ช่วงตั้งแต่เดือนมีนาคม 2012 ที่่ผ่านมา ผมเชื่อว่า น่าจะต้องมีใครบ้างสักคนแหละ ที่อาจจะรู้สึกเหมือนผม
อยู่ในตอนนี้…

ตื่นเช้าขึ้นมา เปิดเว็บ Headlightmag.com….ก็เจอหน้า ผู้ชายคนหนึ่ง…พร้อมกับรถคันเล็กสีเหลืองๆ
กางหนังสือพิมพ์อ่าน บางวัน ก็จะเจอผู้ชายคนเดิม คนนี้ มายืนเต๊ะท่า แล้วบอกว่า “Be More”

อาบน้ำ ออกจากบ้าน มาขึ้นรถไฟฟ้า โอ้โห! หน้าพี่แก เบ้อเร่อเบ้อร่า หราเต็มขบวนทั้ง 3 โบกี้เลยก็มี!
บางวัน กำลังเดินไปกินข้าวเที่ยงแถวสีลม ก็มีขบวนแห่ โฆษณาเจ้ารถคันกระเปี๊ยกเนี่ย มายืนแจกใบปลิว

พอนั่งรถผ่าน สยามสแควร์ แม่เจ้าโว้ยยยย! หน้าพี่เค้าแปะอยู่บนตึกมาบุญครอง มันจะใหญ่โตบานทะโร่
โถ่ถังไปถึงหนายยยยยยย

คือการโดนผู้ชายคนนี้จ้องมาที่เรา และบรรดาผู้คนที่สัญจรในเขตเมืองชั้นในของกรุงเทพฯ ตอนนี้ มันให้
ความรู้สึกที่ แปลกๆ พิลึกๆ จะว่าเขินก็คงไม่ใช่ จะว่าชอบ ก็คงไม่เชิง จะเกลียด หรือก็เปล่า อาจจะมีอาการ
เริ่มเบื่อหน้า กันบ้างนิดๆ (เพราะว่าเห็นเยอะจัด และบ่อยถี่ยิบ) แต่ก็ได้แค่คิด และต้องทนเห็นหน้าชายคนนี้
กันต่อไป

แน่นอนว่าทุกครั้งที่เราเห็น เขาจะปรากฎกาย พร้อมกับ รถคันเล็ก ที่ดูเหมือนจะเป็นของเขา ทั้งที่จริงๆแล้ว
มันเป็นรถที่ ผู้ชายคนนี้ ถูกจ้างมาสวมบทบาทเป็นพรีเซ็นเตอร์….

ครับ..จะเป็นใครอื่นไกลไปไมได้แน่ๆ….ผมหมายถึง “นิชคุณ”

ทั้งหมดที่เขียนมาหนะ มันเป็นแค่บางส่วนจากงบประมาณราวๆ 85 ล้านบาท ที่ถูกใช้ไปในช่วงนี้ เพื่อทำให้
คุณผู้อ่านและประชาชนทั่วไป ได้รับรู้ และจดจำการมาถึงของ รถยนต์คันเล็ก ซึ่งต้องแบกความหวังอันยิ่งใหญ่
ของคนทั้งบริษัท ไว้แน่นเต็มคันรถ

แน่ละ รถคันกระเปี๊ยกนี้ มันไม่ใช่แค่ความอยู่รอดของบริษัทในระยะยาว แต่มันหมายถึง ศักดิ์ศรีของผู้ผลิต
รถยนต์ อันดับ 5 ของญี่ปุ่น ในร่มเงาของบริษัทอุตสาหกรรมและเทรดดิงคัมพานี รายใหญ่ที่สุดของแดน
อาทิตย์อุทัย กันเลยทีเดียว

คำถามก็คือ งบโฆษณา ที่ทุ่มทุนไปขนาดนั้น ให้ผลตอบรับกลับมาอย่างไรบ้าง? หลักๆเลยก็คือ ยอดจอง
ที่เริ่มหลั่งไหลเข้ามา นับตั้งแต่การเปิดราคารุ่นถูกสุดไว้ที่ 380,000 บาท จนถึงรุ่นท็อป 549,000 บาท ก่อน
วันเปิดตัวจริงๆ ราวๆ 20 วัน จนกระทั่งหมดสิ้นงาน Motor Show และผ่านพ้นเทศกาล สงกรานต์ไปแล้ว
สรุปตัวเลขได้ที่กว่า 20,000 คัน ซึ่งเราไม่รู้ว่า ตัวเลขที่แท้จริงนั้น อยู่ที่เท่าไหร่ และมียอดจองเยอะมาก
ขนาดนี้ จริงหรือไม่

แต่จากปริมาณของ Mirage ที่เริ่มแล่นบนถนนในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
พอกันกับปริมาณของ Suzuki Swift ใหม่ และ Honda Brio ป้ายแดง ก็น่าจะเป็นคำตอบให้เราได้รู้
แล้วว่า คราวนี้ Mitsubishi Motors ก็น่าจะใจชื้นขึ้นมาพอสมควร

แล้วในแง่การรับรู้ และจดจำของผู้บริโภคละ?

Case Study ที่ผมรวบรวมได้จากคนรอบข้าง ก็คงจะมี 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ

1. เริ่มมีคำถามจากกลุ่มลูกค้าผู้หญิง ว่า จะเลือกซื้ออะไรดีกว่ากัน ระหว่าง Mirage กับ March เพิ่มขึ้น
ตามด้วยคำถามที่ว่า จะซื้ออะไรระหว่าง Mirage กับ Swift ส่วนคำถามที่ว่า ระหว่าง Mirage กับ Brio
ควรเลือกคันไหนนั้น ไม่ค่อยมีคนถามเข้ามาที่ผมเลย

2. จากรายงานปากเปล่าของ ผู้การแพน Commander CHENG ของเว็บเรา ระบุว่า ในอาคารสำนักงานใหญ่
ของ ธนาคาร ทหารไทย หรือ TMB ชาวแบงค์ที่เป็นผู้หญิง ต่างพูดถึง และให้ความสนใจ Mirage กันมาก
เกินกว่าที่คิด เพราะส่วนใหญ่ ซื้อรถมา ใช้งานธรรมดา ไม่คิดจะขับเร็วอยู่แล้ว

3. ในเชียงใหม่ นายพี เจ้าของฉายา “พ่อเลี้ยง 5 ยก” เพื่อนสนิทของผู้การจอมเกิน แพน Commander CHENG
เล่าให้ฟังว่า ช่วงนี้ บนถนนในตัวเมือง เราจะพบเห็น Mirage ป้ายแดง ได้เยอะกว่า Almera ป้ายแดง แม้ว่า
ชาวบ้านจะจำชื่อรุ่นไม่ค่อยได้ แต่พวกเขาก็พากันเรียกมันว่า “รถนิชคุณ”…!

เอาแค่ 3 ตัวอย่างนี้ ผมว่า ก็น่าจะพอแล้วมั้งครับ ที่เราจะได้เห็นว่า กระแสของ Mirage นอก Internet นั้น
มีการตอบรับที่จัดว่า “ใช้ได้” สำหรับรถยนต์ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ไปหมาดๆ ไม่กี่เดือน และเพิงเริ่มส่งมอบรถ
กันได้ไม่เกิน 2 เดือน

ส่วนหนึ่ง แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า มาจาก แรงกระตุ้น ของพรีเซ็นเตอร์ อย่าง นิชคุณ กระนั้น ความจริงก็คือ
รถยนต์ ใหม่ จะขายได้หรือไม่ ผู้บริโภค ที่ขึ้นไปลองนั่งครั้งแรก เขาจะประทับใจหรือไม่ นั่นต่างหาก
ที่จะเป็นตัวตัดสินในระยะยาว

แล้ว Mirage เอง จะมีคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหน เพียงพอให้ชนะใจบรรดาสาวน้อยคอยราชรถ ตาม
อาคารสำนักงานต่างๆ ที่รอรับรถอยู่อย่างใจจดจ่อหรือเปล่า? หรือมีข้อด้อย ข้อเสียอะไรที่ควรรับรู้และ
ทำความเข้าใจกันก่อนจะเซ็นชื่อลงในใบจอง บทความรีวิวนี้ จะเผยให้เห็นความจริงในทุกๆด้าน ที่
รถคันนี้ มันเป็นในแบบของมันเอง

เพียงแต่ว่า ตามธรรมเนียม…ผมอาจต้องพาคณไปรู้จักกับที่มาที่ไป กันเสียก่อน ว่า กว่าจะเป็น Mirage
กันได้นั้น เวลาที่ผ่านมา มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นกันบ้าง

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้?

แม้ Mitsubishi Motors ไม่ได้แถลงเอาไว้อย่างชัดเจนนัก แต่ผมก็พอจะรู้ว่า มันเริ่มขึ้นเมื่อราวๆ ปี 2007 เมื่อ
บรรดารถยนต์รุ่นต่างๆ ที่เคยแถลงเอาไว้ ในแผนธุรกิจเพื่อฟื้นฟูกู้ชื่อเสียงให้กลับมา จากวิกฤติศรัทธาด้านคุณภาพ
จนอื้อฉาว และต้องมีการ Recall รถยนต์แทบทุกรุ่น ครั้งใหญ่ทั่วโลก เมื่อเดือนสิงหาคม 2000 เริ่มทะยอยออก
จำหน่ายกันไปตามแผนแล้ว ทั้ง eK Wagon / eK Sport , i , Delica D:5 , Pajero / Montero ใหม่ 
ไปจนึง Galant Fortis / Lancer / Lancer EX และ Lancer Evolution X คราวนี้ ก็ได้เวลาต้องต่อภาพ
จิ๊กซอร์ให้ครบ ด้วยการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนา ผลิต และสร้างรถยนต์ที่พวกเขายังไม่เคยทำและจำเป็น
ต้องทำในอนาคต กันได้แล้ว ซึ่งนอกเหนือจากรถยนต์ประเภท Compact Crossover SUV ที่ต่อมากลายเป็นรุ่น
RVR / ASX แล้ว พวกเขาก็ยังขาด รถยนต์นั่งขนาดเล็ก ระดับ B-Segment Sub-Compact ที่จะต้องทำตลาด
แทน Colt ซึ่งอยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่ปี 2002

หลังการวิเคราะห์กันมาอย่างหนัก Mitsubishi Motors ก็พบว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของรถยนต์ขนาดเล็กคันนี้
จะใกล้เคียงกับ ลูกค้าเป้าหมายของรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นอื่นๆ คือ อายุระหว่าง 25 – 39 ปี ทั้งโสด และแต่งงาน
มีครอบครัวแล้ว อาจมีลูกชาย หรือลูกสาว 1 คน แต่มีสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่ 3 – 5 คน จบการศึกษาระดับ
ปริญญาตรี รายได้ของสมาชิกทั้งครอบครัว อยู่ที่เดือนละ 40,000 – 60,000 บาท แต่รายได้ส่วนบุคคล ของผู้ซื้อ
หรือขับรถคันนี้ อยู่ที่ราวๆ เดือนละ 20,000 – 39,000 บาท อาชีพส่วนใหญ่จะเป็น พนักงานบริษัทห้างร้านทั่วไป
หรือเจ้าของกิจการขนาดเล็ก

สิ่งที่น่าสังเกตคือผลการวิจัย ยังระบุว่า ลูกค้าที่คาดว่าจะซื้อ Mirage นั้น น่าจะเป็นกลุ่มที่ตั้งใจซื้อรถยนต์ เพิ่ม
อีก 1 คัน มากกว่าจะซื้อเป็นรถยนต์คันแรกในชีวิต และให้ความสำคัญกับเรื่องของ ความประหยัดน้ำมันเป็น
อันดับแรก ตามด้วย การขับขี่ที่คล่องแคล่วสะดวกสบาย ในราคาที่ง่ายต่อการเป็นเจ้าของ ซื้อหาได้สะดวก และ
ต้องคุ้มค่า แต่ให้ความสำคัญเรื่องรูปลักษณ์ เป็นอันดับรองๆลงไป

ขณะเดียวกัน เป็นจังหวะประจวบเหมาะกับช่วงที่รัฐบาลไทย เริ่มประกาศจุดยืนแล้วว่า จะสนับสนุนให้เกิด
โครงการ ECO Car และผลักดันรถยนต์ขนาดเล็ก ประหยัดพลังงาน ให้เป็น สินค้าหลักหมายเลข 2 ในกลุ่ม
อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย ทำให้ Mitsubishi Motors สนใจที่จะลงทุนทำโครงการนี้ โดยให้ไทยเป็น
ฐานการผลิตหลัก เพื่อส่งออกสู่ตลาดทั่วโลก เช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยทำมาแล้ว ในโครงการ รถกระบะ L200
ทั้ง Strada และ Triton

ในที่สุด พวกเขาก็ได้ตั้งโจทย์ ในการพัฒนารถคันนี้ไว้ โดยมีแนวคิดหลักก็คือ รถยนต์ขนาดเล็กที่เป็นมิตร…
กับทั้งสิ่งแวดล้อม คุ้มค่า คุ้มราคา และใช้งานสะดวกสบาย สำหรับผู้คน “ทั่วโลก” และใช้ชื่อโครงการว่า
Globall Small Project โดยมีรหัสการพัฒนารถรุ่นนี้ว่า ” 3V44x ” และเรียกชื่อเป็นการภายในว่า “EL”

แต่สำหรับชื่อรุ่น เพื่อการทำตลาดจริง พวกเขาเลือกใช้ชื่อ MIRAGE ด้วยเหตุผลที่ว่า มันเคยเป็นชื่อที่ใช้ใน
รถยนต์ Compact Hatchback ที่ Mitsubishi Motors เคยผลิตออกขายในช่วงปี 1978 – 2000 
ชื่อ Mirage อันแปลว่า “ภาพลวงตา” นั้น สื่อความหมาย ว่า เป็นรถที่มีคุณสมบัติเด่นๆ หลายอย่าง เหนือกว่า
สิ่งที่สายตาของคุณกำลังมองเห็น ทั้งในด้านความประหยัดน้ำมัน ความคล่องแคล่ว กระทัดรัด สะดวกสบาย
ภายใต้พื้นที่และประสิทธิภาพของรถยนต์นั่งขนาดเล็กเท่าที่จะทำได้

ดังนั้น การนำชื่อ Mirage กลับมาใช้ ก็เพราะว่า รถเล็กคันใหม่นี้ ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิดที่ต้องการให้
สืบทอดคุณสมบัติเด่น ของ Mirage รุ่นแรก ทั้ง สมรรถนะ และฟังก์ชั่นการใช้งานครบครันแม้จะเป็น
รถยนต์ขนาดเล็ก นั่นเอง

ถึงจุดนี้ Mitsubishi Motors ตัดสินใจ ยื่นเรื่องขอรับการสนับสนุนการลงทุนในโครงการ ECO Car กับทาง
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน( BOI) ของไทย ในช่วงปี 2008 ก่อนจะได้รับการอนุมัติแบบการ
ผลิต รวมทั้งการพิจารณาอนุมัติการผลิตจากกระทรวงอุตสาหกรรมในที่สุด

และเพื่อให้เป็นการยืนยันว่า Mitsubishi Motors กำลังคิดการใหญ่ กับรถเล็กคันนี้ ประธานใหญ่ของบริษัท
Osamu Masuko ก็สั่งให้ทีมงานฝั่งไทย จัดงานแถลงข่าว ประกาศความพร้อม และถือเป็นการเปิดตัวโครงการ
นี้อย่างเต็มตัว เมื่อ วันที่ 9 ธันวาคม 2010 โดยในงาน มีการนำภาพ Video แบบสั้นๆ มาให้ทุกคนได้เห็นถึง
เส้นสายของตัวรถที่ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว รวมทั้ง เผยแพร่ ภาพ Sketch ของตัวรถ ที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

นั่นเป็นเพียงแค่ ออร์เดิร์ฟ เพราะหลังจากนั้น ข้ามพ้นปีใหม่ 2011 ยังไม่ถึงเดือน จู่ๆ Mitsubishi Motors
ก็ทำเซอร์ไพรส์ ต่อเนื่อง เผยภาพเวอร์ชันต้นแบบ ของรถยนต์ในโครงการ ในชื่อ Mitsubishi Global Small
Concept เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2011 พร้อมกับส่งขึ้นอวดโฉมครั้งแรกในโลก ที่งาน Geneva Auto Salon
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2011 เป็นการเผยให้เห็นแนวทางของ รถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ที่จะคลอดสู่ตลาดใน
อีก 1 ปีต่อมา

ด้านหน้าของรถ เอกลักษณ์ของรถยนต์ Mitsubishi ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินรบ Jet Fighter ถูกลดทอน
ความดุดันลงมา ด้วยขนาดของกระจังหน้าที่เล็กลง เส้นสายตัวรถสวยงาม อย่างเรียบง่ายมากขึ้น ในแบบ Clear and
Soft Design แต่ก็ยังต้องมีบุคลิกทะมัดทะแมง ส่วนด้านข้าง Yoshimine ฝ่ายออกแบบของ Mitsubishi Motors
ให้คำจำกัดความว่า เป็นความสวยงามในแบบ Function of  Beauty และเน้นความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์

จากนั้น ในอีกไม่เกิน 1 สัปดาห์ รถคันนี้ ก็ถูกแพ็คใส่กล่อง ข้ามทวีปมายังเมืองไทย เพื่อจัดแสดงในงาน Bangkok
International Motor Show ที่ Challenger Hall Impact เมืองทองธานี เมื่อ ปลายเดือน ธันวาคม 2011 
ดักคอ Honda Brio (ที่เพิ่งเปิดตัวในงานเดียวกันนี้) และ Nissan March (เปิดตัวล่วงหน้าไปแล้วก่อนใคร 1 ปี)
ว่าค่ายสามเพชรเตรียมพร้อมจะบุกตลาดประชิดตัวพวกเขาในปี 2012

สำหรับ ค่ายสามเพชร แล้ว โครงการนี้ ถือเป็นหนึ่งในการเดิมพันครั้งสำคัญของพวกเขา เพราะนี่คือความหวัง
หนึ่งในอีกไม่กี่ครั้งที่เหลืออยู่นับจากนี้ ที่จะทำให้แบรนด์ Mitsubishi กลับมามีชื่อเสียงในกลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง
ให้ได้ มันคือการขยายตลาดไปสู่ กลุ่มรถยนต์นั่งราคาประหยัด ที่ Mitsubishi Motors เอง ก็ว่างเว้นจากการร่วม
ประลองยุทธในกลุ่มตลาดนี้ ไปนานมาก ตั้งแต่วันที่ พวกเขาเลิกผลิต Lancer Champ ไปเมื่อปี 1996 อีกทั้งต้อง
เป็นโครงการที่จะช่วยกู้หน้า หลังจากที่ ไม่ประสบความสำเร็จในการ ดัน Lancer EX อย่างที่คิดเอาไว้

คราวนี้ พวกเขาเลยทุ่มทุนสร้างมหาศาลถึงกว่า 1 หมื่น 5 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งของงบก้อนใหญ่ดังกล่าว ถูกใช้
ไปในการสร้างโรงงานประกอบรถยนต์แห่งที่ 3 ในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง อันเป็นการซื้อที่ดินจาก
โรงงานค้างเคียง ที่ปิดกิจการไป เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่นี้โดยเฉพาะ

โรงงานประกอบรถยนต์แห่งที่ 3 นี้ ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่ตั้งปัจจุบันของโรงงานแห่งที่ 1 และ 2 มีแผน
เริ่มดำเนินการผลิตมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2012 โรงงานแห่งใหม่นี้ ในเบื้องต้นจะอยู่ที่ระดับ 150,000 คัน/ปี
และในอนาคตสามารถขยายเพิ่มได้จนถึงระดับ 200,000 คันต่อปี ปัจจุบันมีอัตราการจ้างงานเพิ่มสำหรับโรงงาน
แห่งนี้ อีกประมาณ 3,000 คน  และพวกเขาตั้งใจจะขายรถยนต์ขนาดเล็กนี้ให้ได้ราวๆ 80,000 คัน/ปี ในช่วงแรก
ที่ออกสู่ตลาด

แม้จะมีการเริ่มทดลองประกอบรถยนต์ล็อตแรกๆ ไปหลายสิบคัน แต่ พิธีเปิดสายการผลิต อย่างเป็นทางการ
ก็เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2012 หลังการเปิดตัวประมาณ 1 เดือน

หลังการเปิดตัว อย่างเป็นทางการ ที่โรงแรมเซ็นทรัล ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2012 และงานทดลองขับ
ในสนาม Bira International Circuit ที่พัทยา ในอีก 1-2 วันถัดมา รวมทั้งนำไปจัดแสดงในงาน Bangkok
International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2012 โรงงานแห่งที่ 3 ที่แหลมฉบัง ก็เริ่มทะยอยเดินหน้า
ผลิต Mirage รุ่นทดลองประกอบออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งพร้อมเริ่มผลิตออกมา ส่งมอบให้ลูกค้าที่สั่งจอง
กันไว้แล้ว ตั้งแต่กลางเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ด้วยเป้าหมายยอดผลิต 9,000 คัน/เดือน ทั้งเพื่อป้อนตลาดใน
เมืองไทย และเตรียมสต็อกไว้สำหรับตลาดส่งออก ทั้งในญี่ปุ่น ที่ต้องเริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2012 เป็นต้นไป
จากนั้น ตามด้วยทวีปยุโรป ซึ่งน่าจะเริ่มเปิดตัวได้ เร็วที่สุด ในงาน Paris Auto Salon ช่วงเดือนกันยายน
2012 ที่จะถึงนี้ ก่อนจะทะยอยเปิดตัวในทวีปต่างๆ ทั่วโลก ตามลำดับ

ในตลาดโลก หน้าที่ของ Mirage คือการรับช่วงไม้ต่อจาก Colt รุ่นสุดท้ายในการบุกตลาดรถยนต์นั่งกลุ่ม
B-Segment Hatchback ขนาดพิกัดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1.0 – 1.2 ลิตร นอกจากนี้ ยังจะมีเวอร์ชัน EV ที่จะ
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และแบ็ตเตอรี โดยไร้เงาของเครื่องยนต์สันดาป ซึ่งน่าจะคลอดออกมาได้
ราวๆ ปี 2013 – 2014 และ…ครับ…Mirage EV ก็คงจะต้องผลิตขึ้นจากโรงงานที่แหลมฉบัง เหมือนกับ
Mirage รุ่นปกตินี่แหละ

แต่ในตอนนี้ ที่เมืองไทย หน้าที่ของ Mirage คือการฟาดฟันกับบรรดา ECO-Car แบบ Hatchback 5 ประตู
ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Nissan March ซึ่งเป็นผู้นำตลาดกลุ่มนี้ มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2010 กับ Honda Brio
สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าติดล้อคันจิ๋วผู้น่ารักน่าชัง (ถ้าไม่เหลือบไปเห็นบั้นท้ายอันน่ากังวลเสียก่อน) และ
น้องใหม่ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง อย่าง Suzuki Swift จากฝีมือ เจ้ายุทธจักรรถเล็ก แห่งเมือง Hamamatsu
ที่เปิดตัวตามมาติดๆ เพียง 1 วันให้หลัง และสร้างกระแสฮิตไปอย่างรวดเร็วเกินความคาดหมาย

ตัวรถมีความยาว 3,710 มิลลิเมตร กว้าง 1,665 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อ อยู่ที่
2,450 มิลลิเมตร (เท่า Honda Fit / Jazz) อาจมีเส้นสายไม่โดนสายตาผู้คนทั่วไปเท่าใดนัก มันดูจืดชืด
Conservative ไม่กล้าฉีกแนวไปมากนัก บางคนถึงขั้นบอกว่า มันเหมือนแมวอารมณ์เสีย! (ว่าไปนั่น!)

เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ Mirage มีเส้นสายอย่างนี้ เพราะเหล่าบรรดาทีมออกแบบ และทีมวิศวกรของ
Mitsubishi Motors จะต้องหาทางวาดเส้นสายบนตัวถึงของ Mirage ใหม่ โดยคำนึง และเน้นในเรื่อง
การไหลผ่านของอากาศ ตามหลัก อากาศพลศาสตร์ ให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อช่วยเพิ่มความ
ประหยัดน้ำมันในทางอ้อม จนมีค่า Cd ต่ำเพียง 0.29 เท่านั้น ถือว่าลู่ลมที่สุดในกลุ่มรถยนต์ ECO Car
แบบ Hatchback ทั้ง 4 รุ่นในตลาดเมืองไทยตอนนี้ และนั่นเลยทำให้ เส้นสายต้องเล่นกับความลู่ลม
เป็นหลักอย่างที่เห็นอยู่นี้

อีกประการหนึ่งก็คือ การตอบรับของผู้บริโภคทั่วโลก จากเส้นสายของ Mitsubishi COLT ซึ่งเป็นรถยนต์
Sub-Compact Hatchback เครื่องยนต์ 1.3 และ 1.5 ลิตร ที่ทำตลาดเฉพาะในญี่ปุ่นกับยุโรป เพราะ
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2002 แม้ว่าเส้นสายของมันจะสวยในบางมุม และสัมผัสได้ถึงความกล้าในการออกแบบ
แต่ผลกลับกลายเป็นว่า ผู้บริโภค ต่างยังไม่ค่อยคุ้นชินกับแนวเส้นตัวถังแบบ One Motion Form ที่เล่น
ลากเส้นตรง ยาวจากไฟหน้าจนถึงหลังคา กันสักเท่าไหร่ ผลก็คือ ยอดขายอยู่ในระดับต้องประคับประคองให้
อยู่รอดมาได้อย่างยากเย็น แม้กระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังลากขายกันอยู่ในญี่ปุ่น มาจนครบ 10 ปีแล้ว กลายเป็น
ภาพฝังใจสำหรับ Mitsubishi Motors ไปแล้วว่า การออกแบบให้ฉีกแนวกว่ารถยนต์ทั่วไป คือความเสี่ยง
ทางธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะถ้าผู้บริโภคไม่ยอมรับกันอีก คราวนี้ มีหวังขาดทุนย่อยยับ กว่าจะคืนทุนก็นาน
ผลประกอบการตกอับอีกเป็นแน่ ยิ่งโครงการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็กแบบนี้ ต้นทุนสูง กำไรต่อคันก็น้อย แถม
ราคาขายต้องถูกแข่งกับชาวบ้านเขาได้อีก ว่าแล้ว พวกเขาก็เลยต้องร่างเส้นสายของ Mirage ใหม่ ให้ดู
ไม่หวือหวาเกินไป และต้องเอาใจลูกค้ากลุ่มผู้หญิงมาก ยิ่งกว่า Mitsubishi ทุกรุ่นที่ผลิตออกขาย
ในช่วงตั้งแต่ 2005 เป็นต้นมา เลยทำให้ Mirage มีเส้นสายตัวถังแนว “อนุรักษ์นิยม”อย่างที่เห็น

และสิ่งที่จะช่วยเสริมให้ตัวรถดูเด่นขึ้นมาได้ แม้จะมีเส้นสายเรียบชืดจืดสนิทแบบนี้ นั่นคือ การมีสีให้เลือกซื้อ
มากถึง 8 สี แบ่งเป็นสีสันแนวฉูดฉาด แปลกตา ได้แก่ สีเหลือง Y25 (Lemonade Yellow Metallic)
อันเป็นสีโปรโมท สีเขียว F24 (Pop Green Metallic) สีฟ้า T69 (Cerulean Blue สีเดียวกับใน 
Lancer EX ใหม่ และ RVR/ASX ในเมืองนอก) กับ สีแดง P19 (Red Metallic)

ส่วน สีมาตรฐานที่คนไทยชอบกันนักกันหนา คราวนี้ Mitsubishi Motors เลิกกั๊ก สีขาวมุก W54 (White
Pearl) ปล่อยออกมาพร้อมกันในวันเปิดตัวเลยทีเดียว ตามด้วยสีเงิน A66 (Cool Siver Metallic) สีเทาเข้ม
A02 (Eisen Grey Mica) และสีดำ X06 (Pyeness Black)

การตกแต่งพื้นฐานของทุกรุ่นจะเหมือนกันตรงที่ ใช้ไฟหน้าแบบ Halogen เปนอุปกรณ์มาตรฐาน มีมือจับ
เปิดประตูแบบงัดขึ้น สีเดียวกับตัวถัง หน้าตาเชยๆ เพราหวังจะ ควบคุมต้นทุนการผลิตลงมา ทั้งที่ชาวบ้าน
เขาเปลี่ยนมาเป็นแบบ Grip Type กันไปหมดแล้ว มีเสียงไม่เห็นด้วยกับการใช้มือจับประตูแบบนี้มากมาย
กระจกมองข้าง พร้อมกรอบนอกสีเดียวกับตัวรถ และเสาอากาศแบบหนวดกุ้งยาวๆ ยืดหยุ่นหรือถอดเก็บได้

หากมองหาความแตกต่างภายนอก ตามแต่ละรุ่นย่อย คุณจะพบว่า รุ่น GLS และ GLS Limited จะถูกตกแต่ง
ภายนอกครบถ้วน แต่ก็ไม่ได้มากเกินไปกว่ารุ่นมาตรฐานอย่าง GLX มากนัก มีทั้ง แถบสีดำคาดเสาประตู
เพื่อเชื่อมให้กระจกหน้าต่างคู่หน้า และคู่หลัง เกิดความต่อเนื่องในเส้นสาย รวมทั้ง ล้ออัลลอย 14 นิ้ว ลาย
บ้านๆ ธรรมดาๆ เบสิกๆ ไฟตัดหมอกคู่หน้า และสปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 เหนือบานประตู
ห้องเก็บของด้านหลัง

ส่วนรุ่น GLX ทั้งเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ จะไม่มีแถบสีดำ เชื่อมขอบประตูคู่หน้าและหลังมาให้ ไม่มี
ไฟตัดหมอกหน้า ล้ออัลลอย ก็กลายสภาพเหลือเพียง ล้อกระทะเหล็ก พร้อมฝาครอบแบบเต็มวงล้อ (Full
Wheel Cover) รวมทั้งไม่มีสปอยเลอร์หลังมาให้ กระนั้ ก็ยังมีอุปกรณ์ต่างๆ เพียงพอต่อการใช้งาน เพราะ
ยังมีไฟเบรกดวงที่ 3 เหนือบานประตูหลัง ติดตั้งเสริมให้ ซึ่งถือเป็นเรื่องดี ที่รถระดับนี้ ควรจะมีอุปกรณ์
แบบนี้มาให้เป็นมาตรฐานได้แล้ว

รุ่น GLS กับ GLS Limited และ GLX ทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ จะติดตั้ง ชุดใบปัดน้ำฝน พร้อมระบบ
ตั้งหน่วงเวลาในการปัดได้ (Intermittent Wipers) ทั้งที่กระจกบังลมหน้า และกระจกหลัง รวมทั้งติดตั้ง
ไล่ฝ้า มาให้ด้วย โดยรุ่นถูกสุดอย่าง GL จะไม่มีใบปัดน้ำฝนหลัง และไล่ฝ้าแต่อย่างใด

ไม่ว่าจะเป็นล้ออัลลอย หรือกระทะล้อเหล็ก พร้อมฝาครอบ ทุกรุ่นจะใช้ล้อขนาดเดียวกัน คือ 14 x 4 1/2 J
และยาง Bridgestone ECOPIA ขนาด 165/65 R14 79S ซึ่งเน้นสมรรถนะด้านการลดแรงเสียดทาน ขณะ
หมุน (Low Rolling Resistant) เหมือนกันหมด

ที่สำคัญ การใช้โครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่ง และใช้ถังน้ำมันที่มีความจุแค่ 35 ลิตร ทำให้น้ำหนัก
ตัวรถเปล่าๆ ของ Mirage เบาเพียง 830 – 865 กิโลกรัม เบากว่าคู่แข่งตัวฉกาจในพิกัดเดียวกัน อย่าง Nissan
March, Honda Brio และ Suzuki Swift ร่วม 100 กิโลกรัม ซึ่งมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และการขับขี่
อย่างชัดเจน

การเปิดประตูรถนั้น หากเป็นรุ่นมาตรฐาน ทุกรุ่น จะใช้กุญแจพร้อมสวิชต์รีโมทคอนโทรลในตัว เพื่อกดปุ่ม
สั่งล็อก หรือปลดล็อก เปิดประตู เข้าไปนั่ง เสียบกุญแจลงไปในรู ก่อนจะบิดสตาร์ท เหมือนรถยนต์ทั่วๆไป  
หน้าตาดอกกุญแจ ก็เหมือนกับ ที่ใช้อยู่ใน Triton PLUS และ Pajero Sport นั่นแหละ! ไม่มีผิดเพี้ยน!
เป็นกุญแจสหกรณ์ไปแล้ว

แต่ถ้าเป็นรุ่นท็อป 1.2 GLS กับ GLS Limited กุญแจที่ให้มากับรถ จะเป็นรีโมท ที่เรียกกันซะเก๋ไก๋ ว่า
KOS (Keyless Operation System) แค่พกรีโมทกุญแจนี้ไว้กับตัว เดินเข้าใกล้บานประตูคนขับ หรือ
ฝาประตูของห้องเก็บของด้านหลังรถ ในระยะรัศมี 70 เซนติเมตร ก็สามารถ ดึงมือจับเปิดประตูบานใดก็ตาม
จากทั้ง 2 บานข้างต้น ได้เลย หรือถ้าจะล็อกรถ เมื่อปิดประตูแล้ว ก็กดปุ่มล็อก ที่บานประตูทั้งคู่ บานใด
บานหนึ่ง ก็ได้เช่นเดียวกัน

ในกรณีที่แบ็ตเตอรีของรีโมทหมด ยังสามารถ ถอดลูกกุญแจในตัวรีโมท ออกมาไขเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร
ด้านซ้าย ได้ หมุนซ้ายครั้งขวาครั้ง เป็นอันปลดล็อก เมื่อเข้าไปนั่งในรถได้แล้ว ก็ควรจะเอารีโมท KOS
เสียบไว้ในช่องเสียบ ใค้แผงหน้าปัด เหนือช่องวางแก้ว ตรงกลาง และถ้าลืมกุญแจในรถ เมื่อปิดประตู
รถจะส่งเสียงเตือนออกมาเอง

เมื่อเปิดประตูคู่หน้า ออกมาจะพบว่า บานประตู จะกางออกโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ในลักษณะ
คล้ายคลึงกับบานประตูคู่หน้าของ Honda FREED วิธีนี้ จะช่วยให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้า
เข้าออก จากตัวรถได้สบายขึ้น อีกทั้งยังส่งผลอ้อมๆ ทางจิตวิทยา ให้เกิดความรู้สึกว่า Mirage  มี
บานประตูและช่องทางเข้าที่กว้างมาก

แผงประตูด้านข้าง ถูกออกแบบมาให้ ใส่ได้ทั้ง เอกสารขนาด กระดาษ A4 กล่อง CD รวมทั้งขวดน้ำ
ซึ่งจะมีสัญลักษณ์เอาไว้เลยว่า ไม่เหมาะแก่การวางแก้วกระดาษใส่น้ำอัดลม จากร้าน Fast Food
ทั้งหลาย เพราะอาจทำให้ หกเลอะเทอะได้ บริเวณพื้นที่วางแขน ออกแบบมาได้ดี วางแขนได้สบาย
พอสมควร แต่จะดีกว่านี้ ถ้าช่วงแขนของคุณยาว เพราะสำหรับผม มันเตี้ยไปนิดสำหรับตำแหน่ง
การวางข้อศอก แต่

การตกแต่งภายในห้องโดยสาร เป็นสีดำ ไม่ว่าคุณจะเลือกรุ่นถูกสุด หรือแพงสุด ผ้าหุ้มเบาะที่คุณ
จะได้รับ ก็เป็นสีดำ และลายเดียวกัน ทั้งหมด ถือเป็นข้อดี ในการบริหารจัดการด้านการผลิต ลด
ความซ้ำซ้อน ในการจัดสต็อกอะไหล่ และช่วยลดขั้นตอนในการดำเนินงานต่างๆ ลงได้เยอะ
แถมลูกค้าก็ยังจะรู้สึกดีด้วย ว่า ซื้อรุ่นไหน ก็ได้ของที่เท่าเทียมกัน ต่างกันแค่ออพชันเท่านั้น

เบาะนั่งคู่หน้า ใช้ฟองน้ำในการขึ้นรูปกับโครงสร้างเบาะ ที่นิ่มกว่ามาก อันที่จริง มันนิ่มพอๆ กัน
กับ March และมีโครงสร้างเบาะค่อนข้างเล็กอยู่ ถ้าเป็นคุณสุภาพสตรี ผมว่า น่าจะชอบเบาะนั่งของ
Mirage แบบนี้ แม้จะให้การรองรับสรีระของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารได้ดีกว่า March ก็จริง แต่ต่างกัน
ไม่มากนัก เพราะถึงแม้จะ มีการออกแบบให้มีส่วนนูน รองรับ บริเวณกลางแผ่นหลัง ของผู้ขับขี่ได้
ดีกว่านิดหน่อย มีปีกข้างที่แอบจะโอบกระชับร่างของผู้ขับขี่ดีกว่านิดนึง

แต่ ขอแนะนำให้ ปรับเลื่อนเบาะนั่งให้ดีๆ เพราะนี่เป็นรถเก๋ง Mitsubishi หนึ่งในหลายๆ รุ่น ที่
เปลี่ยนมาใช้ แท่งเหล็กยกเลื่อนชุดรางเบาะ ขึ้นหน้า – ถอยหลัง (จากสมัยก่อนที่เป็นแบบมือจับ
ดึงโยกเล็กๆ ด้านข้างฐานรองเบาะ) แม้ว่า จะมีการนำมาใช้ในรถรุ่นอื่นๆ ของพวกเขาก่อนแล้ว
แต่กับรถเก๋งประกอบในเมืองไทย นี่น่าจะเป็นรุ่นที่ 2 ที่เปลี่ยนมาใช้รางเลื่อนแบบนี้ เหมือน
ชาวบ้านชาวช่องเขา

ประเด็นก็คือ ผมตั้งข้อสังเกตว่า รถทดลองขับของ Mirage แทบทุกคัน จะมีปัญหาเรื่องการปรับ
พนักพิงเบาะ ที่เอียงออกไปทางขวามากไป และก่อความเมื่อยล้าในการขับขี่ ทำให้เกิดอาการ
ปวดแปลบ บริเวณ แผ่นหลัง ฝั่งซ้ายมือ เยื้องจากกระดูกสันหลังตรงกลางมานิดๆ

แต่ผมกลับมาค้นพบในภายหลังว่า จริงๆแล้ว ผมเองนั่นแหละ ที่เลื่อนเบาะนั่งไม่เข้าที่ ไม่ลงล็อก
ดังนั้น ถ้าขึ้นไปนั่ง Mirage คันไหนแล้วพบว่า เบาะมันเอียง ลองปรับเลื่อนเบาะขึ้นหน้า – ถอยหลัง
กันก่อนนะครับ

มันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมเองก็เกือบจะพลาดในการตัดสินเรื่องเบาะนั่งของรถรุ่นนี้ไปแล้ว!

อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งนั่งขับ ของเบาะนั่ง ก็ยังเยื้องไปทางขวา ของพวงมาลัยกับชุดมาตรวัดอยู่ดี
เบาะรองนั่ง ก็สั้น ในแบบเดียวกับรถยนต์ขนาดเล็กจากญี่ปุ่นคันอื่นๆ ถ้านั่งขับขี่ไปเรื่อย ก็พอได้
แต่ถ้าขับกันยาวๆ หลายร้อยกิโลเมตร ยังไงๆ ก็ต้องลงมาจอดพักกันบ้างอยู่ดี

ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะจริงๆแล้ว ก็เหลือในระดับพอประมาณ อาจไม่ถึงกับโปร่งมาก และมีแผง
บังแดดด้านหน้า อยู่ใกล้ระดับสายตาไปหน่อย อันป็นผลมาจากการออกแบบแนวหลังคา ให้ลู่ลม
ตามหลักอากาศพลศาสตร์มันเลยจำเป็นต้องมีแนวหลังคาแบบนี้ จนทำให้ การติดตั้งแผงบังแดด
อยู่ใกล้สายตาอย่างที่เป็น แต่ถาพรวม ก็ไม่ได้บดบังทัศนวิสัยแต่อย่างใด

ส่วนการเข้า – ออก จากประตูคู่หลังนั้น ผมยังคงมีความเห็นเหมือนเดิม เพราะถึงแม้ทีมวิศวกรจะพยายาม
ออกแบบให้มีช่องประตูที่กว้าง และสูงที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้แล้ว แต่ มันก็ยังเล็กไปนิดนึงอยู่ดี เมื่อ
เทียบกับคู่แข่ง แม้ว่าช่องทางเข้าของ Brio เล็กสุด แต่ Mirage เอง ก็ใหญ่กว่ากันแค่นิดหน่อย เท่านั้น
ยังดีที่ กระจกหน้าต่าง สามารถเลื่อนเปิดลงได้จนสุดกรอบหน้าต่างด้านล่าง

การวางแขน บนแผงประตูด้านข้าง ถือว่าพอจะวางได้ แต่ ไม่ดีนัก เนื่องจาก ตำแหน่งพื้นที่วางแขน ค่อนข้าง
สั้นไปหน่อย แถมไม่มีมือจับเหนือบานประตูบริเวณเพดานหลังคา อีกด้วย ซึ่งเป็นปัญหาเหมือนกับ Mazda 2
และ Ford Fiesta ไม่มีผิด! จนอยากจะถามว่า ใจคอนี่ ไม่คิดจะให้ผู้โดยสารด้านหลังเขามีที่ยึดเหนี่ยวอะไรไว้
บ้างสักหน่อยเลยหรืออย่างไร? ของแค่นี้ ควรมีมาให้นะ!

