“พี่ J!MMY จะมีโอกาส ทำรีวิว Pajero Sport เครื่องยนต์ใหม่ V6 3.0 ลิตร บ้างไหมครับ ผมอยากรู้
สมรรถนะ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไว้ประกอบการตัดสินใจครับ”

อ่านประโยคนี้หน้า Webboard ของ www.Headlightmag.com ของเรา ในช่วงค่ำคืนหนึ่งเมื่อเดือนก่อนๆ
จบแล้ว ผมได้แต่ถอนหายใจไป หนึ่งเฮือกใหญ่  และได้แต่นั่งนึกถึง งานรีวิว ที่คั่งค้างอยู่

ปี 2012 จะเป็นปีที่ผมจดจำเอาไว้เลยว่า เป็นปีที่เต็มไปด้วยรถยนต์ เปิดตัวเยอะมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
อย่างไม่เคยมีมาก่อน เรียกได้ว่า เป็นปีที ทุกค่าย ทุกยี่ห้อ จะต้องมีรถยนต์รุ่นใหม่ ไม่ใช่แค่เพียง 1 รุ่น แต่
อย่างน้อยๆ ต้อง 2 รุ่น!

ช่วยไม่ได้ ในเมื่อผู้ผลิตแต่ละราย เสียโอกาส ไปในช่วงมหาอุทกภัยที่ราบลุ่มภาคกลาง มาบังเกิด ช่วงเดือน
ตุลาคม – พฤศจิกายน 2011 พอล่วงเข้าปี 2012 นี้ แต่ละค่าย ก็ทุ่มสรรพกำลังกันเต็มพิกัด หวังทวงยอดขาย
ที่หดหายไปถึง 5 เดือน (ตุลาคม 2011 – กุมภาพันธ์ 2012) กลับคืนมา และจนป่านนี้ หลายค่าย เริ่มเข้าที่
เข้าทางกันบ้างแล้ว

การกระหน่ำเปิดตัวรถใหม่ อย่างมโหฬาร ชนิดที่แทบจะเรียกได้ว่า เปิดตัวกันไม่เว้นว่างเลยสักเดือน
เฉลี่ย 2 สัปดาห์ / 1 รุ่นใหม่ นับรวมหมดทั้งรุ่นใหม่ถอดด้ามทั้งคัน รุ่นใหม่แบบแต่งหน้าทาปาก หรือ
เพื่มรุ่นย่อยพิเศษ ขายกันจำนวนจำกัด ไปจนถึง รุ่นถอดเครื่องยนต์เดิม เติมเครื่องยนต์ใหม่ เสริมทัพ
กันเข้าไปให้จ้าละหวั่น เกิดขึ้นถี่ จนแทบอยากจะประกาศก้องออกไปดังๆว่า ช่วยเลื่อนเปิดตัวรถใหม่
ไปสัก 2 เดือนจะได้ไหม ขอเวลาเคลียร์รีวิวเก่าๆ ให้หมดก่อนเถิด ตั้งแต่เปิดเว็บมาเนี่ย จนแทบไม่ได้
หยุดพักหายใจหายคอ มีแต่งานที่มาจ่อคอหอย หายใจรดต้นคอกันแล้วเนี่ย เคลียร์ไม่ทันแล้ว…

ผมได้แต่คิดครับ แต่โลกธุรกิจ มันก็ดำเนินของมันไป อย่างไม่แยแสต่อผู้ที่เดินตามไม่ทัน รถใหม่ที่
เปิดตัวไปหมาดๆ ถ้าคนทำเว็บ ไม่รีบฉกฉวย มาทำรีวิว ลงบนเว็บของตนกัน คนอื่น ก็จะหันไปดู
บทความที่ตนต้องการ จากเว็บไซต์อื่นๆอยู่ดี…และในเมื่อ คุณผู้อ่านบอกว่า อ่านรีวิวที่ไหน ก็ไม่ถูกใจ
เท่ากับ Headlightmag.com ดังนั้น มันเลี่ยงไม่ได้หรอก ที่เราต้องนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มาทำรีวิวกัน

เพียงแต่ต้องตั้งกติกากันไว้สักหน่อยว่า หากเป็นรถยนต์รุ่นปรับโฉม ในระดับแต่งหน้าทาปาก หรือ
Minor Change ให้ดูสดใสไฉไลมากขึ้น แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง
ใดๆทั้งสิ้นเลยนั้น คงต้องบอกกันตามตรงว่า ย้อนกลับไปอ่าน รีวิวเก่าๆ กันก่อนก็ได้

แต่ถ้าเป็นรถยนต์ตัวถังเดิม ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ หรือแม้แต่แค่ เกียร์ลูกใหม่ ถ้าเป็นไปได้
หากทำการทดลองทั้งหมดได้ ก็จะดี เพราะนอกจากคุณผู้อ่าน จะได้รับทราบข้อมูลอย่างที่ต้องการแล้ว
ผมเองก็ยังจะมี ฐานข้อมูลการทดลองสมรรถนะของรถยนต์เหล่านี้ ไว้เปรียบเทียบกับทั้งคู่แข่ง และ
บรรดาพี่น้องร่วมตระกูลของมันเอง อีกด้วย เช่นเดียวกับ Pajero Sport คันนี้ ที่วางขุมพลังใหม่ V6

คิดได้ดังนี้ ผมจึงพิมพ์ตอบข้อความนั้นกลับไปว่า

“ครับ เดี๋ยวจัดให้”…..

