เนชันแนล หนะ
บอกว่าตัวเลขสมรรถนะอยู่ในระดับ 231 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร

ตัวเลขอันคุ้นตา ทำให้ผมคุ้นในใจ

เดินขึ้นไปบนห้องนอน กางแค็ตตาล็อกภาคภาษาอังกฤษ
ของ ทั้ง X5 และ ซีรีส์ 3 คูเป้ เทียบตารางข้อมูลทางเทคนิคกัน

แล้วก็ถึงบางอ้อ โดยมิได้ตั้งจิต

ในที่สุด บุพเพอะไรก็ไม่รู้ นำพาให้ผม กลับมาพบกับเครื่องยนต์ ดีเซล ของ BMW
ตัวที่ผมประทับใจที่สุดอีกครั้ง…จนได้!

เครื่องยนต์บล็อกนี้ มันเคยพาผมกระชากหลังติดเบาะ ตอนออกตัว ครั้งที่วางอยู่ใน 330d คูเป้ E92
อัตราเร่งที่ไหลลื่นและต่อเนื่องทำเอาผมประทับใจในความแรงเป็นบ้าเป็นหลังของมัน แทบทุกย่านความเร็ว

แต่ในข้อมูลที่แจ้งให้กับสื่อมวลชน BMW บอกว่า
กำลังสูงสุดที่เครื่องยนต์นี้ทำออกมาได้ อยู่ที่
218 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร (50.95 กก.-ม.) ที่ 2,000-2,750 รอบ/นาที

 

 

 

ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ จาก ZF ซึ่งมาพร้อมคันเกียร์แบบไฟฟ้า Joy-Stick ที่ผมเคยเจอมาแล้ว ในซีรีส์ 5 รุ่นปัจจุบัน E60

ย้อนวิธีการใช้งานนิดนึง ถ้าติดเครื่องยนต์แล้ว จะเลื่อนลงมาที่ตำแหน่ง D จงเหยียบเบรก กดปุ่มปลดล้อกคันเกียร์ด้านขวา (แบบเดียวกับเกียร์ทั่วไป

นั่นละ แต่เป็นสวิชต์ปลดล็อกแบบไฟฟ้า) แล้วโยกลงมาจนสุด ถ้าจะเข้าโหมด บวก-ลบ ก็ผลักไปฝั่งซ้าย-ขวาได้เลย ถ้าเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ลง เช่นจาก

4 ลง 3 ให้ดันคันเกียร์ขึ้นข้างบน แล้วถ้าจะเปลี่ยนจาก 3 ขึ้นไป 4 หรือ 5 ก็แค่ โยกคันเกียร์มาข้างล่าง จะผลักกลับมาโหมด D ธรรมดา ก็โยกคันเกียร์

มาทางขวา  ถ้าจะเข้่า N ผลักไปได้เลย ถ้าเหยียบเบรก แต่ถ้าจะเข้าเกียร์ถอยหลัง คุณต้องเหยียบเบรกสนิท และกดสวิชต์ปลดล็อกคันเกียร์ด้านข้างด้วยนิ้วโป้ง

 

สรุป มันก็เหมือนกับคันเกียร์อัตโนมัติทั่วๆไปนั่นแหละ แต่เยอรมัน เล่นดีไซน์มาให้มันดูวิลิสมาหรา จนน่าผรุสวาทด่าเล่น ก็เท่านั้นเอง 

 

อัตราทดเกียร์ลูกนี้ดังนี้

 

เกียร์ 1………….4.171

เกียร์ 2………….2.340

เกียร์ 3………….1.521

เกียร์ 4………….1.143

เกียร์ 5………….0.867

เกียร์ 6………….0.691

เกียร์ถอยหลัง…..3.403

อัตราทเฟืองท้าย…3.64

 

ถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ตลอดเวลา แปรผันแรงบิดหน้า-หลังอัตโนมัติ แบบ xDrive

ซึ่งจะทำงานประสานกับระบบ Dynamic Stability Control (DSC)
นอกเหนือไปจากการช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่แล้ว
ยังให้ความปลอดภัยในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ยากต่อการควบคุมรถอีกด้วย
โดยการถ่ายทอดกำลัง ไป-มา ระหว่างล้อคู่หน้าและหลังได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