เบาะรองนั่งแถวหลัง ถูกติดตั้งในตำแหน่งที่เตี้ยกว่ารถยนต์ทั่วไป จนเกือบจะเท่ากับในรถยนต์นั่ง ขนาดเล็ก
เมื่อ 15 ปีก่อน เหตุผล และเป็นข้อดีไปด้วยในตัวของการจัดวาง Packaging แบบนี้ ก็คือ ในเมื่อ จำเป็น
ต้องทำหลังคาให้ลาดลง เพื่อให้ลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น พื้นที่เหนือ
ศีรษะ ก็ต้องถูกเฉือนออกไปด้วยช่วยเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะ ทำให้ตัวรถดูโปร่ง ในสายตาของผู้โดยสารด้านหลัง
แต่ ในทางกลับกัน เบาะรองนั่งที่เตี้ยนั้น สำหรับ บางคนที่ตัวสูงกว่ามนุษย์มนาทั่วไปเขา อาจทำให้การเดินทาง
ไกลๆ เมื่อยล้าได้ เพราะต้องนั่งชันเข่า อยู่แทบจะตลอดเวลาที่นั่งบนเบาะหลัง เว้นเสียแต่ผู้โดยสารด้านหลัง
จะเป็นบุตรหลานของคุณ ส่วนฟองน้ำที่ใช้่ขึ้นรูปเบาะ ก็นิ่มพอกันกับเบาะคู่หน้านั่นละครับ

พนักศีรษะด้านหลัง ต้องยกขึ้นมาใช้งาน จึงจะรองรับศีรษะของคุณได้ดีในระดับหนึ่ง แต่อย่างน้อย ยังดีกว่า
 Honda Brio แน่ๆ คู่นั้น เขาไม่มีพนักศีรษะเบาะหลังนะครับ ถึงมี ก็ออกแบบฉีดขึ้นรูป
เป็นชุดเดียวกัน และใช้งานจริงแทบไม่ได้เลย ส่วนพื้นที่วางขานั้น มีเหลือประมาณ 1 กำปั้น ถ้าคุณถอยเบาะหน้า
ร่นลงมาจนสุด ถือว่า เรื่องพื้นที่วางขา ไม่ใช่ปรเะเด็นน่าเป็นห่วงนักสำหรับ Mirage

ส่วน พนักศีรษะหลังนั้น Marchใหม่ รุ่นปรับโฉม ก็มีมาให้แล้ว ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่เมื่อผมไปลอง
นั่งมาแล้ว กลับพบว่า มันก็ยังทำได้ไม่ดีสุดอยู่เช่นเคย ขอบล่างของพนักศีรษะทิ่มต้นคอผมอีกจนได้
นั่นละ สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดของพนักศีรษะทุกค่ายเลย แถมปรับยกขึ้นได้แค่จังหวะเดียว

เข็มขัดนิรภัย มีมาให้ ทั้งแบบ ELR 3 จุด ฝั่งซ้าย และขวา ส่วนตรงกลาง ยังคงเป็นแบบ ELR 2 จุด คาดเอว
ทุกรุ่น ทุกคัน

ภาพรวม ถือว่า การโดยสารบนเบาะหลังของ Mirage อาจมีพื้นที่เหลือพอสำหรับคนตัวสูง เข้าไปนั่งในยาม
จำเป็นได้อยู่ แต่อย่าไปคาดหวังความสบายจากเบาะหลังขอวรถยนต์ประเภทนี้ทุกรุ่นมากนักครับ มันทำได้
ดีแค่ในระดับที่มันพอจะเป็นนั่นละ

ขอแนะนำและย้ำอย่างยิ่งว่า หากสมาชิกในครอบครัวของคุณ จำเป็นต้องนั่งบนเบาะหลังของ Hatchback
ECO Car แบบนี้ ขอให้พาไปดูรถคันจริงบนโชว์รูมด้วย ก่อนตัดสินใจ ให้เขาลองนั่งจนพอใจ เพื่อให้
การตัดสินใจเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันในบ้านเรือนภายหลัง

เบาะนั่งแถวหลังสามารถแยกพับเก็บได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ให้ยาวขึ้น
กว่าเดิม มีช่องเสียบหัวเข็มขัดนิรภัยด้านหลัง ติดตั้งไว้ที่แผงพลาสติกบุด้านข้างเบาะหลังทั้ง 2 ฝั่ง ในกรณีที่
พับเบาะหลัง ก็สามารถเอาหัวเข็มขัดนิรภัย เสียบยึดเอาไว้ในรูดังกล่าวได้เลย เพื่อไม่ให้เข็มขัดขยับไปมา
จนก่อเสียงน่ารำคาญขณะขับขี่

การพับเบาะแถวหลังนั้น คุณต้องเดินไปเปิดฝาประตูห้องเก็บของด้านหลังเสียก่อน แล้วมองไปที่ด้านหลัง
ของพนักพิงเบาะ จะเห็นมีเชือกแบบห่วง ผูกเอาไว้ที่ด้านหลังพนักพิงให้ดึงเพื่อปลดล็อก แล้วก็พับพนักพิง
ลงไปได้เลยทันที เมื่อพับแล้ว ก็จะมีหน้าตาแบบในรูปนี้ ไม่ได้แบนราบลงไปกับพื้นห้องโดยสารแต่อย่างใด
ที่สำคัญ เบาะหลังของ Mirage แยกพับแบบนี้ ได้ครบแทบทุกรุ่นย่อย

เมื่อเปิดยกฝาประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลังขึ้นมา จะพบว่า มีช็อกอัพไฮโดรลิก ค้ำยันมาให้ 2 ต้น ในขณะที่
Brio มีมาให้แค่ ต้นเดียว สามารถเปิดยกขึ้นไปได้สูงโดยไม่ต้องกังวลว่าจะติดศีรษะ มีมือจับดึงปิดลงมา
ซ่อนไว้ให้ ใช้กลอนไฟฟ้า แต่ไม่มีก้านดึงเปิดฝาประตูหลัง จากในห้องโดยสารมาให้ หากต้องการเก็บ
ของไว้หลังรถ คุณต้องลงจากรถ มาเปิดบานประตูหลังยกขึ้นด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ ยังมีไล่ฝ้าที่กระจกบังลมหลังมาให้ ที่สำคัญ มีใบปัดน้ำฝน พร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจกมาให้ทุกรุ่น
ยกเว้นรุ่น GL เกียร์ธรรมดา อันเป็นรุ่นล่างสุด ถูกสุด

แหม! ไหนๆ จะใส่มาให้ทั้งที น่าจะใส่มาให้ครบทุกรุ่นไปเลย จะได้ถือเป็นจุดขายไปด้วยยังไงละ! แม้จะ
พอเข้าใจว่า มีลูกค้าในต่างจังหวัดบางกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มที่คิดจะซื้อ Mirage ไปตกแต่ง เพื่อลงแข่งขันต่อ หรือ
อยากได้รถยนต์ที่ไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์อะไรมากมายนัก เพราะสุดท้าย อุปกรณ์เหล่านี้ ก็จะถูกพวกเขา ถอดยก
ออกไปเองอยู่ดี แต่ อย่าลืมว่าสภาพถนนเมืองไทยนั้น ฝุ่นเยอะ ยิ่งฝนตก ล้อหลัง และกระแสลม ก็จะพัดพา
ให้ฝุ่นละออง เข้ามาแปะกับกระจกบังลมหลังกันง่ายดาย ดังนั้น ใบปัดน้ำฝนหลัง กับหัวฉีดน้ำ ก็ยังน่าจะ
เป็นสิ่งที่ถูกติดตั้งมาให้ครบทุกรุ่นไปเลยก็ดีเหมือนกัน

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีขนาดความจุ 235 ลิตร เมื่อยังไม่ได้พับเบาะลงมา มีแผงรีไซเคิลบังสัมภาระไว้
จากสายตาของผู้คนภายนอก สามารถยกถอดเก็บออกได้ หรือจะใช้เชือกเส้นเล็กๆ ที่ติดมาให้ เกี่ยวไว้กับ ขอยึด
บริเวณบานประตูหลัง เพื่อให้ยกขึ้นพร้อมกันตอนเปิดฝาประตูห้องเก็บของก็ได้

และเมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบว่า มีหลุมใส่ยางอะไหล่ พร้อมซองเครื่องมือติดรถแถมมาให้ มีประแจ
ขันน็อตล้อ ตะขอเหล็ก และ ตะขอลากรถ ส่วนแม่แรงยกรถ ถ้าหาไม่เจอไม่ต้องตกใจ มันถูกนำไปติดตั้งซ่อนไว้
ที่ใต้เบาะผู้โดยสารด้านหน้าฝั่งซ้าย วิธีนำแม่แรงไปใช้งาน ก็แค่เลื่อนเบาะขึ้นไปทางด้านหน้าจนสุด จากนั้น จับ
แม่แรง หมุนลง แล้วดึงออกไปทางด้านหลังของเบาะ

ที่ต้องเขียนบอกเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าจะมีใครอีกหลายคนมากมายื ปล่อยไก่ในเรื่องนี้ยามฉุกเฉิน ขึ้นมาแล้วจะยุ่ง
ผมไม่รับรู้ด้วยนะเออ!

และถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า มีการบุพลาสติกกันกระแทกมาให้บริเวณล่างสุดของกรอบช่องทางประตูห้องเก็บของ
ในขณะที่ March และ Brio เลือกจะลดต้นทุนในส่วนนี้ โดยปล่อยให้เห็นเนื้อเหล็กสีเดียวกับตัวรถ เปลือยเปล่า
อยู่อย่างนั้น สำหรับคนที่จะต้องยกข้าวของ เข้า-ออกจากห้องเก็บของด้านหลังบ่อยๆแล้ว การบุพลาสติกแบบนี้
ถือเป็นเรื่องที่พบได้ในรถยนต์ ท้ายตัด Hatchback แทบทุกรุ่นทั่วไปในสากลโลก และควรจะมีมาให้ในรถยนต์
ประเภทนี้ทุกคันได้แล้ว

แผงหน้าปัด มาในรูปแบบพื้นฐาน เรียบง่าย แต่กลับให้ความสะดวกใช้งานได้ดี แผงควบคุมตรงกลาง พื้นผิวสีดำ
มันเงาแบบ Piano Black (ซึ่งพร้อมจะเป็นรอยขนแมวได้ง่าย โปรดระวังในการดูแลรักษาให้เหมือนกับสีรถด้าน
นอก นิดนึง ก็ดีครับ) เลือกติดตั้งแผงสวิชต์ ที่ใช้งานบ่อยๆ ให้อยู่ใกล้มือ แต่ขนาดของปุ่ม ก็ใหญ่พอจะทำให้
ลูกค้า รู้สึกว่า มีปุ่มให้กดเยอะดี คุ้มกับเงินที่เสียไป มันเป็นผลทางจิตวิทยานิดหน่อยหนะครับ

มองขึ้นไปบนเพดาน แผงบังแดดมีขนาดใหญ่พอประมาณ แต่มีกระจกแต่งหน้ามาให้เฉพาะฝั่งคนขับ หนำซ้ำ
ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร ก็ยังมีอยู่ในตำแหน่งเดียว คือ ตรงกลางระหว่าง แผงบังแดดทั้ง 2 ฝั่ง และที่
หนักกว่านั้นก็คือ มีขนาดเล็ก และไม่ค่อยสว่างพอเท่าที่ควร ยิ่งถ้าทำของตกบนพื้นเบาะหลัง ตอนดึกๆ ไม่ต้อง
คิดจะควานหาเลย สงสัยคงต้องพกไฟฉายติดรถเอาไว้ด้วยแน่ๆ

พวงมาลัยของทุกรุ่นเป็นแบบ ยูรีเทน 3 ก้าน ออกแบบขึ้นใหม่ มีขนาดเส้นรอบวงกำลังดี ไม่เล็กหรือใหญ่
จนเกินไป ฝังถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับเอาไว้ข้างใน Grip สำหรับจับพวงมาลัย ถือว่า อยู่ในระดับมาตรฐาน
ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป เช่นเดียวกัน

มองไปทางขวามือ กระจกหน้าต่างเปิด – ปิดได้ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ทั้ง 4 บาน มีเฉพาะฝั่งคนขับที่จะเป็นแบบ
One – Touch กด หรือยกสวิชต์ ครั้งเดียว กระจกหน้าต่าง จะเลื่อน ลง หรือขึ้น จนสุดได้เอง แต่ในรุ่น GL
จะมีกระจกหน้าต่างไฟฟ้ามาให้เฉพาะบานประตูคู่หน้าเท่านั้น

สวิชต์ ปรับ และพับกระจกมองข้างด้วยไฟฟ้า อยู่ทางขวามือ ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาสุดของแผงหน้าปัด คราวนี้
Mitsubishi บอกว่า จะไม่ยอมพลาดแบบ Lancer EX อีกต่อไปแล้ว ตอนนั้น ฝั่งญี่ปุ่น ไม่ยอมใส่กระจก
มองข้าง พับไฟฟ้ามาให้แต่แรก จนโดนด่ายับ เละเทะ ทั้งจากลูกค้า และเว็บของเรา (ฮา) คราวนี้ ในรุ่น
GLX GLS และ GLS Limited แค่ผู้ขับขี่ล็อกประตู ด้วยวิธีการใดก็ตาม กระจกมองข้าง ก็จะพับเก็บเอง
โดยอัตโนมัติ และเมื่อปลดล็อก มันก็จะกางออกเองโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกัน

การติดเครื่องยนต์ ในรุ่น GL และ GLX ใช้กุญแจ เสียบเข้าไปในรู ตรงคอพวงมาลัยฝั่งขวา แล้วบิดสตาร์ต
ตามปกติ ส่วนรุ่น GLS และ GLS Limited มีปุ่มติดเครื่องยนต์แบบ Push Start มาให้ ถ้าไฟสีแสดขึ้น แสดงว่า
เตรียมพร้อมให้กดปุ่มแล้ว และเมื่อกดเข้าไป ไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว แสดงว่า กำลังติดเครื่องยนต์แล้ว

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง ที่ Mitsubishi นำมาติดตั้งเอาไว้ใน Mirage ด้วย นั่นคือ ระบบควบคุมลูกเล่นไฟฟ้าต่างๆ
ภายในห้องโดยสาร เรียกว่า ETACS (Electronic Time And Alarm Control System) ซึ่งเป็นลูกเล่นที่
ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ Mitsubishi รุ่นที่ผลิตขายในเมืองไทย มาตั้งแต่สมัย Galant Sigma ปี 1984 แล้วมีการ
ปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน แต่กลับไม่ค่อยจะโฆษณาให้ผู้คนเขารับทราบสรรพคุณอย่างจริงจัง
มากเกินไปกว่า การปรากฎข้อมูลบนแค็ตตาล็อก หรือเอกสารประชาสัมพันธ์ แล้วมันก็ถูกลืมหายไป  คราวนี้
ฝ่ายการตลาดก็ถึงพึ่งจะนึกออกได้ และเริ่มโฆษณาให้รับรู้ถึงรูหูของผู้บริโภคกันจริงจังเสียที เพราะลูกเล่น
เล็กๆน้อยๆ เหล่าเนี่ย ลูกค้าสุภาพสตรี ที่ไม่รู้จักรถยนต์ Mitsubishi มาก่อน น่าจะชื่นชอบกัน!

ลูกเล่นที่ว่านี้ มีตั้งแต่
– กุญแจรีโมทพร้อมระบบควบคุมการพับและกางกระจกมองข้างอัตโนมัติ
– ไฟหน้าปิดได้เองโดยอัตโนมัติ โดยระบบจะตัดการทำงานของไฟหน้ารถโดยอัตโนมัติหลังจากดับเครื่องยนต์
   แล้วเปิดประตู ช่วยให้ไฟในแบตเตอรี่ไม่หมด
– ใบปัดน้ำฝนปรับความเร็วอัตโนมัติ ในกรณีที่ฝนตกหากผู้ขับเปิดที่ปัดน้ำฝนในตำแหน่งปัดเป็นจังหวะเมื่อ
   รถถึงความเร็วที่กำหนดที่ปัดน้ำฝนจะเปลี่ยนเป็นจังหวะที่ 1 โดยอัตโนมัติ และจะกลับมาที่ตำแหน่งปัดเป็น
   จังหวะเหมือนเดิมเมื่อความเร็วลดลงหรือหยุดรถ
– ใบปัดน้ำฝนหลังเปลี่ยนเป็นปัดต่อเนื่องในกรณีเปิดใบปัดน้ำฝนหลังในตำแหน่งปัดหยุด เมื่อผู้ขับเข้าเกียร์ใน
  ตำแหน่งเกียร์ R ใบปัดจะเปลี่ยนเป็นปัดต่อเนื่อง 2 ครั้งอัตโนมัติเพื่อทัศนวิสัยที่ดีขึ้นในขณะขับถอยหลัง
– ระบบล็อคประตูซ้ำอัตโนมัติ โดยระบบจะสั่งล็อคประตูทุกบานโดยอัตโนมัติหากไม่มีการเปิดประตูใน 30 วินาที
  หลังจากกดปุ่มปลดล็อคประตูรีโมท
– ระบบสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลน เพียงขยับก้านไฟเลี้ยวเพียงเล็กน้อยสัญญาณไฟเลี้ยวและสัญญาณ
  ไฟเตือนบนหน้าปัดจะกระพริบ 3 ครั้ง (แบบรถยนต์ยุโรปชั้นดี)
– ระบบหน่วงเวลาปิดไฟในห้องโดยสารภายใน 15 วินาที เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบสัมภาระภายในรถ
– ระบบหน่วงเวลาเปิด-ปิดกระจกไฟฟ้าหลังจากดับเครื่องยนต์ กระจกไฟฟ้ายังสามารถเปิด-ปิดได้อีกใน 30 วินาที

มาตรวัดเป็นแบบ Combination Meter 3 วางกลม ซ้อนกัน ตรงกลางเป็นมาตรวัดความเร็ว ฝั่งซ้ายเป็นมาตรวัดรอบ
และแสดงสัญญาณไฟเตือนในระบบสำคัญๆ ฝั่งขวา แสดงสัญญาณไฟเตือนในระบบที่สำคัญรองลงมา รวมทั้งมีไฟ ECO
สีเขียว จะติดสว่างขึ้น เมือ่ใช้ความเร็ว กับรอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสม และคอมพิวเตอร์ของเครื่องยนต์ คำนวนว่า ขับรถ
แบบเนี้ย จะช่วยให้ประหยัดน้ำมัน เวลาขับๆไป อย่ามองไฟ ECO นานเกินไปนะครับ คุณจะขับช้าลง จนรถคันข้างหลัง
บีบแตรก่นด่า หรือขับจี้ตูดก็เป็นได้

ในรุ่น GLS และ GLS Limited มาตรัดความเร็วจะมีกรอบมาตรวัดสีเงินมาให้ ส่วนรุ่น GLX และ GL จะเป็น
กรอบมาตรวัดความเร็วสีดำ และเฉพาะรุ่น GL ถูกสุดเท่านั้น ที่จะไม่มีมาตรวัดรอบมาให้

หน้าจอตรงกลาง ใต้มาตรวัดความเร็ว เป็นหน้าจอ Multi-Information Display คุณสามารถเลือกอ่านข้อมูลได้
ทั้งระยะทางที่รถแล่นมาทั้งหมด Odo Meter ระยะทางที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าได้เอง ทั้ง Trip Meter A และ B ปรับความ
สว่างของมาตรวัดทั้งหมด ระยะทางที่น้ำมันในถัง เหลือพอให้รถแล่นต่อไปได้อีกกี่กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงเฉลี่ย (พร้อมแถบวัดค่าแบบ Real-Time) และแจ้งเตือนการบำรุงรักษา ด้วยการกด-ปล่อย ที่สวิชต์ปรับตั้ง
บนมาตรวัด

การมองเห็นตัวเลข ในขณะขับขี่ ทำได้ดี แต่ถ้าคุณต้องการอ่านรอบเครื่องยนต์ อาจต้องละสายตา และเพ่ง
ไปที่มาตรวัดรอบนานนิดนึง พอกันกับ Honda StepWGN หรือบรรดารถยนต์ ที่มีมาตรวัดรอบขนาดเล็ก
กว่ามาตรวัดวามเร็วนั่นละครับ

ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่า มาตรวัดของ Mirage เหมือนถูกทำมาเตรียมไว้ รองรับ การติดตั้ง ระบบ ควบคุมความเร็ว
คงที่ Cruise Control ระบบช่วยลดโอกาสการลื่นไถล หรือล้อหมุนฟรี จำพวก Traction Control หรือ VSC
ที่สำคัญ ยังแอบรองรับสัญญาณไฟเตือน เมื่อใช้ความเร็วเกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมทั้งไฟเตือนระบบ
ดับเรื่องเองเมื่อจอดติดไฟแดง และติดเครื่องเองอีกครั้งเมื่อออกรถ Auto Stop&Go มาให้ด้วย! แต่เสียดาย
ว่าระบบทั้งหมดในย่อหน้านี้ จะไม่ถูกติดตั้งกับ Mirage ที่จำหน่ายในเมืองไทยเลย..เฮ้อ!