น่านไง! สุดท้าย ก็ไปตกปากรับคำคุณผู้อ่านเข้าอีกจนได้ หางานเข้าใส่หัวตัวเองอีกแล้วนะไอ้จิมเอ๋ย!

และนั่นก็ทำให้ผมต้อง นั่ง Taxi ไปถึง สำนักงานใหญ่แห่งทุ่งรังสิต ในช่วงเย็นวันอังคารเมื่อไม่นานนี้
เพื่อไปรับรถคันสีน้ำเงินที่เห็นอยู่นี้ มาใช้ชีวิตด้วยกัน 4 วัน 3 คืน หลังจากรอให้ ทาง โรงงานแหลมฉบัง
ส่งรถทดลองขับ มาให้ทางสำนักงานใหญ่ เขาจัดคิวกับบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลายจนเสร็จสรรพ ก็ต้อง
ใช้เวลาราวๆ 1 เดือนเศษ และกว่าจะได้ฤกษ์ จัดคิวเวลาว่างของตัวรถ กับเวลาว่างของผม ให้ลงตัว ต้อง
ใช้เวลากันพักใหญ่

คงไม่ต้องสาธยายอะไรให้มากความ เหมือนเช่น Full Review ฉบับที่ผ่านมา มากเกินไปกว่า ระบุ
ข้อมูลเอาไว้ ในระเบียนรถใหม่ ของประเทศไทยในปีนี้กันไว้ว่า

Mitsubishi Motors Thailand ตัดสินใจเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่อยากได้ความแรงในแบบเบนซิน
แต่คิดเผื่อเอาไว้ว่า อยากจะนำไปติดก๊าซ ด้วยการเพิ่มทางเลือกรุ่นย่อยใหม่ V6 3.0 GT 219 แรงม้า
(PS) เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2012 ที่ผ่านมา สดๆ ร้อนๆ

อันที่จริง ก่อนหน้านี้ MMTh เคย ออก Pajero Sport  รุ่นเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 2.4 ลิตร มาแล้ว
ในช่วงปลายปี 2011 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจาก ตัวเลขสมรรถนะ ไม่น่าจะเข้าตาลูกค้าเท่าไหร่
จึงมีการตัดสินใจ เพิ่มทางเลือกขุมพลังใหม่ คราวนี้ ยกเครื่องใหญ่ บล็อก V6 วางใส่ให้ไปเลย

ทำให้ Pajero Sport กลายเป็น SUV ซึ่งสร้างขึ้นบนพื้นฐานรถกระบะ (PPV) ที่มีเครื่องยนต์ แรงม้า
สูงที่สุดในตลาดไปเรียบร้อยแล้วหน้าตาเฉย!!! แซงหน้าไปแม้กระทั่ง Toyota Fortuner 171 แรงม้า
เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ รุ่นใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อ 10 กรกฎาคม 2012 แบบทิ้งห่างกันบนตาราง
สเป็กในเล่มแค็ตตาล็อก เลยทีเดียว

รับกุญแจได้ ก็เดินไปที่รถ…มองจากภายนอกนี่ เหมือนเดิมเลยแหะ ทุกอย่างไม่ได้แตกต่างไปจาก
รุ่นมาตรฐาน ที่เคยลองขับก่อนหน้านี้ไปเท่าไหร่ แม้แต่กุญแจพร้อมรีโมทคอนโทรล และระบบ
Immobilizer ยังมีหน้าตา เหมือนเดิม ทุกกระเบียดนาโนเมตร เลยละ!

