ทุกครั้ง ที่ผมมีโอกาส ทดลองขับรถจากค่ายเกาหลี ในระยะหลังๆมานี้ ผมมักพบความแปลกอย่างแตกต่าง
ถ้าไม่ใช่จากตัวรถเอง ก็มาจากลักษณะการทำตลาดของพวกเขาในบ้านเรา อยู่เนืองๆ บางสิ่งที่บริษัทเกาหลีทำ
ก็เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว ขาดแต่สิ่งละอันพันละน้อย นิดๆหน่อยๆ ที่จะเติมเต็มให้เกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

Hyundai กลับมาทำตลาดอีกครั้งในเมืองไทย ได้ 2 ปีแล้ว และพวกเขาก็ทำผลงานกันได้น่าประทับใจเลยทีเดียว
ปีที่ผ่านมา ทำยอดขายด้มากถึง 1,700 กว่าคัน จากเป้าหมาย 1,500 คัน ดังนั้นในปีนี้ ผู้บริหารก็เลยตั้งเป้าว่า
ขอเติบโตแบบพุ่งพรวดพราด เป็น 2 เท่า คือ 3,000 คันไปเลยแล้วกัน แรงผลักดันส่วนหนึ่ง ก็มาจากการเปิดตัว
รถรุ่นใหม่ 2 รุ่นในปีนี้ และหนึ่งในนั้น ก็คือ Crossover SUV ทรงสวย รุ่น Tucson ซึ่งมีชื่อรุ่นอ่านเป็นภาษาไทย
ว่า “ทูซอน” ไม่ใช่ “ทักษอร” อย่างที่ผมอยากจะเรียกเต็มประดา แต่อย่างใด

หลังนำบรรยากาศงานเปิดตัว พร้อมบทความทดลองขับแบบ Exclusive First impression ของรถรุ่นนี้ เป็นรายแรก
ในเมืองไทย ขึ้นเว็บ Headlightmag.com ของเราไปแล้ว ผมก็รอเวลาว่า เมื่อไร ทาง Hyundai จะพร้อมส่งรถทดลองขับ
ให้เรามาทำรีวิวกันเสียที

จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่แกะ PR ใจดี ผู้มีใบหน้าแอบเหมือน Celine Dion ในมุมเอียงซ้าย ก็โทรศัพท์มาบอกว่า
ล็อกคิวรถรุ่นนี้ ให้เรา ไปทดลองขับกัน ได้เรียบร้อยแล้ว

พอยืนยัน ล็อกวันเวลาไปรับรถกันได้  ผมก็แอบคิดอยู่เงียบๆ วางแผนตามลำพังวาดหวังในอากาศ ว่า
จะพาน้อง “ทักษอร” ไปถ่ายรูป ที่นั่น ที่นี่ มุมนั้น มุมนี้ นั่งส่องแค็ตตาล็อก จ้องมองกันไป จ้องกัน
จนถึงขั้นว่า ถ้าแค็ตตาล็อก เล่มเนี้่ย มันตั้งท้องได้ ผมก็คงได้เมียเป็นแค็ตตาล็อก ของ Tucson ใหม่ ไปแล้วละ….

ตอนเดินออกมาจากสำนักงานใหญ่ของ Hyundai ชั้น 3 ตึก Q House คอนแวนท์ ผมก็แอบตื่นเต้น เบิกบานใจ
อยู่เล็กๆ ว่า เราจะได้ทำในสิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้ซะที…

ตากอล์ฟ ชเรศ รุ่นน้องที่ กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบัน ทำงานในฝ่าย Product Planning
ของ Hyundai (ที่รู้สึกว่า รับงานเกินหน้าที่อันมอบหมายได้สารพัดอย่าง ตั้งแต่ วางแผนนำรถเข้ามาขาย
รับหน้าเสื่อ คุยกับ ซัพพลายเออร์ คุยกับคนทำของพรีเมียมแจกลูกค้า ที่เข้ามา เสนองาน ขับรถไปช่วย
เติมน้ำมันให้นักข่าว ไม่เว้นแม้แต่ ช่วยกัน แบกทีวี 60 นิ้ว ไปส่งให้ลูกค้า ที่จับรางวัลได้ ฯลฯ อีกมากมาย
เรียกได้ว่า ใช้งานกัน คุ้มสุดยอดจริงๆ) ก็เดินนำผมไปที่รถ อย่างลั่นล้า ร่าเริง และสบายใจ

แต่….พอเห็น รถคันสีเงิน อยู่ลิบๆ…ผมก็ร้องลั่นตึกจอดรถในฉับพลัน…

“เดี๋ยว!!!! หยุดก่อน!!”

ตากอล์ฟ เบรกเอี๊ยด จนหัวทิ่ม หันมามองขวับ ยังต้นเสียง (ซึ่งก็คือผมเองนั่นแหละ)

“ใคร เป็นคนสั่งให้ติดสติ๊กเกอร์ คาดข้างรถแบบเน้ๆๆๆๆ !!!!!!??”

พี่แกะ PR สุดร้าก ของกระผม ตอบเสียงยิ้มๆ และแอบขำอยู่ในทีว่า “คุณสฤษฎร์พร ค่ะ!”

เสียงโซปราโน ก็เลยแผดลั่นออกมาจากคอหอยผมนั่นละว่า..

“เพ่อุ๋ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!”

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!

ทั้งพี่แกะ และตากอล์ฟ กับพี่ผู้ดูแลรถอีกคนหนึ่ง แทบจะอุดหูกันไม่ทัน เพราะเสียงอันแสบแก้วหู
หวีดร้องดังลั่นอาคารจอดรถตึก Q House Convent ย่านสีลม สาทร นั่นแหละ

แหงเสะ! พี่อุ๋ย นะพี่อุ๋ย ฮือๆๆๆ พี่รู้ไหมว่า พี่กำลังทำลายความฝันกลางวันอันสวยงามของเด็กน้อยตาดำๆ
(และชอบใส่เสื้อสีดำ) อย่างผม ม๊ากกกกก อุตส่าห์นะ อุตส่าห์ วางแผนไว้ดิบดีเลย ว่าจะเอาน้อง Tucson
หรือ “ทักษอร” คันเนี้ย ไปถ่ายรูปให้สวยๆ กะว่าจะให้อยู่ในโลกชันที่ไม่เคยใช้มาก่อน มุมกล้อง ต้องเจ๋ง
ระดับ อาร์ตขั้นเทพ มาเอง! แสง เงา ตกกระทบ ยามบ่ายคล้อย ก่อนพระอาทิตย์ จะอัสดงลาลับขอบฟ้า
สาดสีเปล่งประกายระเรื่อๆ ลงมายังแนว ขอบเส้นสันฝากระโปรง จรดโลโก้และกระจังหน้า อันสวยงาม
น่าเกรงขาม ไล่แสงเล่นกับเส้นแนวขอบกระจก หน้าต่างด้านหลัง ที่โค้งเว้า อย่างสวยงาม ให้สมกับ
สโลแกน ที่พี่อุ๋ย นั่นแหละ ตั้งเอาไว้ว่า Do You Feel Sexy?

พี่ก็ดันติดสติ๊กเกอร์ เต็มพรืดข้างตัวรถ ซะหมดกันเลย!!! (T_T)

จะรอให้ผมเอาไปทำรีวิวก่อนแล้วค่อยติด ก็ไม่ได้ แง๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ถึงแม้จะหมดอารมณ์ในการถ่ายรูปไปเรียบร้อยแล้ว ยังไงก็ตาม คงต้องพยายามหาทางถ่ายรูปประกอบบทความ
มาให้ ดีที่สุด เท่าที่พอจะทำได้ และเท่าที่ตัวรถจะเอื้ออำนวยอวยให้

ก็เลยถ่ายมาได้เพียงเท่านี้ละครับ

พี่อุ๋ย คร้าบบบ จะบอกว่า ลำพัง เส้นสายของ Tucson มันก็เด่นเด้งกลางถนน เพียงพอจะดึงดูด
สายตาผู้คนร่วมที่สัญจรไปด้วยกัน หันเหลียวมาเมียงมองมันอยู่มากพอแล้ว พี่ไม่ต้องติดสติกเกอร์
ให้มันเลอะเทอะ เละเทะ ภาษาจีนเรียกว่า “ฮวยปาลีหลก” ขนาดนี้หรอกคร้าบบ

ผมอยากจะเห็นภาพของผู้คน ที่ขับรถมาจอดขนาบข้าง กลางสี่แยกไฟแดง ชี้ชวนกันดู ว่ารถที่จอดข้าง
พวกเขา คือรถอะไร ก่อนที่ไฟเขียว จะนำพาให้ SUV คันนี้ พุ่งออกไป และทำให้พวกเขาไล่ตาม เพื่อจะ
ได้พบว่า SUV คันนี้ คือ Hyundai

ซึ่งมันจะสร้างความ Amazing ตื่นตะลึงพรึงเพริด และสร้าง Brand perception ในใจผู้คน ได้โดนเป้ง
มากกว่า การที่พี่จะแปะสติกเกอร์ คาดเต็มข้างรถ เที่ยวบอกใครต่อใคร ตามสี่แยกไฟแดงต่างๆ ว่า
“เฮ้! ฉันคือ Hyundai Tucson นะ Do you feel sexy?”

รถหนะ พอจะ sexy ได้อยู่ แต่พอเห็นสติกเกอร์แปะข้างรถแล้ว ผมละแทบจะ sex เสื่อม เลยจริงๆ
ให้ฟ้าผ่าหมา (ข้างบ้าน) ตายเถอะ การ์ฟิลด์!!!

คือ ติด ชื่อรุ่น มุมล่างของประตูคู่หลัง ยังพอรับได้ แต่นี่เล่นถามคนที่พบเห็นไปเลยว่า คุณรู้สึก sexy ไหม? เนี่ยนะ??

พี่อุ๋ย คร้าบบ คราวหน้า นะคร้าบบบ ฝากด้วยนะคร้าบบบบ ตั้งแต่ รถรุ่นอื่นๆ ที่จะเปิดตัว
หลังจากนี้ เป็นต้นไป โปรดเถอะนะคร้าบบพี่ ไม่ต้องคิดไปติดสติกเกอร์ เที่ยวป่าวประกาศ
บอกใครเขาแบบนี้ ให้เปลืองตังค์ แถมยังทำลายฝันกลางวันของผม อีกนะคร้าบบบ พี่ ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆ

Hyundai แต่ละรุ่นของพี่ ตัวรถ มันสวยด้วยตัวของมันเอง เรียกสายตาคนทั้งถนน ได้ด้วยตัวของมันเอง
อยู่แล้ว ยิ่งรุ่นหลังๆมานี้ Fluidic Design กันมาเต็มๆ ขนาดนี้ ผมขับไปไหน คนเขาก็มองกันมากพออยู่แล้ว
โปรดอย่ากระตุ้นสายตาคนทั้งป้ายรถเมล์ ด้วยสติกเกอร์แบบนี้อีกเลยนะคร้าบบบบบ

ถ้าเป็นคนอื่นหนะ เขาคงเกรงใจพี่อุ๋ย ไม่กล้าพูดบอกพี่กันต่อหน้าหรอกครับ เวลายืมรถ ที่ติดสติกเกอร์คาดข้าง
แบบนี้ ไปทำรีวิว หนะ มีแต่ไอ้บ้าจิมมี่ นี่แหละ จะขอพูดให้พี่ฟัง เลย ด้วยความร้ากกก และหวังดี กับพี่
อย่างสุดซึ้ง ในฐานะที่ Hyundai เป็นหนึ่งในสปอนเซอร์ รายใหญ่ของเว็บเรา (ฮา)

นอกเหนือจากเรื่องสติ๊กเกอร์ แล้ว อีกเรื่องที่ยังดูจะไม่เป็นใจ
กับผมเท่าใดเลย ในการทำรีวิวครั้งนี้ คือ โลเกชัน สถานที่ถ่ายรูป