นอกจากนี้ ยังมีระบบเบรกมือแบบสวิชต์ไฟฟ้า ทำงานดึงขึ้น หรือ กดลง ใช้งานง่ายกว่าที่คิด

ในกรณีที่กดปุ่ม AUTO H หมายความว่า หากคุณกำลังขับขี่ คลานกระดืบๆ ในเมือง คุณสามารถเหยียบเบรกจนสุด แล้วถอนเท้าออกมาจาก

แป้นเบรกได้เลย ระบบเบรกมือไฟฟ้าจะทำงาน จนกว่า คุณจะเหยียบคันเร่งพุ่งส่งรถออกไป แต่ถ้าในกรณี ที่ปลดระบบนี้ออก คุณจำเป็นต้องเหยียบเบรก

ตามปกติ เพื่อไม่ให้รถไหลไปชนคันข้างหน้า 

 

เรายังคงทำการทดลองหาอัตราเร่ง ด้วยมาตรฐานเดิม

คือ ใช้เวลากลางคืน ถนนโล่งๆ นั่ง 2 คน น้ำหนักตัวไม่เกิน 150 กิโลกรัม

(ผม 95 กิโลกรัม นายกล้วย BnN 48 กิโลกรัม รวม 143 กิโลกรัม) 

เปิดแอร์ เบอร์ 2 เปิดชุดไฟหน้า ปิดวิทยุ  และตัวเลขที่ได้ เมื่อเทียบัุกับคู่แข่ง มีดังนี้

 

 

ตัวเลขจากโรงงานบอกเอาไ้่ว้ว่า

อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาเพียง 8.4 วินาที

ในขณะที่ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดด้วยระบบอีเลคทรอนิคไว้ที่ 210 กม./ชม.

 

ตัวเลขทืี่ทำมาทั้งหมดนั้น ถือว่าใกล้เคียงความจริง และเป็นไปตามปกติ

ที่ชุดมาตรวัดอาจจะผิดเพี้ยนไปได้เล็กน้อย

การทำตัวเลขอัตราเร่งนั้น ผมจะดีใจมาก ถ้าได้รถแรงๆ มาลอง
เพราะจะใช้เวลาในการทดลองเสร็จเร็ว ซึ่งนั่นหมายถึง ความเสี่ยง
และโอกาสที่จะเกิดอันตรายจากเพื่อนร่วมใช้เส้นทางนั้นมีน้อยกว่า

ความเร็วสูงสุดที่ผู้ผลิตแจ้งตัวเลขไว้อยู่ที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง

และเมื่อเอาเข้าจริง เข็มความเร็วก็ชี้ไปที่ 215 กิโลเมตร/ชั่วโมง

และในระหว่างนั้น ก็มี Merecedes-Benz C-Class W202 รุ่นเก่า
แซงชึ้นหน้าผมไป ทางเลนกลาง และคิดว่า รถคันนั้น น่าจะวางเครื่องยนต์
หรือปรับปรุงสมรรถนะมา เพราะความเร็วที่เขาใช้ ตอนแซงผมไปนั้น
คิดว่าน่าจะอยู่แถวๆ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมงโดยประมาณ เพราะแซงขึ้นไปแบบเนิบๆ ช้าๆ
ไม่ใช่แซงแบบลูกธนูพุ่งหายแต่อย่างใด

ผมไม่รุ้สึกว่าน่าอายแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับดีใจ เพราะ….

1. เอสยูวี คันใหญ่ น้ำหนักปาเข้าไปเกือบ 3 ตันอย่างนี้ อย่าไปวิ่งเร็วกว่านี้เลย
เพื่อความปลอดภัย จะยี่ห้อไหน หรือเซ็ตช่วงล่างมาดีเพียงใดก็ตาม

2. อัตราเร่งที่ได้ ผมว่าใกล้เคียงกับตัวเลขที่ผู้ผลิตทำเอาไว้แล้ว

3. ดีใจที่มีรถสักคันแซงหน้าผมไป และทำให้ผมรู้สึกว่า ผมยังขับไม่เร็วนัก
อีกทั้งช่วยแหวกม่านเปิดทางให้ผมไปด้วยโดยที่เขาคงไม่ทราบ
หมายความว่า ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุอะไรข้างหน้า เขาจะเห็นเหตุการณ์ก่อนผม
และต้องประคับประคองรถของเขา ก่อนผม ขณะที่ผมเอง เห็นเหตุการณ์แต่ไกล
ผมก็จะมีเวลาในการชะลอ และประคองรถจนนิ่งสนิท ได้ง่ายดายกว่าเขา…

