ในสมัยผมยังเด็ก และยังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
ซึ่งตั้งอยู่ในซอยประมวญ ถนนสีลม ที่ดินของโรงเรียนเรา ตั้งอยู่ติดกับรั้วของ
วังประมวญ ซึ่งเคยเป็น วังที่ประทับของพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยา-
ลงกรณ์ ต้นราชสกุลรัชนี พระโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวัง
บวรวิไชยชาญ อันเป็นที่ดินพระราชทาน

ที่ดินผืนติดกับวังประมวญฝั่งซ้ายนั้น แต่ก่อนเป็นของราชสกุลรังสิต หลังจาก
ที่ บริษัท ประชายนต์ จำกัด ของ หม่อนเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ยุติการใช้ที่ดินเพื่อ
ทำโชว์รูม Volkswagen ไปแล้ว บริษัท Asian Honda จำกัด ก็เข้ามาขอ
เช่าที่ดินผืนนี้ ในการตั้งโชว์รูม และศูนย์บริการ เต็มรูปแบบ แห่งแรกในเมืองไทย
เมื่อครั้งที่พวกเขา เริ่มมาเปิดตลาดรถยนต์ 4 ล้อ ในไทย ช่วงปี 1984 – 1985

ยุคแรกเริ่มนั้น โชว์รูมยังเป็นเพียงอาคารชั้นเดียวโล่งๆ มี บ่อ..ซึ่งควรถูกเรียกว่า
สระน้ำ มากกว่า อยู่ด้านใต้พื้นโชว์รูม อาคารชั้นเดียวหลังนั้น ถูกออกแบบให้ดู
ลอยขึ้นจากผิวน้ำ ยังไม่มีกระจกกั้น

ผมอยู่ทันเห็นความเปลี่ยนแปลงในกิจการของ รถยนต์ Honda เมืองไทย มา
ตั้งแต่เริ่มเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 เมื่อ ปี 1986 หรือ พ.ศ. 2529 จากที่มี
ผู้ปกครองขับรถมาส่งบุตรหลาน ถึงโรงเรียนทั้ง 2 แห่งใน ซอยเดียวกัน (ทั้ง
กรุงเทพคริสเตียน และโรงเรียนสตรี ชื่อ “ผดุงดรุณี” ซึ่งต่อมา เจ้าของขายต่อ
กิจการให้กลุ่ม อัสสัมชัญ เอาไปทำเป็น “อัสสัมชัญคอนแวนท์”) รวมทั้งลูกค้า
ที่มาอุดหนุน ร้านอาหารกัลปพฤกษ์ และรถบรรทุกส่งข้าวเกรียบกุ้งฮานามิ ของ
บริษัท สยามรวมมิตร ซึ่งตั้งอยู่ในซอยนั้น ทั้งหมดเพียงเท่านี้ รถก็คิดในซอยกัน
จะแย่อยู่แล้ว

การมาตั้งโชว์รูมและศูนย์บริการ Honda ในซอยประมวญนั้น ยิ่งเพิ่มให้
ปริมาณการจราจรในซอย และถนนสีลม ลามไปถึงสาทร สุรศักดิ์ และ
สารสิน ในช่วงหลายปีนั้น ยิ่งติดขัดหนักแทบเป็นอัมพาต ในช่วงบ่าย 3
ถึง 6 โมงเย็นของทุกวัน ที่ทุกโรงเรียนเปิดทำการ

ยิ่งตอนที่ Civic รุ่นปี 1988 LX กับ EX และ Accord Minorchange
ไฟท้ายใส เพิ่มสีตัวถัง Jade Green อันสุดฮิตในตอนนั้น ออกขายแล้ว
แทบไม่ต้องพูดถึง…ในซอยเนี่ย รถติดสาหัสบ้าบอคอแตกหนักกว่าเก่า

แต่วันสุดท้าย ที่ผมเดินเข้าโชว์รูม Honda ประมวญ นั้น คือวันที่พวกเขา
ประกาศเปิดตัว Odyssey Minivan รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของตน ที่
Honda Cars Thailand (ชื่อเดิมก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นบริษัท Honda
Automobile (Thailand) ในปัจจุบัน) เพิ่งสั่งเข้ามาขายสำเร็จรูปทั้งคัน
แบบ CBU เมื่อปี 1995

วันนั้น ผมรวบรวมความกล้าตามประสาเด็ก เดินเข้าไปขอ แค็ตตาล็อก
พร้อมใบราคา เหมือนอย่างเคย ตลอดทุกครั้งที่ Honda เปิดตัวรถยนต์
รุ่นใหม่ในบ้านเรา และเจ้าหน้าที่ ผู้หญิง ก็ยังคงต้อนรับอย่างดี ทั้งที่
ผมเองแต่งตัวชุดนักเรียนธรรมดาๆ ตามนโยบายที่ Honda พยายาม
ชูเรื่อง ลูกค้ามาเป็นที่ 1 หรือ CS. No.1 ในยุคนั้น เช่นเคย เธอแกะ
ซองแค็ตตาล็อก Odyssey ที่ห่อมาจากโรงพิมพ์ หยิบมา 1 เล่ม เขียน
ตัวเลขราคา แถวๆ 1.2 -.3 ล้านบาท แล้วส่งให้ผม พร้อมนามบัตร

ไม่รู้อะไรดลใจ ผมคิดไปเล่นๆว่า นั่นคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้
มีโอกาสเดินเข้าโชว์รูมประมวญ ใครจะไปนึกละ ว่า สิ่งที่ผมคิดเล่นๆ
มันจะดันกลายเป็นเรื่องจริง!

เมื่อ Honda ผุดโชว์รูมและสูนย์บริการ ของ ดีลเลอร์รายใหม่ ริมถนน
สาทร หัวมุมถนนสุรศักดิ์ ขึ้นมาอย่างใหญ่โต รวมทั้ง เปลี่ยนนโยบาย
มาใช้ระบบผู้จำหน่าย แทนที่ Honda จะดูแลโชว์รูมแต่ละสาขาด้วย
ตนเอง ทำให้โชว์รูมประมวญ หมดความจำเป็นอีกต่อไป Honda
ยุติารเช่าที่ดินผืนนั้น โชว์รูม ถูกปล่อยว่างเปล่า ศูนย์บริการ ถูกทุบทิ้ง
เป็นเช่นนี้นานหลายปี จนกระทั่งดีลเลอร์ของ Volvo มาเช่าทำโชว์รูม
และสุดท้าย ทุกวันนี้ กลายเป็นโชว์รุม Ford เอก สีลม

แต่แค็ตตาล็อกแผ่นพับของ Odyssey ขนาด A4 เล่มนั้น ยังคงถูกเก็บ
ไว้ในกองแค็ตตาล็อกของ Honda ที่ผมสะสมอยู่รวมกับรถยนต์ทุก
ยี่ห้อที่มีอยู่ในห้องนอนบ้านผม จนถึงปัจจุบัน วันเวลาผ่านล่วงเลย
มาถึง 20 ปีพอดี

ไม่อยากเชื่อเลยว่า นี่ 20 ปีแล้วนะ ที่นาฬิกายังคงทำหน้าที่ของมัน
และ Odyssey ยังคงเป็น Minivan รุ่นหนึ่งซึ่งยังตราตรึงใจลูกค้า
ชาวไทย ยังคงถามไถ่มาถึงผมอยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่ ทุกคนจดจำความ
คุ้มค่าจาก รุ่นแรก และรุ่นที่ 2 ได้อย่างดี แม้ว่า ตั้งแต่รุ่นที่ 3 เป็นต้นมา
จะมีค่าตัวพุ่งโดด สูงขึ้นไปกว่าเดิมมาก อันมีผลมาจากภาษีนำเข้าและ
ภาษีสรรพสามิต จนยากที่หลายคนจะเอื้อมถึง เหมือนในอดีต

วันนี้ Odyssey ก็ถูกพัฒนาและปรับปรุงขึ้นมา เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด
Generation ที่ 5 เข้าไปแล้ว คราวนี้ Honda ตัดสินใจ ปรับ
แนวคิดในการพัฒนาครั้งใหญ่ ให้ Odyssey กลับมามีคุณค่าใน
ฐานะ Minivan ขนาดใหญ่ เอาใจลูกค้าครอบครัว หรือผู้บริหาร
ซึ่ง ต้องการเดินทางไกลอย่างสบายๆ หาใช่เพียงสร้างความสนุก
เฉพาะผู้ขับขี่เพียงอย่างเดียวแบบรุ่นก่อนๆไม่

แต่ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับ Odyssey ใหม่ กันให้ถึงกึ๋น…
แน่นอนครับ ผมอยากพาคุณผู้อ่าน ย้อนกลับไปยังอดีตสักเล็กน้อย
ไม่ไกลมากนัก เอาแค่ เดือนสิงหาคม 1990 ก็พอ

เพื่อให้คุณได้รู้ว่า กว่าที่ Odyssey จะลืมตาดูโลกมาได้นั้น ทีมวิศวกร
ผู้ให้กำเนิดมัน ต้องผ่านการต่อสู้ภายในองค์กรอย่างหนักหน่วง และ
แสนสาหัส จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ในวันแรกที่เปิดตัว เมื่อปี 1994 !

นับตั้งแต่ Honda เริ่มต้นผลิตรถยนต์คันแรกในช่วง ทศวรรษ 1960 จนถึง
ปี 1994 พวกเขา อาจมีความพยายาม ทำรถยนต์เพื่อสันทนาการ (RV หรือ
Recreation Vehicles) อยู่บ้าง กระนั้น แทบทุกรุ่น มักเป็นการนำรถยนต์
รุ่นที่มีขายอยู่แล้วในตลาด เช่น Civic หรือ Accord มาดัดแปลงบั้นท้าย
ให้เป็นตัวถัง Station Wagon

กระนั้น ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 จนถึง ปี 1990 ลูกค้าชาวอเมริกัน
เริ่มมองหารถตู้ Minivan มาใช้งานเป็นรถยนต์คันที่ 2 ของครอบครัว
เพิ่มมากขึ้น Koichi Amemiya ประธานใหญ่ของ American Honda
Motor ในขณะนั้น อยากให้ Honda R&D พัฒนารถตู้ ขึ้นมาสำหรับ
ตลาดอเมริกาเหนือเป็นพิเศษ มันควรจะวางเครื่องยนต์ V6 จาก Honda
/ Acura Legend และ ควรผลิตขึ้นในโรงงานที่ก่อสร้างใหม่ ณ ทวีป
อเมริกาเหนือ

Kunimichi Odagaki วิศวกรในศูนย์วิจัยและพัฒนา Honda R&D
ที่โรงงาน Sayama ถูกเรียกตัวในเดือนสิงหาคม 1990 ขณะกำลัง
ทำงานเพื่อช่วย Support งานเปิดตัว Honda / Acura Legend
รุ่นที่ 2 ที่จะเปิดตัวหลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน ให้มารับหน้าที่ Chief
Engineer (CE) ดูแลโครงการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่นี้ เขาจึงรีบจัด
ตั้งกลุ่มและดึงตัววิศวกรรวม 20 คน มาร่วมงานกัน ก่อนจะบินไปยัง
สหรัฐอเมริกา ในเดือนกันยายน 1990 กับวิศวกรอีก 5-6 คน เพื่อ
ศึกษาจนได้ข้อสรุปถึงภาวะตลาด Minivan ในเมืองลุงแซม

ปัญหาสำคัญก็คือ ต้นทุน และราคาขายปลีก ขณะที่ Minivan ในตลาด
อเมริกัน ส่วนใหญ่ ราคาประมาณ 20,000 เหรียญสหรัฐฯ แต่ Minivan
ของ Honda อาจต้องขายในราคา แตะ 30,000 เหรียญฯ เพราะต้นทุน
การผลิต ที่จะสูงกว่าคู่แข่ง จากการต้องตั้งโรงงานขึ้นใหม่เป็นพิเศษ และ
และต้องนำขุมพลัง V6 มาวางให้ การเลือกใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ เป็นแนว
ทางเลือกรองซึ่งพอเป็นไปได้ ด้วยเหตุ และข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้ จู่ๆ
กลุ่มผู้บริหาร Honda ตัดสินใจยกเลิกแผนการพัฒนารถคันนี้ไปดื้อๆ!

แม้ Odagaki จะรู้ดีว่่า มันเป็นคำสั่ง แต่พวกเขารู้สึกคัดค้านในใจ เพราะ
ในเมื่อสมาชิกในทีมของเขา ได้ไปเห็นกับตาแล้วว่า ตลาด Minivan ใน
สหรัฐฯ มันอยู่ในช่วงขาขึ้น แล้วจะให้ Honda ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอย
ไปง่ายๆอย่างนั้นหรือ? ไม่มีทางซะหรอก!

ด้วยนิสัย ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ในช่วงสิ้นปี 1990 เขาและลูกทีมจึง
เดินหน้าพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่นี้กันอย่างลับๆ ทั้งที่มันไม่ได้อยู่ในแผน
หลักของบริษัทอีกต่อไป โดยแอบไปซุ่มพัฒนารถยนต์รุ่นนี้กัน นอก
สำนักงาน R&D อันวุ่นวาย และต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย เพียง
เพื่อหวังว่า สักวันหนึ่ง ประธานใหญ่  และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง จะให้
การสนับสนุน ผลักดันโครงการนี้ กลับมาสู่การผลิตจริง ในอนาคต

ระหว่างนั้น พวกเขา ก็ออกเดินทางไปศึกษารูปแบบการใช้ชีวิต และการ
ใช้รถยนต์ ของลูกค้าชาวญี่ปุ่น ตามสถานพักแรมตั้งแคมป์ ซึ่งกำลังได้รับ
ความนิยมหลายแห่ง ต้องทะเลาะตบตีกับนักออกแบบ ที่ยืนกรานว่า เขา
ไม่อาจสร้างรูปลักษณที่ดึงดูดใจ และเบาะแถว 3 ซึ่งยากต่อการออกแบบ
ให้สะดวกต่อการใช้งาน และการผลิตออกขายจริง ต้องพยายามเจรจาเพื่อ
โน้มน้าว ผู้บริหาร ในเรื่องการควบคุมต้นทุนการผลิต เพื่อให้ทำราคาขาย
ต่ำลงมาได้

รวมทั้ง การยอมเลือกใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ เบนซิน ในช่วงแรก โดยยอม
ตัดเครื่องยนต์ Diesel ออกไป และยอมสร้าง Minivan เพื่อเน้นเอาใจ
ตลาดญี่ปุ่นเป็นหลักก่อน เพื่อให้ผู้บริหารและคใน Honda เอง มองเห็น
ภาพความเป็นไปได้ในการเติบโตของตลาดกลุ่มใหม่นี้ โดยยอมปล่อยให้
ประธานของ American Honda Motor มองแบบผิดๆ ในตอนแรกว่า
ทีมของ Odagaki ไม่เข้าใจตลาด Minivan ในสหรัฐฯ เลย เพราะดัน
พัฒนา Odyssey รุ่นแรก ให้มีตัวถังเล็กกว่าที่ลูกค้าชาวอเมริกันต้องการ
(ทั้งที่พวกเขานั้นเข้าใจประเด็นนี้ดียิ่ง แต่เพราะต้องพยายามต่อสู้ให้คนใน
สำนักงานใหญ่ที่ญี่ปุ่น ยอมรับรถยนต์รุ่นนี้ ให้ได้เสียก่อน)

แถมยังต้อง ขอร้องฝ่ายขาย และการตลาด ซึ่งมีอคติ และยังมองไม่เห็น
อนาคตของเจ้า Minivan รุ่นนี้ ให้ช่วยวางแผนการทำตลาด ให้ลูกรัก
ของพวกเขาคันนี้ ในญี่ปุ่น นี่เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งในปัญหานานับประการ
ที่สมาชิกทั้ง 20 กว่าคนของทีมนี้ ต้องเผชิญ ตลอด 4 ปีในการพัฒนา

กว่าที่ Odagaki และลูกทีม จะได้รับการสนับสนุน จากกลุ่มผู้บริหาร
ของ Honda รวมทั้ง Nobuhiko Kawamoto CEO ในขณะนั้น
พวกเขาต้องลงทุนสร้างแบบจำลองภายในห้องโดยสาร จาก โฟมยักษ์
Styrofoam ขนาดเท่าของจริง เพื่อนำเสนอ ในการประชุมยุทธศาสตร์
ของบริษัท แถมยังต้องนำเสนอมัน นอกรอบการประชุมดังกล่าวอีกด้วย
โน้มน้าว และขายไอเดียกันชนิดเค้นจน หมดทุกหยดความคิด!

ความยากลำบาก ตรากตรำของสมาชิกในทีมทุกคน ที่ฝ่าฟัน ร่วมกันมา
ส่งผลลัพธ์อันน่าประทับใจ โครงการได้รับอนุมัติให้กลับมาพัฒนาเต็มตัว
ในเดือนเมษายน 1991 ความกดดันต่างๆ ค่อยๆคลี่คลายลง และนั่นก็
ทำให้ Odagaki ซึ่งกำลังพูดนำเสนอข้อมูลของ Odyssey ระหว่าง
งานแถลงข่าวเปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 1994 ในญี่ปุ่น
ถึงขั้น กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อนำเสนอบนเวที มาจนถึงประโยคที่ว่า
“…ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะ สมาชิกในทีมวิศวกรของผม….(…)….”

เหตุที่ทำให้ Odyssey ได้รับการสนับสนุนให้ผลิตออกขาย นั่นเพราะ
ความพยายามของ Odagaki ที่จะหาทางพัฒนา Minivan คันนี้ให้
มีต้นทุนถูกที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยใช้เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และ
อะไหล่ต่างๆรวมกับ Honda Accord แต่ยังต้องมีความอเนกประสงค์
และใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย สำหรับผู้โดยสารทั้ง 7 คน คล้ายกับ
เครื่องบินส่วนตัว ติดล้อ (Personal Jet) อันเป็นที่มาของ ชื่อย่อ
รหัสโครงการพัฒนาว่า PJ นั่นเอง!