มองไปทางซ้ายมือ ช่องเก็บของฝั่งผู้โดยสาร มีขนาดใหญ่พอประมาณ แต่น่าเสียดายว่า ออกแบบให้
เป็นกล่องสี่เหลี่ยมธรรมดาเลยไม่ได้หรืออย่างไร เพราะการออกแบบให้มีฝั่งซ้ายของกล่องด้านใน
ให้เว้าแบบที่เป็นอยู่นี้ มันเผยให้เห็นถึงสายไฟระโยงระยาง ที่ซ่อนอยู่หลังแผงหน้าปัด มันดูไม่ค่อย
เรียบร้อยเท่าไหร่ ในความรู้สึกของผู้บริโภคทั่วไป

ส่วนช่องเสียบ USB สำหรับเชื่อมต่อกับวิทยุ หรือชุดเครื่องเสียงนั้น น่าจะติดตั้งไว้บนแผงควบคุม
มากกว่าที่จะซ่อนอยู่ในกล่องเก็บของ แล้วต้องใช้สาย ดึงขั้วเสียบ ออกมาใช้งาน แม้ว่าจะทำ รูเล็กๆ
ให้สายเสียบ โผล่ออกมา อยู่นอกกล่อง แล้วเสียบกับ Flash Drive หรือขั้วต่อสำหร้ับ โทรศัพท์มือถือ
Smart Phone ทั้งหลาย แต่ยังดีที่ มีการออกแบบ ร่องวางของแนวยาว บนแผงหน้าปัดฝั่งซ้าย สำหรับ
การวางข้าวของจุกจิกต่างๆ ซึ่งจุดนี้ ลูกค้าผู้หญิง หลายๆคนจะชื่นชอบมาก

ใต้แผงควบคุมกลาง จะมีช่องเสียบกุญแจ KOS (เฉพาะรุ่น GLS Limited) หรือช่องวางของจุกจิก
ขนาดใหญ่พอประมาณ พอให้วางกระเป๋าสตางค์ได้ (ในรุ่น GL GLX และ GLS) รวมทั้งช่องวาง
แก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ที่ใช้งานได้จริง

ในรุ่น GL GLX และ GLS นั้น เครื่องปรับอากาศ จะเป็นแบบ มือบิด พร้อมกับก้านเลื่อนเปิด – ปิด
ช่องรับอากาศจากภายนอกรถ ซึ่งก็ถือว่า เย็นเร็วในระดับใช้ได้ เช่นเดียวกัน  รวมทั้งยังติดตั้ง วิทยุ
AM/FM เล่นแผ่น CD/MP3 ได้แค่แผ่นเดียว พร้อมลำโพง 4 ชิ้น เสียงเบส ออกมาดี แต่เสียงใส
ยังอู้อี้ ไม่ใสกังวาล แต่ก็ไม่เลวร้าย ไว้พอฟังข่าวขำขำ ได้ ระหว่างรถติด ปุ่มใหญ่โต ใช้งานง่ายมาก

รุ่น 1.2 GLX Limited จะเป็นรุ่นเดียวที่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ ถูกออกแบบมาให้มีแผง
ควบคุมสวิชต์ ใช้งานง่ายดาย และคลำหาปุ่มต่างๆ แล้วเจอแทบทันที ไม่ยากจนมึนหัว

นอกจากนี้ จุดขายสำคัญของ Mirage รุ่นท็อป 1.2 GLS Limited อยู่ที่ การเป็นรถยนต์ระดับราคาต่ำกว่า
700,000 บาท เป็นรายแรก ในเมืองไทยการติดตั้งระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System
เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน จากโรงงาน (มีเฉพาะรุ่นนี้เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น)

มาพร้อมกับเครื่องเสียง รุ่นใหม่ ใช้หน้าจอ Monitor แบบ Touch Screen ขนาด 7 นิ้ว จาก Clarion พร้อม
วิทยุ AM/FM และ เครื่องเล่น CD/DVD/MP3 1 แผ่น มาพร้อมระบบเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ Bluetooth

การแสดงผลบนหน้าจอนั้น กราฟฟิกสวยงามดีก็จริง แสดงภาพหน้าจอได้พร้อมกัน ทั้งโหมดเครื่องเสียง
และหน้าจอของระบบนำทาง แสดงข้อมูลได้ ทั้งภาคกลางวัน และกลางคืน แจ้งชื่อเพลง อัลบั้ม ศิลปิน
จากไฟล์เพลงทั้งในแผ่น และจาก Flash Drive USB ก็ได้

คุณภาพเสียงนั้น ให้เสียงเบสที่ ดีในเพลงบางรูปแบบ แต่หากเพิ่มบูสต์ของ เสียงเบส เข้าไป ก็จะบวมจน
เกินเหตุ ส่วนเสียงใส ถือว่าทำได้ระดับปานกลางค่อนข้างดีแต่ถ้าคิดถึง รถยนต์ในระดับราคา 550,000 บาท
แล้ว อาจถือได้ว่า Mirage เป็นรถยนต์ที่มีชุดเครื่องเสียง ดีที่สุด ทัดเทียมเท่ากับ Swift  

เพียงแต่ Clarion ทำตัวจนทำให้ผมเข้าใจผิดไปในตอนแรก ว่าเป็นเครื่องเสียงจาก ALPINE เพราะการ
ออกแบบปุ่ม และตำแหน่งของสวิชต์ หรือ User Interface ที่ใช้งานค่อนข้างยาก โดยเฉพาะ หากคิดจะ
ปรับเสียงกันแต่ละที นั่งจิ้มหน้าจอกันตาเหลือกเลย เฮ้ย ตรงนี้มันคืออะไรหว่า เอ๊ะ ตรงนี้ทำไมปรับแล้ว
เสียงไม่ออก (แน่ละ มี SubWoofer Function มาให้ ทั้งที่ตัวรถไม่ได้ติดตั้ง Sub Woofer มาเลยนี่หว่า กด
แล้วเสียงจะเปลี่ยนไปได้ยังไงกันละนั่น)

ไม่เข้าใจว่า ไหนๆ ทำเครื่องเสียงออกมาซะ คุณภาพเสียง ดี๊ดี ทำไม ไม่ออกแบบปุ่มและตำแหน่งของปุ่มบน
หน้าจอให้มันใช้งานง่ายกว่านี้สักหน่อยกันละ เห็นเป็นแบบนี้ มาตั้งแต่ Pajero Sport, Triton PLUS, Lancer EX
แล้ว นี่ยังจะต้องมาเจอการปรับ Equalizer ที่ต้องเป็นคนฟัง หูเทพๆ เท่านั้นหรือ ถึงจะรู้เรื่องว่า ควรปรับอะไร
เท่าไหร่ และอย่างไร ฝาก Clarion ช่วยเอาไปปรับปรุงกันสักหน่อยเถอะนะครับ ถ้าแก้ไม่ออกละก็ ทำหมวด
Equalizer แล้ว ก็มีภาพกราฟฟิก ให้ผู้ใช้งานเห็นเลยว่า หากเป็น กราฟแท่ง สูง – ต่ำ จะทำให้เสียงเปลี่ยนไป
มากน้อยแค่ไหน และอย่างไร นั่นจะง่ายต่อการใช้งานของคนทั่วไปขึ้นอีกพอสมควร

ไม่ว่าคุณจะเลือกซื้อ Mirage รุ่นใดก็ตาม บริเวณพื้นห้องโดยสารตรงกลาง จะเหมือนกันหมด
คือมีเบรกมือแบบมาตรฐาน ยกขึ้น ยกลง มาให้ พร้อมกับช่องวางแก้วน้ำ สำหรับผู้โดยสาร
ด้านหลัง 1 ช่อง และ…แค่นี้! ซึ่งก็พอกันกับ ทั้ง March และ Brio นั่นแหละ

จากตำแหน่งเบาะนั่งคนขับ ในการใช้งานจริง ทัศนวิสัยด้านหน้า มองเห็นภาพถนนและสภาพ
การจราจรข้างหน้าได้อย่างดี ไม่มีอะไรผิดปกติ ฝากระโปรงหน้าถูกออกแบบให้ลาดต่ำก็จริง แต่
อยู่บนพื้นฐานที่ว่า ต้องพอจะมองเห็นพื้นที่โค้งนูน ทั้ง 2 ฝั่งของฝากระโปรงด้านหน้าได้อยู่

มองมาทางขวาเล็กน้อย เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา ออกแบบมาให้แคบลงกว่าคู่แข่ง
เล็กน้อย และมีเส้นสะเอว (BeltLine : เส้นขอบกระจกหน้าต่าง ด้านล่าง) เริ่มต้นค่อนข้างต่ำ
ทำให้มองเห็นขณะเข้าจอด จะเลี้ยวขวาเข้าซอย  หรือ เลี้ยงโค้งขวา บนถนนสวนกันสองเลน
ยังเห็นรถที่แล่นสวนมาได้ชัดเจน แม้จะแอบมีการบดบังบ้างในบางจังหวะ แต่ก็น้อยมาก

กระจกมองข้างมีขนาดใหญ่กำลังดี และเมื่อปรับกระจกออกไปจนมองเห็นตัวถังรถนิดเดียว
พื้นที่ด้านข้าง ฝั่งขวาสุด ก็ถูก กรอบพลาสติกด้านใน บดบังกินพื้นที่เข้ามาน้อยมากๆ จนแทบ
ไม่มีผลต่อการมองเห็นรถคันที่แล่นสวนมาทางด้านข้างขวาเลย

ฝั่งซ้ายก็เช่นกัน เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย ที่ออกแบบให้ลดความกว้างลง ช่วยให้การ
มองเห็นขณะเลี้ยวซ้าย ทั้งคนเดินข้ามถนน หรือรถที่แล่นมา จนถึงขณะเลี้ยวกลับรถ ทำได้
อย่างดี รวมทั้งกระจกมองข้างก็ทำหน้าที่ได้แบบไม่มีอะไรให้ตำหนิ

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปทางด้านหลังรถ ฝั่งซ้าย เสาหลังคา C-Pillar หลังสุด ค่อนข้างหนา
ดังนั้น จะบดบังทัศนวิสัยไปพอสมควร โดยเฉพาะ การบดบังรถจักรยานยนต์ ได้ 1 คันเต็มๆ
ยังดีที่มีการออกแบบกระจกบังลมหลัง และกระจกหน้าต่างบานประตูหลัง ให้โล่ง ปลอดโปร่ง
จึงพอลดจุดบอดตรงนี้ได้พอสมควร อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนเลนทางซ้าย หรือถอยเข้าจอด
ฝั่งซ้าย ควรใช้ความระมัดระวังนิดนึง

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

เครื่องยนต์ ของ Mirage สำหรับตลาดเมืองไทย ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์หลักสำหรับตลาดส่งออกทั่วโลก
ไปด้วยเหมือนกันนั้น มีรหัสว่า 3A92 ซึ่งอาจแตกต่าง และไม่คุ้นตาคนไทยเท่าใดนัก เพราะปกติรหัส
ของเครื่องยนต์ Mitsubishi Motors มันต้องขึ้นต้นด้วย 4 หรือ 6 แล้วตามด้วย G หมายถึง Gasoline
ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน หรือ D ซึ่งก็คือ เครื่องยนต์ Diesel แต่ในเมื่อรหัส 3A92 นั้น ขึ้นต้นด้วยเลข
3 มันก็หมายความว่า เป็นเครื่องยนต์ เบนซิน บล็อก 3 สูบ นั่นเอง

เครื่องยนต์ 3A92 เป็นขุมพลัง บล็อก 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ขนาด 1,193 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก
75.0 X 90.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิง ด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ ECI-Multi
(Electronically Controlled Multi-Point Fuel injection) ควบคุมด้วยสมองกลคอมพิวเตอร์ 32 Bit
พร้อมระบบแปรผันวาล์ว ที่หัวแคมชาฟต์ฝั่งวาล์วไอดี MIVEC (Mitsubishi Innovative Valve timing
Electronic Control system)

ชิ้นส่วนหลายชิ้น ในเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ ถูกออกแบบขึ้น เพื่อให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ได้ดีขึ้น ไม่แพ้เครื่องยนต์ 4 สูบทั่วไป อาทิ ท่อรับอากาศจากภายนอก ทำจากพลาสติกทนความร้อน
ถูกออกแบบให้ตรงยาว ไปโค้งขวาที่ ทางเข้าไส้กรองอากาศแบบสี่เหลี่ยม ออกแบบให้เบา และถอด
เปลี่ยนได้ง่าย

เสื้อสูบเป็นแบบ Aluminium Alloy น้ำหนักเบา แต่แข็งแรง และระบายความร้อนได้ดี พร้อมกันนี้
ลูกสูบก็ยังถูกออกแบบขึ้นใหม่ ให้เบาแต่แข็งแรง เพิ่มช่องสำหรับรับน้ำมันเครื่อง ไปหล่อลื่นลูกสูบ
รวมทั้งยังออกแบบหัวลูกสูบ ให้มีด้านข้างแบบ อสมมาตร (Asymetry Skirt) เพื่อลดแรงเสียดทาน
และเคลือบสาร Resin Coating ที่ลูกสูบ ช่วยลดการเสียดสีระหว่าง ลูกสูบ กับผนังกระบอกสูบ

ทั้งหมดนี้ ช่วยรีดกำลังสูงสุดออกมาได้ 78 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด อยู่ที่
100 นิวตันเมตร หรือ 10.2 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที

ดูตัวเลขแล้วจะเห็นว่า แรงม้า จะด้อยกว่า Nissan March แค่เพียง 1 ตัวเท่านั้น แม้จะถือว่าเป็นตัวเลข
แรงม้า ที่ต่ำที่สุดในตลาดก็ตาม แต่การมีแรงบิดสูงสุดเท่ากับ March พอดีๆ ก็พอจะช่วยให้ผม ใจชื้น
ขึ้นมาว่า..เอาน่า หวังว่า อย่างน้อย อัตราเร่งก็ น่าจะพอๆ กับ March บ้างแหละ! ดังนั้น อย่าเพิ่งไป
ดูถูกเรื่องพละกำลัง จนกว่าจะอ่านถึงบรรทัดสุดท้ายของบทความนี้!

การดูแลรักษา ใช้น้ำมันเครื่อง เกรด 0W20 (เช่นเดียวกับ ECO Car คันอื่นๆในตลาดตอนนี้ทุกรุ่น)
ปริมาณในอ่างน้ำมันเครื่อง 2.8 ลิตร ในไส้กรอง 0.2 ลิตร (ถ้าคุณเข้าศูนย์บริการ Mitsubishi ตอนนี้
เขาควรจะจับเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้ โดยเป็น Castrol Edge หรือ Magnatech เกรดพิเศษ ที่ไม่มี
วางขายตามท้องตลาด เพราะเขาดีลพันธมิตรกันอยู่)

เครื่องยนต์จะส่งแรงบิดมายังระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วย 2 รูปแบบของระบบส่งกำลัง มีทั้ง
เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ มีเฉพาะรุ่น GL 5MT และ GLX 5MT ใช้น้ำมันเกียร์ API GL4 หรือ
SAE 75 W 80 อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1……………………..3.545
เกียร์ 2……………………..1.913
เกียร์ 3……………………..1.310
เกียร์ 4……………………..0.973
เกียร์ 5……………………..0.804
เกียร์ถอยหลัง………………3.214
อัตราทดเฟืองท้าย………….4.055

ส่วนรุ่นอื่นที่เหลือ จะใช้เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT (Continous Variable Transmission)
ของ Jatco รุ่น CVT 7 ซึ่งเป็นเกียร์แบบ สายพานคล้องกับพูเลย์ รุ่นเดียวกัน กับที่ติดตั้งอยู่แล้ว ทั้ง
ใน Nissan March กับ Suzuki Swift ใหม่ 1.2 ลิตร เพียงแต่ว่า ใช้กล่องสมองกลคอมพิวเตอร์ สำหรับ
ควบคุมเกียร์ที่ Mitsubishi Motors พัฒนาขึ้นเองนั่นคือระบบ INVECS-III (Intelligent & Innovative
Vehicle Electrics Control System) เจเนอเรชัน ที่ 3 ระบบนี้ แบ่งการทำงานเป็น 2 แบบด้วยกัน คือ

1. เปลี่ยนเกียร์ตาม “สภาพการขับขี่”  (Optimum Shift Control)
กล่องคอมพิวเตอร์ จะวิเคราะห์ องศาการเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า (การเหยียบคันเร่ง) การเบรก
หักเลี้ยวพวงมาลัย และความเร็วของรถในขณะนั้น เพื่อให้ได้ตำแหน่งเกียร์ ที่เหมาะกับสภาพ
เส้นทาง และการขับขี่ในช่วงเวลานั้นๆมากที่สุด

2. เปลี่ยนเกียร์ตาม “พฤติกรรมผู้ขับขี่” (Adaptive Shift Control)
กล่องคอมพิวเตอร์ จะศึกษาพฤติกรรมการขับขี่ แล้วเปลี่ยนเกียร์ไปตามนิสัยคนขับ เช่น ถ้าเป็นคน
ชอบเหยียบคันเร่งจมมิด เรียกอัตราเร่งแซงตลอดเวลา กล่องคอมพิวเตอร์จะสั่งให้เปลี่ยนตำแหน่ง
พูเลย์ บีบถ่าง ในชุดเกียร์ช้าลง ลากรอบเครื่องยนต์ ไปสู่รอบสูงๆ นานขึ้น แต่ถ้าเป้นคุณลุงคุณป้า
ขับช้าๆ สบายๆ ชิลๆ กล่องระบบก็จะสั่งให้เปลี่ยนตำแหน่งพูเลย์ ในชุดเกียร์ เร็วขึ้น เพื่อให้ใช้
รอบเครื่องยนต์ต่ำลง โดยเร็ว กว่าปกติเล็กน้อย

นอกจากนี้ เกียร์ลูกนี้ มีระบบ Idle Neutral Control โดยเป็นชุด Forward Clutch ทำหน้าที่ตัดการส่ง
แรงบิดจากเครื่องยนต์ ไปยังล้อขับเคลื่อนคู่หน้า ขณะเหยียบเบรก ติดไฟแดง แล้วเข้าเกียร์ D ทิ้งไว้ เพื่อช่วย
ลดภาระของ Torque Converter ไม่ให้หนักเกินไป ใช้น้ำมันเกียร์ CVTF-J4 มีอัตราทดเกียร์ดังต่อไปนี้

เกียร์สูงสุด…………………….4.007
เกียร์ต่ำสุด…………………….0.550
เกียร์ถอยหลัง…………………3.771
อัตราทดเฟืองท้าย…………….3.757

มาถึงตอนนี้ ถ้าอยากรู้ว่า ตัวเลขสมรรถนะของ Mirage เป็นอย่างไร เราได้ทดลองจับเวลากันในตอน
กลางคืน เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า นั่ง 2 คน มีผม เป็นผู้ขับขี่ และน้องกล้วย BnN แห่งThe Coup Channel
มาช่วยจับเวลาให้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ที่จับเวลาด้วยวิธีและมาตรฐานเดียวกัน “ทั้งหมด
ทุกคัน” มีดังต่อไปนี้

เป็นไงครับ เห็นตัวเลขแล้ว อ้าปากค้างกันไปบ้างไหมครับ?

ใครจะไปเชื่อละ ว่า Mitsubishi นอกจากจะทำเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร VG-Turbo ให้ Pajero Sport
กับ Triton PLUS แรงที่สุดในบรรดารถกระบะ และ SUV พื้นฐานรถกระบะ ของเมืองไทยแล้ว ยังทำ
เครื่องยนต์ 3 สูบ 1.2 ลิตร ให้แรงที่สุดในตลาด เช่นเดียวกัน ทั้งที่มีตัวเลขแรงม้า น้อยที่สุดในตาราง!

มันตลกมาก เหลือเชื่อมาก แต่มันก็เป็นความจริง ที่ทุกคน ไม่ว่าใครก็เถียงไม่ออกครับ ตัวเลขจากนาฬิกา
จับเวลา มันฟ้องออกมาชัดเจนขนาดนี้ ตัวเลขออกมาดีกว่า Swift ใหม่ ตามคาดหมาย ทั้งที่ Swift มีกำลัง
แรงม้า มากที่สุดในกลุ่ม คือ 91 ตัว (PS) แถมยังดีกว่า Brio CVT ซึ่งมีแรงม้า 90 ตัว (PS) และแน่นอนว่า
ดีกว่า March CVT ชนิดไม่ต้องสืบ

ยิ่งถ้าเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา คุณจะยิ่งถึงขั้นประหลาดใจ ว่าตัวเลขที่ออกมานั้น มันดีจนรถยนต์นั่งระดับ Compact
C-Segment ด้วยกัน ยังต้องหันขวับกลับมามองกันเป็นทิวแถว ไม่ต้องอื่นไกลหรอก แค่ พี่ชายร่วมค่ายอย่าง
Mitsubishi Lancer EX 1.8 ลิตร เพียงรุ่นเดียว เจ้า Mirage เกียร์ธรรมดา คันกระเปี๊ยก ก็ทำตัวเลขได้
พุ่งพรวด แซงหน้ากัน ตั้งแต่ออกตัวเลยทีเดียว! ตัวเลขนี้ ยังทาบรัศมี Mazda 3 เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ได้ด้วย!

แถมด้วยเหตุที่ผมกับกล้วย ไม่เชื่อว่า Mirage CVT จะทำตัวเลขนี้ได้จริง เราเลยลองจับเวลาช่วง 0 – 100
กิโลเมตร/ชั่วโมง กันขำๆ อีกสักครั้ง ก่อนเสร็จสิ้นการทดลอง ผลปรากฎว่า มีตัวเลข 13.90 วินาที ปรากฎขึ้น
ในนาฬิกาจับเวลาของเรา!! และนั่นเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในบรรดารถยนต์กลุ่ม ECO Car แบบ Hatchback
5 ประตู 1.2 ลิตร ทุกคัน

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น เหมือนเช่นเคยที่จะต้อง ขอเตือนคุณผู้อ่านกันไว้นะครับว่า อย่าไปทดลอง
ทำกันเองเด็ดขาด เราไม่สนับสนุนให้ทำการทดลองความเร็วสูงสุดกันเอง เพราะอาจเกิดอันตราย
ต่อตัวคุณเอง และเพื่อนผู้ร่วมเส้นทางได้ ผมได้ทดลองมาให้คุณเรียบร้อยแล้ว และใช้เวลาไม่นาน
คือ ไม่แช่ ทันทีที่เข็ทความเร็ว ถึงจุดนิ่งสนิท ผมจะเหยียบค้างไว้แค่ 5 – 10 วินาที จนมั่นใจว่า
เข็มความเร็วไม่กระดิกอีกต่อไปแล้ว จึงรีบถอนเท้าจากคันเร่ง ลดความเร็วลงมาเหลือระดับเดินทาง
ตามกฎหมายกำหนดทันที คือ 110 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้ง 2 รุ่น เร็วสุด ก็ได้แค่นี้ละครับ

บอกได้เลยครับว่า หวาดเสียว และ หวิว ตามคาด แม้ว่าในวันที่ผมทดลองนั้น กระแสลมจะนิ่ง สงบ
ก็ตาม ส่วหนึ่งเป็นเพราะพื้นถนนที่เราใช้ทำการทดลองนั้น มีบางช่วงเป็นลอนคลื่น ห่างๆกัน และ
ต้องใช้สมาธิอย่างมาก มในการบังคับพวงมาลัยให้นิ่ง สำหรับรถยนต์ขนาดเล็กแบบนี้ น้ำหนักที่เบา
แม้จะช่วยให้รถพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่การออกแบบให้มีแรงกดของลมที่ด้านหน้ารถ หรือ
Down Foerce อย่างเหมาะสม จะช่วยให้รถสามารถทรงตัวในช่วงความเร็วสูงได้นิ่ง และไว้ใจได้
มากกว่านี้….