เพราะหลังจาก หมดอารมณ์ถ่ายรูป และต้องพับเก็บความฝันเข้าลิ้นชัก
จึงได้แต่ทำหน้าเหี่ยว ราวกับคนอกหัก และมองหาโลเกชันสำรองกันต่อไป
สุดท้าย มาเจอ ลานทรายโล่งๆ ที่มีการถมดินไว้เรียบร้อยแล้ว ใกล้กับสนามบิน
สุวรรณภูมิ นี่ละ ก็ดีใจหลาย เอาวะ ได้ที่นี่ ก็ยังดี เล็งเอาไว้เลยว่า จะใช้ถ่ายรูป
รุ่นขับล้อหน้า คันสีเทาเข้ม ที่จะตามมาอีกด้วย

รถคันสีเงิน AWD มาอยู่กับผม ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม และหลังจากถ่ายรูป
ชุดที่คุณเห็นอยู่นี้ จนส่งคืนรถไปเรียบร้อย แล้วนั้น Tucson ทุกคัน ที่ Hyundai
มีอยู่ในมือ ก็ไม่ว่างเลย ทั้ง 2 คัน ถูกใช้ไปทำกิจกรรมทดลองขับให้กลุ่มสื่อมวลชน
รายอื่นๆ ได้ลองขับกันบ้างละ เอาไปทำโน่น นี่ นั่นสารพัดสารเพ กว่าที่รถรุ่น
ขับล้อหน้า จะว่างให้ผมได้เอามาทำตัวเลขต่างๆ ก็ปาเข้าไปกลางเดือนตุลาคม

ปรากฎว่า โลเกชันเดิม ที่ตั้งใจจะเอาไปถ่ายรูป สภาพล่าสุด เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว
(11 ตุลาคม 2010) พื้นที่ตรงนั้น ได้กลายสภาพไปหมดแล้ว มีรถขุด Catterpillar
คันเบ้อเร่อ กับปั่นจั่น เบ้อเริ่มเทิ่ม อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งตอนนี้ เละเทะไปหมด
ไม่อาจจะใช้ถ่ายรูปได้อีกต่อไป…(T_T)

สรุปว่าต้องหาโลเกชันกันใหม่ และได้ออกมาเป็นภาพอย่างที่คุณจะได้เห็นข้างล่างนี้
กว่าจะถ่ายรูปได้ ก็เหลืออีกเพียงครึ่งชั่วโมงก่อนคืนรถ เพราะฟ้าฝนเล่นตกลงมาทั้งวัน
และทำให้ Tucson ก็กลายเป็น รถรุ่นที่มีเรื่องให้ผมปวดหัวตอนถ่ายรูป มากที่สุด รุ่นหนึ่ง
ไปจนได้ เป็นรูปที่ผมถ่ายออกมา แล้ว ค่อนข้างแย่มาก ก็ยอมรับโดยดุษฎี ว่ามีเวลาทำได้แค่นี้

อย่างไรก็ตาม คำถามมีอยู่ว่า ด้วยสมรรถนะ และคุณงามความดีทั้งหมดที่มีอยู่ในรถรุ่นนี้
จะพอช่วยให้ผม หายเซ็ง ไปได้บ้างหรือเปล่า มากน้อยแค่ไหน

แค่เลื่อนเมาส์ ลงไป เรื่อยๆ ค่อยๆ ซึมซับ อย่างช้าๆ เดี๋ยวคุณก็จะได้รู้!

ชื่อรุ่นของ SUV รุ่นนี้ อ่านให้ถูกต้อง ในภาษาไทย ได้ว่า “ทูซอน” ที่มาที่ไปของชื่อนี้ มาจากชื่อของ
เมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของรัฐ Arizona ประเทศสหรัฐอเมริกา ห่างจากเมือง Phoenix ทาง
ตะวันออกเฉียงใต้ 188 กิโลเมตร และห่างจากชายแดนสหรัฐอเมริกา กับ แม็กซิโก เพียง 98 กิโลเมตร
สถิติประชากรเมื่อปี 2009 มีจำนวนทั้งสิ้น 543,910 คน เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของรัฐ
รองจาก Phoenix และมีอายุเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล สภาพของเมืองถูกรายล้อมไปด้วยแนว
ภูเขา Santa Catalina และอื่นๆ อีก 3 ภูเขา…และ……

เฮ้ยย..เดี๋ยวก่อน..ขอโทษครับ ลืมตัวว่ากำลังนั่งเขียนรีวิวรถ ไม่ใช่เขียนตำราสังคมศึกษา ม.ปลาย..

เข้าเรืองเดิมกันเถอะ!

Hyundai เอาชื่อ Tucson มาตั้งชื่อ Compact Crossover SUV ของตนเป็นครั้งแรก ในฐานะน้องเล็กของ
ตระกูล Recreation Vehicle จาก Hyundai นอกเหนือจาก Santa Fe และ Veracruz เมื่อปี 2004 ถือเป็น
คู่แข่งจากเกาหลี ที่เสนอหน้าขอแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด จาก Toyota RAV4  Honda CR-V Ford ESCAPE/
Mazda Tribute, Nissan X-Trail, Subaru Forester ฯลฯ ในช่วงนั้น มีการส่งเข้าไปขายในญี่ปุ่น อีกด้วย
เมื่อปี 2005 ในชื่อ Hyundai JM (Joyful Mover) แต่สุดท้าย ก็ต้องม้วนเสื่อกลับออกมาจากตลาดแดนปลาดิบ
ในปี 2009 ที่ผ่านมาหมาดๆ นี้เอง เพราะแบรนด์ Hyundai ไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้ในกระแสชาตินิยมของญี่ปุ่น

ขณะเดียวกัน ด้วยรูปโฉมของรุ่นแรกที่ค่อนข้าง ทื่อๆ ไร้ชีวิตชีวา ถึงแม้จะไม่น่าเรียกลูกค้าเข้าโชว์รูมเท่าไหร่
แต่ลูกค้าทั่วโลกส่วนใหญ่ แพ้ใจให้กับคุณภาพของตัวรถ ที่ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แถมยังทำคะแนนทดสอบ
การชนของ NHTSA อันเป็นหน่วยงานด้านความปลอดภัยด้านการจราจรของ สหรัฐอเมริกา ได้ในระดับ
5 ดาว ทุกหัวข้อ เลยทำให้มียอดขายเข้ามามากพอ จนผู้บริหารในกรุงโซล ตัดสินใจอนุมัติการพัฒนา รุ่น
เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ให้กับ Tucson แน่ละ เปิดตัวปีแรก ขายไป 63,000 คัน แถมยังครองส่วนแบ่ง
การตลาด Compact SUV ในยุโรป ถึง 20% และจัดเป็นรถ SUV ยอดนิยม 1 ใน 10 อันดับอีกด้วย
ถ้าไม่ทำรถรุ่นใหม่ต่อเนื่องไป ก็บ้าแล้ว

ประเด็นหนึ่งที่ถือว่า เป็นปัญหาสำคัญของรถยนต์เกาหลี ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา คือเรื่องการออกแบบ
ที่ยังขาดบุคลิกความเป็นตัวตนของตนเอง และ Tucson รุ่นแรก ก็ไม่มีรูปลักษณ์สะดุดตาแต่อย่างใด ดังนั้น
เมื่อถึงเวลา เปลี่ยนโฉม คำถามก็คือ จะทำอย่างไร ที่จะต้องพลิกโฉมรถรุ่นใหม่ ให้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
และมาในแนวทางการออกแบบ ใหม่ล่าสุด ที่ Hyundai เรียกว่า Fluidic Design หรือแนวเส้นอันลื่นไหล

ทีมออกแบบของ Hyundai ใน Russelsheim ประเทศ Germany ก็เลยพยายามสร้าง Tucson ใหม่ขึ้นมา
ด้วยแรงบันดาลใจจากบุคลิกอันแตกต่างกัน จากวัฒนธรรมแบบ Multi-cultural ของผู้คนตามเมืองใหญ่
ในยุโรป เช่น Berlin Paris และ London จนได้คำนิยามให้กับรถรุ่นใหม่นี้ที่ว่า ‘urban nomad, a car of
contrasts for a world of contrasts’ หรือ “พเนจรชน ในเมืองรถที่แตกต่าง สำหรับโลกที่เต็มไปด้วย
ความแตกต่าง”
 
ในที่สุด พวกเขาก็ค้นหาตัวตนใหม่ของ Tucson เจอ และสร้างสรรค์ขึ้นมา บนพื้นฐานการออกแบบ
Dynamic Sculpture ก่อนออกสู่ตลาดไม่นานนัก พวกเขาก็สร้างรถต้นแบบขึ้นมาคันหนึ่ง เพื่อเตรียม
ให้สาธารชน ได้รับรู้ว่า Tucson ใหม่ กำลังจะมา รถคันนี้ มีชื่อว่า Hyundai HED-6 ix-onic เผยโฉม
ครั้งแรก เมื่อ 4 มีนาคม 2009 ในงาน Geneve Auto Salon

รถต้นแบบคันนี้ มาพร้อมกระจังหน้าแบบ hexagonal grille มีแนวเส้นที่ไหลลื่น รอบคัน สวมล้อ 21 นิ้ว
ปัดเงา มาพร้อมสีตัวถัง ice blue เพื่อสะท้อนแนวเส้นสายอันลื่นไหลของตัวรถ อีกทางหนึ่ง Hyundai
เคลมไว้ในวันเปิดผ้าคลุมว่า ix-onic จะวางเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร พร้อมระบบหัวฉีด
GDI ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ (เดิมเป็นเทคโนโลยีของ Mitsubishi Motors) ให้กำลังสูงถึง
170 แรงม้า (PS) มีระบบ Idle Stop & Go และ เทคโนโลยี เกียร์ แบบ Dual Clutch ขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ
Intelligent Four-Wheel-Drive System ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพียงแค่ 149 กรัม / 1 กิโลเมตร ฟังดู
แล้วเหมือน เป็นเครื่องยนต์ในฝัน ทั้งเล็ก แรง และปล่อยมลพิษต่ำ

เห็นรูปลักษณ์ของรถต้นแบบที่ล้ำยุคไปเสียขนาดนี้ ใครจะไปเชื่อละว่า ท้ายที่สุดแล้ว เราจะได้เห็น
รถคันขายจริง ในอีก 6 เดือนต่อมา ว่ามีรูปลักษณ์ แทบจะโขกออกมาจากรถต้นแบบ ราวกับใช้
แม่พิมพ์เดียวกันเลย เสียอย่างนั้น!