Odyssey รุ่นแรก รหัสรุ่น RA1 – RA5 มีตัวถังยาว 4,750 มิลลิเมตร กว้าง
1,770 มิลลิเมตร สูง 1,645 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,830 มิลลิเมตร วาง
ขุมพลัง F22B บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 2,156 ซีซี หัวฉีด PGM-FI
ให้กำลัง 145 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม.
ที่ 4,600 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ มีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และ
4WD แบบอัตโนมัติ พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง
ไฮโดรลิค ระบบกันสะเทือนเป็นแบบ ปีกนกคู่ Double Wishbone ทั้งด้าน
หน้าและหลัง แต่เฉพาะมีเหล็กกันโคลง เสริมมาให้ ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรก
ทั้ง 4 ล้อ โดยรุ่นท็อป L จะมีระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Brake
System) หลังคา Sun Roof  ระบบนำทางผานดาวเทียม Navigation
System และถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับ SRS ติดตั้งมาให้เป็นพิเศษ

ทันทีที่เปิดตัว ช่วงแรกยอดขายยังฝืดๆอยู่นิดๆ เพราะลูกค้ายังไม่คุ้นเคย อาจ
เป็นเพราะใช้บรการ นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง The Adams Family เป็น
Presenter กันยกชุดทั้ง 7 คน แต่หลังจากนั้น ตัวเลขก็พุ่งพรวดพราด จนถึง
เดือนกันยายน 1997 Odyssey ก็มียอดขายสะสมรวมถึง 300,000 คัน และ
กลายเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ ที่สร้างสถิติทำยอดขายสู่ระดับเดียวกันนี้ ได้เร็ว
ยิ่งกว่า Honda Civic

ที่สำคัญก็คือ ยังคว้ารางวัล Japan Car of the Year 1994 (ในหมวด
Special Category) และ RJC Car of the Year พร้อมๆกัน ถือเป็น
รถยนต์หนึ่งในไม่กี่รุ่น ที่สามารถคว้ารางวัล 2 รายการรวด ทั้งที่ผู้จัดงาน
ทั้ง 2 ราย มักมีแนวคิดไม่ลงรอยกัน

และในปี 1996 Taxi and Limousine Commission (TLC) เทศบาล
เมือง New York ได้เลือกทดลองนำ Odyssey มาให้บริการในฐานะของ
รถ Taxi สีเหลือง (Yellow Cab) ควบคู่ไปกับ รถ Taxi ดั้งเดิม อย่าง Ford
Crown Victoria และ Chevrolet Caprice อีกด้วย ผู้โดยสาร และผู้ขับขี่
ส่วนใหญ่จะชื่นชอบในการเข้าออกที่สะดวกสบาย มองเห็นทางข้างหน้า
ปลอดโปร่ง และเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง

ไม่เพียงเท่านั้น Odyssey รุ่นแรก ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการความร่วมมือ
ของทั้ง Honda และ Isuzu ในช่วงยุคทศวรรษ 1990 โดยทาง Isuzu สั่งซื้อ
Odyssey ไปขาย จนถึงปี 1998 ในชื่อ Isuzu OASIS แม้จะไม่ประสบความ
สำเร็จมากนัก เพราะเป็นเพียงแค่การผลิตรถยนต์ป้อนให้ ในแบบ OEM (Original
Equipment Manufacturing) แต่ต้องถือว่า OASIS เป็น Minivan ขนาด
Mid-Size เพียงรุ่นเดียว ในประวัติศาสตร์ ของ Isuzu

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญ ของ Odyssey รุ่นแรก ที่ทีมวิศวกรรู้อยู่เต็มอก
ก็เกิดขึ้นจริง นั่นคือ ขนาดตัวถัง และห้องโดยสารของมัน เล็กเกินไปในสายตา
ลูกค้าชาวอเมริกัน ยิ่งเมื่อจอดขนาบข้างเปรียบเทียบกับคู่แข่งสำคัญ อย่าง
Chrysler Voyager แล้ว Odyssey รุ่นแรก แทบจะมีสถานะเป็นรถตู้
Minivan สำหรับ คนแคระไปเลยทีเดียว

——————-

ในที่สุด กลุ่มผู้บริหารของ Honda ก็เข้าใจปัญหา และเห็นช่องทางสร้าง
รายได้จากยอดขาย Minivan ในตลาด อเมริกาเหนือ จึงตัดสินใจ พัฒนา
Odyssey สำหรับตลาดกลุ่มนี้ ขึ้นมาเป็นพิเศษ ให้มีตัวถังใหญ่โตกว่ารุ่น
รุ่นมาตรฐาน ส่งไปผลิตที่โรงงาน Honda Of Canada ในเมือง Ontario
ทำตลาดในชื่อ Honda Odyssey เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1998 ก่อนจะ
ส่งกลับมาขายในญี่ปุ่น ด้วยชื่อ Honda Lagreat เปิดตัวในบ้านตัวเอง
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 1999

ตัวถังของ Lagreat ยาวสะใจถึง 5,105 มิลลิเมตร กว้าง 1,935 มิลลิเมตร
สูง 1,740 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,000 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ J35A
บล็อก V6 SOHC 24 วาล์ว 3,471 ซีซี หัวฉีด PGM-FI 205 แรงม้า (PS)
ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 30.2 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที

ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อม
เพาเวอร์ผ่อนแรง ไอโดรลิก ระบบกันสะเทือนหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัต มีเหล็กกัน
โคลง ด้านหลังเป็นแบบปีกนกคู่ ระบบเบรก หน้าดิสก์ หลังดรัม เสริมด้วยระบบ
ป้องกันล้อล็อก ABS และ ระบบกระจายแรงเบรก EBD

ทันทีที่ออกสู่ตลาดในสหรัฐอเมริกา ตัวเลขยอดขายก็กระโดดพุ่งพรวดจาก
ระดับ 20,819 คัน ในปี 1998 เพิ่มเป็น 77,801 คันในปี 1999 ก่อนจะ
เพิ่มเป็น 126,705 คัน ในปี 2000 และ 131,041 คัน ในปี 2001 พอ
ถึงปี 2002 ยอดขาย ก็ทะยานขึ้นไปเป็นระดับ 153,467 คัน ปี 2003
เพิ่มอีกนิดเป็น 154,063 คัน ขณะที่ปี 2004 อันเป็นปีสุดท้ายที่รุ่นนี้อยู่ใน
ตลาด ยังคงรักษายอดขาย ไปตามกระแสความต้องการรถตู้ Minivan
ในเขตอเมริกาเหนือ ได้ในระดับเท่าเดิม คือ 154,238 คัน สถานการณ์
ตรงกันข้ามกับตลาดญี่ปุ่น ที่ไม่นิยม รถตู้เครื่องยนต์ใหญ่โตขนาดนี้ ผลก็คือ
Lagreat ต้องถอนตัวออกจากตลาดบ้านตัวเองไป หลังทนขายได้ราวๆ 3 ปี

——————-

ส่วนรุ่นที่ 2 ของ  Odyssey สำหรับตลาดญี่ปุ่นและทั่วโลก ถูกพัฒนาควบคู่
ด้วยกัน และเปิดตัวในญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1999 ตามหลัง Lagreat
ใช้รหัสรุ่น RA6 – RA9 มีขนาดตัวถัง ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก เพราะถือว่า
เป็นการนำ Odyssey รุ่นแรก มาปรับปรุงข้อด้อยต่างๆ ให้หมดไป

มิติตัวถังยาว 4,770 และ 4,835 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 และ 1,800
มิลลิเมตร สูง 1,630 และ 1,655 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ ยาวเท่าเดิม
2,830 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ 2 ขนาด เหมือนเดิม ทั้งรหัส F23A
บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 2,253 ซีซี หัวฉีด PGM-FI 150
แรงม้า (PS) ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 21.0 กก.-ม. ที่
4,800 รอบ/นาที เชื่อมเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ

และ รหัส J30A บล็อก V6 SOHC 24 วาล์ว 2,997 ซีซี PGM-FI
210 แรงม้า (PS) ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 27.5 กก.-ม.
ที่ 5,000 รอบ/นาที เชื่อมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อมโหมด
+/- Honda S-Matic เป็นครั้งแรก และย้ายคันเกียร์ จากตำแหน่ง
คอพวงมาลัย มาติดตั้งที่แผงหน้าปัด อันเป็นตำแหน่งคันเกียร์ ที่ใช้กัน
ต่อเนื่องยาวนานมาจนถึง Odyssey รุ่นล่าสุดในทุกวันนี้ ทั้ง 2 แบบ
เลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ 4WD อัตโนมัติ Real Time

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิค ระบบ
กันสะเทือนหน้า – หลัง ยังคงเป็นปีกนกคู่ Double Wishbone มี
เหล็กกันโคลงหน้า คราวนี้ เฉพาะรุ่น ขับล้อหน้า จะแถมเหล็กกันโคลง
ด้านหลังมาให้ด้วย ระบบเบรกหน้าดิสก์ หลัง ดรัม พร้อม ABS กับ EBD

ในตลาดโลก รุ่นที่ 2 ของ Odyssey ยังคงประสบความสำเร็จอย่าง
ต่อเนื่อง และสร้างมาตรฐานใหม่ ให้กับตลาดรถยนต์ Minivan ขนาด
กลาง ของทั้งในญี่ปุ่น และตลาดเมืองไทย ต่อเนื่องจากรุ่นแรก

กระนั้น ทีมวิศวกร Honda ก็เกิดอยากลองเปลี่ยนแนวคิด เพื่อเอาใจ
กลุ่มลูกค้าชาย วัยทำงาน ที่เคยขับรถสปอร์ตขนาดเล็ก แต่เริ่มแต่งงาน
มีครอบครัว พวกเขาอยากได้รถตู้ ไว้เป็นรถคันที่ 2 ในบ้าน สามารถนำ
ไปตกแต่งให้ดูสวย เท่ ดุ แต่ยังต้องให้การขับขี่ที่มั่นใจ ไม่แพ้รถยนต์
Sedan หรือรถสปอร์ตขนาดเล็กที่พวกเขาใช้งานอยู่

——————-

นั่นจึงทำให้ Odyssey รุ่นที่ 3 รหัสรุ่น RB1 – RB2 เปิดตัวในญี่ปุ่น
เมื่อ 17 ตุลาคม 2003 ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งคัน บนพื้นตัวถังเดิม แต่
เมื่อดูจากภายนอกแล้ว กลับ ไม่เหลือเค้าโครงจากรุ่นเดิมเลย

จุดเด่นอยู่ที่การออกแบบตัวรถให้เป็น Minivan ทรงเตี้ย แบนราบ
จนดูใกล้เคียงกับรถยนต์ Sport Wagon 7 ที่นั่ง มากกว่าจะดูเป็น
Minivan แบบเดิมๆ ที่ทุกคนคุ้นเคย เน้นความกลมกลืนและโค้งมน
ด้วยแนวคิด LOW & WIDE BODY แต่เพื่อให้การลดความสูงของ
ตัวถังไม่ส่งผลกระทบต่อความสูงระหว่างศีรษะผู้โดยสารกับเพดาน ทีม
ออกแบบจึงลดความสูงพื้นห้องโดยสารลงอีกถึง 100 มิลลิเมตร เพื่อ
การเข้าออก ทำได้สะดวกขึ้น

หากเปรียบเทียบขนาดตัวถังกับรุ่นเดิมแล้วจะเห็นว่า รุ่นที่ 3 จะถูก
ลดความยาวลง 10 มิลลิเมตร เหลือ 4,765 มิลลิเมตร โดยลดระยะ
ห่างจากล้อหน้าจรดกันชนหน้าให้สั้นลง แต่หันไปเพิ่มความยาวจาก
ล้อคู่หลังจรดกันชนหลังแทน ส่วนความกว้าง ยังคงเท่าเดิม 1,800
มิลลิเมตร ขณะที่ความสูงจะลดลงถึง 80 มิลลิเมตร เหลือ 1,550
และ 1,570 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อ เท่าเดิม 2,830 มิลลิเมตร

ขุมพลัง ถูกเปลี่ยนมาเป็น ตระกูล K-SERISE ยกชุดมาจาก CR-V
กับ Accord G7 ในรหัส K24A บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
2,354 ซีซี หัวฉีด PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC แต่
มีให้เลือก 3 ระดับความแรง หากเป็นรุ่นขับล้อหน้า ทั้ง S M และ L
พร้อมเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT หรือรุ่น 4WD พร้อม
เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ S-MATIC จะแรงเท่ากัน 160 แรงม้า
(PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสงสุด 22.2 กก.-ม.ที่ 4,500
รอบ/นาที ซึ่งเป็นเครื่องเดียวกับเวอรน์ชันไทย ฝาครอบเครื่องยนต์
สีดำ ตัวอักษรสีดำ

แต่ในรุ่นตกแต่งเอาใจคนเท้าหนักเป็นพิเศษ Absolute จะแรงขึ้น
และมีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เท่านั้น มีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า
200 แรงม้า (PS) ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.7 กก.-ม.
ที่ 4,500 รอบ/นาที และรุ่นขับ 4 ล้อ 190 แรงม้า (PS) ที่ 6,800
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.2 กก.-ม.ที่ 4,500 รอบ/นาที ฝาครอบ
เครื่องยนต์ ทาตัวอักษรสีแดง

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิก ส่วน
ระบบกันสะเทือนหน้า – หลัง เปลี่ยนมาเป็นแบบ Double Wishbone
ปีกนกคู่ พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้า-หลัง ทั้งหมด ระบบห้ามล้อเป็น
ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ คู่หน้ามีรูระบายความร้อน พร้อม ABS และ EBD

การตอบรับ ในตลาดญี่ปุ่น ถือว่าเป็นไปด้วยดี มีลูกค้านิยมซื้อไปตกแต่ง
ในสไตล์ VIP เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะรุ่น Absolute ที่ขายดีพอสมควร
ส่วนในเมืองไทยนั้น เนื่องจากรุ่นนี้ ถูกสั่งเข้ามาขายในราคาที่สูงโดดจาก
รุ่นก่อน ทำให้ลูกค้าที่อุดหนุน ลดน้อยลงไป แต่ถือว่า แนวคิดการปรับลด
ความสูงของห้องโดยสารลงมา ถือว่าประสบความสำเร็จพอประมาณ แต่
ปัญหาของรภถรุ่นนี้ อยู่ที่ เสาหลังคาคู่หน้า บดบังทัศนวิสัยมากไป กะ
ระยะลำบากเอาเรื่อง

ขณะที่เวอร์ชันญี่ปุ่น เปิดตัวรุ่นที่ 3 ไปแล้ว ตลาดอเมริกาเหนือ ต้องรอกันจน
ข้ามไปถึงปี 2004 กว่าที่ รุ่นที่ 2 ของ Odyssey US.Version รหัสรุ่น
RL3 , RL4 จะเปิดตัวในวันที่ 2 กันยายน 2004 และออกสู่ตลาดพร้อมกันทั่ว
เขตอเมริกาเหนือ วันที่ 22 กันยายน 2004 ในฐานะ รถยนต์รุ่นปี 2005
ตัวรถทั้งคัน ถูกยกระดับจาก Lagreat ให้ใหญ่โตขึ้น เพื่อเพิ่มขนาดของ
ห้องโดยสารให้โอ่โถงขึ้น เอาใจชาวอเมริกันอย่างแท้จริง

ตัวถังยาว 5,133 มิลลิเมตร กว้าง 1,958 มิลลิเมตร สูง 1,778 มิลลิเมตร ระยะ
ฐานล้อ 2,999  มิลลิเมตร วางขุมพลัง V6 SOHC 24 วาล์ว 3,471 ซีซี หัวฉีด
อีเล็กโทรนิคส์ PGM-FI และระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC  244 แรงม้า (PS)
ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด มี 2 ระดับ คือ 240 และ 245 ฟุต-ปอนด์
(33.12 และ 233.81 กก.-ม.) ที่ 5,000 รอบ/นาที เท่ากัน ขับเคลื่อนล้อหน้า
ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง
แบบไฮโดรลิค ระบบกันสะเทือนหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลงหน้า
ด้านหลังแบบ Multi-Link ดิสก์เบรก 4 ล้อ คู่หน้ามีรูระบายความร้อน พร้อม
ระบบ ABS EBD และ Brake Assist

Odyssey U.S Version ต้องเผชิญการต่อสู้ ทั้งกับคู่แข่งชาวญี่ปุ่นด้วยกัน
อย่าง Toyota Sienna และ Nissan Quest ไปจนถึง เจ้าถิ่น Big Three
ทั้ง Chrysler Voyager , Ford Windstar , และ Minivan จาก GM แต่
ด้วยชื่อชั้น Honda ครองใจชาวอเมริกันมานาน ทำให้ Odyssey ทำยอดขาย
ได้ค่อนข้างดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดขายในปี 2005 อยู่ที่ 174,275 คัน พอถึง
ปี 2006 ยอดขาย Peak สุดๆ คือ 177,919 คัน พอถึงปี 2007 วิกฤติของ
เศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา เริ่มก่อตัวขึ้น จนตัวเลขเริ่มลดลงเล็กน้อย เหลือเพียง
173,046 คัน ปี 2008 ลดลงเหลือ 135,493 คัน แต่ปี 2009 นี่หนักสุดๆ
เพราะลดฮวบลงมาเหลือเพียงแค่ 100,133 คัน ขณะที่ปี 2010 ประคองตัว
ได้ด้วยตัวเลขพอกันกับปีก่อนหน้านี้ คือ 108,182 คัน

——————-

Odyssey International Version รุ่นที่ 4 ออกสู่ตลาดเมื่อ 16 ตุลาคม
2008 โดยยังคงยึด แนวทางการพัฒนาต่อเนื่องจากรุ่นที่ 3 นั่นคือ Low Floor
Driver’s Minivan แถมคราวนี้ ยังใช้บริการดารา Hollywood ชื่อดัง อย่าง
George Clooney เป็น Presenter ในภาพยนตร์โฆษณาสำหรับตลาดญี่ปุ่น

มิติตัวถังใกล้เคียงกับรุ่นที่ 3 เพิ่มความยาวขึ้นเล็กน้อยเป็น 4,800 มิลลิเมตร
กว้าง 1,800 มิลลิเมตร สูง 1,545 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,830 มิลลิเมตร
และยังคงวางขุมพลัง K24A บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,354 ซีซี หัวฉีด
PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC ตามเดิม แต่ถูกปรับปรุงให้แรงเพิ่มขึ้น
โดยยังคงมีให้เลือก 3 ระดับความแรง เหมือนเดิม หากเป็นรุ่นย่อย Li , L และ M
ทั้งรุ่นขับล้อหน้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT หรือขับเคลื่อน 4 ล้อ
พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ S-MATIC จะแรงเท่ากันที่ 173 แรงม้า (PS) ที่
6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.6 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที ซึ่งเป็น
ขุมพลังเดียวกับเวอร์ชันไทย

แต่ในรุ่นตกแต่งเอาใจคนเท้าหนัก Absolute จะยกระดับความแรงขึ้น หากเป็น
เป็นรุ่นถูกปรับปรุงให้แรงขึ้น และมีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เท่านั้น เหมือน
รุ่นที่ 3 มีทั้งรุ่นขับล้อหน้า 206 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
23.7 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที และรุ่นขับ 4 ล้อ 204 แรงม้า (PS) ที่
6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.5 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิก ส่วนระบบ
กันสะเทือนหน้า – หลัง ยังคงแบบปีกนกคู่ Double Wishbone พร้อม
เหล็กกันโคลงทั้งหน้า-หลัง ทั้งหมด ระบบห้ามล้อเป็น ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ
คู่หน้ามีรูระบายความร้อน พร้อม ABS และ EBD เหมือนรุ่นก่อนหน้านี้
ไม่ผิดเพี้ยน แต่ปรับเซ็ตให้เน้นเอาใจคนชอบขับรถมากกว่าเดิมนิดนึง

——————-

ส่วน Odyssey รุ่นที่ 3 สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ เผยโฉมครั้งแรกในฐานะ
รถยนต์ต้นแบบ ณ งาน Chicago Auto Show เมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2010
ก่อนเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริงอย่างเป็นทางการ เมื่อ 17 มิถุนายน 2010
เริ่มผลิต ที่โรงงาน Honda Manufacturing of Alabama (HMA) เมื่อ
31 สิงหาคม 2010 และ ส่งขึ้นโชว์รูมทั่วสหรัฐอเมริกา 9 กันยายน 2010
ถูกออกแบบขึ้นให้มีเส้นสายแตกต่างจากรุ่นเดิมไม่มากนัก เล่นระดับ
แนวขอบหน้าต่างด้านล่าง เล็กน้อย