 

 

 

ระบบกันสะเทือนหน้ายังคงเป็นแบบปีกนกคู่ ดับเบิลวิชโบน ส่วนด้านหลังเป็นแบบ 4 จุดยึด
BMW บอกว่า ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ซึ่งผมไม่ค่อยแน่ใจนัก ถ้าบอกว่า จุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่า

เอสยูวีที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานรถกระบะทั้งหลาย หรือ เอสยูวี ประเภท On&Off Raod SUV แท้ๆ พวก ปาเจโร ละก็

ต้องถือว่าใช่

แต่ถ้าจะต่ำขนาดรถเก๋งเลย หรือมินิแวน ละก็ นั่นไม่น่าใช่ครับ

เกือบทุกสัมผัสอาการจากพื้นผิวถนน ระบบช็อกอัพ Air-Suspension
จะดูดซับแรงสะเทือนไว้ส่วนหนึ่ง แต่จะยังเหลือหลุดมาให้ผู้ขับขี่
และผู้โดยสารได้สัมผัสกัน ในระดับที่ “พอให้รู้ว่าคุณเพิ่งจะผ่านหลุมอุกาบาตมานะ
ถนนมันไม่เรียบเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบนะ”

ที่เหลือ? มันเกาะกับพื้นถนนเสียยิ่งกว่าตีนตุ๊กแก!

เรียกได้ว่า สิ่งที่เป็นจุดเด่นทีสุดของ X5 ใหม่ อยู่ที่ระบบกันสะเทือน

คือ มันยึดเกาะกับพื้นถนน ราวกับ คนกลัวความสูง กำลังปีนต้นมะพร้าว แล้วขึ้นไปติดแหงกอยู่กลางลำต้นนั่นละ!
เกาะดีเป็นบ้า ไม่ว่าผิวถนนจะมีลอนเป็นคลื่นอย่างไร โค้งข้างหน้า หักสอกมากน้อยแค่ไหน
หรือในกรณีฉุกเฉินคับขัน X5 จะเป็น เอสยูวี เพียงคันเดียว ที่ผมเชื่อว่า จะไม่ยอมปล่อยคุณ
ให้เผชิญกับความหวาดเสียว ยามลัดเลาะไปตามขอบโค้งอย่างแน่นอน

 

ยิ่งโดยเฉพาะถ้าคุณจำเป็นต้องขับรถข้ามจังหวัดอย่างรีบด่วน
เช่นว่า ไปชลบุรี ให้ได้ภายในครึ่งชั่วโมง

X5 คันนี้ พาผมทะยานออกมาจาก บางนา-ตราด กม.7
ไปถึง ปลายสุด ทางยกระดับ บูรพาวิถี ในเวลาเพียง 15 นาที เท่านั้น…

ขอย้ำ…เท่านั้น!!

และเป็นการเดินทางอย่างสบายๆ ไม่ซีเรียสเลย

อาจมีบ้าง เมื่อเข้าสู่เขตกระแสลมแรง ที่ความเร็วระดับเกินกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
มีอาการเป๋ออกซ้ายนิดๆ เพระากระแสลม อยู่บ้าง และ ในช่วงแซงรถทัวร์ ที่ความเร็วระดับ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ก็พอมีอาการวูบออกทางขวาเล็กๆ

แม้เป็นอาการเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับ โตโยต้า อแวนซ่า ที่ความเร็ว เพียง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่น้อยกว่ากันเยอะ! แน่ละ เร็วซะขนาดนั้น ก็ต้องมีอาการกันบ้างละ

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมระบบไฟฟ้า
มีน้ำหนักมากเหมือน BMW รุ่นอื่นๆในความเร็วต่ำ ต้องออกแรงหมุนเยอะหน่อย
แม้จะมีเพาเวอร์ช่วยแล้วก็ตาม สำหรับคุณสุภาพสตรีแล้ว กล้ามแขนลูกเล็กๆอาจโผล่ขึ้นได้
เมื่อใช้งานไปสัก 2-3 ปี