Tucson พร้อมเปิดตัวสู่สายตาผู้คนทั่วโลกครั้งแรก ในงานเปิดตัว ที่เกาหลีใต้ เมื่อ 25 สิงหาคม 2009
(อันที่จริง อายุตลาดของรถรุ่นนี้ ก็ 1 ปีผ่านไปแล้วสินะ เร็วจริงๆ) ภายใต้ชื่อ Hyundai Tucson-iX
หลังจากนั้น ก็เริ่มทะยอยเปิดตัวในตลาดต่างๆ ทั่วโลก ทั้งเวอร์ชันยุโรปในชื่อ Hyundai iX35 ซึ่ง
เปิดตัวครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อ 3 กันยายน 2009 โดยจะถูกผลิตขึ้นในโรงงาน
ของ Hyundai ที่ยุโรป จากนั้น ตามติดด้วยเวอร์ชัน อเมริกาเหนือ เปิดตัวในงาน L.A Auto Show
เดือนพฤศจิกายน 2009

และมาถึงเมืองไทย เมื่อ 11 มีนาคม 2010 ถือเป็นรถยนต์ Hyundai รุ่นที่ 2 ในประวัติศาสตร์
รถรุ่นที่ขายในไทย ที่ใช้เวลาในการเปิดตัว ตามติดตลาดโลกอย่างทันท่วงที (รุ่นแรกที่ถือว่าเร็ว
เท่ากับการเปิดตัวในตลาดโลกเลยคือ รถตู้ H-1 นั่นเอง!) โดยในงานเปิดตัว มีพื้นที่พอให้
ลองขับรอบสั้นๆ และทำให้เราได้ทำรีวิว รถรุ่นนี้ เป็นรายแรกในไทย (อีกตามเคย)

Tucson ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้รหัสโครงการ LM และใช้เวลาในการทำงานทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มประชุม
ขั้นตอนการออกแบบ กำหนดโครงสร้าง ทดลองผลิต และทดสอบความทนทาน นานเพียง 36 เดือน
หรือ 3 ปี เท่านั้น และใช้เงินลงทุนไปมากถึง 280 พันล้านวอน หรือ ประมาณ 225 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

Tucson สำหรับตลาดเกาหลีใต้ และตลาดส่งออกทั่วโลก จะถูกผลิตขึ้นในโรงงานของ Hyundai
ที่เมือง Ulsan อันเป็นโรงงาน ดั้งเดิม ที่ผลิค Tucson มาตั้งแต่รถรุ่นแรกก่อนหน้านี้ ส่วนเวอร์ชัน
ยุโรป จะขึ้นสายการผลิตที่โรงงาน Zilina Plant ในสโลวาเกีย เวอร์ชันจีน ขึ้นสายการผลิตที่
โรงงานในปักกิ่ง ส่วนอินโดนีเซีน จะเริ่มสายการผลิตที่โรงงาน Bekasi ในปีนี้ นอกจากนั้น
ยังมีโรงงานของ Chabbour Group ที่กรุง Cairo ประเทศอียิปต์ เอาไว้ป้อนตลาดในประเทศ
ของตนเองอีกด้วย เรียกได้ว่า ผลิตกันหลายโรงงานมากๆ

รถรุ่นนี้ มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในตลาดโลก อย่างดี เพราะเสียงตอบรับในช่วงแรกที่
รถออกสู่ตลาด ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ขนาด หนังสือพิมพ์ Money Today ของเกาหลีใต้ ฉบับ
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2009 ยังรายงานว่า Saeki Yoshikazu ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าวิศวกรโครงการ
พัฒนา Toyota RAV4 ยังแสดงความเห็นออกมาเลยว่า “I test drove Tucson ix. Even I think
Tucson ix is a very good vehicle. It is a very stylish, too” (ผมได้ทดลองขับ Tucson ix แล้ว
และคิดว่า รถรุ่นนี้ ถือเป็นรถที่ดีมากๆ อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวอีกด้วย

 

ก็แน่ละ ดูเส้นสายตัวถัง บนตัวรถที่มีความยาว 4,410 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร
สูง 1,655 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ ยาวถึง 2,840 มิลลิเมตร นั่นปะไร พริ้วไหว ราวกลับ
มีการเล่นแนวเส้นจากผิวน้ำ มาวางเอาไว้ทั่วเรือนร่างของตัวรถกันเลยทีเดียว เป็นแนวทาง
ที่ Hyundai เรียกว่า Fluidic Sculpture

เวอร์ชันไทย มีจำหน่าย เฉพาะเครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 ลิตร และมีให้เลือกทั้ง รุ่น
ขับเคลื่อนล้อหน้า (2.0 G 2WD คันสีเทาดำ) และ รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ
(2.0 G 4WD คันสีเงิน)

ซึ่งถ้าคุณคิดจะหาความแตกต่างจากรถทั้ง 2 รุ่นนี้ โดยมองแค่เพียงตัวรถภายนอก
บอกเลยว่า มองไม่เห็นหรอกครับ ผมก็พยายามแล้ว และหาไม่เจอเลยเหมือนกัน

 

โคมไฟหน้าขนาดใหญ่ มีระบบ เปิด – ปิด อัตโนมัติมาให้ กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวเป็นแบบ LED
ชายด้านล่าง เป็นพลาสติกสีดำ ลดปัญหา เศษฝุ่น หิน ดินทราย กระเด็นขึ้นมากระทบกับตัวถังรถ
มีราวหลังคา ที่แน่นหนา แข็งแรง มาให้ มือจับระตูด้านนอก แบบโครเมียม มีสปอยเลอร์หลัง
พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 มีงโคลน และแผ่นกันลมหน้า-หลังมาให้ ล้ออัลลอย เป็นขนาด 6.5 J x 18 นิ้ว
สวมเข้ากับยางขนาด 225/55 R18 ทั้งหมดนี้ คือุปกรณ์มาตรฐาน ที่มีมาให้ทั้ง 2 รุ่น

กุญแจ ของทั้ง 2 รุ่น เป็นแบบ รีโมทคอนโทรล Keyless Go พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer มาให้
แค่พกกุญแตรีโมทเอาไว้ เดินเข้าใกล้รถ กดปุ่ม เพื่อ ปลด หรือเสั่งล็อก บานประตูจะถูกปลดอก
และติดเครื่องยนต์ได้ด้วยวิธีการกดปุ่ม Start ขนาดใหญ่ ที่บริเวณฝั่งขวาของชุดเครื่องเสียง

เมื่อเปิดประตูก้าวเข้าไป จะพบว่า ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยวัสดุสมราคา มากขึ้นกว่า รถเกาหลี
ในยุคก่อนๆ หลายๆรุ่น Tucson เวอร์ชันไทย ตกแต่งเบาะนั่งด้วยสีน้ำตาล Conac Brown ดูหรูหราไฮโซ
เล่นเอา X-Trail กับ CR-V และเลยเถิดไปถึง Captiva ต้องหันมองค้อนขวับกันไปเลยทีเดียว
น้ำหนักของบานประตู เบาไปกว่าที่คิดสักหน่อย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก

การก้าวเข้าออกจากรถนั้น หากปรับเบาะนั่งให้อยู่ในระดับต่ำสุด ก็จะไม่ลำบากจนเกินไป

แต่สิ่งที่ก็ความหงุดหงิดให้เป็นเรื่องแรกในการก้าวเข้า – ออก จาก Tucson ใหม่คือ ธรณีประตูด้านล่าง
งานนี้ สงสัย Hyundai คงซื้อ Mercedes-Benz M-Class และ BMW X5 ใหม่ ไปโละเป็นชิ้นๆ มาศึกษา
เลยพาลคิดไปว่า การทำรถให้มีบ่าบันไดข้างแบบเดียวกับ รถทั้ง 2 รุ่น น่าจะช่วยเสริมภาพลักษณ์
ความไฮโซ ให้กับรถได้เป็นอย่างดี

แต่หารู้ไม่ว่า มันก่อความรำคาญ เวลาก้าวลงจากรถเป็นอันมาก! เพราะอะไรหนะหรือ? ก็ดูจากรูปเอาสิครับ
ขากางเกงผม จะต้องไปครูดกับ ขอบชายล่างเสียก่อน แล้วถ้าวันไหน เพิ่งลุยป่า ลุยโคลนมา ขากางเกงผม
ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมดเลยหรือ? ไม่รู้ว่าจะมีทางแก้ไขได้หรือไม่ในเรื่องนี้ เพราะ SUV ยุคหลังๆ
หลายๆรุ่น ก็มีปัญหาเดียวกันนี้ คล้ายๆกันหมด

เบาะนั่ง อันที่จริง ตัวเบาะก็ถือว่านั่งสบายกำลังดี ในภาพรวม ปรับระดับสูง – ต่ำ ปรับดันหลัง และปรับเอนได้
ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ให้มาเฉพาะฝั่งคนขับส่วนฝั่งผู้โดยสาร ก็ใช้ระบบกลไก อัตโนมือแทน เบาะรองนั่ง ก็ถือว่า
มีขนาดกำลังดี แผงประตูด้านข้าง มีช่องที่รองรับ การวางแขน ได้ดี เช่นเดียวกับฝากล่องเก็บของ ตรงคอนโซล
กลาง ที่สูงกำลังเหมาะ พื้นที่เหนือศีรษะ ก็เหลือเยอะอยู่ เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าเป็นแบบ Pretensioner
ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ

มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมขอตำหนิ กันตรงๆ ก็คือ พนักศีรษะ…

พี่จะดันหัวผมไปถึงไหนคร้าบบ?

พูดกันแบบไม่อ้อมค้อมนะครับ 7 ปีที่ทำรีวิวรถใหม่ กันมา นี่คือรถที่มีพนักศีรษะ ดันหัวกบาลผมมากที่สุด รุ่นหนึ่ง
ดันได้ดันดี ดันทุกที่ทุกเวลา ขนาดหัวผม แบนเป็นรันเวย์ สุวรรณภูมิขนาดนี้ ยังกระสับกระส่ายเวลาขับอยู่ตลอด
ลงจากรถทีนึง ปวดต้นคอกันเลย แล้วคนหัวทุยๆ สวยๆ ทั้งหลาย เขาจะรู้สึกรำคาญกันขนาดไหนเนี่ย?

ที่สำคัญ ถ้าคิดจะปรับตำแหน่งแล้วละก็ ขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะมันมีแค่ว่าให้ปรับระดับ ดันธรรมดา
ดันมาก ดันมากได้อีก และดันทุรังถึงที่สุด รวม 4 ระดับ เท่านั้น ถ้าคิดจะปรับระดับสูง – ต่ำ พนักศีรษะ เพื่อ
หวังจะช่วยลดปัญหาละก็ ขอยืนยันว่า ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้นเลย เผลอๆ จะแย่ลงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

มันน่ารำคาญกับกบาลผมมาก ถึงขนาดว่า พอหมด 1 วันแรก ในการใช้ชีวิตร่วมกันกับ Tucson คันนี้
ผมถึงกลับต้องเปลี่ยน พนักศีรษะของเบาะคนขับ ย้ายสลับกับพนักศีรษะเบาะหลัง มาไว้แทน
และนั่นก็ช่วยให้ผม ใช้ชีวิตอยู่กับ Tucson ต่อไปได้ อย่างราบรื่น และไร้เสียงบ่นไปอีกพักใหญ่ๆ

ทางแก้ อันที่จริง ก็บอก ตากอล์ฟ Product Planning ไปแล้วแหละครับว่า รถที่สั่งเข้ามาแล้วเนี่ย
อย่าเพิ่งส่งให้ลูกค้า แต่ ไปหา ซัพพลายเออร์ ที่ทำเบาะรถตู้ นั่นแหละ ให้เขา หาทาง เลาะตะเข็บ
ของหนังที่หุ้มอยู่ ออก แล้วหาทางปาดฟองน้ำ ให้บางลงสัก 1 ใน 3  หรือ 1 ใน 4 จากทั้งหมดของ
พนักศีรษะ โดยไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับโครงสร้างของมันเลย และอย่าปาดฟองน้ำออกจนพนักศีรษะ
บางจ๋อง เลยเด็ดขาด เพราะมันอาจมีผลด้าน ความปลอดภัย เมื่อเกิดการชน เพราะพนักพิงตัวนี้
เป็นแบบ Active Headrest ดีดขึ้นมาเพื่อปกป้องศีรษะและกระดูกต้นคอ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ อีกด้วย

ถ้าตั้งใจจะขาย 250 คัน ก็ทำออกมาสัก 500 ชิ้น ทำเผื่อเอาไว้สัก 100 ชิ้นก็ได้ เป็น 600 ชิ้น และที่สำคัญ
อย่าทำขายนะ ต้องทำแจกให้ลูกค้า ไม่อย่างนั้นละก็ อาจโดนลูกค้าเหวี่ยงใส่เต็มๆ ได้ว่า “ทำไมวะ
ฉันซื้อรถคุณมา คันละ เกือบ 2 ล้าน แค่พนักพิงหัวกบาล นี่ให้ฉันไม่ได้เลยหรือไง?”