ตัวถังใหญ่ขึ้นในทุกสัดส่วน เพิ่มความยาวขึ้น 20 มิลลิเมตร เป็น 5,153
มิลลิเมตร กว้างเพิ่มขึ้นเป็น 2.011 มิลลิเมตร ลดความสูงลงเหลือ 1,737
มิลลิเมตร แต่ระยะฐานล้อยังคงยาวเท่าเดิมคือ 2,999 มิลลิเมตร ติดตั้ง
เครื่องยนต์ V6 SOHC 24 วาล์ว 3,471 ซีซี หัวฉีด PGM-FI และระบบ
แปรผันวาล์ว i-VTEC เช่นเดิม แต่เพิ่มกำลังสูงขึ้นเป็น 248 แรงม้า (PS)
ที่ 5,700 รอบ./นาที แรงบิดสูงสุด 250 ฟุต-ปอนด์ (34.5 กก.-ม.) ที่
4,800 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยทางเลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ 5
จังหวะ หรือ อัตโนมัติ 6 จังหวะ พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน เพาเวอร์แบบ
ไฮโดรลิก ระบบกันสะเทือนหน้า แม็คเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหลกกันโคลง
ด้านหลังแบบ Multi-Link ดิสก์เบรก 4 ล้อ คู่หน้ามีรูระบายความร้อน
พร้อม ระบบ ABS EBD และ Brake Assist เหมือนรุ่นก่อนหน้านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายอดขายของ Odyssey เวอร์ชันอเมริกัน จะไปได้สวย
ด้วยตัวเลข 108,182 คัน ในปี 2010 ก่อนลดลงนิดๆ เหลือ 107,068 คัน
ในปี 2011 แล้วค่อยกลับขึ้นมาเป็น 125,980 คัน ในปี 2012 และเพิ่มอีก
เล็กน้อย ในปี 2013 เป็น 128,987 คัน จัดว่าขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของ
กลุ่มตลาด Minivan ในเขตอเมริกาเหนือ

แต่ยอดขายของ Odyssey เวอร์ชัน International นั้น กลับทำได้
ไม่ค่อยดีนัก ไม่ใช่แค่ในตลาดญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ในเมืองไทยเอง ก็ขายไม่ดี
เช่นกัน ด้วยการสั่งนำเข้าในช่วงปลายอายุตลาด แถมยังมีอุปกรณ์มาตรฐาน
ติดตั้งมาให้ น้อย จนหลายคนมองไม่เห็นความคุ้มค่า ทั้งที่เป็น Minivan
ขับสนุก รุ่นหนึ่ง เท่าที่ Honda เคยผลิตออกขายมา ทำให้ลูกค้าพากัน
เมินหน้าหนี Odyssey รุ่นที่ 4 ไปอย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อยอดขายของ Odyssey รุ่นที่ 4 และ Elysion ไม่ดีเท่าที่ควร Honda
จึงตัดสินใจกลับมาทบทวนแนวทางการทำตลาดรถตู้ของตน จนพบกับข้อเท็จจริงที่ว่า
ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา Honda มีรถตู้ขายอยู่ในตลาดญี่ปุ่นมาถึง 5 รุ่น ได้แก่ Freed ,
Freed Spike (นับรวมรุ่น Hybrid ของทั่ง 2 รุ่นด้วย) StepWGN (รวมรุ่น SPADA) ,
Odyssey (รวมรุ่น Absolute) และ Elysion (รวมรุ่น Prestige)

ถ้าเปรียบเทียบกับปริมาณรุ่นรถตู้ Minivan ของคู่แข่งอย่าง Toyota ที่มีทั้ง Noah /Voxy ,
Wish , Estima , Alphard , Vellfire หรือ Nissan ที่มีทั้ง LaFesta Highway Star ,
Serena , Elgrand แล้ว ต้องถือว่า Honda มี Minivan ทำตลาดในญี่ปุ่นเยอะมาก และการ
มีรุ่นรถยนต์ทำตลาดเยอะๆ ในประเภทเดียวกันนั้น อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

ดังนั้น Honda จึงตัดสินใจ ยุบรุ่น Elysion กับ Elysion Prestioge ทิ้งไป แต่ยกระดับ
Odyssey ขึ้นมา ให้เป็น Minivan รุ่นใหญ่สุดของตระกูลแทน เพื่อลดความสับสนของลูกค้า

นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนแนวทางการพัฒนา จากเดิมที่เคยเป็น Driver’s Minivan หรือรถยนต์
มินิแวน ที่เน้นเอาใจคนขับ สู่การเป็น Minivan สำหรับผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต และวาง
เป้าหมาย เน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าชาวจีนแผ่นดินใหญ่มากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนแนวทางการพัฒนา จากเดิมที่เคยเป็น Driver’s Minivan หรือรถยนต์
Minivan ที่เน้นเอาใจคนขับ สู่การเป็น Minivan สำหรับผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต ภายใต้
Keyword ที่ว่า “Next Multi Seater Saloon” หรือ รถยนต์นั่งแบบ Saloon ยุคใหม่
พร้อมเบาะนั่งที่ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย

Honda เปิดเผยความเคลื่อนไหวในการพัฒนา Odyssey ใหม่ รุ่นที่ 5 เป็นครั้งแรก
ด้วยการอวดโฉมรถยนต์ต้นแบบ Honda Concept M คันสีแดงข้างบนนี้ เปิดผ้าคลุม
ในงานแสดงรถยนต์ Auto Shanghai เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2013

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น หากเป็นตลาดเมืองจีน ก็ยังไม่ตื่นเต้นอะไรกันมากมายนัก แต่ในฝั่ง
ญี่ปุ่น นิตยสารรถยนต์ หลายฉบับ ต่างพากันตั้งข้อสงสัยว่า รถคันนี้ น่าจะเป็นต้นแบบ
ของ Odyssey รุ่นใหม่

เพียงแต่ว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะมีชุดไฟท้ายที่ มีงานออกแบบคล้ายคลึงกัน ทว่า
ไม่่ซับซ้อน และไม่มีรายละเอียดมากมายเท่าเวอร์ชันต้นแบบ และมีด้านหน้า สวยงาม
ลงตัว ไม่ดุดันเท่ารถต้นแบบ

หลังการพัฒนาสิ้นสุดลง Honda ก็พร้อมเผยโฉม Odyssey ใหม่ เวอร์ชันจำหน่ายจริง
สู่สายตาชาวโลก โดยเริ่มจากการเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่น อันเป็นตลาดหลัก เป็นแห่งแรก
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2013

จากนั้น ก็ถึงเวลาทะยอยเปิดตัวในตลาดส่งออกทั่วโลก โดย มาเลเซีย เป็นประเทศที่ 2
พวกเขาเปิดตัว Odyssey ใหม่ ก่อนหน้าเมืองไทย เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ด้วยการเปิด
เผยข้อมูล และตารางสเป็กต่างๆ อย่างละเอียดยิบ

ส่วนเมืองไทย Honda Automobile Thailand ปิดข่าวเงียบมาตลอด ว่าเตรียมสั่งรถตู้
รุ่นนี้กลับเข้ามาเปิดตลาด ในบ้านเราอีกครั้ง บอกเพียงแต่ว่า ช่วงปลายปี 2013 จะมี
การเปิตตัวรถยนต์นำเข้า จากประเทศญี่ปุ่นในงาน Motor Expo 1 รุ่น ต้องรอให้
ทาง Honda พาสื่อมวลชนไทยกลุ่มใหญ่ 34 คน ไปชมงาน Tokyo Motor Show
และลองขับ รถตู้รุ่นนี้ ที่สนาม Twin Ring Motegi ถึงจะเริ่มเปิดเผยว่า รถตู้รุ่นนี้
จะเปิดตัวอย่างฉับไว ทันใจ

เพียง 5 วัน หลังจากที่พวกเราทั้งหมดกลับถึงเมืองไทย Honda ก็นำ Odyssey
รุ่นที่ 5 นี้ ไปเปิดตัว อย่างเป็นทางการ ณ รอบสื่อมวลชน ของงาน Motor Expo
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2013 และได้รับความสนใจจากผู้คนในระดับใช้ได้

หลังจากนี้ ในปี 2014 Honda จะส่ง Odyssey ใหม่ ไปบุกตลาดจีนแผ่นดินใหญ่
อันเป็นเป้าหมายสำคัญอีกแห่งหนึ่ง นอกเหนือจากญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้ เท่ากับว่า
Honda ตั้งใจส่ง Odyssey ใหม่ ออกสู่ตลาดในฐานะ Minivan ขนาดใหญ่ เพื่อ
เศรษฐีชาวเอเซีย อย่างแท้จริง!

ตัวถังมีความยาว 4,830 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร สูง 1,695 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ ยาวถึง 2,900 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า และหลัง เท่ากันที่
1,560 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถนนถึงพื้นใต้ท้องรถ (Ground Clearance)
อยู่ที่ 150 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเปล่า ในรุ่น 2.4 E อยู่ที่ 1,792 กิโลกรัม แต่ในรุ่น
2.4 EL จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,860 กิโลกรัม

เมื่อเปรียบเทียบขนาดตัวถังกับ Odyssey รุ่นที่ 4 ซึ่งมีตัวถังยาว 4,800 มิลลิเมตร
กว้าง 1,800 มิลลิเมตร สูง 1,545 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,830 มิลลิเมตร จะพบว่า
รถรุ่นใหม่ ยาวขึ้นกว่าเดิม 30 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 20 มิลลิเมตร สูงขึ้น มากถึง 150
มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาวขึ้นถึง 70 มิลลิเมตร ทำให้มีพื้นที่ห้องโดยสารยาวขึ้นถึง
85 มิลลิเมตร เป็น 2,935 มิลลิเมตร และด้วยการเพิ่มความสูงของตัวรถ จึงทำให้
ห้องโดยสาร สูงขึ้นกว่าเดิมอีกถึง 105 มิลลิเมตร เป็น 1,325 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ภายนอก ถูกสร้างขึ้น ตามแนวทางการออกแบบใหม่ล่าสุดของ Honda
ที่พวกเขาเรียกว่า EXCITING H DESIGN!!! (ครับ เขียนไม่ผิด Honda เขาใส่
เครื่องหมายตกใจ อัศเจรีย์ มาให้ตั้ง 3 ตัว ทำไมก็ไม่รู้!) โดย เน้นให้มีเส้นสาย
ที่โฉบเฉี่ยว แต่แฝงความสุขุม ในรูปแบบ ที่เรียกว่า Solid Streamline

กระจังหน้าและชุดโคมไฟหน้า ออกแบบภายใต่แนวทาง Solid Wing Face
อันเป็นเอกลักษณ์ด้านหน้ารถแบบใหม่ที่ Honda เริ่มนำมาใช้บ้างแล้ว ในรุ่น
Accord Hybrid , Fit / Jazz ใหม่ รวมทั้ง City ใหม่ ที่เพิ่งจะเปิดตัวในไทย

ชุดไฟหน้า ในรุ่น E เป็นแบบโคม Projector ธรรมดา แต่ในรุ่น EL คันสีเงินนี้
ติดตั้งไฟหน้า แบบ LED ปรับลำแสงอัตโนมัติ แถมด้วยไฟส่องสว่างขณะแล่น
ในเวลากลางวัน Daytime Running Light (DRL) เป็นแถวไฟสีขาวนวล
LED ใต่ชุดไฟหน้า

นอกจากนี้ แถวไฟ DRL ยังรับหน้าที่เป็น ไฟส่องสว่าง ขณะเลี้ยว Active
Cornering Light (ACL) ซึ่งจะติดสว่างขึ้นมา หากคุณหมุนพวงมาลัยไปใน
ทิศทางใดก็ตาม เช่นหมุนพวงมาลัยไปทางซ้าย 90 องศา ไฟ LED ฝั่งซ้าย
จะสว่างขึ้น เพื่อช่วยให้เห็นทัศนวิสัยก่อนจะเลี้ยวรถ ในยามค่ำคืน

ไฟตัดหมอกคู่หน้า มีมาให้ครบทุกรุ่น แต่ไม่มีไฟตัดหมอกหลัง มาให้ ส่วน
ไฟเลี้ยวที่กรอบกระจกมองข้าง มีมาให้เป็นแบบ LED เช่นเดียวกับไฟหน้า

เปลือกกันชนด้านหน้า ของเวอร์ชันไทย ยกเอากันชนหน้าของรุ่น Absolute
ที่ขายอยู่ในญี่ปุ่น มาใส่ทั้งดุ้น เป็นช่องรับอากาศด้านหน้าแบบ 3 แถบโครเมียม
หนาๆ พร้อมเว้นช่องว่างตรงกลางของแถบล่างสุด ไว้ติดตั้งป้ายทะเบียนหน้า

ชุดไฟท้ายเป็นแบบ LED แอบเห็นความพยายามที่จะใส่เส้นสายจากชุดไฟท้าย
ของ BMW 5-Series F10 ใหม่ล่าสุด ชนิดยกมาทั้งกรอบด้านนอก และลวดลาย
ข้างในโคมไฟท้าย ทำออกมาได้สวย แต่อาจยังไม่ถึงขั้นเทียบกับ BMW ได้เป๊ะ

เหนือกรอบป้ายทะเบียนด้านหลัง จะเห็นแผงประดับตกแต่ง พร้อมตัวอักษรบอก
ชื่อรุ่น Odyssey อยู่ด้านใน เห็นแล้วก็แอบแปลกใจนิดๆ ว่า Honda ถึงขั้นกล้า
ทุ่มออกแบบให้ ตัวอักษรชื่อรุ่น เป็นแบบ นูน 3 มิติ แปะลงไปบนพื้นพลาสติกขุ่น
แล้วปิดทับด้วยพลาสติกใส เป็นยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่เพิ่มบุคลิกร่วมสมัย
ให้กับตัวรถได้อย่างดี

ล้ออัลลอย เป็นแบบ 5 ก้าน ปัดเงา ขนาด 17 นิ้ว x 7J สวมด้วยยาง Dunlop
SP Sport 270 ขนาด 215/55 R17 94W อันที่จริงแล้ว การใส่ล้อ 17 นิ้ว
มาให้ ก็คงเพราะต้องการทำต้นทุนราคาขายปลีกไม่ให้แพงเกินไป และมองถึงค่า
เปลี่ยนยางของลูกค้าในอนาคต แต่เอาเข้าจริงแล้ว ล้อ 18 นิ้ว ลาย 5 ก้านของ
รุ่น Absolute EX Top of the Line ที่จำหน่ายในญี่ปุ่น ก็แอบสวยลงตัวกว่า

การเข้า –  ออกจากตัวรถ ใช้กุญแจรีโมท แบบ Smart Key พกไว้กับตัว เดินเข้าใกล้รถ
ในระยะที่ตัวอ่านคลื่นสัญญาณจะทำงาน ดึงมือจับเปิดประตูได้เลยทันที และถ้าจะ
ออกจากรถ ก็แค่ปิดประตูแล้วกดปุ่มสีดำ บนมือจับเปิดประตู ฝั่งคนขับ แค่นั้น ระบบ
ก็จะล็อกรถให้เองทันที สัญญาณกันขโมย พร้อมระบบ Immobilizer จากโรงงานใน
ญี่ปุ่น ก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ

ถ้าจะเปิดประตูคู่หลัง ก็สามารถดึงมือจับเข้าหาตัว แล้วปล่อย เท่านี้ บานประตูคู่หลัง
ก็จะเปิดออกได้ทันที นอกจากนี้ สามารถกดสวิชต์ กดปุ่มสั่งและปลดล็อก ของประตู
ทุกบาน หรือแยกเปิดบานประตูคู่หลังของผู้โดยสาร ฝั่งซ้าย หรือขวา ได้อีกต่างหาก

การเข้า – ออกจากเบาะคู่หน้านั้น รุ่นเดิมก็ถือว่าสบายแล้ว รุ่นใหม่ยิ่งสบายกว่าเดิม
เพราะการยกตำแหน่งต่ำสุดของเบาะนั่งให้สูงขึ้นอีกนิดเดียว ช่วยให้ตำแหน่งเบาะ
รองนั่ง อยุ่ในระดับที่สะดวกต่อการหย่อนบั้นท้ายนั่งลงไปพอดีๆ

บานประตูคู่หน้า ออกแบบให้มีพื้นที่วางแขน บนแผงประตู ในระดับเหมาะสม
วางแขนได้จริง กำลังดี มีช่องวางขวดน้ำดื่ม ซึ่งมีกล่องวงกลม สำหรับเขี่ยบุหรี่
แถมมาให้ด้วย แต่อย่าหวังว่าจะใส่อะไรได้มากไปกว่า ขวดน้ำ หรือแก้วกาแฟ
รวม 2 ตำแหน่ง ต่อ 1 แผงประตู แค่นั้น

นอกจากนี้ ชายล่างของบานประตู ยังออกแบบให้ซ่อนพื้นที่กรอบประตูด้านล่าง
เหมือนเช่นที่พบได้ใน Mazda CX-5 กับ CX-9 ซึ่งช่วยให้การขึ้นลงจากรถ
ในวันที่ฝนตก จนเศษดินโคลน เลอะเต็มด้านข้างตัวรถ ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
เพราะขากางเกง หรือกระโปรง จะไม่มีทางไปโดนเศษฝุ่นโคลนข้างตัวรถอีก
เนื่องจากบานประตูด้านนอก รองรับและบังไว้ให้หมดแล้ว

ภายในห้องโดยสาร ออกแบบขึ้นภายใต้แนวคิด Modern Suite Room เน้นความ
สะดวกสบาย ระดับหรูหรา ให้สมกับฐานะผู้ครอบครอง ดุจห้องพักผ่อนในสไตล์
ร่วมสมัย บนคอนโดมีเนียมสุดหรูใจกลางเมือง มีสีภายในให้เลือก 2 สี ขึ้นอยู่กับ
สีตัวถังภายนอก

ถ้าเลือกสีตัวถัง เงิน ขาว และ น้ำเงิน จะได้ภายในห้องโดยสารสี ดำ แต่ถ้าเลือก
สีตัวถัง เป็นสีดำ จะได้ภายในห้องโดยสาร สีเบจ เพียงแบบเดียว

เบาะนั่งด้านคนขับ ปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ทั้งเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง
ปรับเอน ปรับระดับสูง – ต่ำ และปรับมุมเงยของเบาะทั้งชุด (ไม่ใช่แค่มุมเงยของ
เบาะรองนั่งเพียงอย่างเดียว) พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่ง 2 หน่วยความจำ
แถมเมื่อเปิดประตูรถเพื่อขึ้นไปนั่งขับ ระบบไฟฟ้าจะเลื่อนเบาะถอยหลังแบบ
Welcome Seat ให้ แต่คุณอาจต้องเลื่อนเบาะกลับไปยังตำแหน่งที่ปรับและตั้งค่า
หน่วยความจำเอาไว้ ด้วยตัวเองอีกครั้ง (เฉพาะรุ่น 2.4 EL) ส่วนเบาะนั่งผู้โดยสาร
ด้านหน้าปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้าได้ 4 ทิศทาง ปรับสูง – ต่ำ ไม่ได้ ทุกรุ่น

โครงสร้างคล้ายคลึงกับเบาะของ Accord G9 ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า พื้นผิวสัมผัส
ของหนัง นุ่ม ลื่น ลดความหยาบกระด้างจากเบาะของรุ่นเดิมลงไปชัดเจน แถมฟองน้ำ
ที่ซ่อนรูปอยู่ใต้พื้นผิวชั้นนอก ก็ยังนุ่มสบายขึ้น ช่วยให้พนักพิงหลัง นั่งสบายขึ้น ใน
ช่วงแรกๆที่ขึ้นขับขี่ ปีกข้างของเบาะ ยังคงรองรับสรีระช่วงท่อนแขน และบั้นเอวใน
ระดับใช้ได้ อย่างที่ควรเป็น การซัพพอร์ตหัวไหล่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี

เบาะรองนั่ง มีขนาดยาวกำลังดี ไม่สั้นจนเกินไป เพียงแต่มีลักษณะแบน ถ้าเปรียบกับ
Pizza ก็จะเหมือนแบบ แป้งบางนุ่ม ไม่ถึงกับบางกรอบ แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบแป้งหนานุ่ม
นั่งขับสัก 1 ชั่วโมงกว่าๆ พอได้ แต่ถ้านั่งนานกว่านั้น อาจต้องขยับตัวกันบ้างเป็นปกติ

แต่เสียดายที่ เบาะคนขับ ไม่มีสวิชต์ไฟฟ้า ปรับตัวดันหลังมาให้ ทำให้แผ่นหลัง
แอบจมลงไปกับพนักพิงเบาะอยู่นิดๆ ถ้านั่งขับนานๆ อาจเมื่อยเล็กๆ ได้ อีกทั้ง
พนักศีรษะ แม้จะมีฟองน้ำบุมาให้ เมื่อรวมกับพื้นผิวของหนังหุ้มเบาะแล้ว ให้
สัมผัสที่นุ่มสบายหัว เหมือนกับ พนักพิงของ Volvo S80 แต่ พนักศีรษะของ
เวอร์ชันไทย ทุกคัน ไม่สามารถปรับมุมการเอนได้ อย่างที่เวอร์ชันญี่ปุ่นมีให้

ส่วนพนักวางแขน แบบยกพับและปรับระดับสูง – ต่ำ ได้ตามต้องการ มาให้ ฝั่งละ
1 ตำแหน่ง วางแขนได้ในระดับสบายพอดีๆ เพียงแต่ว่า สำหรับเบาะฝั่งผู้โดยสาร
อาจพบว่า พนักพิงเหมือนจะอยู่สูงกว่านิดนึง เนื่องจากตำแหน่งเบาะ ปรับระบ
สูง – ต่ำไม่ได้

โครงสร้างฐานพลาสติกรองเบาะด้านล่าง ยกชุดมาจาก Accord G9 แต่ถูกเสริม
ความสูงด้วยขาตั้งยึดกับพื้นตัวถังอีกชั้นหนึ่ง ทำให้จุด Hip Point สูงขึ้นจาก
รถรุ่นเดิม ประมาณ 100 มิลลิเมตร เพื่อเน้นให้เข้า – ออก จากรถ ง่าย และ
มองเห็นด้านหน้ารถ ในมุมสูงได้ชัดเจนกว่ารถรุ่นเดิม

พื้นที่เหนือศีรษะ หายห่วง โปร่งและโล่งสบายเพิ่มขึ้นจาก Odyssey รุ่นก่อน
อย่างชัดเจน ในแบบที่กลับมาเป็นรถตู้ Minivan อย่างที่หลายคนคาดหวังเสียที

การเข้า – ออกจากบานประตูคู่หลังนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิม เพราะถือเป็น
ครั้งแรกที่ Honda นำประตูแบบบานเลื่อน ควบคุมการเปิด – ปิดด้วยสวิชต์ไฟฟ้า แบบ
One-Touch ทั้งที่มือจับประตูด้านนอกทั้ง 2 ฝั่ง และสวิชต์ ควบคุมที่ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ
มาติดตั้งให้ Odyssey กันเสียที หลังจากทนรอให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่นเรียกร้องกันมาหลายสิบปี!!

บานประตูเลื่อน เปิด – ปิดด้วยไฟฟ้า มีระบบ Jam Protection ดีดกลับได้เมื่อมีสิ่งกีดขวาง
อย่างไรก็ตาม ขอเตือนว่า ถ้าในกรณีที่ เจอเหตุการณ์ บานประตูเลื่อนค้าง ขณะเตรียมปิด
อย่าได้เอามือสอดเข้าไป เพื่อหวังจะขยับให้มันเลื่อนเด็ดขาด เพราะอาจโดนประตูหนีบ
นิ้วมือเข้าเต็มแรง ก่อนที่บานประตูจะดีดตัวกลับออกให้เอง อย่างที่ผมโดนอยู่ตอนนี้!
(ณ วันที่เขียนต้นฉบับนี้ นิ้วก้อยมือซ้ายของผม ถึงขั้นห้อเลือดแดงช้ำๆอยู่!)

กระจกหน้าต่าง ของบานประตูคู่หลัง เลื่อนลงได้ไม่สุดขอบล่าง แต่มี ม่านบังแดดซ่อนไว้
ในแผงประตู ให้ดึงขึ้นมาใช้งานได้ด้วยการเกี่ยวยึดไว้กับ ตะขอ มีมาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง

จุดเด่นอันถือเป็นจุดขายสำคัญของ Odyssey ใหม่ อยู่ที่การออกแบบให้ เบาะนั่งแถว 2
เป็นแบบ Cradle Seat แต่ในบ้านเราจเรียกว่า เบาะ First Class เพราะมันสามารถปรับ
ตำแหน่งได้เยอะพอกันกับเบาะนั่งชั้น First Class และ Bussiness Class ของเครื่องบิน
มีมาให้เฉพาะรุ่น 2.4 EL ตัวท็อป

เบาะนั่งแบบ First Class Seat นี้ สามารถปรับระดับแยกฝั่งอิสระ ซ้าย – ขวา ได้มากมาย
ตั้งแต่การปรับตำแหน่งเอน ลงจนสุด ได้ถึงระดับแบนราบ เลื่อนขึ้นหน้าหรือถอยหลัง ไปจน
สุดรางเลื่อน (แต่ต้องปรับเบาะให้ชิดกัน เพื่อหลบซุ้มล้อคู่หลังและพับเบาะแถวที่ 3 เก็บลง
ไปอยู่ใต้พื้นรถก่อน) ปรับองศาของพนักพิงหลังช่วงบน ให้รองรับกับต้นคอ ปรับเบาะรองขา
แบบ Ottoman ไว้วางท้องน่อง แม้กระทั่งระยะห่างของเบาะให้ชิดติดกัน หรือแยกห่าง
ออกจากกันได้มากถึง 10 ทิศทาง

บอกได้เลยว่า เบาะ Cradle Seat First Class ชุดนี้ นั่งสบายไม่แพ้ เก้าอี้ Lazy Boy
เลยทีเดียว และนั่งสบายกว่าเก้าอี้ชั้น Bussiness Class ของ สายการบิน Cathey
Pacific หรือการบินไทย ในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ

พนักพิงศีรษะ ไม่รู้ว่าทำไมต้องออกแบบให้ใหญ่หนาขนาดนี้ กระนั้น มันก็รองรับ
ศีรษะและช่วงต้นคอได้อย่างสบายๆ พอดีๆ หนุนช่วงต้นคอไว้ให้อีกต่างหาก ฟองน้ำ
ที่เสริมอยุ่ข้างใน นุ่มสบายกำลังดีมากๆ ขณะที่การรองรับช่วนหัวไหล่ กลางหลัง และ
บั้นท้าย ทำได้ดีมากๆๆๆ อาจมีช่วงเหนือกลางหลังขึ้นไปเล็กน้อย ที่น่าจะสบายได้อีก
มากกว่านี้ แต่เพราะการออกแบบให้ พื้นที่รองรับบริเวณช่วงไหล่ สามารถพับโน้มขึ้นมา
ด้านหน้าได้อีก จึงทำให้จำเป็นต้องออกแบบ ร่องตรงกลางบนพนักพิงหลังไว้แบบนั้น

ขณะเดียวกัน เบาะรองนั่ง สำหรับผม นั่งสบายพอดีๆ แต่สำหรัคนที่มีช่วงขายาว อาจ
บ่นว่า สั้นไปนิดหน่อย และต้องใช้ เบาะรองท้องน่อง Ottoman ยกขึ้นมา ช่วยรองรับ
ให้เกิดความสบายในการโดยสาร อีกแรงหนึ่ง

ตำแหน่งพนักวางแขน วางได้พอดีๆ ปรับยก และล็อกตำแหน่งได้สบาย ตามใจ
ผู้โดยสารใช้ได้เลย แถมการปรับหรือพับเลื่อนเบาะ ยังทำได้สะดวก สบาย ทันใจ
ด้วยระบบคันโยก ในทุกตำแหน่ง ซึ่งผมว่า รวเร็วดีกว่าการใช้ระบบไฟฟ้า ซึ่งอาจ
เพิ่มความหรหราไฮโซ แต่การใช้งานจะยืดยาด ไม่ทันใจ แถมยังต้องเพิ่มเงิน
ค่าชุดระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ต่างๆ เข้ามาทำให้ชุดเบาะมีมูลค่าแพงโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น การใช้เบาะกลไกปรับด้วยมือแบบนี้ ถือว่า มาถูกทางแล้ว

แถมยังมีการปูพรมค่อนข้างหนา บนพื้นห้องโดยสาร เพื่อเพิ่มความหรูหรา
ให้สัมผัสราวกับนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน กันเลยทีเดียว

ยืนยันเลยครับว่า นี่คือ เบาะนั่ง แถว 2 ที่ดีที่สุด นั่งสบายที่สุด เท่าที่ Honda
เคยสร้าง และติดตั้งในรถยนต์นั่งของตนมา มันดีกว่าเบาะนั่งของ Legend และ
แม้แต่ เบาะนั่งของ Elysion รุ่นเดิม ก็ยังไม่อาจนั่งสบายได้เท่านี้มาก่อนเลย

ผมเอง ยังเผลอนอนหลับบนเบาะแถว 2 อยู่ หลายครั้ง ตลอดเวลาที่ยืมรถคันนี้
มาใช้ชีวิตร่วมกัน มีอยู่คืนนึง เผลอหลับไปตอน ตี 1 กว่าๆ ตื่นมาอีกที ตี 3 ครึ่ง
ท่ามกลางสภาพอากาศเย็นสบายกำลังดี ก็ไม่รู้สึกเพลีย หรืออึดอัดๆใดทั้งสิ้น

แต่ถ้าคุณคิดว่า เบาะแถว 2 นั้น เทพสุดแล้ว ขอแนะนำว่า ลองดึงคันโยก เลื่อน
ชุดเบาะแถวกลาง โน้มมาข้างหน้า แล้วลองเดินขึ้นไปสำรวจพื้นที่นั่งของเบาะ
แถว 3 กันก่อนแล้วคุณจะชื่นชอบ!

เบาะนั่งแถวที่ 3 มีเบาะรองนั่ง ชิ้นเดียว แต่ตัวพนักพิงหลังนั้น แยกฝั่งปรับเอนได้ถึง
3 ตำแหน่ง และ 6 ระดับมุมเอน ดูเผินๆเพียงผ่านๆ ก็ไม่น่าจะแปลกไปจากเบาะนั่ง
แถว 3 ในรถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่งทั่วไป แต่ถ้าคุณคิดเช่นนั้นอยู่ละก็ คุณคิดผิด!

ขอยืนยันว่า นี่คือ เบาะนั่งแถว 3 ที่มีโครงสร้างเบาะ นั่งสบายที่สุด เท่าที่ผมเคยเจอมา!
ในบรรดารถยนต์ แบบ 3 แถวที่นั่ง ทุกรุ่น ทุกประเภท ตั้งแต่ Minivan ยัน SUV! เพราะ
พนักพิงหลัง เหมือนจะแบน แต่จริงๆแล้ว ฟองน้ำ นุ่มและรองรับแผ่นหลังได้สบาย
ไม่แพ้เบาะแถวอื่นเลย เบาะรองนั่ง ก็มีมุมเงยมากพอจะรองรับช่วงต้นขา ได้ดี แถมยัง
นุ่มสบาย เหมือนกัน อีกต่างหาก

พื้นที่วางขา จะเหลือมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความกรุณาปราณี ของผู้โดยสารแถวกลาง
ว่าจะเมตตาคุณ ด้วยการเลื่อนเบาะนั่งขึ้นไปข้างหน้า จนเหลือเพื้นที่มากพอให้คุณลอง
นั่งไขว่ห้างได้ หรือว่าหมั่นไส้ขี้หน้าคุณ จนต้องโยกเลื่อนเบาะนั่ง ถอยร่นมาให้แนบชิด
กับเบาะแถว 3 มากที่สุด จนคุณวางขาไม่ได้เลย

แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าคนที่มีสรีระร่างใหญ่โตระดับ ตาแพน Commander CHENG ของเรา
(140 กิโลกรัม) ยังมุดเข้าไปนั่งเบาะแถว 3 ได้สบายๆ ดังนั้น ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วครับ!

น้องต๊อบ Philozophy สมาชิก The Coup Team ของเรา ลองนั่งบนเบาะแถว 3
พบว่า การรองรับทำได้ดีมากๆ อาจจะมีการเด้งจนตัวลอยขึ้นมานิดๆ เวลาที่รถต้องเจอ
คอสะพาน แต่ ตัวเบาะก็ยังรองรับไม่ให้ผู้โดยสารรหลุดจากเบาะในขณะเข้าโค้งหนักๆ
แถมยังมี มือจับยึดเหนี่ยวจิตใจ (ที่พวกเราในทีมมักเรียกว่า “ศาสดา”) ไฟอ่านหนังสือ
LED บนเพดาน พร้อมช่องแอร์ วงกลม 2 ช่อง ทั้งฝั่งซ้าย-ขวา สำหรับให้ความเย็นกับ
ผู้โดยสาร แถว 3 เหมือนเช่น ช่องแอร์ และไฟอ่านหนังสือของผู้โดยสารแถวกลาง
อีกด้วย!

ส่วนผนังด้านข้าง ออกแบบให้เป็นพื้นที่วางแขน บุด้วยหนัง พร้อมด้ายเย็บอย่างดี
เหมือนแผงประตูคู่หน้าสุด ฝั่งซ้าย จะมีช่องเสียบปลั๊กไฟ 12V แบบ เต้ารับวงกลม
สำหรับเครื่องเล่นเกมส์แบบพกพา แต่ฝั่งขวา จะเว้นไว้เป็นช่องวางลูกอม ส่วนช่อง
วางแก้ว ก็มีมาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง ในขนาดที่คุณสามารถใส่โทรศัพท์มือถือ Samsung
Galaxy Note 3 ลงไปได้พอดีๆ!

พื้นที่เหนือศีรษะ เหลือเฟือครับ ขนาดสรีระร่างอย่างผผม ขึ้นไปนั่งเบาะแถว 3 ยังมี
เนื้อที่ด้านบน เหลืออีกถึง 1 ฝ่ามือในแนวนอน กว่าจะแตะเพดานหลังคา

เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะแถว 3 เป็นแบบ ELR 3 จุด ทั้ง 3 ตำแหน่ง เช่นกัน แต่จะมี
สายเข็มขัดกลางของผู้โดยสารตรงกลาง เท่านั้น ที่สามารถพับม้วนและเก็บซ่อนขึ้นไป
บนช่องเก็บสายเข็มขัดที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ บริเวณเพดานหลังคา ด้านหลังสุด

ข้อที่ควรปรับปรุง สำหรับเบาะแถว 3 มีแค่ประเด็นเดียวจริงๆ คือ พนักศีรษะ เป็นรูปตัว
L คว่ำ มีขนาดยาวไปนิดนึง ต้องยกขึ้นมาจึงจะใช้งานได้โดยไม่ทิ่มตำต้นคอ แถมยังมี
ล็อกระดับความสูงได้เพียงแค่ตำแหน่งเดียว คือตำแหน่งสูงสุด เท่านั้น เมื่อยกขึ้นมา
ใช้งาน ขอบด้านล่าง ก็ทิ่มเข้ากับต้นคอของผมอยู่ดี ทางแก้ก็คือเฉือนขอบด้านล่างออก
ทิ้งไปสัก 1-2 เซ็นติเมตร แค่นั้น ก็จะได้ พนักศีรษะรูปที่ใช้งานได้สบายอย่างที่ควรเป็น

นอกจากนี้ เบาะแถว 3 ยังสามารถพับพนักพิงหลังได้ ในอัตราส่วน 40 : 20 : 40 แต่
เบาะรองนั่ง ยังคงเป็นชิ้นเดียวกัน

Honda ยังคงออกแบบให้ ขอบด้านล่างของช่องทางเข้าห้องเก็บสัมภาระ ของ Odyssey
ใหม่ อยู่ในระดับต่ำและเตี้ย เช่นเดียวกับ StepWGM Spada ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกใน
การขนย้ายข้าวของต่างๆ เข้า-ออกจากรถ อย่างมาก เช่นเคย

การพับเบาะ ต้องเปิดบานประตูห้องเก็บของกันก่อน ใช้สลักล็อกไฟฟ้า มีช็อกอัพไฮโดรลิก
ขนาดใหญ่ 2 ต้น ค้ำยันไว้ บริเวณกระจกบังลมหลัง มีไล่ฝ้า และใบปัดน้ำฝนหลัง พร้อม
ที่ฉีดน้ำล้างกระจกมาให้ ควบคุมจากก้านสวิชต์ใบปัดน้ำฝนตรงคอพวงมาลัย ร่วมกับชุด
ใบปัดน้ำฝนคู่หน้า แต่ไม่มีระบบปิดประตูด้วยสวิชต์ไฟฟ้าแต่อย่างใด

มีไฟส่องสว่างดวงเล็กมาให้ ทั้ง ที่แผงประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ที่บุด้วยแผงพลาสติก
พร้อมมือจับดึงปิดประตูลงมา ติดตั้งอยู่ฝั่งขวา และผนังฝั่งซ้ายด้านหลัง ผู้โดยสารแถว 3

พื้นห้องเก็บของออกแบบมาเป็นแอ่ง สะดวกต่อการวางกระเป๋าเดินทาง แม้ว่าเบาะนั่ง
แถว 3 จะถูกยกขึ้นมาใช้งานก็ตาม ปกติแล้ว แอ่งนี้ มีไว้เพื่อพับเก็บเบาะนั่งแถว 3
นั่นแหละ!