หากใช้ความเร็วสูง บนทางด่วน ถ้าคุณถือตรงๆ อยู่ในเลนถนน
พวงมาลัยจะนิ่งดีมาก และช่วยให้คุณ ประคองตัวรถ อยู่ในเลนถนนที่ต้องการ ใช้ได้เลย
ทว่า เมื่อถึงช่วงเข้าโค้งแล้ว ผมกลับพบว่า ในช่วงความเร็วสูง ผมอยากขอเพิ่มความหนืด
ขึ้นมากกว่านี้อีกนิด เอาให้หนืดเหมือนกับตอนที่เคลื่อนตัวอยู่ในเมือง อย่างช้าๆ
เพราะในบางครั้ง ผมคิดเอาไว้ว่า จะหักเลี้ยวเข้าโค้งไปตามปกติ แต่กลับพบว่า มันน้อยเกินไป
พอป้อนพวงมาลัยเพิ่มอีกนิด กลับกลายเป็นว่า รถจะเลี้ยวเพิ่มขึ้นไปมากกว่าที่ผมต้องการนิดนึง
ซึ่งทำให้ผมตกใจนิดๆเหมือนกัน และถือว่าอาจจะทำได้ดี แต่ยังปรับปรุงได้อีก ในเรื่องความแม่นยำของการบังคับเลี้ยว 

 

แต่ถ้ากังวลว่า รถใหญ่ขนาดนี้ โอกาสเสียการทรงตัวมีหรือไม่ ก็ตอบเลยว่า รถอะไรก็ตาม

ถ้าเกินลีมิทของกฎทางฟิสิกส์ ก็ไม่รอดซักรายครับ ด้วยเหตุนี้ BMW เลยติดตั้งระบบ Dynamic Stability Control (DSC)

เป็นระบบมาตรฐานที่ติดตั้งอยู่ใน X5 ใหม่ทุกคัน การทำงานของ DSC จะสั่งให้ระบบเบรกทำงาน

และเริ่มสั่งให้ชลอการจ่ายพละกำลังจากเครื่องยนต์ ลงสู่ล้อ เมื่อเซ็นเซอร์ตรวจพบว่า ล้อข้างใดข้างหนึ่งนั้นหมุนเร็วเกินไป

เพื่อให้รถสามารถวิ่งอยู่บนพื้นถนนได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ การทำงานของระบบ DSC ยังได้ประสานงานกับการทำหน้าที่ต่างๆ
ของระบบเบรก เช่น ระบบที่จะทำให้เบรกแห้ง, ระบบที่สั่งเตรียมพร้อมสำหรับการหยุดรถ,
ระบบป้องกันอาการเบรกเสื่อมประสิทธิภาพหรือเบรกเฟด รวมไปถึง Start-off Assistant
ช่วยป้องกันรถไหลขณะออกตัวบนทางลาดชัน ไปจนถึงระบบควบคุมความเร็วในขณะขับลงทางลาดชัน

(Hill Descent Control) เอาไว้ใช้ในกรณีลงจากทางลาดชัน ซึ่งต้องค่อยๆขับอย่างช้าๆ

 

ส่วนระบบเบรก ที่ติดตั้งมา กับรถ เป็นแบบ ดิสก์ เบรก 4 ล้อ 

ซึ่งยังคงตอบสนองการเบรกได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะหน่วงความเร็วจาก ระดับเดินทาง

หรือจะหน่วงลงมาจากความเร็วสูงๆ แต่กระนั้น รถที่มีน้ำหนักตัวมากขนาดนี้ ระยะทางในการหยุด

อาจจะยาวเพิ่มขึ้นสักหน่อย ดังนั้น ควรเผื่อระยะเบรกเอาไว้ให้ห่างจากรถคันหน้าสักนิด เป็นการปลอดภัยกว่า

 

ล้ออัลลอยลาย Star Spoke 209 ขนาด 18 นิ้ว
สวมเข้ากับยางขนาด เป็นแบบ Run Flat Tyre เช่นเดียวกับ BMW รุ่นอื่นๆ
หากมีปัญหาเรื่องลมยาง จะมีสัญญาณแจ้งเตือนข้นที่หน้าปัด และคุณยังจะขับรถต่อไปได้
อีก 250 กิโลเมตรโดยประมาณ ด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับน้ำหนักบรรทุก
แต่อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกของยาง ประเภทนี้ ยังค่อนข้างแพงมากอยู่ดี

 

 

 

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง *********

BMW แจ้งมาในเอกสารสำหรับสื่อมวลชนว่า ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ที่เครื่องยนต์บล็อกนี้ ทำได้ เมื่อวางลงในตัวถังอันอุ้ยอ้ายขนาดนี้
คือ 8.7 ลิตร / 100 กิโลเมตร

จะประหยัดได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ?