 

แต่…ถ้าไม่ทำอะไรกับพนักศีรษะชิ้นนี้หละ? เราจะยังขับ Tucson กันได้ไหม

ได้ครับ เพียงแต่ คุณอาจจะต้องปรับตำแหน่งนั่ง ในแบบแปลกๆ และผิดไปจากตำแหน่งนั่งขับรถ
ที่ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ อยู่สักหน่อย..อันที่จริงก็ไม่หน่อยนะ เยอะเหมือนกันเลยทีเดียว

การจะปรับเบาะนั่งให้พอดีกับตัวนั้น ค่อนข้างยาก เนื่องจาก พวงมาลัย ปรับระดับ สูง – ต่ำได้
แต่ไม่อาจปรับระยะใกล้ – ไกลห่าง จากตัวได้ แถม แป้นคันเร่ง เป็นแบบ แป้นเหยียบเปียโน
ซึ่งมีข้อดีคือ โอกาสที่ จะมีพรมหลุดเข้าไปติดทำให้คันเร่งค้าง ยากมากๆ แต่ ถ้าคุณปรับเบาะ
เลื่อนถอยหลัง ให้สามารถ เหยียบแป้นเบรกจมมิดลึกได้พอดี คุณจะพบว่า บางที แป้นคันเร่ง
กับเบาะนั่งจะอยู่ใกล้เกินไป แล้วพอจะปรับเบาะให้ห่าง ทีนี้ แขนของคุณ ก็จะต้องเหยียดตรง
ตรึงไว้กับ พวงมาลัย ซึ่งก็เป็นท่านั่งขับ ที่นอกจากจะไม่สบายแล้ว หากเกิดอุบัติเหตุ แรงปะทะ
ยังอาจทำให้กระดูกแขนทั้ง 2 ข้าง ที่จับพวงมาลัยอยู่ หักได้

ทั้งหมดนี้ ผมต้องยอมปรับเบาะในตำแหน่ง พิลึกกึกกือ ดังกล่าว เพื่อให้ยังสามารถขับ Tucson
ได้ต่อไป และนั่น ก็ทำให้ผมไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวยามขับขี่รถคันนี้เท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม
ไม่ได้หมายความว่า คุณผู้อ่าน จะต้องรู้สึกเหมือนผมเสมอไป สรีระคนเราต่างกัน และคุณๆ อาจ
มีประสบการณ์กับรถคันนี้ ดีกว่าผมก็อาจจะเป็นได้ แต่น่าจะน้อยคนนัก

ประตูคู่หลัง เปิดกางออกได้กว้าง ตามปกติที่ควรเป็น การขึ้นลงรถจากด้านหลัง จะพบปัญหา
น่องขาเจอกับ ขอบชายล่าง อยู่เช่นเดียวกับประตูคู่หน้า ซึ่งเรื่องนี้ ยากจะหลีกเลี่ยง ที่วางแขน
บนแผงประตูด้านหลัง จัดวางตำแหน่งมาใช้ได้ มีช่องใส่เอกสาร จุกจิก สำหรับผู้โดยสาร
ด้านหลังมาให้ด้วย

 

การเข้าออกจากด้านหลังรถ ถือว่าทำได้ ดีสมตัว และ ไม่ได้เข้าออกยากลำบากอะไรมากมาย
แต่ประการใด กระจกหน้าต่าง ของบานประตูคู่หลัง สามารถเลื่อนลงมาได้จนสุด ด้วยสวิชต์
ไฟฟ้า จากจุดนี้ เราจะเห็นว่า มีช่องแอร์ สำหรับผู้โดสารแถวหลังมาให้ด้วย ติดตั้งที่ด้านหลัง
ของกล่องเก็บของ คอนโซลกลาง มีช่องใส่หนังสือแบบตาข่าย มาให้ที่ด้านหลังเบาะคู่หน้าด้วย

เบาะนั่งด้านหลังนั้น แม้จะดูเหมือนนั่งสบาย แต่เบาะรองนั่ง สั้นไปนิดนึง ส่วนพนักพิงศีรษะ
คราวนี้ ออกแบบมา คลายคลึงกับเบาะคู่หน้า แต่พอใช้งานได้ มีที่วางแขน พร้อมช่องวางแก้ว
2 ตำแหน่ง พับเก็บได้ และมีพนักศีรษะสำหรับผู้โดยสารตรงกลางแบบรถยุโรปอีกต่างหาก

 

พื้นที่เหนือศีรษะ มีให้เพียงพอต่อสรีระของผู้ใหญ่ เข็มขัดนิรภัยทุกรุ่น ให้มาแบบ 3 จุด
ครบทั้ง เบาะหน้า และหลัง ทุกตำแหน่ง มีพื้นที่วางขา กำลังดี เหมือนจะต้องชันเข่า
สำหรับบางคน แต่กับผู้เขียน ไม่ถึงกับต้องชันเข่าแต่อย่างใด

นอกจากนี้ เบาะหลังยังสามารถแยกพับได้ ในอัตราส่วน 60 : 40
เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ให้มีขนาดใหญ่โตขึ้น รองรับ
สัมภาระที่มีความยาวมากกว่าปกติ

 

การพับเบาะออกจะแปลกเล็กน้อย เพราะ พนักพิงหลังฝั่งที่มีพื้นที่เยอะกว่า
ปกติ จะต้องอยู่ด้านซ้ายมือ แต่ Hyundai กลับเอาไปติดตั้งในด้านขวามือเสียแล้วนี่
แถมด้านหลังของพนักพิงหลัง สามารถพับให้แบนราบได้มากที่สุด โดยไม่ต้อง
ถอดพนักศีรษะออกแต่อย่างใด

ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง ก็ไม่แตกต่างจาก SUV สมัยใหม่ทั่วๆ ไป
ใช้กลอนไฟฟ้า ช็อกอัพ ไฮโดรลิก มาให้ 2 ต้น น้ำหนักในการเปิด ถือว่า
หนักแน่น กำลังดี ไม่หนักหรือเบาเกินไป

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง เหมือนกันทั้ง 2 รุ่น มีตาข่ายคลุมสัมภาระ และแผงบังตา
ห้องสัมภาระ เลื่อนม้วนเก็บได้มาให้ มีไฟส่องสว่างดวงเล็กๆ และมีช่องเสียบ
อุปกรณ์ไฟฟ้า ด้านหลังรถมาให้

เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบยางอะไหล่ แม่แรง และชุดเครื่องมือประจำรถ
เก็บซ่อนรวมกันเอาไว้อย่างที่เห็นอยู่ เป็นแบบนี้ทั้ง 2 รุ่นย่อย และทุกคัน ยางอะไหล่
ให้ล้ออัลลอย ลายเดียวกับ ล้ออัลลอยทั้ง 4 ที่ติดอยู่กับรถ

แผงผน้าปัด แทบจะเรียกได้ว่า ถอดออกมาจากรถต้นแบบกันทั้งดุ้นเลยทีเดียว มีความพยายาม
จะทำให้ ดูมีดีไซน์ ไปพร้อมๆกับ การวางตำแหน่ง สวิชต์ ต่างๆ บนชุดแผงหน้าปัด ให้เน้น
ความสะดวก ในการควบคุม ขณะขับขี่

แต่การใช้แสงสีฟ้า ยามค่ำคืนนั้น แม้จะทำให้แผงหน้าปัดดูสวยงาม ทว่า โทนสีที่ใช้ ก่อให้เกิด
ความง่วงนอนได้ เพราะพื้นหลังเป็นสีฟ้าอ่อน แต่ ตัวเลข ตัวอักษร ที่แสดงบนหน้าจอนั้น
เป็นสีดำ (อ้อ หน้าจอ แสดงรายชื่อเพลง เป็นภาษาญี่ปุ่นได้อีกด้วย!)

รูปด้านบน เป็นรูปของ รุ่น 4WD ส่วนรูปด้านล่าง เป็นรุ่น 2WD ซึ่งในความเป็นจริง แทบไม่มี
สิ่งใด แตกต่างกันเลย

 

ถึงจะออกแบบให้ดูสวยงามขนาดไหน แต่ด้วยการเลือกใช้พลาสติก เป็นวัสดุในการขึ้นรูปแผงหน้าปัด
ดังนั้น แม้จะพยายามออกแบบมาอย่างดีที่สุดแล้ว แต่พื้นผิวสัมผัส ก็ยัง เป็น พลาสติกอยู่ดี

ในเมื่อไม่มีความแตกต่างกัน เราก็ยังต้องนำมาโพสต์ให้ชมกันเล่นๆ และให้คุณผู้อ่านลองเล่นเกม
Photo Hunt หาความแตกต่างกันดู ว่าอยู่ที่ตรงไหน เพราะบอกตามตรงว่า ผมหาไม่เจอครับ

ต้องยอมรับเลยว่า Hyundai พยายามเรียนรู้ ในด้านการออกแบบตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ
ได้ดีขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะมาก สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งเหมาะสม
มีกระจกหน้าต่างฝั่งคนขับเท่านั้น ที่เลื่อนขึ้น – ลง แบบ One Touch ในสัมผัสเดียว กระจก
มองข้าง ปรับ และพับได้ด้วย สวิชต์ไฟฟ้า แยกชิ้นกัน และถ้าจะติดเครื่องยนต์ ต้องกดปุ่มวงกลม
ใต้ช่องแอร์คู่กลาง ฝั่งขวา

 

พวงมาลัยเป็นแบบ 4 ก้าน ตกแต่งด้วย ลายอะลูมีเมียม สีเงิน พร้อมสวิชต์ Multi Function
สวิชต์ ฝั่งขวา บนพวงมาลัยเอาไว้ควบคุมการทำงานของระบบล็อกความเร็วคงที่อัตโนมัติ
Cruise Control ส่วนสวิชต์ฝั่งซ้าย เอาไว้ควบคุมการทำงานของชุดเครื่องเสียง

ทั้งพวงมาลัย และหัวเกียร์ หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ 

ชุดมาตรวัดของทั้ง 2 รุ่น เหมือนกันเป๊ะ เป็นแบบ 2 วงกลม ตัวเลขสีขาว แต่ใช้ไฟโทนสีฟ้า มาประดับ
ตรงกลาง มีจอแสดงข้อมูล ซึ่งนอกจากจะบอกปริมาณน้ำมันในถัง และอุณหภูมิ ของห้องเครื่องยนต์แล้ว
ยังสามารถ บอก ระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้รถแล่นไปได้อีกกี่กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิง เฉลี่ย อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบสดๆ Real-time ได้อีกด้วย มี Trip Meter มาให้แค่
Trip เดียว การตั้งค่าข้อมูลให้กดปุ่ม TRIP ฝั่งขวาล่างถัดจากมาตรวัดความเร็วที่เห็นในรูป ตัวเลข
ใช้ Font ที่สะดวกต่อการอ่านค่าความเร็ว เพียงแต่ว่า หน้าจออยู่ลึกไปนิดนึง และตัวเลขมีขนาดเล็ก
ไปหน่อย และปรับความสว่างของมาตรวัดได้ ที่สวิชต์ บวก ลบ ใต้ช่องแอร์ ฝั่งผู้ขับขี่

ชุดเครื่องเสียง เป็นวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 6 แผ่น มี่องต่อ iPod และ USB ให้ที่ด้านล่าง
พร้อม Sub-Woofer มาให้ ที่แผงห้องเก็บของด้านหลัง ฝั่งขวา ให้คุณภาพเสียงที่ดีจนน่าประทับใจ
ดีจนใกล้เคียงกับชุดเครื่องเสียงของ Volvo ซึ่งผมยกย่องให้เลยว่า คุณภาพเสียงดีมากๆ ด้วยซ้ำ
สัมผัสจากปุ่ม สวิชต์ต่างๆ ไม่เลวเลยทีเดียว จุดนี้ต้องขอชมเชย ว่าทำได้ดีมากๆ ส่วนเครื่องปรับอากาศ
เป็นแบบ อัตโนมัติ หน้าจอ Digital แยกฝั่ง ซ้าย – ขวา ได้ เฉพาะอุณหภูมิเท่านั้น ให้ความเย็น ได้ค่อนข้างเร็ว

กล่องเก็บของ คั่นกลางระหว่างผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้า ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ แต่เอาเข้าจริง
การใส่ กล่อง CD ขนาดมาตรฐานลงไป ค่อนข้างไม่พอดี ต้องวางลงไปแบบเยื้องๆ อย่างที่เห็น มีช่อง
สำหรับเสียบรีโมทกุญแจ เอาไว้ ในกรณีที่คุณไม่รู้ว่า จะพกรีโมท ไว้ส่วนใดของร่างกายคุณ

เบรกมือ เป็นแบบสาย กลไกแบบมาตรฐาน เชื่อมต่อกับระบบเบรกล้อหลัง มีช่องวางแก้วน้ำ 2 ช่อง
วางแก้วน้ำ McDonald ได้แน่ๆ แต่ถ้าจะวางขวดน้ำขนาด 7 บาท ควรใส่ในช่องที่เล็กกว่า จะเป็นการดี

ลิ้นชักใส่ของบนแผงหน้าปัด มีขนาดใหญ่โตมากกว่าที่คิด เล็กน้อย ใส่ซองสมุดคู่มือประจำรถแล้ว
ยังพอมีพื้นที่ให้วางของเล็กๆน้อยๆ เช่นปืนสั้น ขนาดพกพา ได้อีก 1 กระบอก น่าจะพอได้อยู่

นอกจากนี้ Hyundai ค่อนข้างใจป้ำ ที่สั่ง ออพชัน ให้ Tucson เวอร์ชันไทย มี หลังคากระจก Sunroof
2 ชิ้น สำหรับทั้ง ผู้โดยสารด้านหน้า (ยกและปรับเลื่อนได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ตรงกลางระหว่าง ไฟอ่านแผนที่
และ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง (ปรับเลื่อนอะไรไม่ได้ นอกจากเป็นหลังคากระจกอย่างเดียว) มีให้ทั้ง 2 รุ่น

แผงบังแดด มีกระจกแต่งหน้าแบบฝาปิดเลื่อนเข้า – ออก มีไฟแต่งหน้าบนเพดาน ไฟอ่านแผนที่ และช่องใส่แว่นตา มาให้

กระจกมองหลัง นอกจากจะเป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ เหมือนรถยุโรปชั้นดีแล้ว ยังรับสัญญาณภาพ
จากกล้องขนาดเล็ก เหนือกรอบป้ายทะเบียน ขึ้นฉายให้ผู้ขับขี่ มองเห็นพื้นที่ด้านหลังรถ ขณะถอยเข้าจอด
เพิ่มความปลอดภัยได้อย่างมาก และเป็น ออพชันแบบเดียวกับที่พบได้ใน Lexus RX350 ใหม่ล่าสุด!!!
(คันละ 5 ล้านกว่าบาท)

ทัศนวิสัยด้านหน้า มองเห็นทางได้ไกล ตามแบบ SUV ทั่วๆไป แถมคุณยังจะมองเห็นพื้นที่ฝากระโปรงหน้า
ได้อีกด้วย แม้ว่า จะปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้เตี้ยสุด เหมือนเช่นที่ผมทำอยู่ และบันทึกภาพนี้มาให้ชมกันก็ตาม

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา พอจะมีการบัดบัง รถคันที่แล่นสวนมา ในทางโค้งขวา พอสมควร
แต่สิ่งที่ต้องถือว่าเป็นพัฒนาการก็คือ กระจกมองข้าง ไม่หลอกสายตาเหมือนรถรุ่นก่อนๆ อีกต่อไปแล้ว
ตรงนี้ ขอจุดพลุฉลอง ไชโย ให้ Hyundai ด้วย!

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย พอจะมีการบัดบัง รถคันที่แล่นสวนมา ขณะเลี้ยวกลับรถ อยู่บ้าง
เช่นเดียวกันกับฝั่งขวา กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ไม่หลอกสายตาเหมือนรถรุ่นก่อนๆ อีกต่อไปแล้ว

แต่ทัศนวิสัยด้านหลัง นั้น ด้วยแนวเส้นตัวถังด้านนอก จึงทำให้มีจุดบอด บดบังมุมมอง ออกมาเป็นอย่างที่เห็น
ข้อนี้ คงต้องทำใจ และช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากการกะระยะของคุณ ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นสักหน่อย
ขณะจะเปลี่ยนเลน หรือขับเข้าช่องทางคู่ขนานใดๆก็ตาม

 

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในระยะหลังมานี้ รถยนต์เกาหลี เริ่มมีพัฒนาการด้านเครื่องยนต์ ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในด้านอัตราเร่ง
แม้ว่าอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อาจจะยังเป็นรองผู้ผลิตจากญี่ปุ่นอยู่นิดนึงก็ตาม แต่ถือว่า
แนวโน้มในการพัฒนา เป็นไปในทางบวก

หลายๆคน เห็นว่า การนำเครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 ลิตร มาวางใน รถที่หนัก 1,500 กิโลกรัม
ในรุ่น 2WD และ 1,575 กิโลกรัม ในรุ่น 4WD แล้ว รถจะอืดหรือเปล่า ขอบอกว่า อย่าเพิ่ง
ด่วนตัดสินแบบนั้น ลองดูข้อมูลต่อไปนี้กันก่อน

เครื่องยนต์ของ Tucson เวอร์ชันไทย เป็นเครื่องยนต์ Theta-II บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,998 ซีซี ห้องเผาไหม้แบบ Square (ช่วงชัก 86 x 86 มิลลิเมตร) อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1
หัวฉีด อีเล็กโทรนิคส์ พร้อมระบบแปรผันวาล์ว ทั้งไอดี และไอเสีย (D-CVVT) และ ระบบ
ปรับระยะทางเดินไอดี (VIS)

พละกำลังสูงสุด 166 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 197 นิวตันเมตร (20.1 กก.-ม.)
ที่ 4,600 รอบ/นาที ถือว่า แรงบิดสูงมาก แต่ก็มาในรอบค่อนข้างสูงด้วยเช่นเดียวกัน

ทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า 2WD และรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD จะใช้เกียร์ลูกเดียวกัน
เป็น เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ แบบขั้นบันได พร้อมโหมด บวกลบ ซึ่งเอาเข้าจริง
ก็ไม่ค่อยจะช่วยให้เร่งแซงได้มากเท่ากับการกดคันเร่ง Kick Down ลงไปเอง

อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1                 4.162
เกียร์ 2                 2.575
เกียร์ 3                 1.772
เกียร์ 4                 1.369
เกียร์ 5                 1.000
เกียร์ 6                 0.378
เกียร์ R                 3.500
อัตราทดเฟืองท้าย    3.648

ดูอัตราทดแล้ว เขาทดมาอย่างกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เลยแหะ เฟืองท้าย 3.6 : 1 ก็ถือว่า
ค่อนข้างจะใช้ได้เหมาะสมกับตัวรถอยู่ ในระดับไม่เลวเลยทีเดียว

ขอแอบบ่นหน่อยเถอะ เวอร์ชันพวงมาลัยซ้าย ตำแหน่งคันเกียร์ ตกแต่งอย่างสวยงาม เมื่อดูจากใน
แค็ตตาล็อก เวอร์ชันส่งออก แต่พอดู เวอร์ชันพวงมาลัยขวา อย่างเมืองไทย ทำไมมันดูล้านเลี่ยน
เตียนโล่งโจ้งกันขนาดนี้?

มีสิงที่ต้องเตือนกันเอาไว้เลย ก็คือคันเกียร์ สามารถเลื่อนจาก P ลงมา R ได้โดยไม่ต้องเหยียบเบรก!
อันตรายใช่เล่นเลยนะครับ ถ้าคิดจะทิ้งลูกหลานไว้ในรถ ตอนติดเครื่องยนต์อยู่ ปรับปรุงได้ ก็ควร
ปรับปรุงนะ เรื่องนี้ ที่รู้ เพราะเกิดเอะใจ ลองลากเข้าเกียร์ลงมาดู ถึงรู้ว่า มันไม่มีการล็อคใดๆเลย

เครื่องยนต์ กับเกียร์ จะส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือขับเคลือน 4 ล้อ แบบ FullTime โดยในรุ่น
4WD จะใช้ระบบไฟฟ้า ควบคุมด้วยสมองกล ECU ในกรณีที่ล้หน้า เจอพื้นถนนลื่นๆ ล้อหมุนฟรี
ข้างใดข้างหนึ่ง หรือหมุนเร็วกว่าล้ออีกฝั่งหนึ่ง ระบบจะส่งสัญญาณ ให้ ชุดเพลาขับเคลื่อนล้อคู่หลัง
ทำงานทันที เพื่อพารถผ่านพ้นถนนลื่นไปได้ หลักการทำงานก็เหมือนกับ Honda CR-V และบรรดา
Compact SUV รุ่นใหม่ ทั้งหลาย นั่นเอง

 

นอกจากนี้ ยังสามารถ ล็อกให้ระบบขับเคลื่อน สี่ล้อ ทำงานตลอดเวลาได้ ด้วยสวิชต์ Lock ซึ่งอยู่ติดกันกับ
สวิชต์ ระบบโปรแกรมควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronics Stability Program) และระบบช่วยในการลงเขา
HAC (Hill-Assist Control)

เราทำการทดลองจับเวลาหาอัตราเร่ง กันในยามค่ำคืนเช่นเคย ด้วยมาตรฐานเดิม คือเปิดแอร์ นั่ง 2 คน
ผม กับ กล้วย (95 + 48 กิโลกรัม) และ เปิดไฟหน้า ตัวเลขที่ออกมา เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในพิกัด
เดียวกัน มีดังนี้

 

 

ใครที่คิดว่า เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เบนซิน วางในตัวถีงหนัก 1.5 ตัน จะไหวหรือเปล่านั้น เห็นตัวเลขแล้ว
คงจะหายข้องใจไปเยอะเลยสินะครับ….

ถ้าเปรียบเทียบตัวเลขอัตราเร่งแล้ว จะพบว่า หากเทียบในพิกัด Compact SUV 2.0 ลิตร ด้วยกัน อัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของ Tucson ชนะทุกคัน ยกเว้น Nissan X-Trail 2.0 2WD CVT ใหม่ รุ่นปี 2010
แต่ก็ห่างกันเพียงแค่ 0.1 วินาที โดยประมาณ ทว่า เมื่อดูอัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว การณ์
กลับตาลปัตร กลายเป็นว่า Tucson ทั้ง 2 รุ่น มีอัตราเร่งแซงในช่วงดังกล่าว ดีที่สุดในตลาดตอนนี้ แถมยังทำ
ตัวเลขอกมาได้ดีกว่า Honda CR-V 2.4 ลิตร 4WD อีกราวๆ 0.2 วินาที เสียด้วยเนี่ยสิ!

ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะแรงดึงขณะออกตัวนั้น ชวนให้รู้สึกว่า รถพุ่ง มีแรงดึงใช้ได้เหมือนกัน
แต่น่าแปลกว่า ในช่วง ไล่ขึ้นเกียร์ 2 และ 3 ความเร็วขึ้นค่อนข้างช้านิดนึง และยิ่งเมื่อถึงความเร็ว
140 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป อัตราเร่งจะเริ่มช้าลง แต่พละกำลังก็ยังคงมีปรากฎอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่
ช่วงปลายอาจจะเหี่ยวไปสักหน่อย ทำได้ขนาดนี้ ถือว่า ดีแล้วละครับ หากเทียบกับรถยนต์เกาหลีใต้
ในยุคก่อนๆ ด้วยกันแล้ว

การเก็บเสียงนั้น ช่วงความเร็วเกินกว่า 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป จะเริ่มได้ยินเสียงกระแสลมด้านข้าง
ดังขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงลม ลอดผ่านนิดๆ บริเวณ ขอบกระจกประตูคู่หน้า และเสียงส่วนใหญ่จะดังมาจาก
ซุ้มล้อด้านหลัง

 

คันเร่งเป็นแบบ แป้นเหยียบเปียโน ดังนั้น ตัดปัญหาเรื่องพรมจะหลุดลอดเข้าไปทำให้คันเร่งค้างได้เลย
อีกทั้ง ยังถือเป็นคันเร่งที่ตอบสนองได้ไวทันใจใช้การได้เลยทีเดียว ไวเสียจนตาแพน Commander CHENG
ของเรา เรียกมันว่า “ไวแบบถวายชีวิต”

คือ ถ้าใครที่ขับ Honda Civic 2.0 ลิตรอยู่ คงพอจะนึกออกได้ว่า คันเร่งที่ไว (ไปหน่อย) นั้น อาการเป็นอย่างไร
คันเร่งของ Tucson ก็จะมีความคล้ายกันอยู่ในประเด็นเดียว นั่นคือ แค่ คุณ คันนิ้วเท้าข้างใดข้างหนึ่ง เผลอเอา
นิ้วไปขูดๆกันในรองเท้า ซึ่งกำลังเหยียบคันเร่ง เบาๆ อยู่ แค่เพิ่มน้ำหนักลงไปนิดเดียว เกียร์อัตโนมัติ จะ
ไม่เพียงแต่เปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ ถึง 2 เกียร์รวด ในครั้งเดียว หากแต่ รอบเครื่องยนต์ ยังกวาดขึ้นไปอยู่แถวๆ
5,000 รอบ/นาทีขึ้นไป หน้าตาเฉย คือมันเร็ว และไว ดี แต่สปริงของชุดคันเร่ง น่าจะหนืดกว่านี้อีกนิดนึง
เพื่อไม่ให้คันเร่งตอบสนอง ไวเกินเหตุเกินพอดี

ด้วยความที่เป็นคันเร่ง แบบ ทำงานถวายชีวิต ดังนั้น ถ้าคุณต้องการอัตราเร่ง เท่าไหร่ คันเร่งจะจัดให้ตาม
เท่าที่ผู้ขับต้องการ ไม่มีอืดอาด ยืดยาด หรือขี้เกียจ ขอ Lag สัก 1 วินาที เหมือนคันเร่งไฟฟ้ารถยี่ห้ออื่นๆ
ที่ผมเคยเจอมาแต่อย่างใด นั่นทำให้ ในช่วงคลานไปตามสภาพการจราจรติดขัด แทบจะเรียกได้ว่า เพียง
แค่เอานิ้วเท้า แตะๆ เขี่ยๆ ปลายคันเร่ง รถก็พุ่งออกไปให้อย่างกระฉับกระเฉงกว่าที่คิดแล้ว แม้จะอยากให้
คันเร่ง ของรถสมัยใหม่ หลายๆรุ่น เป็นแบบนี้บ้าง แต่จะว่าไป งวดนี้ ต้องถือว่า คันเร่งไวไปนิดนึง

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ ไฮโดรลิก เซ็ตอัตราทดมา ค่อนข้างจะไวกว่าพวงมาลัย
ของ SUV ทั่วๆไปในตลาด ระยะฟรี ไม่มากไม่น้อยเกินไป น้ำหนักกำลังดี ติดจะหนืดนิดๆ ในช่วงความเร็วต่ำๆ
และหนืดกำลังดี ในย่านความเร็วสูง ไม่หนืดแน่นจนต้องออกแรงบังคับมากเกินไป รัศมีวงเลี้ยว 5.29 เมตร

แต่ ถ้าในจังหวะที่คุณจะต้องเข้าโค้ง ด้วยความเร็ว ระดับ 80 – 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนทางด่วน คุณจะพบว่า
ความหนืดที่เคยมีอยู่ในระดับกำลังดีนั้น มันหายไปนิดหน่อย ทำให้พวงมาลัย ค่อนข้างเบา เมื่อคุณขับเข้าโค้ง
ดังนั้น ต้องใช้สมาธิในการควบคุม เพิ่มขึ้นอีกนิดนึง แบบเดียวกับพวงมาลัยของรถยนต์ ซาลูน แนวนุ่มๆ
หลายๆคัน ซึ่ง ผมมองว่า จะดีกว่านี้ หากยังสามารถรักษาความหนืด หรือ แรงต้าน ขณะหักเลี้ยว ได้มากกว่า
ที่เป็นอยู่นี้อีกสักหน่อย ก็จะดี

 

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link พร้อมเหล็กกันโคลง
ใช้ช็อกอัพ แบบ Amplitude Selective Damper เป็นจุดเด่น สำคัญ อีกประการหนึ่งของรถรุ่นนี้ มันทำให้
ประเด็นการยึดเกาะถนน และให้ความมั่นใจในย่านความเร็วสูง กลายเป็น ภาพลักษณ์ใหม่ล่าสุดของ
Hyundai ที่ฝังใจพวกเรา Headlightmag.com ไปเรียบร้อยแล้ว!

ก็ลองย้อนกลับไปดูสิครับว่า 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เราเริ่มขับ Hyundai Sonata มาจนถึง Coupe Santa Fe
ไม่เว้นแม้แต่ H-1 ถามหน่อยเถอะ มี Hyundai รุ่นไหนบ้าง ที่ช่วงล่างไม่ดี? คำตอบก็คือ แทบไม่มีเลย
และ Tucson เอง ก็กลายเป็นรถอีกรุ่นหนึ่ง ที่ตอกย้ำให้เราเชื่อว่า Hyundai เดี๋ยวนี้ ช่วงล่างดีเกินคาด
เกินหน้าเกินตารถญี่ปุ่นบางรุ่นไปแล้วเสียอีก!

ช่วงล่างของ Tucson อาจจะสร้างความรู้สึก แข็งกระด้าง สะเทือนเอาเรื่อง ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะ
ขับคลานไปตามเนินลูกระนาดหลังเต่า หรือจำใจต้องเหยียบลงไปบนฝาท่อระบายน้ำ ทว่า หากคุณ
ตัดสินใจ ขับรูดผ่านทางลูกรังเหล่านั้นไปเลย กลายเป็นว่า ช่วงล่าง ตอบสนองได้ดีกว่าที่คิด ไม่สะดุ้ง
สะเทือนเท่าใดนัก

และยิ่งถ้าใช้ความเร็วสูงๆ ช่วงล่างของ Tucson จะยิ่งนิ่งมากๆ แถมยังให้ความมั่นใจอย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อสาดเข้าโค้ง ในความเร็วสูงๆ บนทางด่วน รถนิ่งกว่าที่คิด อย่างที่ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าใดนัก
ว่า Hyunda ทำให้พวกเราเซอร์ไพรส์ กันอีกแล้ว

 

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ คู่หน้า มีรูระบายความร้อน เสริมด้วยระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก
กระทันหัน ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบรักษาความเร็วเมื่อลงทางลาดชัน DBC (Downhill
Brake Control) Hyundai เคลมตัวเลขเอาไว้ว่า ระยะหยุดจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนถึงจุดหยุดนิ่ง
อยู่ที่ 43.3 เมตร

การทำงานของระบบห้ามล้ออยู่ในเกณฑ์ดี แป้นเบรกนุ่มเท้าพอประมาณ ถ้าจะต้องจอดติดไฟแดง และ
ต้องเหยียบเบรกไว้ รอจังหวะสัญญาณไฟเขียว จะพบว่าแป้นเบรกมีน้ำหนักค่อนข้างดี เหยียบลงไปแล้ว
ไม่เมื่อยเท้าขวา การตอบสนอง ในช่วงความเร็วต่ำ ทำได้ดี พอๆกับรถยุโรป ขณะเดียวกัน ในช่วงความเร็วสูง
ก็ยังหน่วงความเร็วลงมาได้ดี ไม่ได้ก่อให้เกิดความหวาดเสียวแต่อย่างใด ประเด็นนี้ ถือว่าสอบผ่าน

 

ด้านความปลอดภัยนั้น Hyundai ใส่มาให้ค่อนข้างจะอัดแน่นเต็มพิกัด ครบครันกว่าที่คิด มีทั้ง ถุงลมนิรภัย
คู่หน้า ด้านข้าง และม่านลมนิรภัย ปกป้องผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและหลัง รวมทั้งสิ้นมีถุงลมฯ มากถึง 6 ใบ
รวมทั้งโครงสร้างตัวถังนิรภัย มีคานกันกระแทกที่ประตูทั้ง 4 บาน ได้รับการออกแบบให้ผ่านมาตรฐาน
การทดสอบการชน ในรูปแบบต่างๆ ที่สำคัญ ยังผ่านการทดสอบการชนของ Insurance Institute for Highway
Safety (IIHS) ในสหรัฐอเมริกา โดยได้รับเลือกให้จัดอยู่ในกลุ่ม Top Safety Pick อีกด้วย!

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เรายังคงใช้มาตรฐานเดิม เหมือนเคย นั่นคือ เติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex
ริมถนนพหลโยธิน แถว เยื้องฝั่งตรงข้ามซอยอารีย์  และไม่มีการเขย่ารถ เติมเพียงแค่ให้หัวจ่ายตัดโชะ!
ก็เพียงพอแล้ว โดยเราจะเริ่มจากรุ่น 2.0 G 4WD กันก่อน

เมื่อ Set 0 บน Trip Meter เรยบร้อย เราก็ออกรถ เลี้ยวกลับ ลัดเลาะเข้าซอยอารีย์ มุ่งหน้าไปขึ้นทางด่วน
ที่ด่านพระราม 6 แล้วเปิด ระบบล็อกความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดแอร์ นั่งกัน 2 คน คือ ผม กับ กล้วย น้ำหนักรวม 95 + 48 กิโลกรัม ไปจนสุดปลายทางด่วนสายเชียงราก
อุดรรัถยา แล้วเลี้ยวกลับ มาขึ้นทางด่วนอีกครั้ง ขับย้อนมาตามเส้นทางเดิม

มุ่งหน้าเข้าเมืองอีกครั้ง จนถึงทางลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน
ขับตรงไปเลี้ยวกลับหน้าโ๙ว์รูม เบนศ์ ราชครู เพื่อจะเข้าปั้มน้ำมัน Caltex กลับไปเติม
น้ำมันเบนซิน 95 Techron  เหมือนเดิม ที่หัวจ่ายเดิม และเติมแค่หัวจ่ายตัดเหมือนขาไป

ถึงเวลามาคำนวนหาค่าเฉลี่ยกันแล้ว
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บน Trip Meter อยู่ที่ 92.2 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับทั้งหมด 8.33 ลิตร

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ของรุ่น 2.0 G 4WD อยู่ที่ 11.06 กิโลเมตร/ลิตร ถือว่า กินจุเหมือนกันนะ
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อตัวรถก็หนักอึ้งตั้งขนาดนี้ ที่น่าสังเกตก็คือ ตัวเลข ออกมา พอกันกับ ตัวเลข
ที่วิศวกร Hyundai ทำการทดสอบเอาไว้ (ค่าเฉลี่ย ทั้งในเมือง และนอกเมือง อยู่ที่ 11.11 กิโลเมตร/ลิตร)

แล้วถ้ารุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า 2.0 G 2WD ละ การไม่มีชุดเพลาขับเคลื่อนล้อหลังมาให้ด้วย จะช่วยให้
ประหยัดน้ำมันขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน?

เราจะมาพิสูจน์กันครับ ด้วยการเติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 จากปั้ม Caltex แห่งเดิม และหัวจ่ายเดิม
Set 0 จาก Trip Meter เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกันเช่นเดียวกับครั้งก่อนๆ

เราเลี้ยวกลับ ไปเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปขึ้นทางด่วนพระราม 6 มุ่งหน้าไปยังปลายสุดทางด่วนที่เชียงราก
แล้วเลี้ยวกลับ มาขึ้นทางด่วนอีกครั้ง มุ่งหน้ากลับมายัง อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รักษาความเร็วไว้ที่ ระดับ
110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ผมกับเจ้ากล้วย ตามเคย

พอลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราก็เลี้ยวซ้าย ขับมาตามถนนพหลโยธิน และเลี้ยวกลับมาเติม
น้ำมัน Techron 95 ที่ปั้ม Caltex แห่งเดิม และหัวจ่ายเดิม เอาแค่หัวจ่ายตัดก็พอ เช่นเคย

ต่อจากนี้ คือตัวเลขที่รุ่น 2.0 G 2WD ทำได้
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดบนมาตรวัด 91.8 กิโลเมตร

 

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 7.49 ลิตร

 

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 12.25 กิโลเมตร/ลิตร เฮ้ย! ไม่เลวนี่นา ถือว่าประหยัดใช้ได้นะ รุ่น 2WD เนี่ย

 

พอมานั่งเทียบตัวเลขกันดู ยังไงๆ Tucson ทั้ง 2 รุ่น ก็ยังถือว่า ประหยัดน้ำมันกว่า Chevrolet Captiva
ทั้ง 2 รุ่นแน่นอน ประหยัดกว่า Nissan X-Trail 2010 ส่วนรุ่น 2.0 G 2WD จะประหยัดน้ำมันกว่า
Ford Escape 2.3 ลิตร และ Honda CR-V 2.4 ลิตร อย่างไรก็ตาม CR-V 2.0 ลิตร ทั้งรุ่น 2WD และ 4WD
ยังคงเป็น Compact SUV ที่ทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีที่สุดในตลาดอยู่ดี เพียงแต่ตัวเลขที่ออกมา
ไม่ได้หนีไปจากคู่แข่งแบบโดดเด้งมากมายนัก เมื่อเทียบกับ CR-V 2.4 ลิตร รุ่นที่แล้ว ที่จู่ๆ ก็ทำตัวเลข
ได้ 14.37 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งเราคงจะไม่มีทางได้เห็นตัวเลขแบบนั้น ในรถประเภทนี้กันง่ายๆอีกแล้ว

 

********** บริการหลังการขาย ? **********

เชื่อว่าคุณผู้อ่าน ก็คงจะกังวลบ้างไม่น้อยแหละครับ ถ้าคิดจะซื้อรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศสักคันหนึ่ง
บริการหลังการขาย คือสิ่งสำคัญมากๆ ด้วยเหตุที่ ไม่ใช่รถยนต์ทั่วๆไป ซึ่งจะมีช่างซ่อมฝีมือดี กระจายตัว
มากมายนัก แถมอะไหล่ ก็ยังต้องสั่งจาก เมืองนอกเสียอีก

แต่ถ้าเป็นที่ Hyundai แบรนด์ ซึ่งเคยมีประวัติด่างพร้อยมาก่อน จากฝีมือของผู้ตัวแทนจำหน่ายรายเก่า
มาวันนี้ พวกเขา กำลังอยู่ในระหว่าง ทำภาระกิจ กอบกู้ชื่อเสียงภาพลักษณ์ที่ติดลบ ให้ฟื้นกลับคืนมา
เป็นบวก ให้จงได้

ต่อให้จะทำพีอาร์ กันอย่างไร ถ้าฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้ร่วมแรงสมัครสมานสามัคคี ช่วยกันทำงาน
อย่างดี ก็คงไม่อาจจะเกิดผลสำเร็จขึ้นจริง แน่นอน ในทางกลับกัน ถ้าทุกฝ่าย ช่วยกันเต็มที่
ผลงานก็จะบังเกิด ความเชื่อมั่นของลูกค้าก็จะกลับมา

เรื่องแบบนี้ มันต้องเจอด้วยตัวเอง….ถึงจะรู้ว่า เขาพยายามแก้ไขกันอยู่ จริงหรือไม่….
และคราวนี้ ผมก็ค่อนข้างโชคดี ที่มีโอกาส ได้พบเจอประสบการณ์กับงาบริการหลังการขาย
ของ Hyundai ยุคใหม่ ที่ ญี่ปุ่น แท็คทีมกับเกาหลี เข้ามาช่วยกันทำตลาดเอง

เรื่องมีอยู่ว่า ตากอล์ฟ Produvt Planning ของ Hyundai แจ้งให้ผมทราบล่วงหน้าแล้วว่า รถ Tucson
คันสีเทา ขับเคลื่อนล้อหน้า ที่ผมมีกำหนดจะยืมต่อ นั้น มีสภาพไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ ผู้ที่ยืมรายล่าสุด
ไปพบว่า มันจะมีเสียงดัง ปุ้กๆ ที่ช่วงล่างด้านหลัง ฝั่งซ้าย ซึ่ง ผมก็ไม่ทราบแน่ชัดว่า ผู้ที่ยืมก่อนหน้า
ผู้ยืมรายล่าสุดก่อนผม จะยืมไปนั้น ใครเป็นคนเอาไปขับ และไปทำอีท่าไหน ช่วงล่างถึงได้มีเสียงดัง

ซึ่งปกติ ผมก็มักจะรับรถมาก่อน เพราะเชื่อว่า ไม่น่ามีปัญหาอะไรร้ายแรง และดีที่ได้รับการบอกกล่าว
โดยตรงแบบนี้ จะได้รู้ว่า รถคันนั้นๆ มีจุดที่ต้องระมัดระวังอะไรอย่างไรบ้าง เพียงแต่ว่า คราวนี้ หลัง
รับรถมาเสร็จ แค่ขับลงจากอาคารจอดรถ เสียงช่วงล่างด้านหลัง ก็เริ่ม ดัง ปุ้กๆๆ เข้ามาแล้ว และมันดัง
มากกว่าที่ผมคิด บอกตรงๆว่า ไม่ค่อยสบายใจ เพราะเสียงค่อนข้างดังมาก

เลยตัดสินใจโทรติดต่อกับตากอล์ฟ อีกครั้ง ว่า พอจะขอเอารถเข้าเช็คที่ศูนย์บริการของ Hyundai บางนา
ซึ่งเพิ่งจะเปิดใหม่ได้หรือไม่ ตากอล์ฟ ประสานงานเสร็จสรรพ สรุปได้ว่า อยากให้ผม นำรถไปที่
ศูนย์บริการ Hyundai ถนนพหลโยธิน ฝั่งตรงข้ามตรงตึกช้าง อันเป็นศูนย์ฯใหญ่ ไปเลยดีกว่า
ผมจึงยอมขับรถจากย่านบางนา ย้อนเข้าไปยัง โชว์รูม แห่งดังกล่าว และพบว่า คิดถูกแล้ว ที่ตัดสินใจ
อย่างนี้

เมื่อไปถึง คุณ กิตติสุข ผู้อำนวยการฝ่ายบริการหลังการขายของ Hyundai ออกมาต้อนรับ และเราได้
พูดคุยกันค่อนข้างเยอะ เกี่ยวกับ การปรับปรุงด้านบริการหลังการขาย มีทั้งการทำโปรแกรม และ
เว็บไซต์ สำหรับให้ศูนย์บริการ สามารถเรียกดูข้อมูลประวัติการซ่อมบำรุงของรถยนต์แต่ละคัน
ที่มีบันทึกเอาไว้ ได้ทั้งหมด แค่เพียงใส่เลขตัวถัง VIN Number เข้าไป รวมถึงการจัดตั้งทีมพิเศษ
ที่เรียกว่า Scramble Team ซึ่งจะเข้าไปดูปัญหาของลูกค้า ซึ่งต้องการ แก้ปัญหาอย่างเร็วที่สุด
ในทันที ที่รับรถเข้ามา และอีกหลากหลายความพยายาม ที่จะทำให้ลูกค้าประทับใจ พึงพอใจ
ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ “เพราะฝ่ายบริการนี่แหละ คือสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ขายรถคันต่อไป
ได้หรือไม่” นั่นคือข้อความที่คุณ กิตติสุข กล่าวทิ้งท้าย ก่อนที่เราจะเข้าไปช่วยกันหาสาเหตุ
แหล่งกำเนิดเสียง ปุ้กๆ ในรถคันสีเทา

มีช่างของ Hyundai ถึง 4 คน มาช่วยกันรุมค้นหาสาเหตุ และ จากเท่าที่ดูแล้ว มีการวินิจฉัยอาการ
อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไล่จากสิ่งที่รื้อง่ายๆ ค่อยๆ หาสาเหตุอย่างถูกต้องและแม่นยำใช้ได้ เพราะ
เพียงแค่ ลองโขยกรถ ฟังเสียงดู ทีมช่างก็ค้นพบปัญหา….

นี่แหละครับ คือหน้าตาของเจ้าตัวปัญหา ในครั้งนี้ จุดยึดเหล็กกันโคลงหลัง กับปีกนกฝั่งซ้ายหลัง
มีเสียงดัง เพราะเมื่อลองถอดสลับกับอะไหล่ชิ้นเดียวกัน ที่ติดตั้งอยู่ ณ ปีกนกฝั่งขวามือของรถแล้ว
พบว่า เสียง ปุ้กๆ จากเดิมอยู่ฝั่งซ้าย ย้ายไปดัง ณ ฝั่งขวาแทน เป็นอันว่า วินิจฉัยปัญหาได้รวดเร็ว
และทำได้ดี เนื่องจาก ตอนนั้น เป็นเวลา 5 โมงเย็นเข้าไปแล้ว คลังอะไหล่ที่เทพารักษ์ น่าจะปิด
ทำการแล้ว อีกทั้ง เมื่อดูแล้ว โดยส่วนตัว ผมมองว่า ไม่มีปัญหาเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยแต่
อย่างใด จึงตัดสินใจ ปล่อยเอาไว้อย่างนั้น และให้ทาง Hyundai นำรถกลับมาเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นนี้
หลังจากที่ รับคืนรถจากผมไปเสร็จเรียบร้อย

งานนี้ ถือว่า นอกจากจะทำรวิวรถแล้ว ยังได้รีวิว ศูนย์บริการของ Hyundai ที่รัชโยธิน ฝั่งตรงข้าม
ตึกช้างไปในตัว เสร็จสรรพ! และขอบอกเลยว่า สำหรับผมแล้ว ค่อนข้างจะประทับใจ ในการ
วินิจฉัย แก้ปัญหาอย่างรวดเร็วของทีมช่างทั้ง 3-4 คน

ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ณ วันนี้ ผมเลิกกังวลกับบริการหลังการขายของ Hyundai แล้วละ
ว่า ถึงจะเสียยังไง ก็น่าจะวินิจฉัยได้ถูกต้อง และแก้ปัญหาได้จบ อย่าง Happy Ending แน่ๆ

********** สรุป **********
***** ขอเครื่องยนต์ ดีเซล CRDi และ เอาพนักศีรษะ มาเปลี่ยนให้ใหม่อย่างด่วน! แค่นั้นพอ!! *****

ผมคืนกุญแจรถคันนี้ ไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยความรู้สึกสบายใจ

สบายใจที่ งานของเราเสร็จสิ้นแล้ว อีก 1 รุ่น สบายใจ ที่รถรุ่นนี้ ทำผลงานอกมาได้ดีกว่าที่คิด
และสบายใจ ที่ได้เห็นศักยภาพในการทำรถยนต์ของ Hyundai รุ่นใหม่ๆ ที่นับวันจะยิ่งดีขึ้นๆ เรื่อยๆ
เป็นแนวโน้มในพัฒนาการที่ดีมาก และเป็นไปตามครรลอง ที่ควรจะเป็น ไม่เร็ว ไม่ช้าจนเกินไป ถ้าเทียบว่า
เกาหลีใต้ เอาจริงเอาจังกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ช้ากว่าญี่ปุ่นราวๆ 20 ปี ดังนั้น วันนี้ คือวันที่อุตสาหกรรม
รถยนต์ของเกาหลีใต้ จะผลิบาน และได้รับการยอมรับในระดับสากลเสียที

เพราะในระยะตั้งแต่ ปี 2008 เป็นต้นมา รถของเกาหลีใต้ ดูน่าซื้อหามาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะ Sonata YF
และ Avante ใหม่ แม้เราจะยังไม่รู้ว่า 2 รุ่นที่ผมชื่นชอบมากๆ ดังกล่าว จะมีโอกาสเข้ามาโลดแล่นบนถนนเมืองไทย
เมื่อไหร?แต่ผมก็ตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าเป็นไปได้ อยากจะขอลองขับเป็นคนแรกๆเลยทีเดียว รถซีดานบ้าอะไรวะ สวยชะมัด
โดยไม่ต้องแก้ไขอะไรอีกแล้ว

อ้าว แล้วเจ้า Tucson เนี่ยละ?

ถ้าจะให้นึกถึงคุณงามความดีของ Tucson ผมคงสรุปให้ได้ว่า นี่คือ Compact Crossover SUV จากเกาหลีใต้
ที่หาญกล้า ขึ้นมาทาบรัศมีเจ้าตลาดในระดับสากลอย่าง Honda CR-V Nissan X-Trail และ Toyota RAV4
ยังไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด เพราะรถคันนี้ มีดีในตัวของมันเองหลายๆด้าน

ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ ที่น่าจะโดนใจคุณผู้หญิง อยู่ไม่น้อย บรรยากาศในห้องโดยสาร ที่คล้ายคลึงกับ
รถยนต์หรูชั้นดี ทั้งโทนสี และการออกแบบ ในภาพรวม ความมั่นใจในการขับขี่ การเข้าโค้ง และรถคันนี้
ยังน่าจะช่วยให้คุณหลบหลีกสถานการณ์กระทันหันได้ ดีสมตัวอีกต่างหาก เพราะเมื่อลองเปลี่ยนเลนเร็วๆ
ที่ความเร็วระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวรถ เป็นกลางดีมากๆ บั้นท้าย แทบไม่ออกอาการส่ายไปมา
ให้เห็นเท่าใดนัก ระบบกันสะเทือน แม้จะแข็งในความเร็วต่ำ แต่มันกลับไว้วางใจได้ในช่วงความเร็ว
เดินทาง บนทางด่วน หรือมอเตอร์เวย์ แถมอัตราเร่งจากเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ทำให้เรา พอจะ
ลบการยิดติดต่ออคติในใจว่า รถยนต์ตัวใหญ่ประมาณนี้ วางเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เบนซิน คงจะอืด เพราะ
ความจริง Tucson ไม่ได้อืดอย่างที่คาดไว้ในตอนแรก แต่แน่นอน มันไม่ได้เร็วโอเวอร์เกินเหตุ ทุกอย่าง
เกิดขึ้น อย่างตรงไปตรงมา ตามจริง และประจักษ์ชัด โดยไม่บิดพริ้ว

เมื่อพูดถึงข้อดีกันไปแล้ว ก็คงต้อง มาถึงข้อที่ควรปรับปรุงกันบ้างดีกว่า ซึ่งจะว่าไป ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ประการ

1. รถระดับนี้แล้ว พวงมาลัยแบบปรับระดับสูง – ต่ำได้ ดูจะไม่เพียงพอแล้ว การปรับระยะใกล้ – ไกล
เข้าหา หรือออกห่างจากตัวผู้ขับขี่ Telescopic ถือเป็นสิ่งจำเป็น ที่ Hyundai ควรหามาใส่ ใน Tucson
ได้แล้ว

2. ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ก็ควรจะเพิ่มความหนืด ของพวงมาลัย ในขณะหักเลี้ยวเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
อีกหน่อย จะช่วย เพิ่มความมั่นใจของคนขับ ดีกว่านี้อีก

3. ช่วยเอาพนักศีรษะ ลูกอีช่าง ดันกบาล เนี่ย เก็บไปทิ้งทีเถอะครับ แล้ว ออกแบบมันขึ้นมาใหม่
ให้ ดันศีรษะ น้อยๆ ลงอีกพอสมควร  ก็จะช่วยให้ การปรับเบาะนั่ง ของคนขับ ตามหลักสรีรศาสตร์
เป็นไปได้อย่างสะดวกโยธิน ยิ่งขึ้น และจะดีระดับปลาบปลื้ม เข็มขัดทองคำฟังเพชร ถ้าเอาข้อ 1
และ 2 มารวมเข้าไว้ด้วยกันได้สำเร็จ เพราะนั่นจะช่วยลดปัญหาอาการปวดหลัง และปวดเมื่อยตาม
หัวไหล่ แขน และลำตัว จากการ “จำใจปรับเบาะนั่งให้พอจะขับได้สบายหน่อย” ได้พอสมควร
เลยทีเดียว

4. ขอบประตู และชายล่าง ช่วยเก็บให้เรียบเนียนไปเลย จะได้หม การก้าวขา เข้า – ออก ในวันที่
รถเพิ่งลุยน้ำมา มันทำให้ขากางเกง สกปรกได้ง่ายไปหน่อย อย่างไม่จำเป็นเสียด้วย ใช้วิธี เหมือน
อย่างที่ Mazda CX-9 ทำก็ได้ คือ ให้ บานประตู ซ่อนเอาไว้ ก็ดีเหมือนกัน

5. ทัศนวิสัยรอบคัน แม้ดูเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่ผมตั้งข้อสังเกตว่า ผมมองไม่ค่อยเห็นรถด้านข้าง
จนเกือบจะไปเบยดรถคันอื่น ถึง 2 ครั้ง ซึ่งผมไม่เคยเป็นปัญหานี้ กับรถคันอื่นๆเลยแหะ

6. อันที่จริง จะดีกว่านี้ ถ้ามีทางเลือกเครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ คอมมอนเรล CRDi จากเวอร์ชันยุโรป
ในบ้านเรา เพราะดูจากสมรรถนะแล้ว น่าจะทำได้ดีกว่าเครื่องยนต์เบนซินอีกพอสมควรเลยทีเดียว
นั่นหมายถึงว่า อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็น่าจะดียิ่งขึ้นกว่านี้ได้อีกเช่นกัน

ถึงจะมีข้อที่ควรปรับปรุง อยู่บ้าง แต่เอาเข้าจริงแล้ว ผมว่า Tucson เป็น SUV ที่ดีมากๆ คันหนึ่งในกลุ่ม
มันเหมาะกับใครสักคนที่มีอายุ 30-45 ปี มีความเป็นวัยรุ่นอยู่ในตัว พอสมควร อยากได้ความแตกต่าง
และไม่ยึดติดกับแบรนด์ มากนัก ซื้อรถด้วยความพึงพอใจส่วนตัวเป็นหลัก และมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่ง
อาจไม่ถึงกับต้องมากนัก แต่ก็ควรจะมีบ้าง

เพราะถ้าจะมองกันด้วยเหตุผล ในโลกของความเป็นจริง ประเทศของเรายังมี SUV ที่ให้สมรรถนะได้
ใกล้เคียงกับ Tucson แต่มาในราคาที่ถูกกว่า และชื่อชั้นของแบรนด์…พูดตรงๆนะ..ตอกเสาเข็มลงไป
ในใจผู้บริโภคชาวไทยมากกว่า อย่าง Honda CR-V 2.4 ลิตร Full Option ราคาของรุ่นท็อป ดังกล่าว
ยังถือว่า ถูกกว่า Tucson เลยด้วยซ้ำ

เพราะราคาของ Tucson นั้น ในรุ่น 2.0 G 2WD คุณจะได้ข้าวของทั้งหมด เหมือนกันกับรุ่น 2.0 G 4WD
ในราคา 1,791,000 บาท ส่วนรุ่น 2.0 4WD วางป้ายราคาไว้ที่ 1,895,500 บาท และดูเหมือนจะแพงกว่าเพื่อน

 

คุณอาจจะถามผมว่า “อ้าว แบบนี้ Tucson มันไม่คุ้มหนะสิ?” ขอตอบว่า เปล่าครับ เราไม่ได้บอกแบบนั้น
เพราะความคุ้มค่า เป็นสิ่งที่ คุณผู้อ่านต้องไปคิดคำนวน เปรียบเทียบกันเอาเอง และเราไม่อาจจะไปตัดสิน
ได้ว่ารถแต่ละคันคุ้มค่ากับเงินของครอบครัวคุณหรือไม่ เพราะปัจจัย ของแต่ละบ้าน แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

อย่าลืมว่า ราคาที่สูงกว่าชาวบ้านเขานั้น มาจาก 2 สาเหตุใหญ่ๆ ข้อแรกคือ การเป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน
CBU (Complete Built Unit) จากโรงงานในเกาหลีใต้ ส่วนอีกข้อหนึ่งคือ Hyundai มองว่า ไหนๆจะมาทั้งที
ก็สั่งรถมาให้มีออพชันครบๆกันไปเลยดีกว่า และออพชันที่ทำให้ราคารถคันนี้ถีบตัวเกินหน้าเพื่อนพ้องไป
นิดหน่อยนั้น คือ หลังคา Panoramic Twin Sunroof หรือ หลังคาซันรูฟ คู่ ทั้งหน้า – หลัง นั่นเอง ในตลาด
กลุ่มนี้ ไม่มีรถรุ่นใดที่ให้อุปกรณ์ชิ้นนี้มา เต็มที่ขนาดนี้

ดังนั้น ถ้าคิดจะซื้อ SUV ในกลุ่มนี้สักคัน และมีเงินเหลือพอ ในระดับไม่เกิน 2 ล้านบาท Tucson เป็น
ทางเลือกที่…ไม่เหมาะกับคนที่มีวิธีคิดแบบทั่วๆไป เพราะรถคันนี้ ไม่ใช่รถที่ทำมาเพื่อคนทั่วๆไป
แต่มันเป็นรถที่เหมาะกับคนคิดต่าง และไม่ต้องการเหมือนใคร เพราะมันจะทำให้คุณ แตกต่างจาก
เพื่อนร่วมถนน อย่างชัดเจน ถ้าคุณรับได้กับช่วงล่างในความเร็วต่ำ ที่จะแข็งสักหน่อย และตำแหน่ง
นั่งขับ ซึ่งต้องค่อยๆปรับ เพื่อหาจุดพอดีกับสรีระของคุณ

แต่ถ้าจะถามว่า หากมั่นใจแล้วว่า จะเลือก Tucson ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จำเป็นหรือไม่? ก็คงตอบได้
ทันทีว่า รุ่น 2WD นะ เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปแล้ว ส่วนรุ่น 4WD ถ้าไม่ได้ขับต่างจังหวัด บน
สภาพถนนเปียกลื่นบ่อยๆ มันก็แทบจะไม่ได้ทำงานคุ้มกับเงิน 1 แสนบาท ที่คุณจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นไป

ท้ายสุด คุณก็ต้องเลือกเอาเองว่า อยากเก็บเงินส่วนต่างไว้ 2 แสนบาท แล้วยอมขับรถที่ใครๆก็ใช้กัน
หรือ จะยอมจ่ายแพงกว่ากันอีก 2 แสนบาท แต่ได้รถที่ขับดีใช้ได้ และศูนย์บริการที่ไม่ต้องมานั่งปวดกบาล
ในภายหลังแน่ๆ

คุณจะยอมจ่ายไหม? ถามใจตัวเองดูครับ

—————————–///——————————–

ขอขอบคุณ
บริษัท Hyundai Motor (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ยกเว้นภาพถ่ายายละเอียดทางวิศวกรรม ลิขสิทธิ์เป็นของ
Hyundai Motor Company ประเทศเกาหลีใต้
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
15 ตุลาคม 2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
October 15th,2010

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่