ในเมื่อความแตกต่าง ของรูปลักษณ์ภายนอก เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ หาได้มีให้เห็นไม่มากเกิน
ไปกว่า กระจกมองข้างโครเมียม พร้อมไฟเลี้ยวในตัว ชุดไฟหน้า HID (High-Intensity Discharge
Headlapm) พร้อมระบบปรับระดับลำแสงอัตโนมัติและระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
ตามสภาพแสงภายนอก เสริมด้วย ระบบน้ำฉีดล้างไฟหน้ารถ และระบบใบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ทำงาน
ร่วมกับ Rain-Sensor แถมด้วยสัญลักษณ์ V6 MIVEC 3 ตำแหน่ง เราก็คงไม่จำเป็นต้องพูดถึงซ้ำอีก

เช่นเดียวกับการตกแต่งภายใน นอกเหนือจากการเปลี่ยนหนังหุ้มเบาะ มาใช้โทนสีดำ แทนสีเบจ และ
ชุดมาตรวัดที่มีการเปลี่ยนกรอบวงกลมล้อมรอบทั้งมาตรวัดความเร็ว และมาตรวัดรอบใหม่ ให้ดูไฮโซ
มากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยแล้ว แทบจะต้องขออนุญาตข้ามไปเลย ไม่พูดถึงซ้ำอีก เนื่องจากรายละเอียด
ต่างๆ ในภาพรวม มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากรุ่น Diesel 2.5 ลิตร VG Turbo เพียงแต่ มีการติดตั้ง
อุปกรณ์เพิ่มเติม เล็กน้อย เช่น Cruise Control เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมแอร์แถว 2 ฯลฯ

รวมทั้ง ชุดเครื่องเสียง วิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่น DVD / VCD / CD / MP3 แบบแผ่นเดียว พร้อม
หน้าจอแบบใช้นิ้วสัมผัส (Touch Screen) ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม Navigation
System ซึ่งเด่นกว่าคู่แข่ง ตรงที่สามารถแสดง ภาพแผนที่นำทาง และฟังก์ชั่นการใช้งานอื่นในเวลา
เดียวกันได้ รวมไปถึงระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth และช่องต่อพ่วงกับ iPod และ
USB ซึ่งยังต้องเปิดลิ้นชักหน้ารถ ถึงจะเจอสายระโยงระยางห้อยออกมายาวเฟื้อย ควบคุมได้ด้วย
รีโมทคอนโทรล ทั้งชุดที่เห็นนี้ ยกมาจาก Lancer EX ไม่มีผิดเพี้ยนพิมพ์เขียว!

พร้อมกล้องมองหลังขณะถอยจอดแสดงภาพบนหน้าจอ Monitor แต่ขอบอกเลยว่า เห็นแค่ภาพใน
ระยะใกล้ๆ ควรปรับมุมองศาการติดตั้งของกล้องให้เงยกว่านี้ อีกนิดนึง จะดีกว่า

นอกจากนี้ ยังเพิ่ม จอ Monitor แบบ WIDE Screen ขนาด ใหญ่ 10.2 นิ้วสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ไว้รับสัญญาณภาพจากแผ่นภาพยนตร์ ที่ชุดเครื่องเสียงด้านหน้าของรถได้ ใน Pajero Sport ใหม่นี้
ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร สามารถดูหนังฟังเพลงได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องกังวลว่า จอจะดับลงเมื่อรถ
เคลื่อนที่อยู่หรือไม่ ดังนั้น ผู้ขับขี่ ควรจะใช้สมาธิในการขับรถมากๆ หากเปิดแผ่นภาพยนตร์อยู่

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ขุมพลังใหม่ที่เพิ่มเข้ามา และเป็นเหตุให้เราต้องนำมาทดลองขับ ทำรีวิวกันคราวนี้ เป็นเครื่องยนต์รหัส 6B31
เบนซิน บล็อก 6 สูบ SOHC 24 วาล์ว 2,998 ซีซี  กระบอกสูบกว้าง x ช่วงชัก 87.6 x 82.9 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอีเล็กโทรนิกส์ ECI – MULTI (Electronically
controlled multi-point fuel injection) พร้อมระบบแปรผันวาล์ว MIVEC (Mitsubishi Innovative
Valve timing Electronic Control system) ซึ่งทำงานเฉพาะฝั่งวาล์วไอดี

กำลังสูงสุด 219 แรงม้า (PS) หรือ 161 กิโลวัตต์ (kW) ที่ 6,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 281 นิวตันเมตร
หรือ 28.63 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที

ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ INVECS-II พร้อมโหมด บวก-ลบ
Sportronic ซึ่งเป็นเกียร์ลูกเดิม ลูกเดียวกันเป๊ะ เชื่อมใส่กันได้เลยทั้งเครื่องยนต์ Diesel หรือ เบนซิน
อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1……………………..3.789
เกียร์ 2……………………..2.057
เกียร์ 3……………………..1.421
เกียร์ 4……………………..1.000
เกียร์ 5……………………..0.731
เกียร์ถอยหลัง……………….3.865
อัตราทดเฟืองท้าย…………..4.272 <—- มีการปรับอัตราทดใหม่ ให้ต่างจาก 2.5 VG Turbo

สมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น เราทำการทดลองหาอัตราเร่ง กันในยามค่ำคืน ด้วยมาตรฐานดั้งเดิม คือ
เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เปิดไฟหน้า (เพื่อเพิ่ม ภาระ Load ในระบบอีกนิดนึง) โดยมีคุณกล้วย BnN แห่ง
The Coup Channel ) ของเรา ทำการจับเวลาเหมือนเคย ตามเดิม และตัวเลขที่ได้ เมื่อเทียบกับรุ่น
เครื่องยนต์ 2.5 VG Turbo รวมทั้งคู่แข่ง มีดังต่อไปนี้

ตัวเลขที่ออกมา ชัดเจนแล้วนะครับว่า คราวนี้ Pajero Sport ยังคงครองความเป็นจ่าฝูง ของตลาดกลุ่ม
SUV บนพื้นฐานรถกระบะ (PPV) ในด้าน “ความแรง” อีกตามเคย เพราะคราวนี้ ตัวเลขอัตราเร่งจาก
0 -100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดันต่ำลงเหลือระดับ 11 วินาที แถมยังมี ตัวเลข 10.99 วินาที โผล่มาให้เห็น
กันตาลุกวาวเล่นๆด้วยซ้ำ

ด้านอัตราเร่งแซง 80 -120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ต่ำลงเหลือ 7.87 – 7.95 วินาที ถือเป็นรถประเภทนี้ รุ่นแรก
ที่ทำตัวเลขอัตราเร่งแซง ต่ำกว่า 8 วินาที ทั้งที่ไม่ต้องมี Turbocharger เข้ามาช่วยอีกต่างหาก แต่อย่างว่า
รถคันนี้ใช้เคื่องยนต์ “เบนซิน V6” ซึ่งพละกำลังมันก็ไหลมาเทมา มากกว่ารถปกติอยู่แล้ว ฉะนั้น จึง
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก หากตัวเลขออกมาเป็นเช่นนี้

ความเร็วสูงสุด ก็ยังคงอยู่ที่ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง เหมือนรุ่น VG Turbo นั่นละครับ แต่ในช่วงเกียร์ 5
เมื่อไต่ขึ้นไปถึงระดับดังกล่าวแล้ว เข็มความเร็วจะค่อยๆลดถอยลงมา เหลือแถวๆ 184 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ดันต่อเนื่องไปได้เพียงแค่นี้ ไปต่อไม่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว

ในการใช้งานจริง พละกำลังของเครื่องยนต์นั้น เพียงพอ เหลือเฟือ ช่วงออกรถจากจุดหยุดนิ่ง รถยังมี
อาการดีดออก เหมือนม้าดีดกะโหลกเล็กๆ อัตราเร่ง ไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่อง แรงดี พุ่งดี กำลังไม่มีตก
ในช่วงรอบต้นๆ อาจจะยังไต่รอบขึ้นไปแบบธรรมดา ไม่ช้าไม่เร็วมาก แต่พอเข้าสู่ช่วงกลาง แรงบิดเริ่ม
โผล่มาให้เห็นเกือบเต็มพิกัด แต่ถ้าคิดว่า หมดแล้ว เปล่าครับ ช่วงรอบปลายๆ ยังไหลแรงขึ้นได้อีกแหนะ!
ช่วงราวๆ หลัง 4,500 รอบ/นาที จนถึง 6,000 รอบ/นาที กลับไหลลื่น ขึ้นไปจนถึงขีด Red Line อย่าง
ต่อเนื่อง จนน่าแปลกใจ ว่าที่ขับอยู่นี่ มันเครื่อง Mitsubishi หรือเครื่อง Honda กันแน่ (ขานั้น เขาชอบ
แรงตีนปลายเป็นปกติในภาพรวม) ดังนั้น เรื่องความแรงของเครื่องยนต์ V6 ไม่มีอะไรให้กังขาครับ
แรงอย่างที่หลายๆคนต้องการเลยทีเดียว

แต่สิ่งที่ยังถ่วงความเจริญของเครื่องยนต์ อยู่บ้าง เห็นจะหนีไม่พ้น สมองกลของเกียร์อัตโนมัติ ในช่วง
ที่ผมต้องการอัตราเร่ง แบบปัจจุบันทันด่วน หากยังอยู่ที่เกียร์ 5 ใช้ความเร็วเท่าไหร่ก็ตาม จะเป็นช่วง
80 หรือ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าใช้แป้น Paddle Shift หรือโยกคันเกียร์ ไปที่โหมด บวก/ลบ แล้วดึง
เปลี่ยนลงเป็นเกียร์ 4  การทำงานของเกียร์ ถือว่า ฉับไวใช้การได้ แต่พอต้องเปลี่ยนลงมาเป็นเกียร์ 3
รถจะใช้เวลาคิดอยู่นานถึง 1.5 วินาที กว่าจะยอมเปลี่ยนเกียร์ให้ ซึ่งในบางจังหวะ ก็เกือบจะไม่ทัน
กับเหตุการณ์เฉพาะหน้า ถ้าอยากจะเปลี่ยนเกียร์ให้เร็ว อาจต้องแตะคันเร่งเลี้ยงไว้ เพื่อบอกให้เจ้า
สมองกลรู้ก่อนว่า ข้าจะเหยียบแล้วละนะ สักครั้งนึงก่อน ทีนี้ละ เกียร์จะทำงานไวขึ้นมานิดนึง