แบบนี้ ต้องพิสูจน์ ด้วยวิธีการดั้งเดิมที่ผมทำมาตลอด 5 ปี
และมีการปรับปรุงให้เหมาะสมตามเวลาที่เปลี่ยนไป

 

 

 

ระยะทางที่แล่้นทั้งหมด 92.9 กิโลเมตร

 

 

 

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ… 6.38 ลิตร (เอ้่อ…ชักเข้าเค้าแหะ??)

 

 

เมื่อนำมาหาร หาค่าเฉลี่ย iPhone ของ ตาหลุยส์ ก็ขึ้นตัวเลขอันน่าฉงนว่า…

14.56 กิโลเมตร/ลิตร…!!!!!!

 

 

เมื่อเทียบกับตัวเลขที่โรงงานแจ้งว่า ทำได้เฉลี่ย 8.7 ลิตร/100 กิโลเมตร แล้ว 

BMW ช่างเป็นบริษัทที่ขยันสร้างเรื่องแปลกตาแปลกใจให้ผมได้สัมผัสอยู่เรื่อยๆ
คราวก่อนก็ 320d ครั้งต่อมาก็ มินิ เจเนอเรชัน 2 ทั้งตระกูล

และล่าสุด อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระดับ 14.5 กิโลเมตร/ลิตร จากเอสยูวีร่างยักษ์ น้ำหนักตัวปาเข้าไป 2 ตันกว่าๆ

เฮ้ย! นี่มันจะประหยัดพอกันกับ วีออส 1.5 ลิตร มาสด้า 3 รุ่น 2.0 ลิตร และ ฮอนด้า ซีวิค 2.0 ลิตร เลยนะนั่น!!
มันอะไรกันเนี่ย?

 

 

หลังจากทดลองอัตราสิ้นเปลืองกันแบบมาตรฐานแล้ว
ก็เริ่มสงสัยว่า ถ้าผมจะขับใช้งานตามสภาพปกติดูละ
ขับในเมืองเป็นหลัก ออกทางไกลบ้างนิดหน่อย
น้ำมัน 1 ถัง ใน X5 XDrive 3.0d จะแล่นได้ไกลกี่กิโลเมตรโดยประมาณ

ผมเลยเซ็ต 0 บน Trip meter อีกครั้ง แล้วลองจับระยะทางคร่าวๆการหน้าปั้มน้ำมันนั่นละครับ

 

 

 

ขับใช้งานไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน แถมยังมีโอกาสทำท็อปสปีด อยู่ถึง 2-3 ครั้ง อย่างไม่ตั้งใจ

และนี่คือตัวเลข ระยะทางที่แล่นได้ทั้งหมด เมื่อ ผมนำรถกลับไปจอดที่ ซอยต้นสน

อันเป็นสถานที่รับและคืน รถทดลองขับแห่งใหม่ของ BMW Thailand ยามบ่ายของวันที่ 18 มกราคม

 

 

ดูตัวเลข ระยะทางที่แล่นไป ก็แล่นไกลนะ 498.7 กิโลเมตร แต่เข็มน้ำมันที่ยังชี้อยู่ 1 ใน 4 และยังเหลือน้ำมันให้แล่นต่อไปได้อีก

ราวๆ 100 กิโลเมตร …. ถือว่า ประหยัดโอเคกว่าที่คิดเลยทีเดียว สำหรับ เอสยูวีคันใหญ่บึ้มขนาดนี้ 

 

 

********** สรุป **********
ถ้ามีเงินเหลือ อยากได้ เอสยุวีสักคัน ประหยัดน้ำมัน และมีปัญญาเลี้ยงดู ก็น่าสน

 

ลองจินตนาการเล่นๆว่า ถ้าคุณมีเงิน สัก 6 – 9 ล้านบาท
และกำลังอยากได้ พรีเมียม เอสยูวี สักคัน ในตลาดตอนนี้
ใครพอจะเป็นตัวเลือกที่คุณควรจะหยิบขึ้นมาพิจารณาบ้าง