เพียงแต่ ต้องเสริมไว้นิดนึงว่า ในวันที่ผม กับ ผู้การ แพน Commander CHENG ของเรา ถ่ายทำคลิป
ผมอยากจะ Re-Check ตัวเลขกันอีกาสักครั้ง เพราะยังคาใจ ว่าจริงๆแล้ว Mirage เกียร์ธรรมดาน่าจะ
ไต่ไปได้มากกว่านั้นอีกนิดหน่อย เราจึงทำการทดลองอีกครั้ง โดยไม่ได้บันทึกภาพใดๆไว้ และผล
ก็ออกมาว่า ความเร็วสูงสุดของ รุ่นเกียร์ธรรมดา ตามมาตรวัด จะอยู่ที่ 182 กิโลเมตร/ชั่วโมง และไป
สุดที่เกียร์ 5 คือ พอถึง 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่เกียร์ 4 แล้ว ความเร็วไม่ไหลต่อเนื่องไปกว่านี้ ผมจึง
เข้าเกียร์ 5 แล้วจากนั้น ปาฏิหารย์ก็บังเกิด รถก็ไหลเร็วขึ้นไปอีกนิดหน่อย ได้ตัวเลขมาอย่างที่เห็น
เป็นอันต้องถอนเท้าจากคันเร่ง เพราะกลัวตาย

ในการใช้งานจริง หากเป็นรุ่นเกียร์ CVT อัตราเร่ง ในจังหวะออกตัว คุณอาจจะรู้สึกว่ามันน่าจะอืด
แต่จริงๆแล้ว มันพุ่งออกไปอย่างต่อเนื่องมากกว่า ทั้ง March Brio และ Swift  ต่อให้คุณจะต้องเร่ง
ความเร็ว เพื่อแซงรถบรรทุกสิบล้อข้างหน้า Mirage CVT ก็จะใช้เวลาน้อยกว่า คู่แข่งทั้ง 3 คันอย่าง
ไม่ต้องสงสัยอื่นใดนอกจากนี้ เพียงแต่ว่า ถ้าคุณเหยียบครึ่งคันเร่ง สมองกลของเกียร์ ก็อาจจะช่วย
ให้คุณเรียกอัตราเร่งมาได้ในระดับเท่าที่สมองกลมันคิดว่า คุณน่าจะต้องการแค่เท่าที่เหยียบคันเร่ง

แต่ถ้าหากเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดาละก็ หากคุณเจอใครมาขับรถจี้ตูดอยู่ข้างหลัง บนทางด่วน ในสภาพ
การจราจรที่พอให้รถเคลื่อนตัวไปได้ ระดับ 80 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณไม่ต้องทำอะไรมากไป
เกินกว่า ค้างตำแหน่งไว้ที่เกียร์ 5 แล้วเหยียบคันเร่งจมมิด รอให้รอบเครื่องยนต์ ค่อยๆไต่ขึ้นไป
จนถึง 3,000 รอบ/นาที คุณจะเริ่มพบว่า รถจะเริ่มพุ่งไปข้างหนา อย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะ
เหี่ยวหดในช่วงปลายเอาง่ายๆ จนกว่าจะถึง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง หลังจากนั้น การไต่ขึ้นไปถึง
ระดับ 150 160 และ 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะเริ่มช้าลง ยิ่งความเร็วเพิ่มขึ้น ก็จะยิ่งเพิ่มช้า แต่ถือว่า
เร็วกว่า ECO Car แทบจะทุกคันในตลาด ยกเว้น Swift CVT ถือได้ว่า อัตราเร่ง มีชีวิตชีวามาก และ
เสียงเครื่องยนต์ในช่วงรอบกลาๆง ถึงรอบปลายๆ ก็ยังเสนาะหู แม้ว่าในช่วงรอบเดินเบา เสียง
เครื่องยนต์จะครางกระเส่า ฟังน่าเกลียด เหมือนผีซอมบี้ กำลังเรอ และหาวนอน พร้อมๆกัน ก็ตาม

รุ่นเกียร์ธรรมดา แม้ว่าระยะเข้าเกียร์จะกระชับ แต่ Shift Feeling ยังไม่ดีพอ การเข้าเกียร์ ถอยหลัง
จะเข้ายาก แม้ว่าจะจอดอยู่ในปากซอยหน้าบ้าน ถ้าเข้าเกียร์ 1 ให้รถขยับขึ้นนิดเดียว พอเข้าเกียร์
ถอยหลังปุ๊บ แม้ว่าจะเหยียบคลัชต์จมมิดติดพื้นรถ ก็จะได้ยินเสียงเฟืองมันชอบครูดกัน ไม่รู้ว่า
เป็นอะไร ดีแต่ว่า คันที่ผมยืมมาขับใช้งานที่บ้าน เป็นรถทดลองประกอบ ล็อตแรกๆ ได้แต่หวังว่า
รถคันขายจริง ไม่น่าจะมีอาการแบบนี้หลงเหลืออยู่นะครับ

ส่วนแป้นคลัชต์นั้น ประเด็นนี้ ผมขอ แก้ไขความเข้าใจผิดของผมเอง ในรีวิว First Impression
นะครับ ตอนแรกเขียนไปว่า ระยะแป้นคลัชต์ สั้น และ การจับตัว ยาว แต่ความจริงแล้ว ระยะของ
แป้นเหยียบ อยู่ในระดับที่เหมาะสมดีแล้ว แต่สิ่งที่ควรปรับปรุงก็คือ ระยะ Friction Point หรือจุด
ตัดต่อกำลัง ที่ยังไม่ลงตัว ยาวเกินไป กว่าที่ คลัชต์ จะจับตัวกับเฟืองท้าย Flywheel ก็ต้องถอนเท้า
ออกจากแป้นคลัชต์กันจนเกือบจะสุด รถจึงจะเริ่มเคลื่อนตัว 

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณกำลังใช้ความเร็วในช่วง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนทางด่วน จู่ๆ มีรถซิ่ง
มาขับปาดหน้า แถมด้วยการทำสันดานยียวนกวนบาทาคุณแล้วละก็ จริงอยู่ว่า การอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้
พวกคนเกรียนๆ เหล่านี้ ไปหาที่ตายเอาดาบหน้า คือสิ่งที่คุณควรจะทำเป็นที่สุด

แต่ถ้าคุณเกิดอดทนไม่ไหว และคิดจะพุ่งทะยาน หนีไปให้พ้น โดยอาศัยจังหวะ และช่องว่าง
ในการ มุดๆบนทางด่วนแล้วละก็ คุณอาจจำเป็นต้องสับเกียร์ 4 หรือบางครั้งอาจต้องถึงเกียร์ 3
ลงมา เพื่อเรียกอัตราเร่ง ซึ่งมันมารออยู่ที่เท้าคุณ เร็วกว่าที่คุณจะคาดหวังจากรถระดับ ECO Car
แต่ถ้าเป็นเกียร์ CVT ละก็ การเหยียบคันเร่ง อาจไม่พอ คุณอาจต้องลากลงมาที่ตำแหน่ง L ซึ่ง
อันที่จริง ก็ไม่ควรทำบ่อยๆ เพราะต้องไม่ลืมว่า เกียร์ CVT ชอบให้คุณ ปรนนิบัติกับมันอย่าง
ละมุนละไมละม่อม เหมือนเอาแป้งเท้ายายม่อมละเลงลงไปบนชุดเกียร์

เรื่องที่ผมเองไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็เป็นไปแล้ว นั่นคือ Mirage  เครื่องยนต์ 3 สูบ 1.2 ลิตร พร้อม
เกียร์ CVT นี่แหละ พาผมไล่ตาม รถ แวเรียนท์ สีน้ำเงิน คาด Strip บนตัวถัง ลาย 2 เส้นสีขาว
ซึ่งน่าจะแต่งซิ่งและวางเครื่องยนต์ใหม่มา บนทางด่วนยามดึก ตี 1 กว่าๆ หลังจากที่แวเรียนท์คันนั้น
โดน Honda Prelude สีเขียว แต่งซิ่ง ไล่ตามจิกกันแบบไม่เกรงอันตรายเท่าไหร่  

พอถึงโค้งโรงแรม เมอเคียว Prelude คันนั้น พยายามจะตาม แวเรียนท์ แต่ผมก็รำคาญคู่นี้เต็มทน
ตัดสินใจ ฉีกตัวออกเลนขวาสุด (ดูกระจกหลังแล้วว่า รถโล่งสนิท) เหยียบคันเร่งจมมิด เพื่อหวังจะ
แซง ทั้งคู่ แต่พอจะแซงขึ้นไป แวเรียนท์ ก็เบนหัวรถมาอยู่ในเลนขวา ข้างหน้าผม จะแซงก็แซง
ไม่ได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ไล่ตาม แบบเว้นระยะห่างไว้สักหน่อย กันดีกว่าได้ชนิดที่ ไม่ได้หนีห่าง
กันมากมายอย่างที่คิด เพียงแต่ คุณอาจต้อง ลากเกียร์ลงมาเป็น L เพื่อเร่งให้เครื่องยนต์ ลากขึ้นไป
ถึง  5,500 – 6,000 รอบ/นาที ให้พร้อมสำหรับการไล่ตาม สักนิดหน่อย พอเริ่มอยู่ตัว ก็ผลักคันเกียร์
กลับเข้ามายังตำแหน่ง D แล้วก็ใช้สมาธิ พารถพุ่งตาม แวเรียนท์ คันสีน้ำเงินไปเรื่อยๆ กดดันให้
เขาต้องหนี พอสนุก ในช่วงสั้นๆ ด้วยความเร็ว 140 – 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนกระทั่ง มองไปยัง
กระจกหลัง Prelude ตัดสินใจ เลิกไล่ตาม ไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ ผมเลยคิดว่า แค่นี้พอดีกว่า
ถอนเท้าขวาจากคันเร่ง เพราะขี้เกียจไล่ตาม กลับลงมาอยู่ในความเร็ว 100 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ตามเดิม ปล่อยให้ แวเรียนท์ คันนั้น เลี้ยวขวา มุดหนีหายไปทางฝั่งพระราม 3 สบายๆ

ออกจะบ้าระห่ำไปหน่อย และไม่ควรเอาไปทดลองทำกัน หรือเลียนแบบเด็ดขาดนะครับ แต่ก็
ทำให้ผมได้รู้ในสมรรถนะของ Mirage ว่า เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ของ Mitsubishi นั้น มันไม่ใด้
กระจอกงอกง่อย ไก่กาอาราเร่แต่อย่างใด!

ทีนี้ก็เหลือเพียงแต่ว่า ใจของคุณ จะกล้าพอไหม กับการพารถไปถึง Limit สูงสุด เท่าที่ช่วงล่าง
จะยังคงประคับประคองให้รถ ทรงตัวไปตามพื้นผิวทางด่วนที่ไมได้ราบเรียบ เหมือนอย่างบน
ทางด่วนในบ้านอื่นเมืองอื่นเขาได้อย่าง ยากลำบาก (หากไม่ยอมเปลี่ยนช็อกอัพทั้ง 4 ต้น)

เพราะ อัตราเร่งแซง ไม่ใช่เรื่องน่าห่วงสำหรับ Mirage หรือ ECO Car รุ่นใหม่ๆ คันไหนๆ แต่
สิ่งที่ผมคิดว่ายังควรจะต้องปรับปรุงกันต่อไป เห็นจะได้แก่ เรื่องการเก็บเสียง ระบบบังคับเลี้ยว
และระบบกันสะเทือน

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า รัศมีวงเลี้ยวที่ล้ออยู่ที่ 4.4
เมตร (แต่ถ้าวัดที่มุมตัวถังรถแล้ว จะอยู่ที่ 4.7 เมตร) จุดที่ทำให้ Mirage แตกต่างจากทั้ง March
และ Brio นั่นคือ พวงมาลัยจะหนืดขึ้นไปตามความเร็วของรถ นั่นทำให้การบังคับเลี้ยว ในช่วง
ความเร็วต่ำ ขณะหาที่จอด หรือคลานไปตามสภาพการจราจรอันแสนน่าเบื่อหน่ายของ กรุงเทพฯ
เป็นไปด้วยความง่ายดาย คล่องแคล่ว คิดจะเลี้ยว หรือแทรกตัว ก็ทำได้อย่างไม่มีติดขัดเคอะเขิน
วงเลี้ยวแคบได้อย่างน่าอัศจรรย์กันเลยทีเดียว แม้ในทางเลี้ยวกลับ บังคับแคบๆ ช่วงที่เราลองขับกัน
ในสนาม Bira เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คนที่กลัวพื้นที่แคบๆ อย่าง Commander CHENG ก็ยัง
สามารถเลี้ยวกลับรถได้ครั้งเดียวจบ โดยไม่ชนกรวยไพลอนล้มเลยแม้แต่อันเดียว

ในช่วงความเร็วสูง พวงมาลัยของ Mirage จะหยืดขึ้นจนสัมผัสได้ชัดเจน และนั่นช่วยเพิ่มความ
มั่นใจในการควบคุมรถที่ความเร็วระดับ 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นมาได้อีกพอสมควรเลยทีเดียว
มีระยะฟรีไม่ถึงกับมากนัก และเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า ที่ยังพอ จะมีอาการใกล้เคียงกับพวงมาลัยที่ใช้
ระบบผ่อนแรง ด้วยไฮโดรลิก ปกติ อยู่บ้าง ถึงจะไม่มากนัก ความแม่นยำและความไวในการเลี้ยว
ตามคำสั่งผู้ขับขี่ได้ดีในระดับ ใช้ได้

อย่างไรก็ตาม Mirage จะเป็นรถที่ให้ความสบาย และไม่เครียดในการขับขี่ ได้จนถึงความเร็วระดับ
120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่านั้น บนทางด่วน มอเตอร์เวย์ หรือ ทางยกระดับในวันที่มีกระแสลมปะทะ
ด้านข้าง สงบๆ เพราะถ้ามีกระแสลมด้านข้างปะทะ ตัวรถจะเริ่มออกอาการวูบวาบไปมา ตามด้วย
อาการ ที่มักพบได้ในรถยนต์ซึ่งใช้ระบบ พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า คือ ดิ้นซ้ายนิด ขวาหน่อย
ไปตามสภาพพื้นผิวถนนซึ่งเป็นลอนคลื่น เรียกได้ว่า On-Center feeling ที่นิ่งใช้ได้ดีในช่วงลมสงบ
จะเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อกระแสลมแรงขึ้น ทั้งสองปัจจัย จะทำให้ยากต่อการควบคุมรถ และต้องเริ่ม
ชะลอความเร็วลงมาอยู่ในระดับไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งมันก็เป็นอาการเดียวกับที่คุณจะ
พบได้ในทั้ง March Almera และ Brio (ส่วนใน Swift ก็มีอาการนี้เช่นเดียวกัน แต่น้อยกว่าชัดเจน)

เพียงแต่ว่า ในกรณีของ Mirage นั้น ไม่ต้องให้มีกระแสลมมาปะทะด้านข้างหรอกครับ แค่คุณใช้
ความเร็วเกินกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป คุณก็จะเริ่มพบว่า ช่วงล่าง ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะ
ร่วมสนุกไปกับคุณเท่าไหร่แล้วละ

ทำไมเป็นเช่นนั้น?

มันมีอยู่ 2 ปัจจัย ครับ

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบคานบิดทอร์ชันบีม ไม่มีเหล็กกันโคลง
มาให้ คือประเด็นแรก ที่เราควรดูกัน เพื่อแก้ปัญหานี้

แม้ว่าผมกับตาแพน Commander CHENG ค้นพบกันระหว่างลองขับหลายๆรอบ บนสนามพีระฯ ก็คือ
มันเป็นรถที่พร้อมจะเล่นสนุกไปกับคุณ มาโดยกำเนิด ยิ่งโดยเฉพาะบนสนามทางเรียบด้วยแล้ว Mirage
จะมีบุคลิกการเข้าโค้ง ที่ดีกว่า ทั้ง March และ Brio กล่าวคือ ถ้าคุณเริ่มเห็นแล้วว่ากำลังจะหลุดจากโค้ง
ก็แค่เติมพวงมาลัยหักเลี้ยวเพิ่มขึ้นเข้าไปนิดเดียว รถก็จะพาคุณจิกเข้าโค้งได้อย่างสบายๆ แนบเนียน
ไม่ยากเลย

เหมือนอย่างที่ตาแพน ให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า

“”ถ้าอยู่ในโค้ง อาการของ Mirage จะบอกว่า “มึงแน่ใจนะว่า มึงจะเล่น ถ้ามึงเอา กูก็เอาด้วย”
ถ้าเป็น Brio อาการของรถจะบอกว่า ” ลุยแหลกเว้ยยย” แต่พอจวนตัว กูก็ทิ้งมึงเลยนะ
ถ้าเป็น March อาการของรถจะบอกว่า “อย่าเลย เธอ อย่า อย่า โอ้ว อ้า อู้ววววว” (ก่อนที่จะ
ทะแล็ด แพร่ด แพร่ด แพร่ด แพร่ด เพราะอาการเลี้ยวแล้วไม่ค่อยจะยอมเข้าโค้ง)

แต่ตอนนี้ เรากำลังอยู่บนถนนสาธารณะกันจริงๆ ขับขี่ใช้งานกันจริงๆ จนทำให้เราค้นพบจุดด้อย
ของ Mirage อีกจุดหนึ่ง เพราะมีการเซ็ตช็อกอัพ และสปริงมาให้ “นิ่ม และเน้นความสบายเพื่อ
การขับขี่ในเมือง” มากไปหน่อย คือสิ่งที่ทำให้ Mirage มีการทรงตัวที่พอรับได้ ในช่วงที่ใช้
ความเร็วเดินทาง ทั่วไป แต่จะเริ่มน่าหวั่นใจถ้าเร็วขึ้นกว่าปกติ

การขับขี่ไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ จะมีความตึงตังเล็กๆ พอเป็นพิธี แต่สัมผัสได้ว่าช็อกอัพยุบตัว
พอสมควร เวลาขับผ่านเนินลูกระนาดต่างๆ ขึ้นอยู่กับขนาด และความแข็ง ของแนวสันลูกระนาด
เหล่านั้น  การขับผ่านหลุมบ่อต่างๆ ก็พอมีอาการตึงตังให้เห็นอยู่ ไม่ได้ถึงกับนุ่มนัก แต่ถือว่าช่วย
ดูดซับแรงสะเทือนไว้ได้ในระดับหนึ่ง ยังไม่ถึงกับดีเด่นนัก

พอขึ้นทางด่วน การขับขี่ในย่านความเร็วสูงตั้งแต่ 100 – 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะพบว่า ในช่วงไม่เกิน
120 กิโลเมตร/ชั่วโมง การทำงานของช่วงล่าง ถือว่าทรงตัวดีใช้การได้ สำหรับรถเล็กๆ ระดับ ECO Car

แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณขับเกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป หรือในวันที่มีแม้เพียงกระแสลมไหลอ่อนๆ
พอให้โชยมานิดๆ คุณจะเริ่มสัมผัสได้ ถึงอาการวูบวาบ ซ้ายๆ ขวาๆ ของตัวรถ ได้ชัดเจนขึ่น คุณจะ
พบว่า ช็อกอัพ กับสปริง เริ่มแสดงความนิ่มนวล และเริ่มย้วย ออกมาให้เห็น ในช่วงนั้น การขับขี่บน
ทางด่วน ขั้นที่ 2 มุ่งหน้าจากยมราช เข้าสู่ ถนนพระราม 3 คุณแทบจะสัมผัสกับผิวถนนที่เป็นลอน
คลื่นแบบห่างๆ ได้ชัดเจนมากๆ และมันก็ส่งอาการขึ้นมาให้รถไม่อาจรักษาความนิ่งอย่างที่เคยเป็น
ในช่วงต่ำกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงไว้ได้ กระแสลมที่เริ่มปะทะไหลผ่าตัวรถ เริ่มส่งผลกับการทรงตัว
ของรถชัดเจนขึ้น แม้ว่า พวงมาลัยจะหนืดขึ้นช่วยให้ผู้ขับขี่ยังพอจะเชื่อมั่นในตัวรถอยู่ แต่การเอียงตัว
ในช่วงทางโค้งยาวๆ ต่อเนื่อง ก็ชวนให้หวาดเสียวได้เหมือนกัน

ยิ่งถ้าสภาพอากาศในช่วงนั้น เริ่มมีกระแสลมพัดมาทางด้านข้าง มากขึ้นแค่ไหน รถจะเริ่มวูบวาบ
ไป-มา มากขึ้นเท่านั้น ใช่ว่า Nissan March Honda Brio กับ Suzuki Swift จะไม่เจอปัญหา
ดังกล่าวเพราะคู่แข่งทุกคัน ก็ล้วนเจอเรื่องนี้เช่นกัน แต่อาการวูบวาบไปตามกระแสลมของ Mirage นั้น
ถือว่าพอกันกับ Nissan March เลย ซึ่งผมถือว่า นั่นไม่น่าจะใช่เรื่องดีนัก

สรุปกันอย่างตรงไปตรงมาคือ ช่วงล่างแบบเดิมๆ ของ Mirage ใช้งานได้ดีสมตัว ในช่วงความเร็ว
ต่ำกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าเร็วกว่านั้น ช่วงล่างจะเริ่มออกอาการยวบยาบมาให้พบมากขึ้น

นอกจากนี้ การจัดการด้าน Aero Dynamic นั้น คืออีกปัจจัยหนึ่ง ที่มีผลต่อการทรงตัวของ Mirage

จริงอยู่ว่า  การออกแบบ จำเป็นต้องเน้นความลู่ลมให้ได้มากที่สุด เพื่อผลทางด้านความประหยัดน้ำมัน
มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในทางตรงกันข้าม รถยนต์ที่ถูกออกแบบให้เน้นความลู่ลม หลายๆรุ่น มักมีปัญหา
เรื่อง Down Force หรือ แรงกดที่จะช่วยให้รถต้านกระแสลมที่ไหลผ่านไว้ในระดับหนึ่ง ไม่เพียงพอ
ทำให้กระแสลมที่ไหลผ่านใต้ท้องรถด้านหน้า ก่อให้เกิดแรงยกด้านหน้าให้ลอยขึ้นจากขณะจอดนิ่ง
เล็กน้อย แต่นั่นก็มากพอจะทำให้ผู้ขับขี่ รับรู้ได้ถึงอาการหน้าลอย ของรถ ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนสุดใน
ประเด็นนี้ ก็คือ Mercedes-Benz E-Class Coupe ที่เราเคยทำรีวิวกันไปแล้วไงครับ

ถ้าวิศวกรชาวญี่ปุ่นคนไหนจะเถียงมาบอกว่า เราออกแบบรถรุ่นนี้ ให้ใช้งานได้ดีในความเร็วระดับ
ไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมก็คงต้องถามกันตรงๆว่า ปกติ เวลานั่งรถจากสำนักงานใหญ่ที่ทุ่ง
รังสิต ไปยังโรงงานแหลมฉบังเนี่ย ใช้ทางหลวง บางนา-บางปะอิน ไปมอเตอร์เวย์ กันเป็นประจำ
ใช่ไหม? ถึงได้ไม่ค่อยเห็นเลยว่า ยังมีคนบ้าความเร็วบางพวก ใช้ทางยกระดับบูรพาวิถี และทาง
ยกระดับโทลเวลย์ ดอนเมือง พุ่งเข้า – ออกจากเมือง ด้วยความเร็วบ้าระห่ำ เต็มไปหมด? แน่นอน
ว่าพวกเขาต้องการรถเล็ก ที่นิ่งเท่าที่เป็นไปได้ อย่างน้อยรถมันควรจะนิ่งกว่านี้อีกสักหน่อยก็ยังดี

หรือไม่เช่นนั้น ก็คงต้องถามเลยว่า เคยนั่งรถไปดูสภาพการขับขี่ของลูกค้าในต่างจังหวัดกันบ้างไหม?
เคยเห็น Nissan March คันกระเปี๊ยก ไล่แซงรถพ่วงเทรลเลอร์ ด้วยความเร็วท้านรก 140 -150 
กิโลเมตร/ชั่วโมง กันบ้างไหม?