ยิ่งถ้าใช้วิธีเหยียบคันเร่งครึ่งหนึ่ง หรือจมมิดเพื่อสั่งให้เกียร์เปลี่ยนตำแหน่ง จาก 5 ลง 3 เกียร์จะใช้
เวลาคิด นาน 1.5 ถึงเกือบ 2 วินาที เพื่อจะตัดสินใจลดเกียร์ลงมา ผมอยากเห็นการเซ็ตสมองกลเกียร์
ให้ทำงานได้ไวกว่านี้ เพื่อช่วยลดโอกาสเสี่ยง ในเวลาต้องเรียกอัตราเร่งกระทันหัน ในเสี้ยววินาที

ดังนั้น งานนี้ คันเร่งไม่ได้ช้า แต่สิ่งที่ทำให้รถตอบสนองช้า ก็คือ สมองกลเกียร์ นั่นแหละ!

ระบบบังคับเลี้ยว เป็น พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง รัศมีวงเลี้ยว 5.6 เมตร
ยังคงให้ความมั่นใจในการขับขี่ เช่นเดิม มีระยะฟรีเหมาะสม เหมือนเช่นเดิม ให้การขับขี่ทางไกล
ได้อย่างสบาย และมั่นใจ ไม่เว้นแม้แต่การใช้ความเร็วสูงๆ On Center Feeling ถือว่ายังทำได้ดีอยู่
แต่คุณสุภาพสตรีอาจต้องออกแรงหมุนพวงมาลัย ขณะถอยเข้าจอด หรือขับขี่ในเมือง มากกว่า
รถเก๋งอยู่สักหน่อย ซึ่งแม้แต่คู่แข่ง อย่าง Chevrolet Trailblazer ก็ต้องเซ็ตพวงมาลัยมาในแนวทาง
ที่คล้ายๆกันนี้

ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระ ปีกนกคู่ คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ 3 Link
Torque Arm  คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ตามเดิม ดังนั้น บุคลิกของช่วงล่าง จึงยังคงให้สัมผัสที่
หนักแน่น มั่นใจได้ เหมือนเช่น Pajero Sport คันอื่นๆ ก่อนหน้านี้ หากคุณนั่งอยู่บนเบาะคู่หน้า คุณจะ
พบว่า ช่วงล่าง เหมือนเซ็ตมาลงตัวดีแล้ว  แต่พอคุณย้ายไปนั่งด้านหลัง อาการสะเทือนหนักๆ หรือกระเด้ง
ก็ชัดเจน เมื่อนั่งบนเบาะหลัง หรือแถว 3 เพราะช้อกอัพ และสปริงด้านหน้า จะออกแบบให้นุ่มและแน่น
กว่าล้อคู่หลัง ซึ่งแข็งกว่าชัดเจนอยู่สักหน่อย ไม่ต้องแปลกใจครับ Trailblazer ก็ให้อาการในตอนขับผ่าน
เนินลูกระนาด ตามตรอกซอกซอยต่างๆ แบบคล้ายๆกันนี้ละครับ

ระบบเบรกเป็นแบบ หน้าดิสก์ หลังดรัม ทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นถูกสุด ติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock
Braking System) และระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution)
มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน

แม้จะให้ความนุ่มนวลของแป้นเบรก ในช่วง 10 – 40 % แรกของระยะเหยียบแป้นเบรก และช่วยหยุด
หรือชะลอรถได้ดี เบรกให้นุ่มนวลทำได้ ไม่ยากเลย แต่ถ้าคุณใช้ความเร็วสูงมากๆ เกินกว่า 100 -120
กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป การเหยียบเบรกลงไปลึกถึงระกับ 50% ของระยะแป้นเบรก อาจพบอาการ
แป้นเบรกจะต้านเท้า และหนืดกว่าช่วงแรกมาก ระยะเหยียบที่เหลือ จะเหยียบลงไปได้ไม่ลึก ขณะที่
การหน่วงความเร็วลงมาจากระดับ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น ให้เหยียบเบรกเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
ของระยะเหยียบแป้นเบรกทั้งหมด รถจะชะลอลงได้ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับ รถรุ่นอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน
แต่อาจเจออาการ คล้ายจานเบรกสั่น อยู่บ้าง และถ้ารุนแรงกับเบรกมากไปอาจเกิดอาการ Fade ได้