วิธีการพับเบาะแถว 3 นั้น เหมือนกับ StepWGN ทุกประการ เริ่มจากดึงห่วงเชือกบริเวณ
ไหล่พนักพิงทั้ง 3 ชิ้น เพื่อปลดล็อกและพับพนักพิงลงไป จากนั้น ยกมือจับปลดล็อกซึ่ง
อยู่ตรงกลาง ด้านหลัง ใต้เบาะแถว 3 รวมทั้ง ดึงเชือกที่ช่วยให้คุณดึงรั้งชุดเบาะสะดวกขึ้น
พร้อมกัน เบาะจะตีลังกาหงายหลัง ลงมายังช่องว่างใต้พื้นห้องโดยสาร จากนั้นก็ค่อยเอา
สายสลักตะขอเหล็ก สีแดง เกี่ยวยึดไว้ในตำแหน่งที่มีให้ เพื่อล็อกเบาะไว้ เพียงเท่านี้
คุณก็สามารถตั้งวงเล่นไพ่ป็อกเด้ง กันได้สบายๆ

แต่ถ้าจะดึงเบาะนั่งขึ้นมา ก็ย้อนขั้นตอนในย่อหน้าข้างบน กลับขึ้นไปใหม่ ด้วยการ
ปลดตะขอล็อก แล้วยกชุดเบาะหงายกลับคืนมายังตำแหน่งเดิม จากนั้น เอื้อมไปดึง
สลักล็อกพนักพิงเบาะ ให้ยกขึ้นมาในตำแหน่งที่ต้องการ ทั้ง 3 ชิ้น แค่นั้นเอง

ใครจะถามหายางอะไหล่ โรงงานที่ญี่ปุ่น ไม่ได้ใส่มาให้นะครับ แต่มชุดปะยางแถมมา
ให้แทน ปกติแล้ว จะติดตั้งซ่อนอยู่ในผนังฝั่งซ้าย ของเบาะแถว 3 ให้แกะผนังพลาสติก
ออกมาก็จะพบ ดึงออกมาใช้งานได้ทันที

อย่างไรก็คาม น่าเสียดายว่า ฟังก์ชันการพับเบาะแถว 3 ซ่อนลงไปเป็นพื้นห้องเก็บของ
ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ถูกถอดออกไปจาก Odyssey ใหม่แล้ว

แผงหน้าปัด ถูกออกแบบขึ้นใหม่ ลดความล้ำอนาคต จากรุ่นที่ 3 และ 4 มาเป็นแผงหน้าปัด
ที่หรูหรา สง่างาม และใช้งานง่ายขึ้น ช่องแอร์คู่กลาง ที่ขนาบข้างหน้าจอมอนิเตอร์พร้อม
ชุดเครื่องเสียง นั้น แอบทำให้คิดไปว่า มันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ ช่องแอร์คู่กลาง บน
แผงหน้าปัดของ ทั้ง Nissan Teana J32 รุ่นที่แล้ว และ Honda Accord G9 รุ่นล่าสุด

แผงหน้าปัด ถูกประดับด้วย Trim ลาย หินอ่อน สีเทาดำ ดูหรูหรา บุด้วยวัสดุสังเคราะห์
แอบนุ่มนิดๆ แต่ เส้นด้ายที่ขลิปตามขอบนั้น เป็นแบบพลาสติกกัดลายขึ้นรูป (ขณะที่
แผงประตู จะใช้หนังและด้ายจริงในการเย็บขึ้นรูป)

มองขึ้นไปด้านบน จะพบ แผงบังแดด มีกระจกและไฟส่องแต่งหน้าพร้อมฝาพับมาให้
จากโรงงาน ทั้ง 2 ฝั่ง หุ้มด้วยผ้าอย่างดี กระจกมองหลัง ติดตั้งยึดกับกระจกบังลมหน้า
เป็นแบบตัดแสงด้วยมือ

คั่นกลางด้วยไฟส่องอ่านแผนที่ และไฟส่องสว่างในรถด้านหน้า ประดับด้วยโครเมียม
ให้ดูหรูกว่ารถยนต์ทั่วๆไป มีกล่องเก็บแว่นกันแดด เปิดออกมา ภายในบุด้วยวัสดุกันลื่น
คุณจะพบกระจกโครเมียม เพื่อส่องดูผู้โดยสารบน เบาะแถวหลังได้ แบบเดียวกันกับ
ที่คุณจะพบได้ใน Honda CR-V รุ่นปัจจุบัน ไฟส่องแผนที่ แอบใช้งานยาก เมื่อเทียบ
กับ Honda รุ่นใหม่คันอื่นๆ เพราะ ต้องกดปุ่มขนาดเล็ก แทนยที่จะกดลงไปบนตัว
ไฟส่องแผนที่ได้เลย

จากฝั่งขวา เลื่อนเข้ามาทางซ้าย

แผงประตูด้านข้าง มีสวิชต์ ปรับและพับกระจกมองข้างไฟฟ้า กระจกหน้าต่างไฟฟ้า
ทั้ง 4 บาน พร้อมระบบ One Touch เลื่อนขึ้น หรือลง ด้วยการกด หรือยกนิ้วจนสุด
เพียงครั้งเดียว ใกล้มือจับเปิดประตู มีสวิชต์ จำตำแหน่งเบาะคนขับปรับไฟฟ้าให้
2 ตำแหน่ง

น่าสังเกตว่า รถคันนี้ เมื่อเปิดประตูหน้าบานขวา เบาะนั่งฝั่งคนขับ จะเลื่อนถอยหลัง
ให้เองโดยอัตโนมัติ เป็นแบบ Welcome Seat แต่ กลับไม่ยอมเลื่อนขึ้นมาข้างหน้า
ในตำแหน่งที่ผมปรับตั้งไว้ อย่างที่ควรเป็น  ต้องกดปุ่ม 1 ตามตำแหน่งเบาะที่ set ไว้
ให้เลื่อนกลับขึ้นมาเองอีกครั้ง…ไม่สะดวกเลย!

คันโยกเปิดฝาถังน้ำมัน และฝากระโปรงหน้า เรียงลำดับกัน ติดตั้งอยู่ที่ผนังซุ้มล้อ
ฝั่งขวามือ ต้องก้มลงไปดูสักหน่อย เพราะติดตั้งในตำแหน่งที่แปลกไปจากคุ้นเคย

ใต้ช่องแอร์ฝั่งคนขับ มีสวิชต์ ECON สีเขียว กด เพื่อให้สมองกลเกียร์ สั่งเปิดลิ้นเร่ง
น้อยลง จากปกติ เพื่อช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันมากขึ้น (ตามแนวคิดของวิศวกร
Honda ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงเสมอไป)

ติดๆกัน เป็น สวิชต์ เปิด – ปิด ประตูบานเลื่อนไฟฟ้า ทั้ง 2 ฝั่ง พร้อมสวิชต์ เปิด – ปิด
การทำงานของสวิชต์ทั้ง 2 ปุ่มนี้ แถวล่างลงมา เป็นปุ่มปิดระบบควบคุมเสถียรภาพ
เมื่อเริ่มเสียการทรงตัว VSA (Vehicle Stability Assist) และปุ่มเปิด – ปิด ระบบสั่ง
ดับและติดเครื่องยนต์อัตโนมัติ ขณะจอดรอสัญญาณไฟจราจร idling Stop

ใช่ครับ Odyssey ใหม่ เวอร์ชันไทย ติดตั้งระบบ Idle Stop มาให้ด้วย ถ้าคุณขับรถ
มาชะลอจนหยุดนิ่งที่สี่แยก แค่เหยียบเบรกลึกสุด ระบบนี้จะสั่งตัดการทำงานของ
เครื่องยนต์ เพื่อไม่ต้องให้เครื่องยนต์เดินเบาทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ และถ้าคุณ
ถอนเท้าขวาจากแป้นเบรก เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาเองอีกครั้ง เพื่อพร้อมออกรถ

พวงมาลัยของทั้ง 2 รุ่น เป็นแบบ 4 ก้าน ปรับระดับ สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่างจาก
ผู้ขับขี่ได้ครบทุกรุ่น ยกชุดมาจาก พวงมาลัยของ Accord G9 รุ่นล่าสุด หุ้มหนังชั้นดี
พร้อมฝีเย็บจริง แต่ไม่ได้ประดับด้วยลายไม้แบบ Accord

สวิชต์ของระบบต่างๆ บนก้านพวงมาลัย เป็นแบบแป้นวงกลม ง่ายต่อการขยับนิ้วเพื่อ
ใช้งานมากขึ้น เหมือนทั้ง Civic CR-V และ Accord ใหม่

ก้านพวงมาลัยด้านบน ฝั่งซ้าย เป็นชุดสวิชต์ควบคุม เครื่องเสียง และหน้าจอมอนิเตอร์สี
ก้านพวงมาลัยด้านบน ฝั่งขวา รุ่น 2.4 ลิตร ควบคุมระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control

ก้านพวงมาลัยด้านล่าง ฝั่งซ้าย เป็นชุดสวิชต์ควบคุม ระบบโทรศัพท์ Bluetooth ส่วน ก้าน
พวงมาลัยฝั่งล่าง ขวา ควบคุมการทำงานของจอแสดงข้อมูล MID บนชุดมาตรวัด ทั้งหมด
มีหน้าตาเหมือนพวงมาลัย ของ Accord G9 รุ่น 2.4 TECH ทุกประการ!

นอกจากนี้ รุ่น 2.4 ลิตร ทั้ง 3 รุ่นย่อย จะมีแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift
มาให้ ทำงานไวตามสั่ง ทั้งฝั่งบวก หรือลบ ใช้การได้ดีมาก

ณ คอพวงมาลัย ก้านสวิชต์ไฟเลี้ยว ไฟหรี่ ไฟหน้า และไฟสูง อยู่ฝั่งขวา มีระบบเปิด
ไฟหน้าเองอัตโมัติ ถ้าสภาพแสงภายนอกเริ่มมืดลง หรือขับเข้าอุโมง ปรับไปที่ AUTO
เมื่อดับเครื่องยนต์ ไฟหน้าจะยังติดสว่างอยู่ อีกราวๆ 30 วินาที แบบ Follow Me Home
เพื่อส่องให้คุณเห็นสภาพพื้นที่จะต้องเดินไปข้างหน้า หรือเพื่อเข้าบ้าน

มีปุ่มบนหัวก้านสวิชต์ไฟหน้า กดลงไป เพื่อดูภาพจากกล้อง CCD ขนาดเล็ก รอบคัน
เพื่อความสะดวกขณะถอยเข้าจอด กล้องจะถ่ายทอดภาพ เฉพาะช่วงความเร็วต่ำๆ
เท่านั้น เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง กล้องจะไม่ทำงาน

ส่วนก้านสวิชต์พวงมาลัยฝั่งซ้าย เป็นระบบใบปัดน้ำฝน ตั้งหน่วงเวลาอัตโนมัติ และ
ควบคุม ใบปัดน้ำฝันด้านหลัง พร้อมที่ฉีดน้ำด้านหลังในตัว

สวิชต์ ติดเครื่องยนต์ เป็นแป้นวงกลมสีแดง ยกมาจาก Civic ใหม่นั่นแหละ ติดตั้งอยู่
ฝั่งซ้ายของพวงมาลัย แต่เป็นฝั่งขวา ติดกับ แผงควบคุมเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ
หนือขึ้นไป เป็นสวิชต์ไฟฉุกเฉิน ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งานที่สุด
เท่าที่จะเป็นไปได้

คันเกียร์ ติดตั้งบนแผงหน้าปัด ติดกับแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ แบบ Touch Pad
ยังคงอยู่ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการใช้งาน เช่นเดียวกับ บรรดา Minivan จาก Honda
รุ่นอื่นๆ ซึ่งติดตั้งตำแหน่งคันเกียร์ ไว้ตรงนี้ เหมือนกัน

ระบบเบรกมือ เป็นแบบ เบรกจอด (Parking Brake) ใช้แป้นเหยียบฝั่งซ้ายสุด
กดลงไปจนจมมิด เพื่อล็อกเบรกหลังไว้ แต่ถ้าจะปลดระบบ ก็เหยียบแป้นเดิม
ซ้ำลงไปอีกครั้งหนึ่ง แป้นจะคลายตัวยกขึ้นมา เป็นอันเรียบร้อย

มาตรวัดแสดงข้อมูลถูกออกแบบขึ้นใหม่ ให้มีมาตรวัดความเร็วขนาดใหญ่สุด ตั้งอยู่
ตรงกลาง มีจอแสดงข้อมูล Multi Information Display ฝังอยู่ บอกข้อมูลระยะทาง
ได้ทั้ง Trip Meter A หรือ Trip Meter B พร้อมค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ของ
ทั้ง 2 Trip (เลือกกดเซ็ต 0 ได้บนสวิชต์ ที่ยื่นออกมาจากมาตรวัด) นอกจากนี้ ยังแสดง
ข้อมูลของระยะเวลาที่ใช้ กว่าจะไปถึงจุดหมาย ระยะทางที่ปริมาณน้ำมันในถังจะ
เหลือพอให้แล่นต่อไปได้ กี่กิโลเมตร รวมทั้ง เป็นจอแจ้งเตือนลืมปิดประตู เตือน
ลืมคาเข็มขัดนิรภัย ฯลฯ แสดงระบบ Auto Start/Stop การเลือกแสดงข้อมูล ให้กด
ปุ่มที่บริเวณใต้ก้านพวงมาลัยฝั่งขวา

ฝั่งซ้ายของมาตรวัดความเร็วคือ มาตรวัดรอบ คราวนี้ให้มาเป็นแถบแนวนอน ซึ่งผมว่า
ไม่เข้าท่าเลย เพราะมันอ่านยากมากๆ ตอนขับรถเดินทางด้วยความเร็วเกินกว่า 30 – 40
กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป เหมือนกับมาตรวัดรอบของรถยนต์รุ่นเก่าๆ ที่เริ่มใช้หน้าปัด
Digital ยุคแรกๆ ในบ้านเรา ช่วงปี 1985 กันเลยทีเดียว  กว่าจะรู้ว่า แต่ละแถบที่โผล่
ขึ้นมาบนมาตรวัดรอบนั้น ตีได้ว่า เฉลี่ย ขีดละ 250 รอบ/นาที ที่เพิ่มขึ้น แต่ต้องใช้
สมาธิ และสติในการละสายตาจากพื้นถนนไปเพิ่งดู ซึ่งค่อนข้างอันตรายอยู่มาก

ถัดลงมาเป็น นาฬิกา Digital และไฟบอกตำแหน่งเกียร์ เหนือมาตรวัดรอบข้นไป เป็น
ไฟสัญลักษณ์ ใบกัญชา ที่จะสว่างขึ้นเมื่อคุณกดปุ่ม ECON Mode สีเขียว

ฝั่งขวาของมาตรวัดความเร็ว มีแค่แถบมาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง และ
ไฟสัญญาณของระบบต่างๆ และระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control
โดยไม่มีมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นมาให้ มีเพียงแค่ไฟเตือนรูปปรอทอุณหภูมิ
ใกล้กับปุ่ม Reset ข้อมูล จะขึ้นสีฟ้า เมื่อน้ำหล่อเย็น ยังไม่ร้อนถึงระดับอุณหภูมิ
ทำงานของเครื่องยนต์ และจะขึ้นเป็นไฟสีแดง เมื่อเตือนว่า น้ำหล่อเย็น ร้อนไป
จนจะเกิดอาการ Overheat แล้ว ทั้งที่จริงๆแล้ว รถยนต์ระดับนี้ ไม่ควรงกกับแค่
มาตรวัดน้ำหล่อเย็นมาให้เลย

ด้านบน ของทั้ง 2 แถบ มีแถบสีเปลี่ยนแสงพิสดาร มาให้ดูเล่นกันอีกแล้ว
ถ้าเหยียบคันเร่งน้อยๆ แถบสีเขียวจะสว่างขึ้น แสดงว่า กำลังขับรถได้ใน
แบบเน้นความประหยัดน้ำมัน แต่ถ้าเป็นแถบสีฟ้าสว่างขึ้น แสดงว่า คุณ
กำลังเหยียบคันเร่งมาก เรียกพละกำลังจากรถมาก

ลิ้นชักใส่ของ บนแผงหน้าปัดฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย มีขนาดใหญ่พอประมาณ
เท่าๆกับรถยนต์ญี่ปุ่นขนาดมาตรฐานทั่วๆไป ถ้าใส่ซองคู่มือผู้ใช้รถ และสมุด
รับประกันคุณภาพ รวมทั้งเอกสารกรมธรรม์ประกันภัย พื้นที่ก็จะหายไปราวๆ
1 ใน 3 จนถึงเกือบครึ่งหนึ่ง

สวิชต์ไฟฉุกเฉิน Hazzard Lamp ติดตั้งอยู่ใกล้คันเกียร์ ในตำแหน่งที่ใช้งาน
ในช่วงเวลาฉุกเฉิก ยากนิดนึง เพราะแม้จะติดตั้งอยู่ตรงกลางก็จริง แต่เตี้ยกว่า
ระดับสายตาที่ผู้ขับขี่จะมองเห็น แล้วเอื้อมมือไปกดเปิดใช้งานได้ทันที

เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบแยกฝั่งซ้าย – ขวา พร้อมสวิชต์ปรับระดับความเย็นและ
แรงพัดลม แยกชิ้น สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ควบคุมการทำงานด้วยแป้นสัมผัส
Touch Pad ซึ่งถือว่าเป็น Honda รุ่นแรก ที่ติดตั้งแป้นสวิชต์แบบสัมผัสอย่างนี้
มาให้ แสงสว่างต่างๆ จะเรืองรองขึ้นมา เมื่อคุณกดปุ่ม Start Engine ไปอยู่ใน
ตำแหน่ง Acc (Accessories) และตามด้วยการติดเครื่องยนต์

หากต้องการปรับแอร์ แถว 2 หรือ 3 ให้กดปุ่ม Rear On/Off เพื่อเปิดทำงานก่อน
แผง Touch Pad จะสลับการเรืองแสง ไปแสดงการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
แถวหลังแทน ราวๆไม่กี่วินาที ให้คุณเปิดหรือควบคุมจนเรียบร้อย แผง Touch
Pad จะตัดสลับกลับมาให้คุณควบคุมเครื่องปรับอากส ด้านหน้ารถ ตามเปกติ หรือ
ถ้าผู้โดยสารแถว 2 จะเลือกปรับอุณหภูมิด้วยตัวเอง ก็ทำได้ ด้วยแผงสวิชต์พร้อม
หน้าจอ Digital บนเพดานหลังคาด้านบน เหนือผู้โดยสารแถวกลาง

ชุดเครื่องเสียง ของทั้ง รุ่น E และ EL เหมือนกันหมด เป็นแบบ Advance
Touch Audio ประกอบด้วย จอ Monitor สี ขนาด 7 นิ้ว แบบ Touch Screen
รองรับการควบคุม วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 แบบ 1 แผ่น
พร้อมลำโพง 6 ชิ้น มีช่องเสียบ USB มาให้ 2 ตำแหน่ง และช่อง เชื่อมต่อ
ระบบ HDMI อีก 1 ตำแหน่ง

ชุดเครื่องเสียง สามารถเชื่อมต่อได้กับโทรศัพท์ Smart Phone ทั้ง iPhone
หรือ Android ถ้าคุณลง Application ของ Honda ที่ชื่อ Honda Lynx ไว้
ก็จะสามารถเชื่อมต่อกับรถของรคุณได้โดยตรง รวมทั้ง ระบบนำทางผ่านดาวเทียม
GPS Navigation System ที่จะแสดงขึ้นหน้าจอให้คุณ ได้ทันที

รองรับระบบสั่งการ ด้วยเสียง SIRI รวมทั้งมีระบบ Bluetooth เชื่อมระบบ
สัญญาณโทรศัพท์ ไว้พูดคุยแบบไร้สาย ได้ยินกันทั้งคันรถ มีสวิชต์ควบคุม
บนพวงมาลัย แถมยังมีหน้าจอแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และ
ข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถมาให้อีกต่างหาก

คุณภาพเสียง ถือว่า ฟังได้ อยู่ในเกณฑ์ดี แต่ก็ไม่ได้เด่นไปกว่าชุดเครื่องเสียง
ของ Honda Accord เท่าใดนัก เสียงของโทรศัพท์ ขณะพูดคุย ชัดเจน แจ่มใส
การเชื่อมต่อ Bluetooth ทำได้ ไม่ยาก อาจต้องรอกันสักนิด หน้าจอใช้งานได้
ง่าย และสามารถแสดงผลได้ ทั้งภาษาอังกฤษ ไทย ญี่ปุ่น

นอกจากนี้ หน้าจอมอนิเตอร์ ยังเชื่อมต่อกับ กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง
Multi-view Camera System ติดตั้งทั้งใต้โลโก้ Honda บริเวณ
กระจังหน้ารถ ใต้กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง และบริเวณเหนือช่องใส่ป้าย
ทะเบียนหลัง แสดงผลได้ ทั้งในแบบ มองมุมสูงจากหลังคารถ เหมือนใน
Nissan Teana ใหม่ ในช่วงความเร็วต่ำ สามารถกดปุ่มเลือกมองกล้อง
แต่ละตัว ได้บนหน้าจอมอนิเตอร์ หรือ กดที่ปุ่มสวิชต์ หัวก้านไฟเลี้ยว ที่
เขียนว่า Camera แบบเดียวกับ Accord G9 ก็ได้