มันก็คงจะมีแต่ BMW X5 และ Range Rover Sport

เพราะ ถ้าจะให้เอื้อมไปถึง Porsche Cayenne
เครื่องยนต์ 6 สูบ 3,600 ซีซี 290 แรงม้า
รุ่นล่างสุด ก็ปาเข้าไป 9,863,100 บาท

รถในไลน์อัพ Land Rover ในอดีตที่ผ่านมา เรื่องของ Reliability นั้น
ยังเป็นเรื่องที่น่าตั้งข้อกังขา เพียงแต่ว่า ในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา ทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น
กระนั้น เมื่อเทียบสมรรถนะ ของตัวรถในภาพรวมที่ใกล้เคียงกัน

 

จุดเด่นที่สำคัญที่สุด ของ X5 ก็คือ การเกาะถนนบนพื้นเรียบของมัน ที่ดีที่สุดในบรรดา เอสยูวีระดับเดียวกัน

โดยเฉพาะการเข้าโค้ง ซึ่งจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน คุณแทบไม่ต้องถอนเท้าออกจากคันเร่ง เสียด้วยซ้ำ

หากอ่านโค้งด้วยความเร็วที่คิดแล้วว่าเหมาะสม ที่เหลือ ปล่อยให้ตัวรถ จัดการ พาคุณสาดเข้าโค้งไปอย่างไม่ต้องกังวลใจใดๆมากนัก

และคุณจะไม่มีวันทำแบบนี้ได้กับ เอสยูวี ในระดับเดียวกันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง XC90 ที่โยนตัวออกด้านข้างอย่างน่ากลัว เพราะช็อกอัพนุ่มไปหน่อย 

ทว่า ในทางกลับกัน หากคุณจะเอาไปลุยทางฝุ่น หรือลูกรังมากหน่อย Range Rover Sport จะทำได้ดีกว่า

อีกทั้ง พวงมาลัยไฟฟ้าของ X5 เอง ในบางครั้ง ก็อาจจะทำงาน มากเกินต้องการไปสักนิด คือ ต้องการจะหักเลี้ยว ขณะเข้าโค้ง

ด้วยความเร็ว ราวๆ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยากจะป้อนเพิ่มสักนิด ปรากฎว่า รถเลี้ยวจริง มากเกินกว่าที่ตั้งใจไว้นิดนึงด้วยซ้ำ

ทั้งที่ปกติแล้ว พวงมาลัย ของ BMW นั้น ขึ้นชื่อในเรื่องความนิ่ง แน่น คมและไว้ใจได้ แต่กระนั้น ภาพรวม ก็ยังดีกว่า พวงมาลัยไฟฟ้า

ของรถญี่ปุ่นหลายๆยี่ห้อก็แล้วกัน 

 

 

 

กระนั้น อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ด้วยระดับ 14.5 กิโลเมตร/ลิตร ในความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ก็ทำให้ X5 ทำคะแนนขึ้นแซงหน้า Range Rover Sport ไปได้ อย่างง่ายดาย เพราะถ้าพูดกันตามตรง
คนที่ซื้อ X5 ไป ส่วนใหญ่ ยอมรับแต่โดยดีเถอะครับว่า คุณจะใช้งานมันในเมืองเป็นหลัก กว่า 90%

รุ่น เบนซิน xDrive 48i 355 แรงม้า ราคาก็ปาเข้าไปถึง 9,399,000 บาท !!

เงินระดับนี้ คุณซื้อ

พอเป็นรุ่น ดีเซล ราคราที่หล่นลงมาเหลือ 6.2 ล้านบาท คิดว่า สถานการณ์ด้านยอดขายก็น่าจะดีขึ้นมาบ้าง
แต่ถ้าหั่นราคาขายปลีกลงมาอีกสัก 1-2 แสนบาท

ผมอาจจะเลือกได้ ง่ายขึ้น

———————————————–///———————————————-

 

ขอขอบคุณ
คุณ เศรษฐพงศ์ อนุตรโสตถิ (บีเวอร์)

Director Corporate Communications
และ
คุณพิศมัย เตียงพาณิชย์ (พี่ไหม)
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท BMW (Thailand) จำกัด

เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

 

J!MMY

สงวนลิขสิทธิ์

เผยแพร่ครั้งแรก : 23 กุมภาพันธ์ 2009 สำหรับ www.headlightmag.com