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เราทำการทดลองตามมาตรฐานเดิม นั่นคือ พา เจ้า V6 ไปเติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 ที่สถานีบริการน้ำมัน
Caltex บนถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ กันจนเต็มถัง และเติมแค่หัวจ่ายตัดก็พอ สำหรับ
รถยนต์ประเภทนี้ เพื่อให้เหมือนกับการทดลองของ Pajero Sport , Fortuner Everest และ Trailblazer 
คันอื่นๆ ที่เราเคยทำมาก่อนหน้านี้

เมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง จนหัวจ่ายตัดแล้ว เราก็เซ็ต 0 บน Trip Meter ที่มาตรวัดความเร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย
ติดเครื่องยนต์ ออกรถ มุ่งหน้าไปตามถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับ ไปเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออกปากซอย
โรงเรียนเรวดี ข้นทางด่วนที่ด่านพระราม 6 มุ่งหน้าไปยังปลายสุดสายทางด่วนอุดรรัถยา ที่ด่านบางปะอิน
เลี้ยวกลับรถเพื่อย้อนเส้นทาง มาขึ้นทางด่วนอีกครั้ง ขับกลับเข้ากรุงเทพฯ ตามเส้นทางเดิม ด้วยมาตรฐาน
ดั้งเดิมของเรา นั่นคือ วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน

ลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน ตรงมาเรื่อยๆ เพื่อมาเลี้ยวกลับรถที่
หน้าโชว์รู เบนซ์ ราชครู ก่อนจะเลี้ยวซ้าย เข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95
Techron จนเต็มถัง เติมในแบบหัวจ่ายตัด เช่นเดียวกับตอนเริ่มต้น ที่หัวจ่ายเดียวกันเป๊ะ

เอาละ มาดูตัวเลขที่ เกิดขึ้นจริงกันดีกว่า
ระยะยทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 95.7 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ จนหัวจ่ายตัด อยู่ที่ 9.81 ลิตร
หารแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 9.75 กิโลเมตร/ลิตร

โอ้โห! กินน้ำมัน ดุเดือดเอาเรื่องเลยทีเดียว!!

ถ้ายิ่งดูตารางเปรียบเทียบแล้ว คิดเล่นๆ อาจดูเหมือนว่า ทำไมยิ่งเป็นรุ่นปีใหม่ขึ้น กลับยิ่งกินน้ำมัน
มากยิ่งขึ้น ทั้งที่ มันควรจะประหยัดขึ้น คำตอบก็คือ ยังไงๆ สำหรับรถยนต์ประเภทนี้ เครื่องยนต์
Diesel จะทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ดีกว่า เครื่องยนต์ เบนซิน และมีพละกำลังในช่วงแรงบิด
รอบต้นดีกว่า แต่จากตารางอัตราเร่งข้างบน ก็คงจะเห็นได้ชัดเจนว่า เครื่องยนต์เบนซิน จะให้
อัตราเร่งช่วงรอบกลาง และรอบปลายๆ ได้ดีกว่า Diesel

ส่วนคำถามที่ว่า น้ำมัน 1 ถัง แล่นได้ไกลแค่ไหน ตอบได้เลยว่า ถ้าขับแบบเหยียบๆหน่อย มีช่วง
ที่ใช้งานในเมือง เจอรถติดบ้าง และต้องมีทำท็อปสปีด 1-2 ครั้ง ที่เหลือ ขับป้วนเปี้ยนแถวๆ ระดับ
80 – 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง เข็มน้ำมันจะร่วงถึงขีด E และไฟเตือนน้ำมันจะติดสว่างขึ้น เมื่อ Trip
Meter แสดงตัวเลข 417 กิโลเมตร นั่นหมายความได้ว่า ถ้าขับประหยัดกว่าที่ผมขับ น้ำมัน 1 ถัง
น่าจทำได้ราวๆ 500 กิโลเมตร แต่ถ้าขับแบบปกติทั่วไป ไม่ได้เร่งมากนัก น่าจะทำได้ประมาณ
450 กิโลเมตร

********** สรุป **********
ถ้าอยากได้ครบทั้งหรู และแรง แถมคิดเอาไปติดก๊าซด้วย ก็ต้องคันนี้แหละ!

ตาเอก Backseat Driver เพิ่งเล่าให้ผมฟังว่า ตัวเลขยอดขายรถยนต์ประเภท SUV / PPV ในบ้านเราตอนนี้
บ่งชี้ว่าแนวโน้มความต้องการ SUV/PPV ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน แต่ตกแต่งในระดับที่ ต้องหรูหราไม่แพ้
รุ่นท็อป กำลังเพิ่มความนิยมขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งโดยเฉพาะ ถ้าเป็นรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน จะมีกลุ่มลูกค้ากลุ่มหนึ่ง ให้ความสนใจเป็นพิเศษ คนกลุ่มนี้
ตั้งใจแล้วว่า ซื้อรถปุ๊บ จะนำไปติดตั้งระบบก๊าซ ไม่ว่าจะเป็น LPG หรือ CNG โดยไม่สนใจว่า เข้าข่าย
เป็นการดัดแปลงเครื่องยนต์ และทำให้หมดอายุการรับประกันในส่วนของระบบส่งกำลังและเครื่องยนต์
ทั้งหมดได้