แต่กล้องชุดนี้ ดีกว่า Accord G9 เพราะติดตั้งไว้รอบคันรถ ไม่ได้มีแค่ ใต้
กระจกมองข้างฝั่งซ้าย กับด้านหลังรถ เพียงแค่นั้น แต่ในช่วงเดินทางด้วย
ความเร็วอยู่ จะไม่สามารถ กดดูกล้องจากหน้าจอได้เพราะกล้องจะแสดง
ภาพขึ้นมอนิเตอร์ เมื่อใช้้ความเร็วต่ำเท่านั้น

อีกอุปกรณ์หนึ่งที่ถือเป็น Hi-light สำคัญ นั่นคือ ระบบช่วยหมุนพวงมาลัยขณะ
ถอยหลังเข้าจอด อัตโนมัติ Honda Smart Parking Assist System
ทำงานร่วมกับ เซ็นเซอร์ กะตำแหน่งรอบคันรถ นับเป็นรถยนต์ Honda รุ่นแรก
ในเมืองไทย ที่ติดตั้งระบบนี้มาให้ หลักการก็เหมือนกันกับระบบช่วยถอยเข้าจอด
ของทั้ง Skoda Superb ,Ford Focus, และ Mercedes-Benz รุ่นต่างๆ

เพียงแค่กด สวิชต์ P หน้าจอจะขึ้นคำแนะนำมาให้ ในทันทีที่เซ็นเซอร์ สแกนเจอ
ตำแหน่งจอดว่ามีระยะช่องไฟที่อยู่ในระดับ พอดีกับตัวรถ ให้ขับคลานไปช้าๆ แล้ว
ค่อยๆ จอดในตำแหน่งห่างจากจุดถอยหลังไปเล็กน้อย เหมือนคุณกำลังจะถอยรถ
เข้าจอดตามปกตินั่นละครับ

จากนั้น เข้าเกียร์ R แล้วปล่อยเท้าจากเบรก เพื่อถอยหลัง ตอนนี้ ปล่อยพวงมาลัย
หมุนไปเองโดยอัตโนมัติ ได้เลย ระบบจะจัดการ นำรถเข้าจอดให้คุณเอง แต่คุณ
ยังต้องใช้เท้าขวาควบคุมระบบเบรกไว้ แล้วทำตามที่ระบบร้องขอ ถ้าระบบบอก
ให้คุณ เข้าเกียร์ D เดินหน้า ก็จงทำตามนั้น แล้วเมื่อบอกให้เข้าเกียร์ถอยหลัง R
อีกครั้ง เพื่อขยับตำแหน่ง ก็ทำตามไป อย่าลืมคุมเท้าที่แป้นเบรกขวา ถ้าเข้าใกล้
วัตถุใดๆเกินไป ให้เหยียบเบรกไปได้เลย เพราะมันจะไม่เบรกเองให้คุณ แค่นั้น รถ
ก็จะถอยเข้าจอดได้อย่างปลอดภัย ทั้งแบบ จอดริมถนน หรือ จอดเข้าช่องจอด

นอกจากนี้ ยังมีระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Information
System บนกระจกมองข้าง จะทำงานเมื่อคุณเปิดไฟเลี้ยว ขณะขับขี่รถ
และต้องการจะเปลี่ยนเลน ถ้ามีรถยนต์ จักรยานยนต์ หรือจักรยาน และวัตถุ
อื่นใด มาทางด้านข้างคุณ ในระยะที่กล้องจับสังเกตได้ ระบบจะส่งเสียงเตือน
“ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ” 3-4 ครั้ง และ มีไฟสัญลักษณ์สีเหลืองอำพันสว่างขึ้นเตือนบน
มุมด้านบนของกระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง

การมีเสียงสัญญาณเตือน ทันทีที่เปิดไฟเลี้ยวเมื่อคิดจะเปลี่ยนเลน ช่วยให้
ระบบนี้ ทำงานได้สมบูรณ์ และใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่เหมือนกับที่ผมเจอ
เจอใน Range Rover Evoque ที่จะขึ้นแค่สัญญาณเตือนเฉยๆ ไม่มี
เสียงเตือนใดๆ เลย

ใต้แผงควบคุมตรงกลาง เป็น ถาดวางของแบบเลื่อนเข้า – ออกได้ ด้วยการกดปุ่มสีเงิน
แล้วดึงถาดยกขึ้นมาเข้าหาตัว มีช่องวางแก้วน้ำแบบพับเก็บได้ 2 ตำแหน่งมาให้อีกด้วย
ถ้สจะพับเก็บ ให้กดแถบสีเงิน แล้วดันถาดเข้าและเลื่อนลงไปพร้อมกัน ถือเป็นการ
แก้ปัญหาในกรณีที่ Honda ตัด ถาดวางของแบบพับเก็บได้ข้างลำตัวเบาะคู่หน้าทิ้งไป
แต่ยังมีความต้องการใช้ถาดวางของลักษณะนี้กันอยู่ เพื่อวางกระเป๋าสตางค์ หรือ
โทรษัพท์เคลื่อนที่ ต่างๆ

เหนือถาดเก็บของ จะเป็นที่อยู่อาศัย ของช่องเสียบ USB ที่มีมาให้ถึง 2 ตำแหน่ง ทั้ง
สำหรับ Flash-Drive หรือ ปลั๊กชาร์จโทรศัพท์เคลื่อนที่ ช่อง AUX และ ช่องต่อเชื่อม
HDMI สำหรับการแสดงผลจากกกล้อง Video บนหน้าจอมอนิเตอร์ รวมทั้งมีปลั๊ก
เสียบกระแสไฟขนาด 12 V สำหรับชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ

เฉพาะรุ่น EL จะมาพร้อม หลังคากระจก Moon Roof  เปิด-ปิดได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า พร้อม
แผงบังแดดเลื่อนเปิด – ปิดได้ทั้งด้วยมือ และเลื่อนปิดได้พร้อมกับการกดปิด Moon Roof
อยากบอกว่า ขนาดของกระจกนั้น เล็กไปหน่อย จนแอบชวนให้คิดว่า Honda ยกเอาชุด
Moon Roof ของ Accord G9 มาติดตั้งให้หรือเปล่า?

ทัศนวิสัยด้านหน้ารถ จากตำแหน่งคนขับ ถูกปรับปรุงให้สูงขึ้น เป็นผลมาจากการยกเบาะ
คู่หน้า และเบาะนั่งทุกตำแหน่งให้สูงขึ้นกว่า Odyssey รุ่นก่อน ทำให้การมองเห็นถนน
ทางข้างหน้า กลับมาสูงขึ้น และมองได้ไกลขึ้น กว่าเดิม ในแบบรถตู้ Minivan

ทัศนวิสัยด้านข้าง ฝั่งขวา บอกเลยว่า เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา มีกระจก Opeara
สามเหลี่ยม เพิ่มเข้ามาด้วยความจำเป็น และนั่นทำให้ ทัศนวิสัย ขณะเลี้ยวเข้าโค้งขวา
บนถนนแบบสวนกันสองเลน อาจมีการบดบังของเสา ขณะมีรถยนต์แล่นสวนทางมา
ต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นสักหน่อวย

กระจกมองข้างมีขนาดใหญ่โต แม้ว่าขอบด้านนอก อาจถูกบดบัง จากกรอบกระจกเอง
แต่นั่นก็เพียงนิดหน่อย ไม่มากนัก อยู่ในเกณฑ์ดี

ทัศนวิสัยด้านหน้าฝั่งซ้าย แม้ทีมวิศวกร Honda ขะใช้ความพยายามในการออกแบบ
และแก้ปัญหาด้านทัศนวิสัยเพียงใด เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ยังพอมีมุมบ
จุดบอดอยู่บ้าง หากคุณค้องการเลี้ยวกลับรถ อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังกันสักนิด
ส่วนกระจกมองข้าง ฝั่งซ้าย ก็มีขนาดใหญ่เพียงพอต่อการใช้งาน เช่นเดียวกับฝั่งขวา

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น แม้จะดูเหมือนโปร่ง โล่งสบาย แต่จุดขัดสายตา คือ
เสาหลังคาคู่หลังสุด D-Pillar ที่ออกแบบด้วยเส้นสายซึ่งต้องสอดรับกับด้านหน้า
ของตัวรถ ผลที่ออกมาก็คือ ตำแหน่งความหนา มีมากไป และอาจก่อปัญหาขณะ
ถอยหล้ังเข้าจอดได้ ในกรณีที่คุณยังไม่คุ้นชินกับการใช้กล้องส่องด้านหลัง

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

เครื่องยนต์ ของ Odyssey ใหม่ เวอร์ชันไทย มีเพียงแบบเดียว คือรหัส K24W บล็อก
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,356 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 87.0 x 99.1 มิลลิเมตร
กำลังอัด 10.1 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว  i-VTEC
และ ระบบลิ้นปีกผีเสื้อ (ลิ้นคันเร่ง) แบบ Drive-By-Wire ไม่มีระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรง
สู่ห้องเผาไหม้ Direct Injection อย่างที่เวอร์ชันญี่ปุ่นเขามีให้เลือก ทำให้พลกำลังสูงสุด
อยู่ที่ 175 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.0 กก.-ม. ที่ 4,000
รอบ/นาที

อันที่จริง ผู้บริโภคชาวไทย ก็น่าจะรู้จักเครื่องยนต์รุ่นนี้กันบ้างแล้ว เพราะมันคือ
ขุมพลังแบบเดียวกันกับที่คุณจะพบได้ ใต้ฝากระโปรงหน้าของ Accord G9
รุ่น 2.4 ลิตร นั่นเอง!

ถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT แบบ
มี Torque Converter อัตราทดเกียร์ อยู่ที่ 2.645 – 0.405 : 1 เกียร์ถอยหลัง
อยู่ที่ 1.858 – 1.264 : 1 พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ติดตั้งที่บริเวณ
ด้านหลังของพวงมาลัย เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้เลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ (อันที่จริง ควรเรียก
ว่าตำแหน่งล็อกของพูเลย์ในชุดเกียร์) ได้ 7 ตำแหน่ง

ในเมื่อ เครื่องยนต์ ให้สมรรถนะในห้องแล็บของ Honda R&D ออกมา เหมือนกันกับ
Accord G9 คำถามก็คือ ถ้ามาเชื่อมกับเกียร์ CVT และวางลงในตัวถังที่สูงขึ้น ใหญ่
ยาว และหนักกว่า Accord ตัวเลขอัตราเร่ง จะออกมาเป็นเช่นไร

เราจึงทำการทดลองขับเวลากันในตอนกลางคืนตาม มาตรฐานดั้งเดิม นั่นคือ เปิดแอร์
นั่ง 2 คน (น้ำหนักตัว ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสักขีพยาน รวมกันต้องไม่เกิน 170 – 180
กิโลกรัม เปิดไฟหน้า ผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเทียบกับ Odyssey ทั้ง 2 รุ่น ที่ผมเคยลองขับ
ก่อนหน้านี้ มีดังนี้

เห็นตัวเลขอัตราเร่งแล้ว หลายคนคงงงกันบ้างละครับ ว่าทำไมมีตัวเลขต่ำกว่า 11 วินาที
เพราะในอดีต Odyssey แต่ละรุ่น ที่ส่งมาขายในเมืองไทย ไม่มีรุ่นใดที่สามารถทำตัวเลข
อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ต่ำกว่า 11 วินาที ลงมาเลย รุ่นที่ 5 ใหม่ ถือว่าเป็น
รุ่นแรกที่ทำเช่นนี้ได้! และแน่นอนครับ หากนับกันแค่ ตัวเลขจากเกมจับเวลา 0 – 100
และ 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว คงจะสรุปได้เลยว่า นี่คือ Odyssey ที่แรงสุดเท่าที่
เคยมีมา!

ยิ่งถ้าเทียบตัวเลขกับ Honda Accord G9 ใหม่ 2.4 TECH เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
ตัวท็อป ล้อ 18 นิ้ว (0 – 100  กิโลเมตร/ชั่วโมง เฉลี่ย 10.24 วินาที 80 – 120 กิโลเมตร/
ชั่วโมง เฉลี่ย 8.37 วินาที) ด้วยแล้ว จะพบว่า Odyssey ทำตัวเลขด้อยกว่า Accord G9
2.4 ลิตร แค่ประมาณ 0.6 – 0.7 วินาที ทั้ง 2 เกมจับเวลา เท่านั้นเอง!)

อย่างไรก็ตาม คงต้องระบุกันเอาไว้สักหน่อยว่า  สาเหตุที่รถรุ่นใหม่ ทำตัวเลขออกมา
ได้ดีขนาดนี้ ส่วนหนึ่ง มาจาก การเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT
ซึ่งช่วยให้การลากรอบเครื่องยนต์เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องตัดเปลี่ยนเกียร์
แล้วต้องรอลากรอบเครื่องยนต์ ไต่กลับขึ้นมาใหม่ ให้สูญเสียกำลังไปโดยเปล่าๆ

อีกประการหนึ่ง ก็คือ อุณหภูมิในขณะจับเวลานั้น ปรากฎบนมาตรวัดของรถว่า
อยู่ที่ 23 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่า เย็นกว่าอุณหภูมิปกติที่เราจับเวลากันในช่วง
กลางคืน ซึ่งมักมีตั้งแต่ 27 – 32 องศาเซลเซียส

แต่จากประสบการณ์กับรถยนต์ Honda 2-3 รุ่น ที่เคยจับเวลาเล่นๆในสนามทดสอย
ที่ ญี่ปุ่น จะพบว่า เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย และเป็นรถยนต์ประกอบในประเทศแล้ว
ตัวเลขจะด้อยลงไปอย่างมากสุดไม่ค่อยเกิน 0.5 วินาที นั่นหมายความว่า ต่อให้
อากาศขณะทดลองจับเวลา อุ่นขึ้นกว่านี้ เป็น 30 องศาเซลเซียส ผมก็เชื่อด้วย
ประสบการณ์ส่วนตัวว่า ในกรณีของรถรุ่นนี้ ตัวเลขคงจะแย่ลงไม่น่าจะเกินกว่า
0.3 – 0.4 วินาที แน่ๆ

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น อยู่ที่ 205 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ รอบเครื่องยนต์ 6,250 รอบ/นาที
นี่ถ้าไม่บันทึกภาพเอาไว้ ก็คงจะอ่านมาตรวัดออกได้ยากมาก ว่าค่าที่แท้จริง อยู่ที่เท่าไหร่
แต่ Odyssey รุ่นเดิม ทำไว้ได้สูงกว่านั้น คือ 218 กิโลเมตร/ชั่วโมง

จริงอยู่ครับ ว่ารถรุ่นเดิมทำความเร็วสูงสุดบนมาตรวัดได้สูงกว่ารถรุ่นใหม่ แต่ผมมองว่า
สำหรับรถตู้โดยสารแบบนี้ ใครจะไปทำความเร็วสูงสุดแบบนี้ กันบ่อยๆบ้าง ถ้าไม่ใช่
รีบจะคลอด หรือขี้จะแตกกันจริงๆ

ดังนั้น ในกรณีนี้ ผมมองว่า ความเร็วสูงสุดที่ รถรุ่นใหม่ทำได้ ถึงแม้จะน้อยลงกว่า
รถรุ่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรที่เราควรจะไปให้ความสนใจ มากมายนัก
แค่รู้ว่า มันอาจทำได้เพียงแค่นี้ เพราะมีการล็อกความเร็วเอาไว้ ในลักษณะเดียวกัน
เหมือนทั้ง Accord G9 และ Civic FB รวมทั้ง City กับ Jazz รุ่นปัจจุบัน แค่นี้พอ!

ความเร็วสูงสุด นั้น ล็อกเอาไว้ ด้วยวิธีการ สั่งให้ระบบคอมพิวเตอร์ หรี่ ลิ้นปีกผีเสื้อ
และการล็อกมันไว้ระดับนี้ ผมมองว่า เหมาะสมดีแล้ว เพราะความเร็วสูงสุด ไม่ใช่
เรื่องจำเป็นมากนัก ในการขับรถสมัยนี้ ใครที่เหยียบห้อตะบึงขนาดนั้น เอาชีวิต
ไปเสี่ยงตายโดยไม่จำเป็น และเรายังคง มีจุดยืนที่จะไม่สนับสนุนให้ใครก็ตาม
ที่อ่านบทความนี้จบแล้ว ไปทดลองหาความเร็วสูงสุดกันเอาเอง เพราะอันตราย
ต่อชีวิตตนเอง และเพื่อนร่วมทาง ซึ่งก็ถือเป็นความผิดทางกฎหมายจราจรอีกด้วย
เราทำตัวเลขออกมาให้ดู เพื่อให้ได้ทราบข้อเท็จจริง และเป็นประโยชน์ในแง่ของ
การศึกษา ด้านวิศวกรรมยานยนต์ เท่านั้น ต้องเน้นย้ำกันมาเหมือนเช่นเคยครับ

ในการขับขี่จริง เครื่องยนต์ K24W ให้แรงดึงที่พอๆกัน และแทบไม่ต่างไปจาก
Odyssey รุ่นก่อน หรือ Accord 2.4 ลิตร รุ่นประกอบเมืองไทยแต่อย่างใด เพียงแค่
ไม่ว่าคุณต้องการอัตราเร่งในช่วงใด ถ้าเหยียบคันเร่งลงไป ราวๆครึ่งหนึ่งของ
ระยะแป้นเหยียบทั้งหมด รถจะค่อยๆไต่ความเร็วขึ้นไปต่อเนื่อง แต่ถ้าเหยียบ
ลงไปเกินกว่าครึ่งหนึ่ง การตอบสนอง จะทันใจขึ้นจนสังเกตได้ และ ถ้าเหยียบ
คันเร่งลงไปจนจมมิด อัตราเร่งที่คุณต้องการ จะมาหาคุณได้เร็วขึ้น และต่อเนื่อง
ไปจนถึงช่วงรอบเครื่องยนต์สูงๆ ซึ่งเป็นบุคลิกที่คุณจะพบได้ในเครื่องยนต์ของ
Honda ที่มีขนาด เกินกว่า 2,000 ซีซี ขึ้นไป และใช้ระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC
กันอยู่แล้ว

ความคล่องตัวในการเร่งแซงนั้น ถือว่า ทำได้ดีกว่าที่คิด ยิ่งมีแป้นเปลี่ยนเกียร์
Paddle Shift มาให้เล่นสนุกด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มอรรถรสการขับขี่ให้สนุกขึ้น
ชดเชยกับการไม่ได้ยินเสียงลากรอบขณะตัดเปลี่ยนเกียร์แบบชัดๆ เหมือนใน
Odyssey รุ่นเดิม ซึ่งใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ไปได้อยู่บ้าง

แต่วิศวกร Honda เขามีทางออกให้ลูกค้าที่บ่นอยากได้ความสะใจแบบนี้ ครับ!