แสดงว่ายังไม่เคยเห็นละสิ เลยเซ็ตช่วงล่างมาแบบเนี้ย?

แล้วเราจะแก้ปัญหานี้กันอย่างไรดีละ? สำหรับ Mitsubishi Motors แล้ว ถ้าจะจัดการให้เรื่องนี้จบ
ไปเลย ขอแนะนำให้ปรับปรุงช็อกอัพ กับสปริงใหม่ คือ ควรจะมีออพชันของช่วงล่าง สั่งพิเศษ สำหรับ
ลูกค้าที่อยากได้ความหนึบแน่น มั่นใจยิ่งขึ้น หรือโดยเฉพาะลูกค้าที่อยากนำรถไปปรับแต่งสมรรถนะ

นอกจากนี้ ลูกค้าที่อยากขับเร็ว ควรเปลี่ยนยางและล้ออัลลอยใหม่ ถ้างบไม่เยอะนัก เอาสัก 15 นิ้ว
ก็พอ เพราะหายางเปลี่ยนได้ง่าย ต้นทุนถูก แต่การเกาะถนนจะดีกว่ากันชัดเจนมาก ถ้าหากมีงบเพียง
พอ จะจัดล้ออัลลอย 16 – 17 นิ้วมาใช้ ก็ย่อมได้ ถ้ามั่นใจว่า ไม่ติดซุ้มล้อซะอย่าง

อีกทางแก้หนึ่งที่น่าจะพอช่วยได้บ้าง คือการมองหา ลิ้นสปอยเลอร์ด้านหน้า ที่ทำขึ้นเพื่อ Mirage
โดยเฉพาะ มาติดตั้งเพิมเติมเข้าไป ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มแรงกด Down Force ให้กับด้านหน้าของรถ
ได้เพิ่มขึ้นอีกนิดนึง

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ ดิสก์เบรก คู่หน้า แบบมีรูระบายความร้อน ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ ดรัมเบรก
อันเป็นรูปแบบมาตรฐานของรถยนต์ขนาดเล็กทั่วๆไป แต่มีการติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก
กระทันหัน ABS (Anti-Lock Braking System) และระบบกระจายแรงเบรกให้สมดุลกับน้ำหนัก
บรรทุก EBD (Electronics Brake-Force Distribution) มาให้ “ครบทุกรุ่นจากโรงงาน 
ยกเว้นรุ่นถูกสุด 1.2 GL เกียร์ธรรมดา” น้ำมันเบรก ใช้เกรด DOT 3 หรือ DOT 4

การตอบสนองของแป้นเบรกนั้น ทำได้ดีมาก ต้งการให้รถชะลอแค่ไหน ก็เหยียบลงไปเพียงแค่นั้น ใน
ภาวะการขับขี่ปกติ แป้นเบรกมีน้ำหนักค่อนข้างดีสมกับขนาดของตัวรถ ให้สัมผัสที่แน่นและแม่นยำ
ใช้การได้ จะค่อยๆเลียเบรกให้รถชะลอจนหยุดนิ่ง ณ สี่แยกไฟแดง หรือจะเหยียบเบรกเพื่อไม่ให้ชน
รถคันที่แล่นตัดหน้าออกมาจากตรอก ซอก ซอย ทำได้ดี เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนักของตัวรถ แต่ว่า
อาจต้องเหยียบลงไปประมาณ ครึ่งหนึ่งถึงจะเริ่มพบว่า ระบบห้ามล้อกำลังทำงานของมันอยู่นะ

ขณะที่การหน่วงความเร็วสูงๆ ลงมาจนถึงเกือบหยุดนิ่งนั้น รถคันที่ผมลองขับมาแล้ว มีทั้งรถใหม่ป้ายแดง
ที่ยังไม่เคยผ่านมือชายใดมาลิ้มลอง ไปจนถึง รถทดลองประกอบที่ผ่านมือผ่านตีน มาหลายต่อหลายคนแล้ว
Mirage ยังคงทำผลงานในโจทย์ข้อนี้ได้ดีไม่แพ้คู่แข่งในตลาดทุกคัน เพียงแต่ ต้องเข้าใจว่า มันเป็นความดี
ในระดับที่สมเหตุสมผล กับราคาของรถ ไม่ใช่ดีเลิศ เป็นเทพขั้นเซียน ขนาดไปเทียบกับชุดจานเบรกพร้อม
คาลิเปอร์ 6 POT จาก Brembo อันนั้น ก็ดูจะโอเวอร์ไปหน่อย

ส่วนการเก็บเสียงในห้องโดยสารนั้น ทำได้แค่ในระดับ สมตัว สมราคา คือเงียบใช้การได้ ในช่วง
ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าเร็วกว่านั้น ขึ้นไป บอกได้เลยว่า เสียงเครื่องยนต์
และเสียงของกระแสลมที่ไหลผ่านตัวรถนั้น ค่อนข้างดังเอาเรื่อง เลยแหละ!

ถ้าลองเปิดฝากระโปรงหน้า จะพบว่า แผ่นวัสดุซับเสียง ที่ควรจะปิดทึบบริเวณผนังกั้นระหว่าง
ห้องเครื่องยนต์และแผงหน้าปัด อันเป็นจุดที่จะทำให้เสียงเครื่องยนต์ เล็ดรอดเข้าห้องโดยสาร
ได้มากที่สุดนั้น กลับปิดแผ่นซับเสียงมาให้ ไม่เต็มพื้นที่ ยังปล่อยเปลือยเอาไว้บ้างในบางจุด ซึ่ง
ขณะเดียวกัน เสียงจากบริเวณซุ้มล้อคู่หลัง ดังขึ้นมาถึงผู้โดยสารด้านหลังค่อนข้างมาก ไม่แพ้
Brio และ March เลย ควรแก้ไขปรับปรุงในจุดนี้ด้วย ในล็อตที่ประกอบขายลูกค้าจริงๆ นะครับ

จุดขายสำคัญของ Mirage อยู่ที่การออกแบบโครงสร้างตัวถัง ให้เบา และต้องปลอดภัย ไปพร้อมกัน
มันไม่ใช่งานง่ายๆ แต่ ทีมวิศวกรญี่ปุ่น ก็ทำได้ ด้วยการออกแบบโครงสร้างตัวถังภายใต้แนวทาง
RISE (Reinforced Impact Safety Evolution Body) โดยใช้เหล็กเกรดเบา และทนทานพิเศษ อย่าง
High Tensile Steel ที่เริ่มนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในระยะ 2 – 3 ปีมานี้ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

โดยชิ้นส่วนตัวถังบริเวณ พื้นรถ ทั้งส่วนล่างของกรอบประตู 4 บาน ทั้ง 2 ฝั่ง รวมทั้งจุดยึดเบาะนั่ง
คู่หน้า จะใช้เหล็กที่มีความแข็งแรงสูง ทนแรงอัดกระแทกได้ถึง 980 MPa (เมกกะปาสคาล) ซึ่งเป็น
เกรดสูงสุดของเหล็กรีดร้อนที่นำมาใช้กับรถยนต์ในระยะนี้ และเป็นรถยนต์ ECO Car เพียงรุ่นเดียว
ในเมืองไทย ที่ใช้เหล็กเกรดนี้ กับรถยนต์ที่ผลิตและขายในบ้านเรา

ส่วนโครงสร้างที่ซ่อนอยู่หลังเปลือกนอกของชุดกรอบประตูทั้ง 4 บาน และคาน Cross Member บริเวณ
จุดยึดแท่นเครื่อง ทั้ง 2 ท่อนใหญ่ ใช้เหล็กที่ทนแรงอัดกระแทกระดับ 590 MPa อันเป็นเหล็กในระดับ
มาตรฐานของรถยนต์ยุคใหม่ในตอนนี้ เพราะพื้นที่ของเหล็กเหล่านี้ จะต้องยุบตัวได้อย่างเหมาะสม
คือ ไม่ยุบจนแหลกเหลว แต่ก็ต้องเสียรูปในระดับที่ควบคุมได้ เพื่อส่งกระจายแรงกระแทกไปยังเสา
หลังคาคู่หน้า A-Pillar และ โครงสร้างพื้นตัวถังรูปส้อม ใต้พื้นคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า  ทั้ง 2 ฝั่ง

นอกจากนี้ สำหรับการชนในความเร็วต่ำ ทีมวิศวกรได้ออกแบบให้มี ชิ้นส่วน ที่เรียกว่า Crush Box
หากดูจากภาพข้างบน ก็คือ คานสี่เหลี่ยม บริเวณหม้อน้ำ พร้อมคานกันชน แบบดูดซุบแรงกระแทก
ที่เชื่อมต่อเข้ากับ เฟรม Cross member ที่เชื่อมต่อกับพื้นตัวถัง นั่นเอง ข้อดีของเฟรมชุดนี้ก็คือ หาก
เกิดการชนในความเร็วต่ำ ไม่ว่าจะชนกับรถด้วยกัน หรือ คน สัตว์ สิ่งของ ชุด Crush Box นี้ สามารถ
ถอดเปลี่ยนและเชื่อมต่อได้อย่างง่ายดาย

ถัดขึ้นไป บริเวณพื้นที่เหล็กสีเขียว จะใช้เหล็กที่ทนแรงอัดกระแทกได้ 440 MPa โดยบริเวณของ
ห้องเครื่องยนต์ จะมีพื้นที่รองรับการชนกับคนเดินถนน Crushable Front Fender และ แผ่นเหล็ก
ด้านบนบริเวณ ผนังกั้นห้องเครื่องยนต์กับห้องโดยสาร  ส่วนแผ่นเหล็กสำหรับเปลือกนอกตัวถัง
ที่หลายคนชอบใช้ มะเหงกเคาะ แบบที่เราเรียกว่า Knock Knock Measurement แล้วพบว่ามันเบา
หรือกลวงนั้น แท้จริงแล้ว ใช้เหล็กแบบ 270 MPa เพื่อหุ้มโครงเหล็กที่แข็งแรงกว่า ไว้ข้างใน แถม
ยังเสริม คานกันกระแทกนิรภัยที่ประตูทั้ง 4 บานมาให้ แบบ 2 ชั้น ต่อบาน

ด้านความปลอดภัย มีการติดตั้ง ถุงลมนิรภัย ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้าฝั่งซ้าย ตามแต่ละ
รุ่นย่อย รวมทั้งเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัตื Pre tensioner เฉพาะฝั่งคนขับ

การออกแบบโครงสร้างต่างๆเหล่านี้ ทำให้ Mirage สามารถผ่านมาตรฐานการทดสอบการชนทั้งแบบ
เต็มหน้า และครึ่งคันหน้า ที่ความเร็ว 55 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปจนถึง การถูกชนด้านข้างด้วยความเร็ว
50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามมาตรฐานของฝั่งญี่ปุ่น ได้สบายๆ

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ค่ำวันอังคารที่ 6 มีนาคม 2012 ก่อนวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Mirage 2 สัปดาห์

ทีมของ Mitsubishi Motors Thailand โทรมาบอกว่า อยากจะทำการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ของ เจ้าเปี๊ยก MIRAGE ใหม่ ในรูปแบบการใช้งานจริง และพวกเขาก็เลือกแล้วว่า “จะทำการทดลอง
โดยยึดตามมาตรฐานของ J!MMY และ Headlightmag.com ของเรา คือเติมน้ำมันเบนซิน 95 เต็มถัง
แบบหยอดและเขย่าจนเต็ม ทั้งขาไป และขากลับ ขึ้นทางด่วน ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง แถม
เปิดแอร์ และ นั่ง 2 คน…

ผมก็เลย อาสา บอกไปว่า รู้เส้นทางหรือเปล่า? ถ้าไม่ ก็จะไปขับนำขบวนให้

ทาง MMTh บอกว่า “แต่ พี่ไม่อาจให้จิมมี่ ลองขับรถรุ่นนี้ได้นะ เพราะนายญี่ปุ่นยังไม่อนุญาต”

ผมก็ตอบว่า “ตกลง ไม่มีปัญหา เพราะผมแค่ อยากรู้ เหมือนกับคุณผู้อ่าน นั่นละครับว่า MIRAGE
จะทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชืิ้อเพลิงได้แค่ไหน? ครั้งนี้ ขอเป็นสักขีพยานอยู่ห่างๆ พอ”

ผมก็เลยขับรถตัวเอง ไปจอดรออยู่ที่ ปั้ม Caltex ถนนพหลโยธิน ฝั่งตรงข้ามปากซอยอารีสัมพันธ์ นั่นละ
รอจน 3 ทุ่ม จึงได้เห็น MIRAGE 2 คัน Brio CVT 1 คัน และ March CVT อีก 1 คัน แล่นเข้ามาในปั้ม

ผมบอก เจ้าโต้ กับเจ้ากอล์ฟ น้องเด็กปั้ม ทั้ง 2 คน ว่า ช่วยเติมและเขย่ารถให้พวกพี่เขาด้วย ส่วนผม ทำได้
แค่เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ จากระยะไกล จากใน Mini Mart ของปั้ม เพราะทาง MMTh เอง ก็ขอร้องเอาไว้ว่า
อย่าเพิ่ง เข้าใกล้รถ เหตุผลก็เพราะ ต้องการจะให้การทดลองครั้งนี้ เป็นการทดลองที่พวกเขาทำกันเอง แต่
ยึดมาตรฐาน ของเว็บเรา เป็นหลัก

น้ำมันที่ใช้ ก็เป็น เบนซิน 95 Techron ไม่ใช่ แก็สโซฮอลล์ เป็นไปตามวิธีที่เราทำ การเติมน้ำมันนั้น ใช้วิธี
เขย่า จนเอ่อขึ้นมาถึงปากคอถัง เหมือนกับที่เว็บเราทำเป๊ะ จากปากคำของ ทั้ง โต้และกอล์ฟ น้องเด็กปั้ม ทั้ง
2 คน ที่ผมฝากให้สังเกตช่วยดูด้วย ตอนเติมน้ำมันและเขย่ารถ แต่การเขย่านั้น ยังอาจจะไม่ละเอียดเป๊ะใน
ระดับที่เราทำการทดลองตามปกติ

ผม ในฐานะ “ผู้สังเกตการณ์ อยู่ห่างๆ” นั่งแทะมันฝรั่งทอด กับน้ำเปล่า รอพวกเขาเติมน้ำมันจนเสร็จ แล้วก็
ขึ้นไปนั่งประจำที่ รถตัวเอง แล้งขับนำขบวน ทั้ง 4 คัน ออกจากปั้ม

ผมขับรถนำขบวน รถทั้ง 4 คัน ออกไป โดย ใช้รถตัวเอง ค่าน้ำมันก็ของตัวเอง ขับก็ขับเอง ถามว่าทำทำไม?
เหมือนจะไปช่วยเขาหรือเปล่า?

เปล่า คำตอบก็คือ ผมดีใจนะ ที่บริษัทรถยนต์ เลือกใช้มาตรฐานการทดลองของเรา ในการทดลองของเขา ดังนั้น
เพื่อคุมรูปแบบการทดลอง ให้เหมือนกับสิ่งที่ผมทำมากที่สุด ผมก็เลยคิดว่า อยากดูการทดลองนี้ ให้เห็นด้วยตา
ของตัวเองไปเลยจะดีกว่า

พาไปขึ้นทางด่วนพระราม 6 ขับไปจนถึงปลายด่านทางด่วน สายเชียงราก ที่บางปะอิน แล้วย้อนกลับมา ลง
ทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วย้อนกลับเข้าไปที่ปั้ม Caltex แห่งเดิม (พงศ์สวัสดิ์บริการ) กลับไปเติม
น้ำมันที่หัวจ่ายเดิม

พอเติมน้ำมันกันเสร็จ ผมบอกเลยว่า ไม่เชื่อ และกลัวว่าพวกเขาจะเติมพลาด เลยตัดสินใจว่า เดินเข้าไปดู
ใกล้ๆ แล้วบอกให้ทางทีมงานของ MMTh เปิดฝาถังให้ผมดู ปรากฎว่า ยังพอจะเติมกรอกได้อีกนิดหน่อย
คันละ ราวๆ 0.5 ลิตร ก็เติมไม่ลงอีกต่อไปแล้ว

หลักฐานเดียวที่ผมเก็บมาได้ (เพราะแน่นอน เขาเองก็ไม่ต้อบงการให้ผมถ่ายรูปการทดลองนี้เก็บไว้
แต่ ก็มีเจ้าหน้าที่ของ MMTh ถ่ายรูปในกล้องของพวกเขาเองเรียบร้อยแล้ว จากที่ผมยืนมองดูอยู่ห่างๆ
จากใน Mini Mart ตั้งแต่แรก) ก็คือ ใบเสร็จรับเงิน / สลิปเติมน้ำมัน ซึ่งทุกวันนี้มันก็ยังคงอยู่บนโต๊ะ
ทำงานของผมนี่แหละ…แต่คงไม่ขอโพสต์ลงมาให้ดู เพราะแค่นี้ คุณก็โหลดรูปจากบทความรีวิวนี้
กันมาเยอะแล้ว (และข้างหลังยังมีอีกหลายรูป ไฟล์ใหญ่ทั้งนั้น)

รายละเอียด ทั้งหมดมีดังนี้

รุ่น เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
ระยะทางบนมาตรวัด  91.9 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 3.60 ลิตร
ผมบอกให้เติมเพิ่มอีก 0.55 ลิตร จนเต็มเอ่อ
รวมแล้ว เติมกลับเข้าไป 4.15 ลิตร
ดังนั้น คำนวนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ได้ 22.16 กิโลเมตร/ลิตร!!!!!

รุ่นเกียร์อัตโนมัติ CVT ตัวท็อป มี Navigation System และสีขาวมุก
ระยะทางบนมาตรวัด  91.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 3.85 ลิตร
ผมบอกให้เติมเพิ่มอีก 0.58 ลิตร จนเต็มเอ่อ
รวมแล้ว เติมกลับเข้าไป 4.43 ลิตร
ดังนั้น คำนวนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ได้ 20.72 กิโลเมตร/ลิตร!!!!!

ถ้ามองจากตัวเลขคร่าวๆ บอกได้เลยว่า ตอนนี้ MIRAGE จะกลายเป็นรถยนต์นั่งประกอบในเมืองไทย
ที่ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ “ประหยัดน้ำมันมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา ตามมาตรฐานของ เว็บเรา คือ
วิ่ง 110 ขึ้นทางด่วน เปิดแอร์ นั่ง 2 คน และเติมน้ำมันเบนซิน 95 “

แสดงว่า ตัวเลข อัตราสิ้นเปลือง 22 กิโลเมตร/ลิตร ตามมาตรฐานของ สหประชาชาติ UNECE
ที่ Mitsubishi ตั้งใจจะเคลมไว้ มันดันทำได้ ในชีวิตจริง ในการขับขี่ทางไกลจริงๆด้วยแหละ!!

ถามว่า ผมเชื่อไหม? ตอบเลยว่า “เชื่อว่าทำได้จริง แต่ยังไม่เชื่อสนิทใจ!”
ต่อให้ผมจะอึ้งกับตัวเลขนี้ แต่ผมยังไม่เชื่อสนิทใจ

เวลาผ่านไปหลังจากวันเปิดตัว ราวๆ 2 สัปดาห์ คราวนี้ ทาง Mitsubishi Motors ก็พร้อมแล้ว ที่จะให้ผม
ได้ทดลองขับ และทำการทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อย่างละเอียดยิบ ในแบบที่เราทำกันทุกครั้ง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และวันเวลาที่เราต่างสะดวก ก็คือวันที่ 31 มีนาคม 2012 ช่วงตั้งแต่หัวค่ำ เป็นต้นไป

คราวนี้ เพื่อยืนยันว่า เราได้ทำการทดลอง ตามมาตรฐานของเราอย่างแท้จริง ผมขับเอง เติมจริง เขย่าจริง
และไม่มีการโอนอ่อนผ่อนกฎ ใดๆทั้งสิ้น นอกจาก น้องต๊อบ อธิป มีสุขมาก หนึ่งใน The Coup Team
จากเว็บ Headlightmag.com ของเรา ที่มาเป็นสักขีพยานแล้ว

เรายังมี แขกรับเชิญพิเศษ อีก 1 คน เป็นคุณผู้อ่านของเว็บเรามานานแล้ว ซึ่งผมก็เพิ่งมาทราบตอนจัด
กิจกรรม Skoda Czech it out เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2012 ที่ผ่านมานี่แหละ เจ้าตัวก็เข้าร่วมงานในรอบเช้า

คุณสุวินิต ปัญจมะวัต หรือ คุณ หนุ่ม จันดารา นั่นเอง….!

คุณหนุ่ม อยากรู้ว่า Mirage จะประหยัดได้แค่ไหน เพราะพี่สาว กำลังสนใจว่าจะซื้อมาใช้งานสักคัน
ผมก็เลยชวนมาลองให้รู้แจ้งเห็นจริง ด้วยตาตนเองไปเลยดีกว่า โอกาสแบบนี้ มีไม่บ่อยนัก คุณหนุ่ม
เองก็นึกสนุก อยากมาลองด้วย เลยตอบตกลง แถมพอวันจริง ก็เตรียมกล้องถ่ายรูปมาอย่างดี

ขณะเดียวกัน ทาง Mitsubishi Motors ก็จัดเจ้าหน้าที่มาช่วยอำนวยความสะดวก ในการนำรถ (ซึ่ง
ในช่วงนั้น ยังไม่พร้อมจะปล่อยรถให้สื่อมวลชนได้ยืมกลับบ้านไปลองขับ) จาก สำนักงานใหญ่ ณ 
ทุ่งรังสิต มาให้พวกเราถึงสถานีบริการน้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน กันเลย รวมทั้งหมด 4 คน

ไปๆมาๆ  เจ้าหน้าที่ของทาง Mitsubishi เอง นอกจากจะร่วมเป็นสักขีพยานแล้ว ก็ยังมาช่วยผม
เขย่าและโขยกรถไปด้วย และในระหว่างที่ผม ขับรถคันใด ทางทีมงานของเขา ก็จะใช้รถคันที่เหลือ
ขับตามเรามาด้วย เพื่อเป็นการ Re-Check ไปในตัว

เราเริ่มต้นเติมน้ำมันเบนซิน 95 TECHRON ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex กันจนเต็มถัง ก่อนหน้านี้
ทาง Mitsubishi Motors สูบน้ำมันที่เหลือค้างอยู่ในถัง ของรถทั้ง 2 คัน ออกทั้งหมด จนเหลือราวๆ
2 ขีด ให้เพียงพอแค่ขับมาถึงปั้มได้เท่านั้น เพื่อให้การเติมน้ำมันครั้งนี้ เป็นไปอย่างโปร่งใสแท้จริง

พอเติมกันจนหัวจ่ายตัดแล้ว ทีนี้แหละ เข้าสู่งานหนัก ผมกับน้องต๊อบ ก็เขย่ารถ ทางทีมงาน Mitsubishi
ก็มาช่วยเขย่าด้วย และไปๆมาๆ คุณหนุ่ม ก็ลงมือ มาช่วยขย่ม เขย่ารถกับเราอีกแรง!

การเติมน้ำมันแบบหยอดและเขย่านั้น แม้ในชีวิตจริง คงจะไม่มีใครมานั่งบ้าทำอะไรแบบนี้ แต่ถ้าคุณ
ต้องการรู้ว่า ความจริง รถแต่ละคัน ทำอัตราสิ้นเปลืองได้เท่าไหร่ นี่คือวิธีการที่จะช่วยให้ผลการทดลอง
ใกล้เคียงกับความจริงที่รถทำได้จริงมากที่สุด ผมจึงสงวนไว้ใช้ สำหรับรถยนต์รุ่นใด ที่คุณผู้อ่าน อยากรู้
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกันเยอะมากๆ ซึ่งมักเป็นรถเก๋ง ไม่เกิน 2,000 ซีซี ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
หรือกลุ่ม C-Segment ลงไป จนถึงกลุ่มรถกระบะ

ใครอยากจะทำการทดลองกันไปแบบไหน ก็ตามใจ ตามสะดวก แต่ผมยืนยันว่า ผมก็จะยังทำการทดลอง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงด้วยวิธีการแบบนี้ต่อไป…ใครจะทำไม?

เราเติมน้ำมันกันจนเอ่อขึ้นมาถึงคอถังขนาดนี้ บอกได้เลยว่า Mirage เป็นรถที่เราต้องใช้เวลาในการ
เขย่า ขย่มรถ นานที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยทำมา ขย่มทีละนิด อัดกรอกน้ำมันลงไปทีละนิด ใช้เวลา
เติมน้ำมัน ครั้งละ เกือบ 1 ชั่วโมง และในรุ่นเกียร์ธรรมดา เราเติมกันถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง! ต่อครั้ง

เมื่อเติมน้ำมันเสร็จแล้ว เราก็ขึ้นรถ คาดเข็มขัดนิรภัย เซ็ต 0 บน Trip Meter ติดเครื่องยนต์ แล้วออกรถ
มุ่งหน้าไปขึ้นทางด่วน พระราม 6 ขับไปจนถึงปลายสุดทางด่วนศรีรัช ที่ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับ
มาขึ้นทางด่วน ที่ด่านฝั่งตรงข้าม แล้วขับมุ่งหน้ากลับเข้ากรุงเทพฯกันอีกครั้ง เวลาในขณะนั้น เป็นช่วง
หลัง 5 ทุ่มไปแล้ว รถเริ่มโล่ง ขับสบาย เรารักษาความเร็วไว้ที่ระดับ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และ
นั่ง 2คน (ผมกับคุณหนุ่ม) ส่วนรถอีกคัน ที่ขับตามหลังเพื่อ Re-Check ผลตัวเลขเฉยๆ มีเจ้าหน้าที่ของ
ทาง Mitsubishi Motors กับน้องต๊อบ นั่งไปด้วยกัน

เราทำเช่นนี้กับรถทั้ง 2 คัน โดยเริ่มทดลองกับรุ่นเกียร์ CVT ก่อน และตามด้วยรุ่นเกียร์ธรรมดา ในเวลา
ห่างกันราวๆ 1 ชั่วโมง ต่อคัน (เพราะการเติมน้ำมัน ใช้เวลานานมากกว่าที่เราประเมินไว้ในตอนแรก)

เมื่อกลับเข้า กรุงเทพฯ แล้ว เราลงทางด่วนกันที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนพหลโยธิน
เลี้ยวกลับที่หน้าโชว์รูม เบนซ์ ราชครู ตรงใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าปั้ม Caltex
พงษ์สวัสดิ์บริการ อีกครั้ง เติมน้ำมันเบนซิน 95 TECHRON จนเต็มถัง….

และเมื่อหัวจ่ายตัด เราก็เริ่มปฏิบัติการณ์ กรอก เขย่า หยอด ขย่ม กันไปเรื่อยๆ จนทำให้ได้พบความจริง
ว่า แม้ถังน้ำมันของ Mirage จะระบุตัวเลขไว้ในแค็ตตาล็อกว่า มีความจุ 35 ลิตร แต่ในความจริงแล้ว
คอถังที่ยาวพอสมควร ทำให้เราสามารถเติมหยอดลงไปเพิ่มได้อีกจนถึง 41 เกือบ 42 ลิตร…!

กว่าน้ำมันในรถคันสีเทาดำ (เกียร์ธรรมดา) จะเอ่อขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ ต้องใช้เวลานานถึงคันละ 1 ชั่วโมง
กันเลยทีเดียว! โดยเฉพาะรุ่นเกียร์ธรรมดา  เราขับกลับมาถึงปั้มตอน ตี 2 กว่า เกือบ ตี 3 และใช้เวลาเขย่า
กันจนถึง ตี 4 15 นาที…! กว่าจะสรุปผลต่างๆ ล่อเข้าไป ตี 4 ครึ่ง!

จากนี้ มาสรุปตัวเลขกันดีกว่า

รุ่นเกียร์อัตโนมัติ CVT คันสีขาว
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 91.7 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 5.21 ลิตร
หารแล้ว ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 17.61 กิโลเมตร/ลิตร

ซึ่งถือเป็นตัวเลข อัตราสิ้นเปลืองที่ประหยัดมากที่สุดในบรรดารถยนต์กลุ่ม ECO Car Hatchback และ
ใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT เหมือนกัน ตัวเลขอาจจะดร็อปลงมา เพราะความซีเรียสในการทดลองครั้งนี้
เข้มข้นกว่าครั้งก่อน ดังนั้น ผมจึงมองว่า นี่แหละ คือตัวเลขที่ควรจะได้

ที่นี้ มาดูตัวเลขในรุ่นเกียร์ธรรมดา คันสีเทา ดำ กันบ้าง
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 91.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 4.87 ลิตร
หารแล้ว ได้ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 18.85 กิโลเมตร/ลิตร

ชัดเจน หมดข้อกังขานะครับ?

ตัวเลขทั้งหมดนี้ คือผลการทดลอง โดยมีสักขีพยาน บันทึกภาพร่วมกันส่งท้าย ก่อนแยกย้ายกลับไป
บ้านใครบ้านมัน ตอนตี 4 ครึ่ง ในเช้าวันถัดมา และเป็นการทดลองที่เกิดขึ้น ก่อนผมจะได้มีโอกาส
นำ Swift มาทดลองแบบเดียวกันนี้ ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมา ในตารางข้างล่างนี้

เมื่อสรุปข้อมูลจากการทดลองทั้งหมด ผมจึงประกาศได้เต็มปากว่า ตอนนี้ Mirage กลายเป็นรถยนต์
ในพิกัด ECO Car 1.2 ลิตร ที่ประหยัดน้ำมันที่สุดในเมืองไทย เอาชนะทั้ง แชมป์เก่าอย่าง March
แซงหน้า Brio ไปขาดลอย รวมทั้งยังป้องกันแชมป์จากผู้ท้าชิงอย่าง Swift ได้สบายๆ

********** สรุป **********
แรงพลิกล็อก และประหยัดขั้นเทพ ตัวเลขดีที่สุดในกลุ่ม ECO Car แต่ ช่วงล่างนิ่มไป
ลองเปลี่ยนช็อกอัพกับสปริง และล้อยางให้ใหญ่โตขึ้น จะน่าใช้ชีวิตด้วยกว่านี้

ผมไม่แน่ใจว่า คุณสุภาพสตรี และคุณสุภาพบุรุษทั้งหลาย ที่ได้ลงชื่อเซ็นใบจอง Mirage กับทาง
โชว์รูม Mitsubishi Motors ไว้ พอได้อ่านบทความ Full Review นี้จนจบลง คุณอาจจะรู้สึก
แตกต่างไปจากเดิม กับ Mirage มากน้อยแค่ไหน?

ถ้าเป็นความรู้สึกที่ดีขึ้น หลังได้รับรู้ว่า Mirage คือ ECO Car ที่ทำตัวเลขอัตราเร่งได้ดีที่สุดในกลุ่ม
แถมยังทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ประหยัดที่สุดในกลุ่มอีกเช่นกัน (เพราะน้ำหนักตัวรถ
ทั้งคันที่เบากว่า มีส่วนช่วยด้วยอย่างมาก) รวมทั้งได้เห็นถึงคุณงามความดีในด้านต่างๆ ทั้งการขับขี่
ที่ง่ายดาย สบายๆ คล่องตัวพอประมาณ วิ่งรับส่งลูกหลาน จากบ้านไปโรงเรียน แล้วไปทำงานต่อ
ในระยะทางใกล้ๆ Mirage คือ รถยนต์ที่เหมาะมาก สำหรับการใช้งานของลูกค้าทั่วไป ทั้งที่คิดจะ
ซื้อรถมาขับใช้งานชีวิตประจำวัน หรือคิดจะเอาไปโมดิฟายต่อยอดเพิ่มความแรง เสริมความดิบ
Mirage เป็นรถที่พร้อมรองรับลูกค้าได้ทั้ง 2 แนวทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างน่าประหลาด
นั่นก็เป็นเรื่องดี

เพราะผมไม่คิดมาก่อนว่า Mitsubishi Motors จะทำรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันได้เป็นกับเขาด้วย
เห็นปกติทำออกมาก็แต่รถแรง เครื่องแรง หรืไม่ก็ลุยๆหนักๆ กันมาตลอด ทั้ง Lancer Evolution
galant VR-4 Pajero ฯลฯ อีกมากมาย

ถ้าใครจะมั่นใจขึ้นว่า ทั้งที่ตัวรถนั้น ดูน่าจะเบาหวิว ไม่แข็งแรง แต่ดันเลือกใช้เหล็ก ชั้นดีระดับ
High Strength Steel ที่ทนแรงดันกระแทกสูงสุดได้ถึง 980 เมกกะปาสคาล มาทำโครงสร้าง 
ตัวถังจนแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่คิด ก็ยังไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรื่องของโครงสร้างตัวถังแล้ว ค่ายนี้เขามี
เทคโนโลยีขั้นสูงอยู่ และไว้ใจได้กันมาตลอด

ถ้าใครจะชื่นชอบการขับขี่ และแผงหน้าปัด รวมทั้งระบบนำทาง ที่สามารถแสดงผลได้พร้อมกัน
ทั้งชุดเครื่องเสียง และหน้าจอระบบนำทางผ่านดาวเทียม นี่ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี

แต่ในทางตรงกันข้าม ผมก็ไม่คิดมาก่อนเหมือนกันแหละว่า Mitsubishi Motors จะทำรถยนต์
ที่มีช่วงล่าง นิ่มๆ ขนาดนี้ออกมากับเขาได้ด้วยแหนะ! มันนิ่มเสียจนกลายเป็นจุดด้อยสำคัญ
ของรถไปเลย ถือว่ายังโชคดี ที่ช้อกอัพ กับสปริง เป็นอะไหล่ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย
ไม่ยากเย็นมากมายนัก ดังนั้น ทางแก้สำหรับใครก็ตามที่ซื้อรถไปแล้ว และคิดว่าช่วงล่าง
อาจ “เอาไม่อยู่” ก็อาจต้องหาซื้อ โชคอัพ ไปช่วย “เอาให้มันอยู่”

น้องเอก Backseat Driver หนึ่งในสมาชิก The Coup Team ของเว็บเรา ตั้งข้อสังเกตในฐานะ
ที่เคยใช้ G-Wagon 2.8 ลิตร มาก่อน ว่า Mitsubishi Motors มักจะออกแบบรถมาให้มีช่วงล่าง
ที่สัมพันธ์กับเครื่องยนต์ หมายความว่า ทำเครื่องอกมาแรงไว้ระดับไหน ก็ทำช่วงล่างมาให้
ทำงานได้ดี จนถึงความแรงในระดับนั้น เหมือนจะไม่ได้เผื่อความเร็วที่สูงกว่าปกติชนเขา
ขับขี่กันเท่าใดนัก

เป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่ฟังดูน่าสนใจ แต่ผมจำได้ว่า Mitsubishi Motors เอง ก็เคยทำรถที่มี
ช่วงล่างเจ๋งๆ ทั้งตระกูล Lancer Galant Diamante และ Pajero มาแล้ว ดังนั้น หากจะบอก
ว่าทำรถออกมาให้มีช่วงล่าง เอาใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่คาดว่าไม่น่าขับรถเร็วมากนัก น่าจะ
เหมาะสมกว่าเหมือนกันนะ

ผมไม่แน่ใจนักว่า ในวันที่โครงการนี้เริ่มต้นขึ้น เมื่อหลายปีก่อน Mitsubishi Motors จะรู้บ้าง
หรือเปล่าว่า คู่แข่งในตลาด ECO Car บ้านเรา นอกเหนือจาก March และ Brio รวมทั้ง 
Suzuki ที่คิดจะเอาเจ้าเปี๊ยก Alto เข้ามาทำขายในบ้านเรา (อีก 2 ปีเจอกันในเวอร์ชันพิเศษ
ต่างจากในญี่ปุ่น) ด้วยแล้ว ชาว Hamamatsu ยังคิดจะส่ง Swift มาแปลงร่าง ตีตั๋วเด็ก เพื่อ
ลงมาเล่นกับ ตลาดกลุ่ม ECO Car เหมือนอย่างที่ Nissan เคยใช้วิธีการนี้กับ March มาแล้ว

ผมเชื่อ เป็นการส่วนตัวว่า “ไม่รู้”

เพราะถ้ารู้ Mirage ยุคปี 2012 อาจจะออกสู่ตลาดด้วยบุคลิกที่แตกต่างไปจากรถคันที่เราเห็นใน
ทุกวันนี้แน่ๆ มันอาจดูล้ำอนาคต Futuristic กว่านี้ อาจจะดูหรูหรากว่านี้ และขับขี่ได้เยี่ยมกว่านี้
แต่แน่นอนว่า ราคาก็จะไม่ถูกได้เท่าปัจจุบันนี้ และก็จะกลายเป็นรถที่หลุดไปจากโจทย์ที่ทาง
ทีมวิศวกรได้วางเอาไว้ตั้งแต่แรกแน่ๆ

ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ Mirage ออกมาในลักษณะของรถยนต์ Hatchback คันเล็กๆ เน้นการใช้งาน
ในเมืองใหญ่ ขับเรื่อยๆ สบายๆ ไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง มากกว่าจะเน้นสมรรถนะดุดัน
เพราะนี่คือแนวทาของการสร้างรถยนต์สำหรับผู้คนทั่วไปในศตวรรษที่ 21 นี้อยู่แล้ว คุณต้องทำ
รถที่ประหยดน้ำมันมากขึ้น บำรุงรักษาง่ายขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น ขับขี่ง่ายขึ้น เป็นมิตรกับเจ้าของ
และเงินทองในกระเป๋าของเขา รวมทั้งสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

เพราะมันคือแนวทาง เดียวกับที่ Mitsubishi เคยทำเอาไว้ กับ Mirage รุ่นแรก เมื่อปี 1978 นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงต้องออกความเห็นกับ Mirage เอาไว้ เหมือนเดิมว่า หากมองในภาพรวม
ทั้งคัน ตั้งแต่ วัสดุที่ใช้ คุณภาพในการขับขี่ ขนาดของตัวรถ ความสบายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะ
ส่วนครึ่งคันหน้า ยังไงๆ ทั้ง Mirage March และ Brio ไม่มีใครสู้ Swift ได้หรอกครับ นี่พูดกันตรงๆ
ไม่ได้อวยให้ Suzuki นะ เพราะ แทบจะทุกคนที่สงสัยในคำพูดของผม พอได้สัมผัส Swift คันจริง
ก็จะรู้ว่า สิ่งที่ผมพูดมา “มันคือความจริง อันยากจะเถียงและหักล้างเหลือเกิน”

ข้อนี้ คนของ Mitsubishi Motors เอง ก็รับรู้ และทำใจเอาไว้แล้วละ!

ยังไงๆ Mirage ก็ให้การขับขี่ในภาพรวม ที่ดีเด่น เท่า Suzuki Swift ไม่ได้หรอก แต่…Mirage
ก็ยังเป็น รถยนต์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในด้านความแรง และความประหยัดได้ดีที่สุดในกลุ่ม ECO Car 
สำหรับตลาดเมืองไทย เช่นเดิม อยู่ดี

ถ้าหากต้องเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาดตอนนี้ ละ? Mirage สู้เขาได้ไหม หรือด้อยกว่าที่จุดไหน?

เรียงตามตัวอักษรชื่อยี่ห้อกันเลย ก็คงต้องเริ่มจาก Honda BRIO เจ้าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาติดล้อของเรา
แม้จะเป็นรถเล็กท้ายตัดอัตคัตบั้นท้าย แต่ Brio ยังมีความคล่องตัว มุดไปมา ตามสภาพการจราจรที่สาหัส
ได้ดี ช่วงล่างที่ได้วิศวกรชาวญี่ปุ่น ซึ่งมีงานอดิเรกเป็นนักแข่งรถประเภท Sunday Racing มาเซ็ตช่วงล่าง
รวมทั้งการตอบสนองของพวงมาลัย ทำให้กลายเป็นรถซึ่ง เน้นบุคลิกขับสนุก และมั่นใจได้ แต่ต้องปรับ
ความหนืดของพวงมาลัยในช่วงความเร็วสูงให้เพิ่มขึ้น เทียบเท่ากับ พวงมาลัย ของ Mirage และไปเพิ่ม
บั้นท้าย ให้ยาวขึ้นกว่านี้อีกนิดเดียว เสริมความปลอดภัยให้โครงสร้างด้านหลังดีกว่านี้อีกเยอะ และต้อง
ปรับปรุงภายในห้องโดยสาร ให้ดูน่าใช้เท่าๆ Mirage นั่นละ คือสิ่งที่จะทำให้ Brio ยังคงยืนหยัดในตลาด
ต่อไปได้อีกพักใหญ่ จนกว่า Brio Sedan จะมาถึงราวๆ ปี 2014

Nissan March พี่เบิ้ม ตีตั๋วเด็ก ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆในตลาด แม้ว่าสมรรถนะในภาพรวม ช่วง
ความเร็วต่ำกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะยังให้ความมั่นใจ ได้ไม่ดีเท่า Mirage แต่พอพ้นจากความเร็ว
ระดับดังกล่าวขึ้นไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้ Mirage ยังน่าไว้วางใจกว่า March คือ พวงมาลัยที่หนืดกว่า
ในช่วงความเร็วสูง On-Center feeling ดีกว่า March นิดเดียว รวมทั้ง มีเครื่องยนต์ ซึ่งให้อัตราเร่งแซง
ทันใจเกินหน้า March ซึ่งมีแรงม้า มากกว่ากัน 1 ตัว แต่แรงบิดเท่ากัน งานนี้ ต้องยกประโยชน์ให้กับ
ความพยายามในการลดน้ำหนักทุกสัดส่วน จนได้ตัวถังออกมาเบาขนาดนี้ และทำให้อัตราเร่งกับ
ความประหยัด มาประสบพบรักกันได้อย่างลงตัว จน March เองยังต้องแอบค้อน

กระนั้น พื้นที่เหนือศีรษะ และการนั่งบนเบาะหลังของ Mirage เอง ยังด้อยกว่า March นิดหน่อยใน
แง่ความสบาย เพาะเบาะหลัง เตี้ยกว่า March ถึงจะทำให้มี Headroom เยอะ แต่ ถ้าต้องนั่งชันขาไป
นานๆ หลายร้อยกิโลเมตร เกรงว่า อาจต้องใช้เครื่องช่วยงัดถ่าง ดึงร่างของคุณลุกขึ้นจากเบาะ เพราะ
ขยับไม่ได้จากอาการเหน็บชา

Nissan Almera เป็นคู่แข่งกึ่งตรงกึ่งอ้อม…คืออยู่ในพิกัดเดียวกัน แต่ดันเกิดมาเป็น Sedan คันเดียวใน
กลุ่มตลาดนี้ ณ ช่วงเวลาปี 2011 – 2014 ดังนั้น เรื่องพื้นที่ห้องโดยสาร ยังไงๆต้องยกให้ Almera เขาไป
แต่ Mirage ก็สามารถ งัดข้อ ซัดกลับ Almera ได้ด้วยพละกำลังของเครื่องยนต์ และความมั่นใจในการ
ขับขี่ ที่ความเร็วต่ำกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แถมด้วยความประหยัดน้ำมันที่ยังไงๆ Mirage ก็ชนะเลิศ
เกินหน้าเกินตาชาวบ้านเขาไปหมด

และท้ายที่สุด Suzuki Swift ม้ามืดที่โผล่มาดื้อๆ เล่นเอาคู่แข่งทุกค่าย งุนงงกันไปเป็นแถว ไม่เว้นแม้แต่
Mitsubishi Motors ที่ถึงกับงง ว่ามาได้ไง ต้องพลิกตำรา หาทางสะกัดการบุกกันแทบทุกทิศทาง เพราะ
ตัวรถดีกว่าชาวบ้านเขาเกือบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง กับอัตราเร่ง ที่จัดอยู่ในกลุ่มรอง
ลงมา แต่ยังถือว่าทำได้ดี ไม่น่าเกลียด กระนั้น เรื่องน่าเสียดาย ก็คือ ใครจองวันนี้ รอรับรถได้เลย ช้าสุด
คือปี 2013 ดังนั้น ถ้าใครอยากได้ Mirage การส่งมอบรถ น่าจะทำได้เร็วกกว่า  เพราะกำลังการผลิตของ
โรงงานที่แหลมฉบัง สูงกว่า ของโรงงาน Suzuki ปลวกแดง อยู่หลายพันคัน

ทีนี้ ถ้ามั่นใจแล้วว่า จะเลือก Mirage รุ่นย่อยไหนถึงจะเหมาะกับคุณ?

หากคุณคิดว่า การซื้อรถทั้งที คันแรกในชีวิต ฉันขอจัดเต็ม ฟูลออพชัน เน้นๆ ใช้งานสบายๆ และขายต่อ
อาจจะได้ราคาสูงกว่ารุ่นอื่นๆเขาสักหน่อย แน่นอนครับ รุ่นแพงสุด GLS Limited กับราคา 546,000 บาท
จะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะคุณจะได้ทั้ง ระบบนำทาง GPS Navigation System พร้อมชุดเครื่องเสียงที่
ฟังแล้วรื่นหูกว่านิดหน่อย และหน้าจอ Monitor ที่เชื่อมกับระบบ Bluetooth ในโทรศัพท์มือถือของคุณได้
และเสียบต่อ USB ได้อีก แถมด้วยเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ (Automatic Climate Control) นี่คือข้าวของ
ที่คุณจะได้รับเพิ่มเข้ามา

แต่ถ้าคิดว่า การจ่ายเงินเพิ่มอีก 40,000 บาท เพื่อแค่ระบบนำทาง ชุดเครื่องเสียง และ แอร์ออโต้ เป็นเรื่อง
ไม่จำเป็น รุ่น Well-Equiped อย่าง GLS มาตรฐาน ซึ่งมีค่าตัวอยู่ที่ 506,000 บาท นั่นก็พอจะทำให้คุณ
ใช้รถ ในชีวิตประจำวันได้ปลอดภัยขึ้น เทียบเท่ารุ่นท็อป ด้วยกุญแจ KOS พร้อมสวิชต์ติดเครื่องยนต์
สปอยเลอร์พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ไฟตัดหมอกคู่หน้า ล้ออัลลอย 14 นิ้ว เครื่องปรับอากาศแบบมือบิด
และวิทยุ AM/FM/CD/MP3 มาให้ และที่สำคัญสุดคือ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เพียงแต่ว่า คุณควรนั่งคำนวน
การผ่อนชำระต่อเดือนให้ดีๆ เพราะ ไม่ว่าคุณจะวางเงินดาวน์เท่าไหร่ คำนวนอัตราการผ่อนชำระ รวม
ดอกเบี้ย ไว้ที่ระดับเท่าไหร่ เงินที่คุณจ่ายถูกกว่าการผ่อนรุ่นท็อปในแต่ละเดือน จะไม่เกิน 800 -900 บาท
และในบางรูปแบบการคำนวน คุณจ่ายถูกกว่ากันแค่ 500 บาท ต่อเดือน เท่านั้น! ดังนั้น ถ้าคิดจะเล่นรุ่น
GLS ผมมองว่า เล่นรุ่นท็อป GLS Limited ไปเลยดีกว่า

ต่อมา ถ้าคุณคิดว่า ข้าวของข้างบนนี้ ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับคุณเลย แต่ต้องการรถที่มีอุปกรณ์เพียงพอ
ต่อการใช้งาน เครืองปรับอากาศ ก็เป็นสวิชต์ธรรมดาก็ได้ ไม่เห็นจะแคร์ วิทยุ มีมาให้ก็ดี มีรถไว้ขับออก
จากบ้านไปที่ทำงาน ไม่จำเป็นต้องหรูเริ่ดอลังการมากนัก เอาแค่ว่า ฉันพอจะผ่อนส่งต่อเดือนไหวอยู่ รุ่น
GLX ทั้งเกียร์ธรรมดา (426,000 บาท) และ เกียร์ CVT (460,000 บาท) จะตอบโจทย์การใช้งาน
ของคุณได้ดี เพียงแต่ คุณอาจต้องทำใจว่า การตกแต่งภายนอก อาจด้อยกว่ารุ่น GLS สักหน่อย กระทะล้อ
ก็จะกลายเป็นล้อเหล็ก (ซึ่งทนทานใช้ได้) พร้อมฝาครอบล้อแบบเต็มวง (ถ้าใช้ไปนานๆ โอกาสหลุดหล่น
กลิ้งหลุนๆ ลงข้างทางไปเอง ก็เป็นไปได้อยู่ (เคยมีมาแล้วในรถยี่ห้ออื่น รุ่นอื่น) กรอบประตูบริเวณเสา
หลังคากลาง B-Pillar จะไม่มีการแปะสติ๊กเกอร์สีดำ เพื่อเชื่อมต่อแนวขอบกระจกให้ต่อเนื่องกันมาให้
ภายในก็จะมี วิทยุ และเครื่องปรับอากาศ มาให้เหมือนรุ่น GLS นั่นละ แถมยังมี ระบบป้องกันล้อล็อก
AS และระบบกระจายแรงเบรก EBD มาให้ด้วย แต่ถุงลมนิรภัย ก็จะเหลือแค่ใบเดียว มีเฉพาะฝั่งคนขับ
เท่านั้น ถ้าแค่นี้ เพียงต่อการใช้งาน ก็วางเงินจองไปได้เลย

แต่ถ้าคุณคิดว่า ต้องการแค่ใช้งานรถยนต์ ขั้นพื้นฐาน ไม่ต้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรเลย
เอาแค่ว่า มีแอร์เย็นๆ ก็พอ หรือว่า คิดจะซื้อรถเปล่าๆ เปลือยๆ สักคัน เอาไปแต่งต่อ ไปโมดิฟาย
เอาไปทำรถแข่ง หรือรถโชว์เคริ่องเสียง กะว่าจะ Wrap รอบคัน หรือทำอะไรมันส์ๆต่อยอดกว่านั้น
รุ่นถูกสุด GL เกียร์ธรรมดา (380,000 บาท) คือรุ่นที่คุณควรจะมองไว้แต่แรก มันอาจไม่มีมาตรวัดรอบ
ไม่มี ABS/EBD แต่อย่างน้อย ก็ยังมีกระจกหน้าต่างไฟฟ้า เฉพาะประตูคู่หน้ามาให้ ส่วนถุงลมนิรภัย
ก็ยังมีให้ แม้ว่าจะลดเหลือแค่แค่ฝั่งคนขับเพียงใบเดียว ก็ตาม

และสำหรับ Mitsubishi Motors แล้ว สิ่งที่จะฝากไว้หลังจากนี้ สำหรับผู้เกี่ยวข้องในโครงการพัฒนา
Mirage ได้เอาไปขบคิดและทำงานกันต่อ มีอยู่ 2-3 ประเด็น

1. Mirage เป็นรถยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิด เน้นความประหยัด แต่มันดันทะลึ่งมีอัตราเร่งแซง
แรงกว่าชาวบ้าน แถมยังมี บุคลิกของโครงสร้าง และตำแหน่งการจัดวางต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อการนำ
รถไปตกแต่งแข่งขันเพิ่มเติม ดังนั้น การส่งเสริมด้านกิจกรรม Motor Sport น่าจะเป็นอีกทางหนึ่ง
ที่ช่วยรักษากลุ่มลูกค้าที่รักใน Mitsubishi Motors แต่ เบี้ยน้อยหอยน้อย มิให้ต้องปันใจไปค่ายอื่น

ขณะเดียวกัน การปรับแต่งช่วงล่าง นั้น ควรจะมีทางเลือกของช็อกอัพ กับสปริง ในแบบ After Market
ที่ได้รับการรับรอง จาก MMTh โดยตรง เพื่อเป็น Option ให้กับลูกค้าที่อยากได้ช่วงล่างสมรรถนะดีขึ้น
อาจจะให้เพิ่มเงินราวๆ 15,000 บาท จากค่าตัวปกติ เพื่อให้การเกาะถนนในย่านความเร็วสูงเกินกว่า
120 กิโลเมตร/ชั่วดมง มั่นใจยิ่งขึ้น

หรือไม่ ก็ทำเป็น เวอร์ชัน Sport ออกมาขาย จับใส่ชุดพ Aero Part รอบคัน ให้ดูพอดีๆ ไม่ต้อง over
เกินเหตุ ใส่ออพชันแบบจัดเต็ม ขายในราคาที่แพงกว่ารุ่นปกติราวๆ ไม่เกิน 30,000 บาท เพราะว่า
ถ้าเกินกว่านั้น โอกาสจะขายออก คงยากมาก เพราะลูกค้าจะถามว่า ถ้ามันดีกว่านนิดเดียว ทำไมฉัน
จะต้องจ่ายเพิ่มอีกตั้ง 30,000 เพื่อรถรุ่นพิเศษนี้ด้วยละ?

อย่าลืมนะจ้ะ ผู้บริโภค มักจะมี “ราคาในใจ” สำหรับสิ่งที่ตนกำลังจะจ่าย ตรงหน้า เสมอ!

2. MIRAGE MiEV หรือ เวอร์ชันขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และแบ็ตเตอรี ไร้เครื่องยนต์สันดาป
ที่เคยมีข่าวปล่อยมาจากสำนักข่าวในต่างประเทศกันมาตั้งแต่ปี 2011 แล้ว ถึงจะรู้กันอยู่ว่า MMTh
อยากจะเอาเข้ามาผลิตในโรงงานของตน ณ แหลมฉบัง ใจจะขาด ทว่า คงได้แต่หวังพึ่งภาครัฐบาล
(ซึ่งปกติ ก็พึ่งพาห่าอะไรไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่นัก) ให้ช่วยดูในเรื่องการยกเว้นภาษีให้เฉพาะกับ
แบ็ตเตอรี เพื่อรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ Hybrid เป็นเวลา 4 – 5 ปี จนกว่าการใช้รถยนต์พลังไฟฟ้า
จะแพร่หลายมากขึ้นในเมืองไทย ค่อยกลับมาจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตราเดิม รวมทั้งส่งเสริมให้
ผู้ประกอบการด้านแบ็ตเตอรี จากต่างชาติ มาลงทุนตั้งโรงงานผลิตแบ็ตเตอรีในเมืองไทย โดยให้
สิทธิพิเศษ อย่างจริงจัง มีข้อแม้ว่า ต่างชาติก็ต้องยกเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
มาไว้ที่เมืองไทยด้วยเช่นกัน หากทำได้ตามนี้ ไม่ใช่แค่ MMTh หรอกที่จะยินดี ทั้ง Nissan BMW
และ Toyota ก็น่าจะ Happy ด้วยเช่นกัน ในการลดทอนความเสี่ยงเพื่อการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า
ให้กลายเป็น Product Champion ตัวที่ 3 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ต่อจาก รถกระบะ และ
ECO car  ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าทำทุกอย่างได้ตามนี้ ต้นทุนที่ถูกลง จะช่วยให้ราคารถยนต์ EV ถูกลง
จนผู้คนทั่วไป สามารถซื้อหามาขับใช้งานได้มากขึ้น (แม้จะยังมีเรื่องของปริมาณไฟฟ้าที่จะต้อง
ส่งมารองรับการใช้งานของรถ จนอาจต้องตั้งโรงไฟฟ้า พลังงานสะอาดขึ้นอีกแห่งในประเทศ
ของเราก็ตาม)

และข้อ 3 อันเป็นข้อสำคัญที่สุด นั่นคือ ทำอย่างไร ที่จะเข้มงวด กับบรรดาผู้จำหน่ายทั่วประเทศไทย
ให้สามารถดูแลลูกค้าได้ตามมาตรฐานที่ดีเหมือนๆ กัน เพื่อให้ลูกค้าที่ออกรถไป รู้สึกสบายใจ และ
อยากกลับมาซื้อ Mitsubishi ไปใช้อีก

นี่คือปัญหาที่ผมเองก็เริ่มเบื่อจะเขียนกันแล้ว เพราะต่อให้ทางสำนักงานใหญ่ของ Mitsubishi Motors
แห่งทุ่งรังสิต เขาพยายามจะผลักดันแก้ไขปัญหากันอย่างหนักมาตลอด ทว่า ผมยังคงได้รับคำร้องเรียน
จากลูกค้ามาเรื่อยๆแม้จะไม่บ่อย ถี่ยิบ จนน่าปวดกบาลเท่า ค่ายอื่นๆ ยี่ห้ออื่นๆ กระนั้น ข้อดีอย่างหนึ่ง
ของ Mitsubishi Motors ก็คือ จากที่เคยรับเคสร้องเรียนของรถยี่ห้อนี้มาหลายปี ถ้าเรื่องร้องเรียนไหน
ผ่านมาทางผม และส่งต่อให้ผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ปัญหาจะถูกติดตามแก้ไข Follow Up ให้อย่างต่อเนื่อง
และอย่างดี จนจบลง Happy Ending ทุกฝ่าย ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณทางฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ประชาสัมพันธ์
และรวมไปถึงผู้บริหารระดับสูง ที่ยังคงรับฟังเสียงเล็กๆจากลูกค้า และจากผมอยู่อย่างต่อเนื่อง

แต่สิ่งที่ลูกค้าส่งเข้ามา หาใช่แค่เพียงบริการหลังการขาย ที่ดูแลลูกค้าไม่ดี ซ่อมไม่หาย ลืมโน่น ลืมนี่
ทำไม่ครบคำสั่ง หรือบางทีก็มีรายการ กวนบาทาตีหน้าใสซื่อกับลูกค้า จนหน้าแดงควันออกหู กันมาแล้ว
แต่ยังรวมถึงขั้นตอนการสั่งซื้อจากโชว์รูมด้วย บางทีรับรถได้ไม่ทันตามสัญญา พอขอเงินจองคืน บาง
โชว์รูม กลับดึงเช็ค ยึกยัก ลากยาวกันไปทำไมก็ไม่รู้ บางที ก็หมกเม็ดบ้าง เซลส์พูดอย่าง ผู้จัดการโชว์รูม
พูดอีกอย่าง

จริงอยู่ว่า ทุกยี่ห้อ ก็มีปัญหาเช่นเดียวกันนี้ เหมือนกันหมด ความมากน้อยของปัญหา ขึ้นอยู่กับปริมาณ
ของรถที่ขายออกไป มีเยอะแค่ไหน แต่สำหรับ Mitsubishi Motors แล้ว ถ้าต้องการจะก้าวขึ้นมาอยู่ใน
ระดับหัวแถว จากบรรดา 10 แบรนด์รถยนต์ ที่ผู้คนนึกถึง และอยากเป็นเจ้าของ ก็ต้องหาทางปรับปรุง
งานบริการหลังการขาย กันแบบยกเครื่องเสียที มาตรการลงโทษขั้นเด็ดขาด และการให้รางวัลพิเศษ
กรณีมีจดหมายชื่นชมจากลูกค้าไปถึงสำนักงานใหญ่ ก็น่าจะช่วยเพิ่มความตื่นตัวของเจ้าหน้าที่ ใน
แต่ละโชว์รูมผู้จำหน่ายกันได้บ้าง

เอาง่ายๆ My Opinion ถ้าโชว์รูมใด เดือนนั้น มีจดหมายร้องเรียน มาถึง J!MMY (ซึ่งจะถูกส่งต่อไป
ยังผู้เกี่ยวข้องทั้ง PR ลูกค้าสัมพันธ์ และในบางครั้ง จะถูกรายงานขึ้นตรงไปยังประธานใหญ่ชาวญี่ปุ่น)
โชว์รูมนั้น โดนหัก โควต้ารถ หรือ Incentive ต่างๆ หนักกว่าปกติ คาดโทษ และถ้าหนักมากขึ้น ก็อาจสั่ง
ปลดออกจากการเป็นผู้จำหน่ายไปเลย และถ้าโชว์รูมไหน มีจดหมาย E-Mail ส่งมาชมเชย ถึง ผม ก็ต้อง
เจ้าหน้าที่คนนั้น หรือในโชว์รูมนั้น จะได้รางวัลพิเศษจากสำนักงานใหญ่ ในเดือนนั้น อัดฉีดกันเข้าไป
เป็นวิธีที่ผมว่า สำนักงานใหญ่เอง จะช่วยลงไปดูความเรียบร้อยของดีลเลอร์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งในทางปฏิบัติ
ก็ต้องมานั่งคิดหาหนทางปิดจุดรั่วจุดบอดที่อาจเกิดขึ้นได้ ต่อไป

ขอย้ำว่า บริการหลังการขายของ Mitsubishi ในทุกวันนี้นั้น แม้ไม่เลวร้ายเท่า ค่ายอื่นๆ แต่ถ้าภายใน
ปีนี้ และปีหน้า มันยังไม่ดีขึ้นไปกว่านี้อีก ข้าพเจ้า ก็จะเขียนกระทุ้งอย่างนี้ ใส่ลงในท้ายบทความทดลอง
รถใหม่ของ Mitsubishi ทุกรุ่นหลังจากนี้ ต่อไป เหมือนเดิม! จนกว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

เพราะรู้ดีว่า เขียนกระทุ้งเรื่อยๆ แบบนี้แหละ มันจะได้ผลในระยะยาว! ชาวญี่ปุ่น เขาไม่ยอมปล่อยให้
แบรนด์ของพวกเขา ตกอยู่ในมือของคนห่วยๆ ที่สนใจแต่ความอยู่รอดของตัวเองไปวันๆ เท่านั้น หรอก!

——————————————————————-

ขอขอบคุณ
คุณผกามาศ ผดุงศิลป์ (พี่แตน)
คุณธิราภร ย้อยแสง (พี่จิม)
และคุณภควดี ละอองศรี (พี่มุ่ย)
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
รวมทั้ง Mr.Hideyuki Hattori และทีมงานฝ่าย Product Planning
บริษัท Mitsubishi Motors (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และการประสานงานในด้านต่างๆ อย่างดียิ่ง  

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพ Illustration ทั้งหมด เป็นของ
Mitsubishi Motors Corporation ประเทศญี่ปุ่น
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
11 กรกฎาคม 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part
or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 11th,2011

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome, Click Here!