แต่พวกเขา ไม่แคร์ จะเพราะไม่รู้ ไม่สนใจ หรือเหตุผลใดก็ตาม ลูกค้าที่คาดว่าจะนำรถไปติดตั้งระบบก๊าซ
ทั้งหลายนั้น มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนที่ใช้งานรถค่อนข้างหนัก ระยะทางในแต่ละวันเยอะอยู่ อัตราเร่งที่
ต้องกระฉับกระเฉง เป็นเรื่องที่ลูกค้ากลุ่มนี้ ยังคาดหวังแอบซ่อนไว้อยู่เบื้องลึก โดยใช้ความประหยัดน้ำมัน
ฉาบเคลือบความต้องการด้านอัตราเร่งของตนเองเอาไว้

ทางเลือกในตลาด เพื่อลูกค้ากลุ่มนี้ ที่ผ่านมา มีไม่มากนัก และไม่ใช่ทางเลือกที่โดนใจพวกเขาเท่าไหร่

แม้ว่า Toyota Fortuner เพิ่งจะมีรุ่นเครื่องยนต์ปรับปรุงใหม่ 171 แรงม้า (PS) พร้อมเกียร์อัตโนมัติใหม่
5 จังหวะ เหมือนชาวบ้านเขาสักที รวมทั้งการมาถึงของ Chevrolet Trailblazer ก็ยิ่งทำให้ตลาดกลุ่มนี้
มีสีสันน่าติดตามมากยิ่งขึ้น เพราะ ลำพัง Isuzu MU-7 และ Ford Everest ไม่อาจจะท้าชิงกับคู่แข่งหลัก
ทั้ง Fortuner กับ Pajero Sport ได้อย่างที่ควรจะเป็น เพราะขาดความสดใหม่ และความน่าตื่นตาตื่นใจ
ที่จะดึงลูกค้าให้เดินเข้าโชว์รูม

แต่ในเมื่อ Fortuner 2.7 ลิตร เบนซิน ทำอัตราเร่งออกมาได้ ไม่ดีเลย อีกทั้ง Isuzu ก็ไม่คิดจะทำ MU-7
รุ่นเครื่องยนต์ เบนซิน ทั้งรุ่นปัจจุบัน และรุ่นใหม่ที่จะต้องมีกำหนดคลอดในช่วงปี 2013 – 2014 ก็จะ
ไม่มีเครื่องยนต์เบนซินให้เลือก ขณะที่ Ford Everest เอง แม้จะมีเครื่องยนต์เบนซิน แต่ก็ยังอยู่ใน
อาการ ลูกผีลูกคน ว่าจะติดตั้งมาให้ด้วยหรือไม่ ส่วน Trailblazer เอง ก็ยังไม่มีรุ่น 2.8 ลิตร LTZ1 2WD
ซึ่งเป็นรุ่นย่อยที่เชื่อว่าน่าจะตอบโจทย์หลายๆครอบครัว ซึ่งไม่ต้องการระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้ดีกว่า
พวกเขายังไม่ทำออกมาขาย รอกันอีกนานแค่ไหนก็ยังไม่รู้ ต่อให้เป็นคนของ GM ก็ไม่อาจล่วงรู้

ดังนั้น การเปิดตัว Pajero Sport รุ่น เบนซิน V6 3.0 ลิตร ในครั้งนี้ ต้องให้เครดิตกับ Mitsubishi Motors
Thailand ว่าปรับตัวต่อความต้องการของลูกค้าในตลาด ได้เร็วขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เพราะ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ติดรถ หรือสมรรถนะจากเครื่องยนต์ จะถูกใจบรรดาพ่อบ้านรุ่นใหญ่ ที่มอง
รถยนต์ตรวจการยกสูงคันใหญ่ ไว้ไปเที่ยวทางไกล แต่ไม่ได้ลุยเข้าไปในป่าในทุ่งมากนัก ขับบนถนน
ทางหลวงทางเรียบไปเรื่อยๆ เจอรถช้าวิ่งขวา ก็เหยียบครึ่งคันเร่ง แซงปรู๊ดทิ้งหายไปไม่เห็นฝุ่น

อย่างไรก็ตาม อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง คือสิ่งที่ทำให้ความน่าสนใจ หดหายไปทันที ถ้าคิดจะใช้รถคันนี้
ในแบบเดิมๆ ไม่ติดตั้งระบบเชื้อเพลิงทางเลือกใดๆ เพราะอัตราสิ้นเปลืองนั้น มันไม่ได้แตกต่างไปจาก
บรรดา SUV รุ่นใหญ่ๆ ตลอดช่วง 10 กว่าปี มานี้เลย และมันเป็นสิ่งหนึงที่ทำให้คุณงามความดีของรถ
ที่กำลังเปล่งแสงเจิศจรัส ต้องมัวหมองลงไปพอสมควร

คำถามก็คือ…แล้วคุณควรจะเลือกทางไหนดี?

เชื่อว่าหลายๆคนที่กำลังจับจ้อง Pajero Sport ไว้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะมองรุ่น 2.5 Diesel VG Turbo เป็นหลัก
แต่ก็มีลูกค้าบางกลุ่ม ที่อยากได้เครื่องยนต์ เบนซิน เผื่อเอาไว้ว่าสักวันหนึ่ง จะนำไปติดตั้งระบบก๊าซ ทั้ง
แบบ LPG หรือ CNG ก็ตาม

ถึงจุดนี้ มันขึ้นอยู่กับคุณผู้อ่านแล้วละครับว่า อยากใช้รถในรูปแบบใด

ถ้ามั่นใจว่า จะใช้ระบบก๊าซ ยอมรับได้ในกรณีที่การรับประกันคุณภาพในส่วนระบบส่งกำลังและเครื่องยนต์
จะต้องหมดลงทันที ที่คุณไปติดตั้งระบบก๊าซ  (ส่วนอื่นๆที่เหลือ จะยังมีการรับประกันอยู่ และน่าจะเคลม
เปลี่ยนชิ้นส่วนได้ เช่นพวก เบรก หรือช่วงล่างด้านหน้า) อีกทั้งมั่นใจว่า ไม่แคร์เรื่องการซ่อมบำรุง กับงาน
บริการหลังการขาย เพราะฉันก็เอาเข้าอู่นอกอยู่ดี ไม่ซ่อมกับศูนย์บริการแน่ๆ ขอแค่ว่า ประหยัดค่าเชื้อเพลิง
แต่ได้อัตราเร่งทันอกทันใจ ขับไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องกังวลค่าน้ำมัน แต่อาจต้องหมั่นขยัน ไปเช็คปรับตั้ง
วาล์วไอดีกันทุก 40,000 กิโลเมตร อันเป็นคำแนะนำมาตรฐานสำหรับรถติดตั้งระบบก๊าซ

ที่สำคัญคือ ไม่กลัวเรื่องความเสี่ยงในการใช้ก๊าซ กับรถยนต์ ซึ่งในความจริงแล้ว ก็ยังน่ากลัวอยู่ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย
เจอ อู่ติดก๊าซที่ดีๆ ก็ดีไป เจออู่ห่วยๆ ก็ซวยกันไป ไฟไหม้ระเบิดโป้งป้างขึ้นมา อู่เขาก็ไม่ค่อยจะรับผิดชอบอะไร
เว้นแต่จะติดตั้งกับ บริษัทใหญ่ๆ ประสบการณ์ดีๆ อันนี้จะพออุ่นใจได้ เพราะบางราย มีประกันภัยแถมให้

คำตอบชัดเจนเลยครับ รุ่น V6 3.0 ลิตร ใหม่ ตอบโจทย์คุณได้ชัดเจนกว่า ในราคาแค่ 1,295,000 บาท เท่านั้น!

แต่…ถ้ายังกลัวเรื่องการติดตั้งก๊าซในรถยนต์ และยังอยากได้ความแรง รวมทั้งระยะทางแล่นที่ไกลกว่า จากการ
เติมน้ำมัน 1 ถังเต็มๆ เพียงแต่อาจต้องมานั่งเลือกสถานีบริการน้ำมัน ที่ดูใหม่ และมั่นใจได้ รวมทั้งอาจต้อง
เสียโอกสในการนำรถไปติดก๊าซ เนื่องจาก การติดตั้งระบบก๊าซในรถยนต์ Diesel นั้น แม้จะทำได้แต่แพงมาก
กว่ารถยนต์เบนซิน และผลลัพธ์ที่ได้ ไม่คุ้มเลยกับเงินที่ต้องจ่ายออกไป…..

2.5 Diesel VG Turbo คือคำตอบที่ดีกว่าชัดเจนครับ!

—————————-///——————————

ขอขอบคุณ

คุณผกามาศ ผดุงศิลป์ (พี่แตน)
คุณธิราพร ย้อยแสง (พี่จิม)
และภควดี ละอองศรี (พี่มุ่ย)
ฝ่ายประชาสัมพันธ์   
บริษัท Mitsubishi Motors (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ และการประสานงานในด้านต่างๆ อย่างดียิ่ง 

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
บทความ ทดลองขับ Mitsubishi Pajero Sport 2.5 VG Turbo
บทความ ทดลองขับรถยนต์ในกลุ่ม Midsize SUV / PPV

—————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน 
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
26 สิงหาคม 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
August 26th,2012 

แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments Are Welcome! Click Here!