ถ้าคุณใช้เกียร์ D หรือ S อยู่ แล้วต้องการเรียกอัตราเร่งออกมาใช้งาน คุณแค่
เหยียบคันเร่งลงไปในระดับที่คิดว่าเพียงพอ เกียร์ D จะตอบสนองให้โดย
เน้นความนุ่มนวล ยิ่งถ้ากดปุ่ม ECON ON ลิ้นเร่งไฟฟ้า จะเปิดให้ส่วนผสม
อากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง หรือไอดี ไหลเข้าห้องเผาไหม้ได้ช้าลง เพื่อเน้น
ความประหยัดน้ำมันเป็นหลัก เหมาะกับคนที่ต้องการขับแบบสบายๆ เรื่อยๆ
จนถึงขั้น อีเรื่อยเฉื่อยแฉะ

แต่ถ้าเข้าเกียร์ S แล้ว เริ่มเล่นแป้น Paddle Shift บอกเลยว่า ถ้าคุณเหยียบ
เพื่อลากรอบจนสุด เกียร์ จะตัดเปลี่ยนตำแหน่งล็อกพูเลย์ ขึ้นไปให้อีก 1 จังหวะ
ด้วยตัวของมันเอง ไม่ได้ค้างรอบเครื่องยนต์ไว้ให้ เพื่อป้องกันความเสียหายที่
อาจเกิดจากความร้อนของโซ่สายพาน รวมถึงน้ำมันเกียร์

แต่ด้วยการออกแบบ Shift Pattern ในลักษณะ ที่วิศวกร Honda เรียกว่า
G-Design Shift ก็ยิ่งช่วยให้เกียร์ CVT สามารถสร้างบุคลิกการตัดเปลี่ยน
เกียร์ ได้ คล้ายคลึงกับเกียร์อัตโนมัติ แบบใช้เฟือง ทั่วไป เลยทีเดียว
มาในสไตล์ ใกล้เคียงกับการตอบสนองของ เกียร์ CVT ใน Toyota
Corolla Altis รุ่นปัจจุบันที่ใกล้จะตกรุ่น นั่นละครับ!

ผมยืนยันว่า CVT ลูกที่ติดตั้งอยู่ใน Odyssey ใหม่นี้ มันลบคำสมประมาท
ว่า รถเกียร์ CVT ขับไม่สนุก และไม่แรง ทิ้งไปได้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่คุณ
ต้องเข้าใจด้วยว่า รถที่ขับอยู่นี้ เป็นรถตู้ Minivan ไม่ใช่ Integra Type R
หรือ Civic Type R จะให้ไปแข่งกับ ทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว ก็คงเป็นไปได้ แต่
เหนื่อยยาก ชนิดต้องลาก Top Speed แช่กันยาวๆ จึงจะไปเจอกันแล้วแซง
ขึ้นหน้าไปได้แบบ ไม่พ้นคันรถ ต่อให้เป็น นักขับรถแข่งทางเรียบ ประเภท
“ถุงมือ 1 ใบ กับใจถึงถึง” ก็ตาม เชื่อได้เลยว่า พอพ้น 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นไปแล้ว จะเหลือเพียงไม่กี่คน ที่ยังกล้าเหยียบคันเร่งจมมิดตีนทะลุพื้นรถ
กันต่อจนถึงความเร็วปลายสุด

การเก็บเสียงในห้องโดยสารนั้น หากเป็นครึ่งท่อนบนของตัวรถ แทบจะไม่มีเสียง
ของกระแสลมเล็ดรอดเข้ามาทางยางขอบประตูในตำแหน่งใดๆทั้งสิ้น แต่เสียงที่จะ
ได้ยินเข้ามานั้น กลับเป็นเสียงจากยางรถ ทั้งบนพื้นแห้ง และเสียงยางขณะรีดน้ำ
บนพื้นเปียก เสียงน้ำกระเซ็นในซุ้มล้อ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ดังเข้ามาให้
ได้ยินกันชัดเจน ซึ่งอันที่จริง วิศวกรของ Honda น่าจะพยายามหาทางลดเสียง
รบกวนในบริเวณซุ้มล้อ  หรือ พื้นตัวถังโดยรอบให้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้อีก

พวงมาลัยเป็นแบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPAS
อัตราทดเฟืองพวงมาลัย 13.63 : 1 พวงมาลัยหมุนสุดจากซ้ายสุดไปขวาสุดครบใน
2.92 รอบ รัศมีวงเลี้ยว 5.4 เมตร

ตั้งข้อสังเกตว่า พวงมาลัยของ Odyssey ใหม่ มีการตอบสนองที่แทบจะเหมือนกับ
พวงมาลัยของ Accord ใหม่มากๆ เพราะทีมวิศวกร จงใจเซ็ตให้เบา หมุนได้ง่ายขึ้น
เบาแรงกว่ารถรุ่นเดิมในช่วงความเร็วต่ำ เน้นความคล่องแคล่วในการหมุนพวงมาลัย
ขณะขับขี่ในเมือง แต่แอบตึงมือขึ้น และขืนมือกว่า Accord 9 นิดนึง

การตอบสนองแบบนี้ ยิ่งช่วยให้ ผมสามารถพา Odyssey ใหม่ ลัดเลาะ ซอกแซก
ไปตามสภาพการจราจรติดขัด ได้ง่ายดายไม่แพ้ Accord กับ Civic ใหม่ เลยทีเดียว!

แต่ในช่วงความเร็วสูง แม้ว่าพวงมาลัยจะนิ่ง ใช้ได้ดี เหมือน Accord ใหม่ แต่ผม
มองว่า มันเบากว่ารุ่นเดิมไปหน่อย ต้องใช้สมาธิในการถือพวงมาลัยนิ่งๆ มากขึ้น
ยิ่งถ้าพ้นจากความเร็ว 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงไปแล้ว หรือเจอทางด่วนที่มีกระแสลม
ปะทะด้านข้างอย่าง บูรพาวิถี จริงอยู่ว่า การควบคุมนั้น ยังเบาใจได้กว่า StepWGN
หรือ Freed เยอะ แต่ก็ไม่ได้นิ่งสบายๆ เท่า Odyssey รุ่นที่แล้ว

ผมอยากได้พวงมาลัยจาก Odyssey รุ่นที่ 4 ซึ่งถือว่า เซ็ตมาลงตัวที่สุดแล้ว ในบรรดา
Odyssey ทุกรุ่น กลับเข้ามาประจำการอีกครั้ง แต่ถ้าทำไม่ได้ ทางเดียวที่น่าจะเป็น
ทางออกที่ดีคือ การปรับตั้งให้พวงมาลัยไฟฟ้า EPAS หนืดขึ้นกว่าเดิมอีกนิดเดียว
แม้ว่าจะผู้ขับขี่ต้องออกแรงหมุนพวงมาลัยเพิ่มขึ้นนิดนึง เท่าๆกับรถรุ่นเก่า แต่
ในช่วงความเร็วเดินทาง หรือความเร็วสูง น้ำหนักพวงมาลัยที่เพิ่มขึ้น จะช่วยเพิ่ม
ความมั่นใจในการถือพวงมาลัยนิ่งๆ บังคับให้รถแล่นตรงทาง จากเดิมที่มีอยู่แล้ว
ในรถรุ่นใหม่นี้ให้เพิ่มขึ้นกว่านี้ได้อีก

สรุปว่า พวงมาลัยของ Odyssey ใหม่ เซ็ตมาอารมณ์เดียวกับ Accord G9 คือเบา
คล่อง หมุนง่าย ในความเร็วต่ำ นิ่งในความเร็วสูง แต่มันควรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น
กลับมาให้เท่ากับพวงมาลัยของ Odyssey รุ่นที่แล้ว จะให้ความมั่นใจได้ดีกว่านี้

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลงหน้า ส่วน
านหลัง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ เพราะคราวนี้ Honda นำช่วงล่างแบบ
คานบิด Torsion Beam พร้อมช็อกอัพ และสปริง มาใช้กับ Odyssey เป็น
ครั้งแรก แทนที่ช่วงล่างแบบปีกนกคู่ Double Wishbone ที่ใช้งานมาช้านาน

ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับขี่ในเมือง ยังคงปรากฎอาการคล้ายคลึงกับ Accord G9
แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว เพราะแม้จะพยายามดูดซับแรงสะเทือนอยู่บ้าง แต่ก็ยัง
ปรากฎอาการตึงตัง เล็กๆ ให้ได้จับสัมผัสชัดเจนอยู่ดี โดยเฉพาะช่วงที่แล่นผ่าน
แถบชะลอความเร็ว ก่อนถึงสี่แยก หรือทางโค้ง (ซึ่งไม่รู้ว่าหน่วยงานดูแลรักษาถนน
ในบ้านเรา จะต้องตีเส้นให้หนา กันขนาดที่ว่าทำลายช่วงล่างรถยนต์ทั่วไปได้เลย
แบบนี้ไปทำไม) จะสัมผัสอาการสะเทือนขึ้นมาได้ชัดเจน เช่นเดียวกับ Honda
หลายๆรุ่น แต่พอเจอเนินลูกระนาด จะสัมผัสได้เลยว่า ช่วงล่างของ Odyssey
รุ่นใหม่นี้ มาในแนวนุ่มนวลขึ้นกว่ารุ่นที่ 4 เดิมนิดหน่อย

ในช่วงความเร็วเดินทาง ตั้งแต่ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป พบว่าช่วงล่างมาใน
แนวนุ่ม และพยายามซับแรงสะเทือน จากพื้นผิวถนนที่ถูกซ่อมด้วยการปะยางมะตอย
แบบตีนเขี่ยๆ ได้ดี ในลักษณะของรถที่มีตัวถังเบาแต่ใหญ่ วางทับลงบนช่วงล่าง
ที่มีน้ำหนักเบา อาจจะไม่ได้แน่นเท่ากับ Odyssey รุ่นที่ 4 แต่ก็เซ็ตเพื่อเน้นสร้าง
ความสบายในขณะเดินทางในเมือง เป็นหลัก

ในช่วงความเร็วสูง ตั้งแต่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปนั้น ผมพบว่า รถรุ่นใหม่ จะยังคง
นิ่งสนิทใช้ได้ ถ้าไม่มีกระแสลมมาปะทะด้านข้าง แต่ถ้ามีขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะเป็นเรื่อง
ธรรมดา ที่ตัวรถ อาจต้องมีอาการวูบเล็กๆ ไปตามกระแสลมอยู่บ้าง และแอบหวาดเสียว
กว่า ช่วงความเร็วเดียวกันที่พบใน Odyssey รุ่นก่อน ชัดเจน แต่กระนั้น ยังถือว่านิ่ง และ
ไม่น่ากลัวเท่า StepWGN Spada และ Freed ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า สูงกว่า และมีแนวตัวถัง
ด้านข้าง ตั้งตรง และต้านลมมากกว่าแน่ๆ

อย่างไรก็ตาม การทรงตัวในย่านความเร็วสูงของ Odyssey รุ่นใหม่ อาจไม่ถึงกับนิ่ง
หรือให้ความมั่นใจได้ดีเท่ากับ รถรุ่นที่ 4 อย่างชัดเจน การเปลี่ยนระบบกันสะเทือน
ด้านหลัง รวมทั้งการเพิ่มระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น เพื่อเพิ่มความสบายสำหรับพื้นที่
นั่งโดยสารแถว 2 และ 3 คือ สาเหตุส่วนหนึ่งที่ผมพบว่า มีผลกับบุคลิกการขับขี่
ของตัวรถ ที่ถูกลดทอนความหนักแน่นลงมาจากรุ่นเดิม เพื่อเน้นการขับขี่แบบ
สบายๆ สำหรับทุกคน มากกว่าจะเน้นการขับขี่ที่สนุกอย่างในรถรุ่นที่แล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้ผมแอบเซอร์ไพรส์ ก็คือ การตอบสนองของช่วงล่างขณะเข้าโค้ง
เพราะ ในเวลาที่ต้องอัดเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงกว่าปกติ Odyssey ใหม่ ยังคง
ให้ความมั่นใจได้ดีไม่แพ้รุ่นเก่าเลย

บนโค้งขวารูปเคียว เหนือมักกะสัน อันเป็นทางโค้งขวาที่สูงที่สุด ในระบบทางด่วน
ของกรุงเทพมหานคร หากเป็น Odyssey รุ่นที่ 4 ผมใช้ความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง
พารถเข้าโค้งไปได้สบายๆ ตัวรถหนะยังไปต่อได้ แต่ยางติดรถ Yokohama ASPEC
ร้องเอี๊ยดดังลั่น ราวกับจะบอกผมว่า “หนูไม่ไหวแล้วววว”

แต่ Odyssey ใหม่ ผมกลับพุ่งเข้าโค้งได้อย่างสบายๆ ที่ความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เท่ากัน แต่อย่าง Dunlop SP Sport เอง ไม่ได้ร้องเสียงหลง หากแต่พยายามจัดการกับ
แรงเสียดทานที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันช่วงล่างด้านหน้าของ Odyssey ใหม่ ก็ยังคง
รับมือกับน้ำหนักของรถที่ถูกเทมาทางด้านหน้าฝั่งซ้ายอย่างหนักหน่วง ได้สบายๆ
ช่วยให้ผมพุ่งออกจากโค้งได้เนียนๆ แถมยังพุ่งแซงหน้า Toyota Fortuner อีกคัน
เข้าโค้งซ้าย ฝั่งตรงข้ามโรงแรม เมอเคียว  ด้วยความเร็ว 85 กิโลเมตร/ชั่วโมง ชิลๆ
แซงขึ้นหน้า รถบรรทุกก๊าซ ที่จองเข้าโค้งในเลนขวา แล้วออกจากโค้งได้อย่าง
ต่อเนื่อง ทิ้งให้รถยนต์อีกหลายคันที่ขับตามมา เป็นเพียงแค่แสงหิ่งห้อยเล็กๆ
ในกระจกมองหลัง

เพียงแต่ว่า ต้องทำใจกับอาการเสียวที่จะเพิ่มขึ้นจากรถรุ่นเก่าอยู่บ้าง เนื่องจาก
ตำแหน่งเบาะนั่ง ถูกยกระดับให้สูงขึ้นจากรุ่นเดิม ต่อให้จุดศูนย์ถ่วงของรถจะ
ไล่เลี่ยกับรุ่นเดิม และพื้นรถเตี้ยกว่ารุ่นเดิม แต่การเข้าโค้งที่ความเร็ว 80 – 90
กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่อเนื่องยาวๆ ของรถที่มีเบาะนั่งตำแหน่งเดียวกับรถเก๋ง
ย่อมออกอาการเอียงตัวจากการเหวี่ยงออกนอกโค้ง น้อยกว่ารถยนต์ที่มีเบาะ
สูงกว่าแบบรถตู้ ดังนั้นไม่แปลก ที่คุณอาจจะรู้สึกแอบเสียวนิดๆ ขณะที่ถูก
คนขับเหวี่ยงเข้าโค้ง อยู่ดี

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ คู่หน้า มีรูระบายความร้อน เสริมด้วย
ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมการทรงตัว
VSA (Vehicle Stability Assist) และระบบเบรกหน่วงรถขณะออกตัวบนทาง
ลาดชัน 2-3 วินาที HSA (Hill Start Assist)

แป้นเบรก มีระยะเหยียบกำลังดี และมีน้ำหนักเบาเท้า กว่าแป้นเบรกของรถ
รุ่นเดิม การควบคุมระบบเบรก ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับคลานๆ ไปในเมือง
น่าจะถูกใจคุณพ่อบ้านแม่บ้านอยู่พอสมควร เพราะแป้นเบรก ไม่แข็ง เบา และ
ไม่ต้านเท้า แต่ Linear มีความต่อเนื่องพอใช้ได้ คล้ายคลึงกับแป้นเบรกของ
รถยนต์ Honda รุ่นเล็กกว่า ทั้งหลาย คือ เบา เหยียบง่าย บังคับน้ำหนัก
ที่เราตั้งใจจะเหยียบลงไปได้ง่าย

ต่อให้ต้องชะลอความเร็วลงมาจากย่านความเร็วสูง (ในลักษณะ ค่อยๆ เพิ่ม
น้ำหนัก ลงไป แล้วถอนขึ้นมา ก่อนจะเริ่มเหยียบเพิ่มน้ำหนักลงไปอีก)
ยังไม่พบอาการ Fade (หรือผ้าเบรกเสียดสีกับจานเบรกจนร้อน ทำให้เบรก
ไม่ค่อยอยู่) แต่อย่างใด ทว่า ถ้าลองเหยียบเบรกลงไปหนักๆ หรือ ทารุนกับ
ระบบเบรกมากกว่านี้ ก็น่าจะมีแนวโน้มที่เกิดอาการเบรก Fade อยู่บ้าง

อย่างไรก็ตาม ในจังหวะที่รถใกล่จะหยุด ถ้าคุณยังคงเหยียบเบรกด้วยน้ำหนัก
เท่าเดิม รถอาจจะไม่ได้หยุดสนิทนิ่ง แต่อาจมีการไหลไปข้างหน้าได้บ้าง
ดังนั้น ถ้าคิดจะเหยียบเบรก เมื่อถึงช่วงที่รถใกล้จอดสนิท อาจต้องเพิ่มแรง
เหยียบเบรกเข้าไปอีกสักนิด

หากเป็นเช่นนี้ ผมว่า เพิ่มความหนืดของแป้นเบรก ให้ใกล้เคียงกับ Odyssey
รุ่นที่ 4 ก่อนหน้านี้ ซึ่งใหความมั่นใจในการเบรก มากกว่านี้นิดหน่อย จะดีกว่า

โครงสร้างตัวถังของ Odyssey ใหม่ ได้รับการปรับปรุง ให้แข็งแรงขึ้น ด้วยการเลือกใช้
เหล็กแบบ High Tensile Steel ที่ทนแรงกระแทกได้สูงถึง 980 Mpa (เมกกะปาสคาล)
ในบริเวณ เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar พร้อมกรอบกระจกสามหลี่ยม Opera ยาวลงไป
จนถึงธรณีประตูคู่หน้า และเฟรมบางส่วนของคานกันชนหน้า

นอกจากนี้ยังใช้เหล็ก High Tensile Steel ที่ทนแรงกระแทกได้สูง 780 Mpa บริเวณ
ด้านในของกรอบธรณีประตูคู่หน้า  และคานล่างเชื่อมฐานเสาหลังคากลาง B-Pillar
ทั้ง 2 ฝั่ง เสริมฐานซุ้มล้อคู่หน้า และคู่หลัง เสริมบริเวณ Subframe หน้า รวมทั้ง
ผนังด้านใน เหนือซุ้มล้อคู่หลัง ฝั่งละ 5 ชิ้น และเสริมบริเวณ ใต้ท้องรถกับซุ้มล้อ
คู่หลัง เพื่อการตดตั้งระบบกันสะเทือนหลังแบบ Torsion Beam

ส่วนเหล็ก High Tensile Steel ที่ทนแรงกระแทกได้สูง 590 Mpa ถูกนำมาใช้ขึ้นรูป
คานตัวถังเหนือซุ้มล้อคู่หน้า เฟรมแชสซีส์ จากหน้า ยาวจรดหลังรถ เสาหลังคากลาง
B-Pillar รวมทั้งคานเชื่อมความแข็งแรง ของทั้ง 2 ฝั่ง ตามด้วยเหล็ก High Tensile
ทนแรงกระแทกได้ 440 Mpa ใช้ขึ้นรูป คานหม้อน้ำหน้ารถ เฟรมแนวขวาง ใต้ท้อง
รถ บริเวณครึ่งคันหลัง แม้แต่คานเชื่อมกรอบประตูทั้ง 2 ฝั่ง รวม 4 และธรณีประตู
บานเลื่อน ทั้ง 2 ฝั่ง ที่เหลือทั้งคันจากนี้ ใช้เหล็กเกรดมาตรฐานทั่วไป

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ถึงแม้ว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อรถยนต์ปรเะเภทนี้ มักทำใจไว้แล้วว่า ความประหยัดน้ำมัน
เป็นเรื่องที่ต้อง ทำใจกันไว้ล่วงหน้า แต่เชื่อเถอะว่า คงต้องมีอยู่หลายคน ที่แอบอยากเห็น
ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ของ Odyssey ใหม่ว่า ถ้าทดลองขับตามมาตรฐานของ
Headlightmag.com เราแล้ว จะได้ตัวเลขเท่าไหร่กัน?

เราจึงยังคงใช้วิธีการทดลองตามมาตรฐานดั้งเดิม คือการพารถไปเติมน้ำมัน เบนซิน 95
Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex บนถนนพหลโยธินใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS
อารีย์ ในช่วงกลางคืน

ในเมื่อ Odyssey เป็น Minivan ที่มีขนาดใหญ่ และไม่ได้อยู่ในกลุ่มรถยนต์ที่มีขุมพลัง
ในกลุ่ม ต่ำกว่า 2.0 ลิตร ลงไป หารือรถกระบะ ดังนั้น ลูกค้าในกลุ่มนี้ มักไม่ได้ซีเรียส
กับตัวเลขกันมากขนาดนั้น เราจึงตัดสินใจ เติมน้ำมัน ด้วยวิธี เติมเต็มถังแค่ให้หัวจ่ายตัด
ก็เพียงพอ ไม่ต้องเขย่ารถ แต่ประการใด ทำเช่นเดียวกันนี้ ทั้งขาไป และขากลับ

เมื่อเราเติมน้ำมันจนเต็มถัง เราก็ คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ ออกรถ
ไปเลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายลัดเลาะไปตามซอยอารีย์ ออกปากซอย
โรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้าย มุ่งสู่ถนนพระราม 6 ไปเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน ขับไปเรื่อยๆ
จนสุดปลายทางด่วนสายเชียงราก อุดรรัถยา ที่ด่านบางปะอิน ก่อนจะเลี้ยวกลับย้อน
ขึ้นทางด่วนสายเดิม ขับกลับมาเข้ากรุงเทพฯกันอีกครั้ง ด้วยมาตรฐานเดิมคือ
ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และ นั่ง 2 คน

คราวนี้ เพื่อรักษา ความเร็ว ให้นิ่งยิ่งขึ้น เราเปิดระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
Cruise Control ซึ่งยังคงมีนิสัยเดิมๆ แบบที่พบด้ใน ระบบ Cruise Control ของ
รถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ นั่นคือพยายามชดเชยความเร็วรถเขณะขึ้นทางชัน ด้วยการ
เร่งเครื่องยนต์เพิ่มให้โดยไม่จำเป็น

เมื่อถึง ทางลง จากทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน
เลี้ยวกลับที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex
พหลโยธิน กันอีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ให้เต็มถัง เอาแค่เพียงให้
หัวจ่ายตัดก็พอ เหมือนครั้งแรกที่เริ่มต้นทดลอง

มาดูตัวเลขที่ Odyssey ใหม่ ทำได้กันเถอะ

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด 92.9 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับเฉลี่ย 7.32 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 12.69 กิโลเมตร/ลิตร

ถ้าเปรียบเทียบกับรถตู้ทุกคันที่ทำการทดลองมา Odyssey จะทำผลงานได้ดีกว่าน้องชาย
ร่วมตระกูล อย่าง StepWGN Spada (11.77 กิโลเมตร/ลิตร) แต่ยังไม่อาจสู้ น้องเล็ก รุ่น
Freed (14.16 กิโลเมตร/ลิตร) ได้อยู่ดี กระนั้น ลองคิดดูว่า ถ้าตัวเลขจากทาง Honda
ทดสอบ ตามมาตรฐาน Driving Cycle แบบ JC08 ที่กำหนดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น ยังทำ
ตัวเลขออกมาได้ 13.8 กิโลเมตร/ลิตร ผมถือว่า Odyssey ใหม่ ทำผลงานออกมาได้
ดีเท่าๆเดิม (แม้ว่า รุ่นที่ 3 จะทำตัวเลขดีกว่ากัน ที่ 12.74 กิโลเมตร/ลิตร แต่นั่นก็ต่างกัน
แค่ 0.1 กิโลเมตร/ลิตร เท่านั้น ซึ่งมันเป็นความแตกต่างที่มักขึ้นกับ การเติมน้ำมันในแต่ละ
ช่วงเวลา แต่ละครั้ง มากกว่าจะเพี้ยนจากสาเหตุอื่น

แล้วน้ำมัน 1 ถังแล่นได้ไกลเท่าใด? จากที่ลองขับมาทั้งหมดแล้ว ๆไฟเตือนให้
เติมน้ำมัน จะติดสว่างขึ้น เมื่อแล่นใช้งาน จากการเติมเต็มถังหัวจ่ายตัด ราวๆ
450 กิโลเมตร นั่นหมายความว่า จะยังสามารถแล่นต่อไปได้ราวๆ 500 – 510
กิโลเมตร แต่ถ้าขับแบบประหยัดจริงๆ อาจทำได้ราวๆ 550 กิโลเมตร)

********** สรุป **********
ถึงรุ่นที่แล้ว จะขับสนุกกว่านิดหน่อย แต่รุ่นใหม่ ก็หรูขึ้น และเอาใจคนนั่งมากขึ้น

นับตั้งแต่ วันที่ผม เดินออกมาจากโชว์รูม Honda ประมวล จนถึงตอนนี้ แทบ
ไม่อยากเชื่อเลยว่า เวลาได้เดินผ่านมาแล้วถึง 20 ปี…

นี่กรูแก่ขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย!!!!!!! อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!!!!!

แก่ขนาดที่ว่า ได้ขับ Odyssey ผ่านมือมา ทั้งหมด 3 รุ่น (แต่เคยลองเข้าไปนั่ง
ครบทุกรุ่น) เลยนะเนี่ย!

Time Machine พาผมเดินทางจากอุโมงค์ย้อนอดีต กลับสู่ความเป็นจริงใน
ปัจจุบัน วันที่ผมต้องคืนกุญแจรีโมท รถคันนี้ ให้กับ Honda ไปในที่สุด

หลังใช้ชีวิตด้วยกัน ราวๆ 7 วัน แบบแบ่งช่วงวันในตารางปฏิทินไปนิดหน่อย
ก็ถึงคราวที่ต้องบอกลา กับ เจเนอเรชันที่ 5 ของ Odyssey

ไม่รู้ว่าโชคดี หรือโชคร้ายของ Honda กันแน่ ที่ก่อนหน้านั้น ราวๆ 2 สัปดาห์
การได้มีโอกาสทดลองขับ Odyssey รุ่นที่ 4 (รุ่นปี2008 – 2013) แบบ Driving
Impression ในชีวิตประจำวัน มันทำให้ผมเห็นภาพ ที่แตกต่างกัน ของบุคลิก
ซึ่ง Odyssey ทั้ง 2 เจเนอเรชัน เป็นอยู่

รถทั้ง 2 คัน ต่างรุ่นปีกัน บุคลิกที่ต่างกัน ทำเอาผม เริ่มเกิดคำถามขึ้นมา…ในใจ…

คุณเคยไหมครับ ที่ตั้งใจทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง แต่คนรอบข้าง กลับ
มองหน้าคุณแปลกๆ หรืออาจมีปฏิกิริยา ไม่พึงประสงค์ จนทำให้คุณต้อง
กลับมานั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่คุณทำลงไป

ทั้งที่คุณเอง ก็มั่นใจเต็มร้อย ว่าสิ่งที่ทำไปหนะ ถูกต้อง ดีอยู่แล้ว ทว่า เสียง
ของผู้คนรอบข้าง ต่างพากันบอกว่า มันยังไม่ดีพอสำหรับพวกเขา และหวัง
ให้คุณ ทำตามมาตรฐานในใจเขา ที่สูงยิ่งขึ้นกว่าเก่า

มันเป็นความรู้สึกที่บั่นทอนจิตใจนะ ผมรู้อยู่ว่า ไม่มีใครอยากเผชิญหน้า
กับแรงกดดันมากมายโดยไม่จำเป็นกันหรอก แต่บางที มันก็จำเป็นต้องทำ
เพื่อความอยู่รอด…ในระยะยาว จะของคุณ หรือของใครก็ตาม

ผมเชื่อว่า หลายคนคงเคยมี ช่วงเวลาที่ว่า และวิศวกรของ Honda เอง ก็คง
จะรู้สึกไม่ต่างกันมากนัก เมื่อพวกเขาตัดสินใจ ละทิ้งบางสิ่งอย่างแล้วเดิน
ตามทางที่หลายๆคน อยากให้มันเป็น…

จริงอยู่ว่า Odyssey รุ่นที่ 4 สร้างความประทับใจให้ผมจนต้องถามตัวเอง
กันเลยว่า “มัวไปอยู่ไหนมา?” ใครจะไปเชื่อละ ว่า Minivan ทรงเตี้ยๆ
แบนๆ Option แทบไม่มีเลย โล้นๆ เลี่ยนๆ ไปทั้งคัน อย่าง Odyssey
รุ่นที่ 4 จะให้การขับขี่ที่มันส์เอาเรื่อง เกินคาดคิดขนาดนี้!

อัตราเร่งจากเครื่องยนต์ K24 บล็อก 2.4 ลิตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
พาคุณพุ่งโผนบนทางด่วนอย่างสนุกสนาน จะมุดลัดเลาะ หรือเลี้ยวเข้าโค้ง
ก็จิกเข้าไปได้สบายๆ แม้ยางติดรถ จะร้องโหยหวน เป็นดารา AV ฝั่งญี่ปุ่น
ก็ตาม แถมช่วงล่างก็ยังดูดซับแรงสเทือนได้ แน่น แต่นุ่มและมั่นใจได้

ทั้งหมดที่กล่าวมา คุณต้องยอมแลกกับ บรรยากาศในห้องโดยสาร ที่อาจจะ
ไม่โอ่โถงโปร่งสบาย ต่อให้เบาะนั่งจะเป็นผ้า มีฟองน้ำที่เบาะนุ่มแค่ไหน ก็ยัง
ไม่อาจเทียบได้กับพัฒนาการล่าสุดใน Odyssey รุ่นที่ 5 ล่าสุดนี้ ได้เลย…

แน่ละครับ เพราะรุ่นที่ 4 ของ Odyssey มันถูกออกแบบมาให้เป็น Driver’s
Minivan หรือ รถตู้ 7 ที่นั่ง ที่เอาใจพ่อบ้านชอบรถขับสนุก มากๆ

ซึ่งนั่นเป็นภาพตรงกันข้ามกับ Odyssey รุ่นปัจจุบันกันเลยละ!

อันที่จริง หากมองด้วยใจเป็นกลาง คุณจะพบว่า Odyssey รุ่นที่ 5 ใหม่ คัน
สีเงินที่เห็นอยู่นี้ ถูกปรับปรุง ให้เน้นความสบายมากกว่า Minivan ทุกรุ่น ที่
Honda เคยผลิตออกขายมา ชนิดที่ แม้แต่ พี่ใหญ่ซึ่งยุติบทบาทไปแล้ว
อย่าง Elysion / Elysion Prestige ก็ยังให้คุณไม่ได้

เบาะนั่งแถวกลาง นั่งสบายที่สุดเท่าที่ Honda เคยทำมา แถมเบาะแถว 3
ก็ยังนั่งได้สบาย ไม่ขี้เหร่อีกด้วย การออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุในห้อง
โดยสาร คือจุดขายสำคัญ ไม่แพ้กับบรรดา Option เสริม ที่ถูกอัดประโคม
กันเข้าไปจนแน่นเอี๊ยด ตั้งแต่ระบบช่วยถอยหลังเข้าจอดได้เองโดยอัตโนมัติ
(แต่คนขับยังต้องเหยียบเบรกช่วยด้วยตัวเอง) ระบบ Blind Spot เตือนให้
เห็นรถที่แล่นตามมาด้านข้างก่อนเปลี่ยนเลน หน้าจอเครื่องเสียง พร้อมจอ
Monitor Touch Screen สารพัดประโยชน์ กล้องมองรอบคัน แอร์แถว 2
และ 3 ฯลฯ อีกมากมาย

แต่คุณอาจต้องแลกข้าวของทั้งหมดนี้ ให้กับบุคลิกการขับขี่ที่ลดความหนักแน่น
ลงไป เพื่อให้รถเบาขึ้น เพิ่มความแรงและความประหยัดน้ำมันมากขึ้น พวงมาลัย
มาในสไตล์ เบา หมุนง่าย แบบเดียวกับ Accord G9 ใหม่ แต่นิ่ง และขืนมือ
ด้วยแรงดันในระดับเหมาะสม สำหรับการบังคับควบคุมรถในเมือง การเข้าโค้ง
อาจจะเสียวขึ้นนิดๆ เพราะเบาะนั่งทุกตำแหน่ง ถูกยกระดับให้สูงขึ้นกว่าเดิม
แต่มันยังคงเข้าโค้งได้ดี เหนือกว่า Minivan ทั่วไปอยู่เหมือนกัน

นั่นเพราะว่า วิศวกรของ Honda ตัดสินใจ ปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนา
เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งจากตัวรถเอง และจากด้านการทำตลาด ทั้งในญี่ปุ่น
หรือแม้แต่ในเอเซีย รวมทั้งจีน ที่พวกเขาหมายจะส่ง Odyssey ใหม่ เข้า
ไปชิงส่วนแบ่งการตลาด Minivan ที่นั่น

ดังนั้น ถึงแม้ว่า บุคลิกการขับขี่จะถูดลดทอนลงมาจากรุ่นก่อนหน้านี้
ไปบ้าง แต่ การกลับมาพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ ในการพัฒนา สร้าง ซื้อ
และใช้งานรถตู้ Minivan นั้น หัวใจหลักที่สำคัญคือ การพาครอบครัว
ขนาดใหญ่ ทั้งอากง อาเหล่าม่า อาเจ๊ก อาอี๊ โซ้ยตี้ เซี้ยมหม่วย และเหล่า
กองทัพบุตรหลาน วงศ์วานร ของคุณ เดินทางไปพักผ่อนกันไกลๆ ด้วย
บรรยากาศ สนุกสนาน ผ่อนคลาย สบายส่วนตัว และเป็นกันเอง แล้ว
Odyssey ใหม่ กลับมาตอบโจทย์ข้อสำคัญนี้ ได้อย่างดี ทะลุปรุโปร่ง
กันเลยละ

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Odyssey ใหม่ กายเป็น Honda อีกรุ่นหนึ่ง
ซึ่งผมไม่อยากคืนกุญแจ ไปเลย แม้ชีวิตผมจะไม่มีความจำเป็นต้อง
ซื้อรถตู้ Minivan ขนาดกลาง ค่อนข้างใหญ่ อย่างนี้มาใช้เลยก็เถอะ

แค่การได้นอนพักผ่อนงีบหลับ บนเบาะแถว 2 หรือ 3 ในรถคันนี้ ใน
ช่วงฤดูหนาว ที่ลมเย็นพัดโบกโกรกโชย มันช่างเป็นความ สบาย อย่าง
ไม่มีอะไรเหมือนเลยจริงๆ

แล้วใครกันเล่า ที่จะเหมาะกับ การอุดหนุน Odyssey ใหม่? คำตอบก็คือ
เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหาร SME ที่อยากมีรถตู้ Minivan สักคัน หลังจาก
ลงทุนลงแรง เก็บหอมรอมริบ ซื้อ Mercedes-Benz หรือ BMW ได้สักคัน
ไปเรียบร้อยแล้ว อยากหา Minivan สักคัน ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เพื่อ
ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวบ้าง ในชีวิตนี้ คุณอาจไม่เคยใช้ Minivan
มาก่อน หรืออาจจะเคยเป็นเจ้าของ Mitsubishi Space Wagon รุ่นสุดท้าย
ไปสักคันหนึ่ง แต่ทนค่าน้ำมันไม่ไหว กลัวการติดก๊าซ LPG จนต้องมอง
หารถตู้คันใหม่ มีงบประมาณ สูงพอที่จะเชิดใส่ Honda StepWGN กับ
Freed อีกทั้ง ยังมองว่า Hyundai H-1 มีขนาดใหญ่โต แถมดูเหมือนรถตู้
มากเกินไป ส่วน Toyota Alphard / Vellfire ก็มีราคาแพง และอาจทำให้
คุณ ดูเหมือนต้องไปตัดชุดซาฟารี มาใส่ ตอนขับรถเสียอย่างนั้น

ถ้า คุณ เป็นทั้งหมดที่ผมเขียนมาในย่อหน้าข้างบนนี้ Odyssey ก็เป็น
รถตู้ Minivan ที่เหมาะสมกับคุณและครอบครัว

แล้วถ้าต้องเลือก Odyssey ขึ้นมา ควรจะเลือกรุ่นย่อยใด ถึงจะคุ้มค่ากว่ากัน?

ราคาขายปลีก ณ วันเปิดตัว 28 พฤศจิกายน 2013
2.4 E          2,750,000 บาท
2.4 EL        2,950,000 บาท

ถ้ามองจากตารางอุปกรณ์มาตรฐานแล้ว รุ่น 2.4 E ถือว่า ให้อุปกรณ์มาค่อนข้างครบครัน
ไม่แพ้ หรือเทียบเท่ารุ่น 2.4 EL ตัวท็อปเลยด้วยซ้ำ และถือว่าเป็นรุ่นที่คุณจะได้สารพัด
อุปกรณ์ต่างๆมากมาย ครบถ้วนสมดังใจ (แม้จะขาดล้ออัลลอย 18 นิ้ว และ แผงโลโก้
Odyssey Absolute ไปบ้างก็ตาม

แต่ถ้าคุณตัดสินใจเลือกรุ่น 2.4 E ซึ่งมีค่าตัวถูกกว่ากันถึง 200,000 บาท นั้น หากคุณ
ยอมรับได้ สิ่งที่จะขาดหายไปจากรถคันที่คุณเลือก ก็ได้แก่ อุปกรณ์ฟุ่มเฟือย อย่าง เช่น
ไฟหน้า ก็เป็นแบบ Projector แทนที่จะเป็นแบบ LED ปรับลำแสงอัตโนมัติ อย่าง
ในรุ่น EL ส่วน Sun Roof  กับระบบ 4 ระบบด้านความปลอดภัย อย่าง กล้องแสดง
ภาพรอบทิศทาง Multi-view Camera System ระบบเตือนเมื่อมีรถยนต์เคลื่อนผ่าน
ขณะที่คุณกำลังถอยรถ Cross Traffic Monitor ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา บน
กระจกมองข้าง Blind Spot Information System และระบบช่วยหมุนพวงมาลัย
ขณะเข้าจอดอัตโนมัติ Honda Smart Parking Assist System รวมถึงระบบบันทึก
ตำแหน่งเบาะคนขับปรับไฟฟ้า และ เบาะนั่ง First Class แยกฝั่ง แถวกลาง ซึ่ง
เป็นจุดขายสำคัญ ก็จะถูกตัดออกไปทั้งหมด อีกด้วย แต่คุณจะได้เบาะนั่งแบบ
แถวยาว แบกปรับพนักพิงฝั่งซ้าย – ขวา ได้เป็นการทดแทน

ถ้าทำใจรับได้กับสิ่งที่จะถูกตัดออก ซึ่งก็เยอะเอาเรื่องขนาดนี้ เล่นรุ่น 2.4 E ก็พอ
แต่ถ้า คิดว่า เงินแค่ 200,000 บาท ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งคุณร่วงหล่นมากนักละก็
เล่นรุ่น 2.4 EL ไปเลยจะคุ้มกว่า

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณเลยครับ

————————-///————————

ขอขอบคุณ / Special Thanks
คุณศศิวรรณ ทองดีเลิศ
และฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

ภาพประกอบ งานออกแบบ จาก นิตยสาร MotorFan ฉบับ 486 Honda Odyssey

——————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของทั้งผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย และ ภาพวาด Illustration จากต่างประเทศ เป็นของ Honda Motor Co.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
27 มกราคม 2014

Copyright (c) 2014 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
January 27th,2014 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE