หลายๆคนมักตั้งคำถามว่า ทำไมผู้ผลิตรถยนต์บ้านเรา ถึงไม่ยอมนำ
รถยนต์รุ่นท็อปๆ ตัวแรงๆ ออพชันแน่นๆ ของพวกเขา ที่ทำตลาดกัน
อยู่ในเมืองนอก มาขายให้คนไทยกันบ้าง? ปล่อยให้คนไทยใช้แต่
รถยนต์ราคาแพงๆ ออพชันน้อยๆ เอาเปรียบคนไทยกันอยู่ได้?

เป็นคำถามน่าเบื่อ ที่ผมต้องเจอมาตลอด 10 กว่าปี เป็นคำถามที่ไม่เคย
หายไปจากหน้ากระทู้ตาม Website ต่างๆ ต่อให้ทุกวันนี้มี Facebook
หรือ Twitter ก็ยังมีคนไทย ที่ขยันถามคำถามนี้ ด้วยความไม่รู้ อีกเป็น
จำนวนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!

(อุ๊ย! ขอโทษฮะ พิมพ์เพลินไปนิด กดแป้น ก.ไก่ ลากยาวไปหน่อย)

จากปากคำของคนที่ทำงานในบริษัทรถยนต์เหล่านั้น คำตอบส่วนใหญ่
หนีไม่พ้นประเด็นที่ว่า “มันจะแพงมากจนทำราคาขายไม่ได้”

คำว่า “ทำราคาขายไม่ได้” มันแปลว่า หากต้องคำนวนตามสูตรการตั้งราคา
ที่บริษัทรถยนต์แต่ละค่าย เขาเซ็ตเอาไว้ ราคาขายจะถีบตัวสูงโด่งขึ้นไป
เกินกว่าทั้งคู่แข่งและลูกค้าจะคาดคิดไว้มาก จนทำให้ขายไม่ออกและ
ขาดทุน เจ๊งบ๊ง ตามมาในที่สุด คนทำรถรุ่นนี้ อาจโดนย้าย หรือไล่ออกได้

กระนั้น ไม่ได้หมายความว่า คนไทยในบริษัทรถยนต์เหล่านั้น จะนิ่งหรือ
อยู่เฉย กับเรื่องนี้ตรงกันข้าม หลายๆคน ในหลายๆ บริษัท พยายาม หา
วิธีการ นำรถยนต์รุ่นแปลกๆ ประหลาดๆ อัดออพชันแน่นๆ เข้ามาผลิตให้
คนไทย ได้มีโอกาสใช้ของดีๆ เหมือนฝรั่งมังค่า กับเขาเสียที

ในอดีต ก็เคยมีคนทำเรื่องแบบนี้กันมาแล้ว แต่ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ กลับเจอ
อุปสรรคมากมาย พอออกขายจริง ก็ต้องตั้งราคาไว้แพงโด่ง จนลูกค้าต่าง
พากันเบือนหน้าหนี

แต่คราวนี้…สิ่งที่เกิดขึ้น มันต่างไปจากบทเรียนในอดีต เป็นหนังคนละม้วน!

ผมดีใจเป็นลิงโลด เมื่อเห็น E-Mail แจ้งให้ไปร่วมงานเปิดตัว Nissan Pulsar
1.6 DIG Turbo ในเมืองไทย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2014 ที่ผ่านมา ณ ห้อง
Ball Room โรงแรม Sofitel Centara ลาดพร้าว

เพราะนั่นเท่ากับเป็นการยืนยันว่า สิ่งที่ผมเคยบอกคุณผู้อ่านมาตลอด 1 ปี
ก่อนหน้านี้ ในบทความสรุปรถใหม่เปิดตัวในเมืองไทย ทั้งปี 2013 – 2016
และ 2014 – 2017 ของ Headlightmag.com เรานั้น มันเป็นเรื่องจริง!!

ก่อนหน้านั้น ใครหลายๆคน เคยเกริ่นให้ผมได้ยินมาเป็นระยะๆ ว่า Nissan
คิดจะนำ Pulsar Turbo มาประกอบขายในเมืองไทย ให้ลูกค้าบ้านเราได้
เป็นเจ้าของกัน 

พอพูดออกไป ก็ไม่เห็นมีใครเชื่อว่า เรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริง ทุกคน แม้แต่ ตาแพน
Commander CHENG ของเรา ฟังแล้วก็ยังต้องเอาไม้แคะขี้หูอีกหลายรอบ
เพราะไม่มีใครเชื่อว่า Nissan Motor Thailand จะบ้าพอ จนทำเรื่องนี้ให้
เป็นเรื่องจริงได้

ต้องค่อยๆสืบสาวราวเรื่องกันต่อ จนพบว่า อันที่จริง Nissan ต้องประกอบเจ้า
Pulsar Turbo จากโรงงานย่านบางนา – ตราด กิโลเมตรที่ 22 เพื่อส่งออก
สู่ตลาด Australia และ New Zealand กันอยู่แล้ว ไฉนเลย เพื่อไม่ให้ต้อง
ปวดกบาลนัก ก็ใช้วิธี ตัดยอดผลิตบางส่วน มาขายในรูปแบบของรุ่นพิเศษ เพื่อ
กระตุ้นตลาด ดีกว่า 

แผนทั้งหมดนี้ ถูกวางเอาไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อนานมากแล้ว และหลายๆคนใน
Nissan เอง ก็อยากเห็นรถคันนี้ ถูกตัดยอดผลิตมาขายในบ้านเรา เพื่อช่วย
เสริมภาพลักษณ์ ในฐานะผู้นำในการผลิตรถยนต์สมรรถนะดี เอาใจหนุ่มสาว
ยุคใหม่ ให้เกิดขึ้นในเมืองไทย รวมทั้งเสริมภาพลักษณ์ด้าน MotorSport
ให้กับ Nissan ไปอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจาก Juke และ การนำโครงการ
เฟ้นหานักแข่งจริง จากเกมแข่งรถ GT Academy มาเปิดตัวในประเทศไทย

เมื่อมองจากสายตาของคนนอก ทุกอย่างมันถูกเชื่อมโยงกันไว้จางๆ ทว่า
หนักแน่นในวัตถุประสงค์

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเปิดตัว Pulsar Turbo ในเมืองไทย นั้น
ส่วนหนึ่ง ก็เพื่อกระตุ้นชื่อของ Pulsar ให้ยังคงอยู่ในความเคลื่อนไหวของ
ตลาดรถยนต์บ้านเรา ทำให้ลูกค้าไม่ลืม และหวังจะให้ภาพลักษณ์ความแรง
ขอ Pulsar Turbo ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับบุคลิกของ Pulsar ในฐานะของ
รถยนต์ Sport Hatchback พิกัด C-Segment ในการรับรู้ของคนไทยมากขึ้น

อย่างที่ทราบกันดีครับ นับตั้งแต่เปิดตัวในบ้านเรา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2013
ยอดขายของ Pulsar ในเมืองไทย กลับเงียบเกือบสนิท มันกลายเป็นรถยนต์
รุ่นหายากบนท้องถนนเมืองไทย เจอเมื่อไหร่ โดนล้อว่าเป็น Rare item
ต้องจุดธูปกราบไหว้ขอพรหรือขูดตัวถังขอหวยกันเลยทีเดียว!

ยิ่งพอเจอตัวเลขยอดขายช่วงปลายปีเข้าไป ถึงขั้นขำก๊ากกันเลยทีเดียว
มีอย่างที่ไหนละครับ Nissan Juke เปิดตัวในบ้านเรา และเริ่มส่งมอบ
ตลอดเดือน มกราคม 2014 ได้เพียงเดือนเดียว ยอดขายรวม มากกว่า
ยอดขายของ Pulsar ในไทย ตลอดปี 2013 !!!

เหตุผลมาจาก รูปร่างที่ไม่โดนใจคนไทยเท่าใดนัก อีกทั้งยังหาความต่างจาก
พี่ชายร่วม Platform เดียวกันอย่าง Sedan รุ่น Sylphy ได้ไม่มากพอ ทั้งที่
มีค่าตัวแพงกว่ากันไปนิดหน่อย ทำให้ Pulsar ขายไม่ออกในช่วงที่ผ่านมา

ดังนั้น เพื่อเป็นการทดลองตลาด Nissan จึงเลือกใช้วิธี จำกัดจำนวนผลิตของ
Pulsar 1.6 DIG Turbo ล็อตที่จะผลิตขายสำหรับลูกค้าคนไทย เอาไว้ให้เป็น
Limited Edition เพียงแค่ 350 คัน เท่านั้น

หมดแล้ว หมดเลย! ไม่ผลิตเพิ่มอีก!

และ 1 ใน 350 คันนั้น มันก็มาจอดอยู่ในรั้วบ้านผมแล้ว แม้จะเป็นเพียงแค่
ช่วงเวลาสั้นๆ ราวๆ 1 สัปดาห์ ก็ตาม มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลยละ
ที่ในวันนี้ สิ่งที่ผมรอคอย และหวังจะเห็นบนถนนเมืองไทย มาจอดอยู่
ตรงหน้าผมแล้ว เสียที!

คำถามที่หลายคนคงอยากรู้คงมีแค่เพียง 3 คำถาม นั่นคือ

– แรงจริงหรือเปล่า?
– ออพชันที่ให้มา มากน้อยแค่ไหน  
– คุ้มกับราคาค่าตัวหรือไม่ ควรเป็นเจ้าของหรือเปล่า?

ถ้าอยากรู้คำตอบ ก็ไม่ยาก เลื่อนเมาส์ ของคอมพิวเตอร์ หรือใช้นิ้วลาก
ผ่านหน้าจอ Smartphone กับ Tablet ของคุณ ลงไปข้างล่างสิครับ!

หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอก บนตัวถังที่ยาว 4,295 มิลลิเมตร กว้าง 1,760
มิลลิเมตร สูง 1,520 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร การค้นหาความ
ความแตกต่างจาก Pulsar รุ่นมาตรฐานทั่วไปนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะมีอยู่
เพียงไม่กี่จุด ได้แก่ ชุดไฟหน้าแบบ Bi-Xenon พร้อมระบบเปิด – ปิด และ
ปรับระดับสูง – ต่ำ อัตโนมัติ รวมทั้งชุดฉีดน้ำล้างทำความสะอาดไฟหน้า ซึ่งมี
แถบสีฟ้า แบบเดียวกันกับรถยนต์ Hybrid ของทั้ง Toyota และ Honda เพิ่ม
เข้ามาให้ จนต้องถามให้แน่ใจว่า ตกลงแล้ว พี่จะรักโลกหรือรักความแรง กรุณา
เลือกเอาให้มันแน่สักอย่างสิครับพี่!?

หันไปมองบั้นท้าย จะมีสัญลักษณ์ Emblem เขียนว่า DIG TURBO แปะ
ไว้บริเวณด้านข้างกรอบป้ายทะเบียนฝั่งขวา บนประตูห้องเก็บของ นั่น
ยังถือเป็นเรื่องปกติ

แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างที่เห็นได้ชัดโดดเด่นมากที่สุด สะดุดตามากที่สุด
และเรียกเสียงก่นด่าจากผู้คนมากมายที่ได้พบเห็น มากที่สุด หนีไม่พ้น…
สติกเกอร์ขนาดยกษ์แปะด้านข้างของรถ ซึ่งมีลวดลายที่….เอ่อ….

ถ้าคิดจะทำสติกเกอร์ ประกาศศักดาว่า ข้าคือ Turbo พ่อทุกสถาบัน ทั้งที
ช่วยหาลวดลาย Font ตัวอักษร ที่มันดูแล้วไม่ชวนให้นึกถึงว่ามันสุดแสน
ละม้ายคล้ายคลึงกับสติกเกอร์ที่แปะอยู่ด้านข้างของ Porsche 911 GT3
จะได้ไหม?

ผมละอยากรู้นักเชียว ใครเป็นคนเคาะให้เอาสติกเกอร์ลายนี้ เพราะงานออกแบบ
ตัวอักษร มันช่างไร้รสนิยม ขัดกับเส้นสายตัวถังรถ เป็นที่สุด!

ตาแพน น้องต๊อบ น้องตอยด์ น้องเปา และแทบทุกคนใน The Coup Team
ของเว็บเรา ต่างลงความเห็นในทิศทางเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย…ว่า…

“ถ้าจะซื้อ Pulsar Turbo จริงๆ สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ ลอกสติกเกอร์
ที่แปะอยู่ข้างรถอย่างนี้ ทิ้งลงถังขยะไปให้หมด!!”

เมื่อเปิดประตูเข้ามาดูในห้องโดยสาร ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน เมื่อ
เปรียบเทียบกับ Pulsar 1.8V รุ่นปกติ ที่ขายกันอยู่ในบ้านเรา มีเพียงแค่
4 รายการเท่านั้น…

1. ชุดมาตรวัด ความเร็ว เปลี่ยนจากแบบเดิม ซึ่งระบุความเร็วสุดเข็มวัดไว้
ที่ 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพิ่มเป็น 260 กิโลเมตร/ชั่วโมง

2. คันเกียร์อัตโนมัติ XTronic CVT เปลี่ยนจากแบบ มาตรฐาน พร้อมปุ่ม
Sport บนคันเกียร์ มาเป็นแบบมี Mode บวก – ลบ ให้ผู้ขับขี่ สามารถผลัก
และเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ (อีกนัยหนึ่ง คือ ตำแหน่งล็อกอัตราทดของพูเลย์)
ได้ด้วยตัวเอง

3. ไม่มี Sunroof มาให้….ซึ่งถ้าตัดออกไป แล้วทำราคาออกมาได้ขนาดนี้
ผมถือว่า กำลังดีแล้ว ไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไป เพราะ Sunroof เป็น
อุปกรณ์ที่คนไทยมองว่า มีมาให้ก็ดี แต่ถ้าไม่มีมาให้ ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่า
ดีเสียอีก ใช้รถไปนานๆ เวลาฝนตก จะได้ไม่ต้องเจอปัญหาขอบยาง
รอบบานกระจก Sunroof เสื่อม จนน้ำแอบรั่วเข้าห้องโดยสาร หรือขัง
อยู่ใต้หลังคา ให้อิดหนาระอาใจเล่น

4. เพิ่มถุงลมนิรภัยด้านข้าง สำหรับเบาะคู่หน้า และม่านลมนิรภัยมาให้
รวมแล้ว ทำให้ Pulsar Turbo มีถุงลมนิรภัยมากถึง 6 ใบ

แค่นี้เองครับ!!

นอกนั้น ที่เหลือ มันก็เหมือนกันกับ Pulsar 1.8 V ชนิดที่เรียกได้ว่า
ถ่ายเอกสารออกมา พร้อมเซ็นกำกับรับรองสำเนาถูกต้อง เลยทีเดียว!

รายละเอียด ของห้องโดยสารในด้านอื่นๆ ทั้งการลุกเข้า – ออก ตำแหน่ง
ของเบาะนั่งทั้งด้านหน้า และ ด้านหลัง รวมทั้ง ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง
การตกแต่งภายใน และทัศนวิสัยรอบคันสามารถคลิกเข้าไปอ่านเพิ่มเติม
ได้ในบทความ Full Review : Nissan Pulsar …CLICK HERE!

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ขุมพลังของ Pulsar Turbo เวอร์ชันไทย ยกชุดมาจากเวอร์ชัน ออสเตรเลีย ทั้งดุ้น
แบบไม่ต้องคิดมาก เป็นเครื่องยนต์ MR16DDT บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1,618 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79.7 x 81.1 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.5 : 1

เห็นตัวเลขแล้วอาจจะคุ้นๆ ใช่แล้วครับ มันก็คือเครื่อง MR18DE ที่ถูกนำมาทำ
ขนาดกระบอกสูบให้เล็กลงนั่นเอง โดยแม้ความจุที่ได้จะน้อยลง แต่ผนังลูกสูบ
และเนื้อที่ระหว่างลูกสูบแต่ละลูกจะหนาขึ้น แข็งแรงขึ้น เหมาะกับการอัดด้วย
เทอร์โบนั่นเอง

รหัส DDT ที่ตามมา หลายคนอาจคิดไปว่า นี่ Nissan เอา ไบกอน หรือยาฆ่าแมลง
มาจับยัดใส่เครื่องยนต์ตัวนี้ด้วยหรือ…ดีเหมือนกันนะ เบิ้ลเครื่องที ยุงตายกันเห็นๆ…

เปล่าเลย หาได้เป็นเช่นดังมโนไม่ แต่อีกนัยหนึ่ง ฤทธิ์ของมัน ก็ร้ายไม่แพ้กัน

D ตัวแรก หมายถึง ระบบขับวาล์ว DOHC (Double Overhead Camshaft)
หรือที่คนไทย จะรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Twin Cam ซึ่งมาพร้อมกับระบบแปรผันวาล์ว
ทั้งฝั่งไอดีและฝั่งไอเสีย CVTC (Continuous Variable Valve Timing
Timing Control) เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ MRA8DE ใน Pulsar 1.8V

D ตัวถัดมา หมายถึง การติดตั้งระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิง แบบตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้
Direct Injection Gasoline (DIG) ซึ่งใช้ปั๊มเชื้อเพลิงแรงดันสูงอัดฉีดน้ำมันเข้า
ห้องเผาไหม้โดยตรง แบ่งเป็นสองจังหวะ โดยจะฉีดนำครั้งหนึ่งก่อนในจังหวะ
ดูดอากาศและฉีดซ้ำอีกครั้งในช่วงที่ลูกสูบขึ้นถึงจุดบนสุด

ส่วน T ตัวสุดท้าย หมายถึง การติดตั้งระบบอัดอากาศ แบบ TurboCharger นั่นเอง
โดยเทอร์โบที่ใช้จะมีขนาดไม่โตนัก เป็นของ Mitsubishi รุ่น TF-035HL-13T ซึ่ง
Commander CHENG ของเราบอกว่ารหัสนี้คุ้นมากๆเพราะเป็นที่นิยมในบรรดา
รถซิ่งวัยรุ่นเครื่อง 1.5 ลิตรที่วางเทอร์โบเองจนกลายเป็นของหายากจนทุกวันนี้
Turbo ลูกนี้จะสร้างแรงบูสท์ประมาณ 0.9Bar และมีการระบายความร้อนของ
อากาศที่ถูกอัดเข้ามาด้วย Intercooler แบบหลอดสี่เหลี่ยมขนาดหน้าตัดไม่ใหญ่
แต่ดูแล้วค่อนข้างหนา

กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร
(24.4 กก.-ม.) ที่ 2,400 – 5,200 รอบ/นาที แรงบิดจะหลั่งไหลออกมาต่อเนื่อง
ในแบบ Flat Torque ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ระดับ 187 กรัม/กิโลเมตร

ถือได้ว่ามีพละกำลังสูงยิ่งกว่าเครื่อง 2,500 ซีซี (QR25DE) ของ Nissan Teana
เสียด้วยซ้ำ แต่สามารถปล่อยมลภาวะออกมาได้น้อยกว่าด้วย!

ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน Xtronic CVT แบบมี
Mode บวก – ลบ ล็อกอัตราทดและตำแหน่งพูเลย์ได้ 7 จังหวะ อัตราทดเกียร์
D อยู่ที่ 2.3490 – 0.394 เกียร์ถอยหลัง 3.750 : 1 อัตราทดเฟืองท้าย
5.798 : 1

เกียร์ลูกนี้ ถูกพัฒนาขึ้นโดยพันธมิตรเจ้าเก่าอย่าง Jatco ที่สำคัญก็คือ เป็น
เกียร์คนละลูกกันกับเกียร์ CVT ซึ่งประจำการอยู่ใน Pulsar และ Sylphy
รุ่นมาตรฐาน อย่าเข้าใจผิดว่า เป็นลูกเดียวกับพี่น้องร่วมตระกูลเด็ดขาด!

คันเกียร์ ไม่จำเป็นต้องมีปุ่ม Sport มาให้ เพราะมีคันเกียร์แบบ บวก – ลบ
อยู่แล้ว เสียดายที่ไม่มีการติดตั้งแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle
Shift เลย

ตัวเลขสมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น เราทำการทดลองจับเวลาในยามค่ำคืน
เหมือนเช่นเคย โดยใช้มาตรฐานเดิม คือ ผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร รวม 2 คน
น้ำหนักรวมไม่เกิน 170 กิโลกรัม เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า และผลลัพธ์ที่ได้
มีดังนี้

เป็นไงครับ…แรงชนิด หมดข้อกังขาในใจของทุกๆคนกันเสียที ตัวเลขออกมา
เป็นไปตามความคาดหมายของผม แถมยังแอบดีกว่าที่คิดเอาไว้ อีกนิดหน่อย

จากตัวเลขทั้งหมด ยืนยันให้คุณได้เห็นเลยครับว่า Pulsar 1.6 DIG Turbo
ได้กลายเป็น รถยนต์นั่ง พิกัด C-Segment Compact Class ที่แรงสุดบน
ถนนเมืองไทย ในเวลานี้ ไปเรียบร้อยแล้ว! ดูเหมือนว่า สถิตินี้ น่าจะต้องใช้เวลา
กันอีกนาน กว่าที่จะมีผู้ผลิตรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น หรืออเมริกันรายใด บ้าพอที่จะ
สั่ง “ของแรง” แบบนี้ เข้ามาประกอบขายในบ้านเรา เอาใจลูกค้าคนไทยกันอีก

เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในกลุ่ม C-Segment ร่วมกันแล้ว Pulsar 1.6 DIG
Turbo ยิ่งกลับให้อัตราเร่งดีที่สุดในกลุ่ม แซง Ford Focus 2.0 GDi 5 ประตู 
ขาดลอยถึงราวๆ 1.4 วินาที

เรื่องที่สะเทือนใจ นักนิยมความแรงทั้งหลายคือ รถคันนี้ แซงชาวบ้านชาวช่อง
ขึ้นมายืนบนบรรลังก์แชมป์ C-Segment บ้าพลังที่สุดในเมืองไทยได้ ด้วยเกียร์
อัตโนมัติ CVT ที่หลายคนเคยปรามาสไว้ว่า…”มันไม่แรงหรอก!”

ผมเคยเตือนไว้แล้วว่า อย่าได้ดูถูกความสามารถจากลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของ
เกียร์ CVT เป็นอันขาด! เตือนไว้แล้ว ก็ไม่ฟังกัน เอาไปเถียงกันตามเว็บบอร์ด
ต่างๆมากมาย กลายร่างเป็นเกรียนเทพหลังคีย์บอร์ด ไปก็เยอะ

การใช้เกียร์ CVT ช่วยให้คุณลากรอบเครื่องยนต์ ไปถึงจุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว
ต่อเนื่อง เรียกทั้งแรงม้า และแรงบิดสูงสุด ออกมาได้แทบจะในช่วงวินาทีแรกๆ
ของการกระแทกคันเร่งลงไปเต็มตีน จนไม่ต้องตัดเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ขึ้นไป
เพื่อไปไล่รอบเครื่องยนต์ขึ้นมาใหม่ โดยไม่จำเป็น

ข้อดีของ CVT คือ ถ้าออกแบบให้มันทนทานต่อการรองรับแรงบิดมหาศาล
ได้เมื่อไหร่ และถ้าได้คนเขียนโปรแกรมเซ็ตสมองกลของเกียร์ ที่เข้าใจใน
นิสัยการเปลี่ยนเกียร์ของรถสปอร์ต ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ ในแบบที่คนบ้ารถ
เขาต้องการ แล้วละก็ ผลลัพธ์ มันก็จะออกมาเป็นแบบนี้แหละ!

แต่ก็ต้องทำใจกันให้ได้กับข้อจำกัด ของเกียร์ CVT คือ คุณไม่ควรออกรถ
แบบกระชาก หรือกระทันหัน เพราะเกียร์ CVT ชอบการออกตัวนุ่มนวล
เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระชากกับโซ่ในชุดเกียร์มากเกินไป จนสายพานฉีก
กระจุย แตกออกจากกัน ดังนั้น ช่วงออกตัวของ Pulsar Turbo จึงอาจ
ดูเหมือนว่าไม่ค่อยแรง ในสายตาคนทั่วไป ซึ่งจะว่าไป Nissan ทุกรุ่น
ที่ใช้เกียร์ CVT มักจะต้องออกตัวด้วยความนุ่มนวล ช่วง 1 วินาทีแรก

รวมทั้งบุคลิกของเกียร์ CVT ที่อาจจะก่อความหงุดหงิดใจ ให้กับทุกคน
ที่ไม่คุ้นชิน กับลักษณะการลากรอบของมัน กล่าวคือ แทนที่จะลากขึ้นไป
จนถึง Red Line แล้วค่อยตัดเปลี่ยนเกียร์ ไล่รอบเครื่องยนต์ขึ้นไปใหม่
กลับปล่อยแช่เอาไว้ที่ จุดสูงสุด ก่อนเข้า Red Line ปล่อยให้รถพุ่งไป
ข้างหน้า โดยเข็มวัดความเร็วค่อยๆไต่ตามขึ้นมาในภายหลัง อาจจะ
ทำให้หลายคนเซ็ง กับเสียงครางของเครื่องยนต์

ความจริงแล้ว Nissan มีหนทางแก้ปัญหา เพื่อเอาใจคนที่ชอบลากรอบ
เครื่องยนต์แล้ว ด้วยการเพิ่มโหมดบวก-ลบ ที่คันเกียร์มาให้ ถ้าคุณผลัก
ไปที่โหมด บวก – ลบ ต่อให้คุณจะลากรอบเครื่องยนต์จนสุดเมื่อเข็ม
วัดรอบ แตะถึงรอบเครื่องยนต์ที่กำหนด เกียร์จะถูกสั่งให้ลดรอบลงมา
ที่ประมาณ 5,000 รอบ/นาที ก่อนจะลากกลับขึ้นไปจนสุด ใหม่อีกครั้ง

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น หลังจากพ้นช่วง 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปแล้ว
เข็มความเร็วจะเริ่มไต่ขึ้นไปช้าๆ จนถึงระดับ 215 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อ
ถึงจุดนั้น เข็มก็จะไม่กระดิกไปอีกแล้ว ต่อให้ใช้ทางลาดชันส่งรถพุ่งไหล
ลงเนิน เข็มความเร็ว ก็จะถูกแช่แข็งเอาไว้ในตำแหน่งนี้

เหตุผลน่าจะมาจาก การเขียนโปรแกรมกล่อง ECU ให้สมองกล สั่งหรี่
ลิ้นคันเร่ง (ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า) ให้ลดปริมาณอากาศไหลเข้าห้องเผาไหม้

ขอย้ำเหมือนเช่นเคยว่า การทดลองความเร็วสูงสุดให้ดูนั้น เกิดขึ้นในระยะ
เวลาอันสั้น ไม่ได้กดแช่ยาวๆ และเน้นคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง
รวมทั้งผู้ร่วมใช้เส้นทางอย่างเข้มงวด โปรดอย่าไปทำการทดลองด้วยคนเอง
โดยเด็ดขาด เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจก่ออันตรายถึงชีวิต
ทั้งต่อตนเองและผู้บริสุทธิ์อื่นๆอีกด้วย! และหากเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้น
เราจะไม่รับผิดชอบในทุกกรณี! เพราะถือว่า นำไปทำกันเอง ทั้งที่เราก็ได้
เตือนและห้ามปรามกันแล้ว

ในการขับขี่จริง อัตราเร่ง ช่วงออกตัว จนถึง 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง อาจดูเหมือน
หลอกความรู้สึกหลายคนได้ว่า ไม่แรง เพราะคุณต้องไม่ลืมว่า ธรรมชาติของ
เกียร์ CVT ต้องการให้คุณ ออกตัวแบบนุ่มนวล ไม่กระชาก เพื่อลดความเสี่ยง
ต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเกียร์ ในระยะยาว ทีมวิศวกรเขาเลยเซ็ตไว้ให้
ออกตัวกันนุ่มๆ ในช่วงเดียวกับที่ Turbo รอให้ถึงรอบเครื่องยนต์ที่เซ็ตกันไว้

แต่พอเข็มความเร็ว กวาดถึง 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือเมื่อถึงรอบเครื่องยนต์
ระดับ 2,500 รอบ/นาที อย่างใดอย่างหนึ่ง เท่านั้นแหละ เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมด
จะพากันเฮโลไหลมาเทมา ดุจน้ำป่าไหลหลากช่วงฤดูฝน เลยทีเดียว! และ
จะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปจนถึงความเร็วแถวๆ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงจะ
เริ่มออกอาการเหี่ยวปลาย ก่อนที่เข็มความเร็วจะค่อยๆไต่ขึ้นไปจนสุดที่
ระดับ 215 กิโลเมตร/ชั่วโมง อย่างที่เห็น

ครั้งแรกที่ได้ลองเหยียบคันเร่งแบบจมมิด รถพุ่งไปข้างหน้า จนผมเองถึงกับ
เกิดอาการ “หลอน” แอบกลัวเล็กๆ ว่าทำไม รถมันถึงพุ่งปรู๊ดปร๊าด ผิดคาด
ไปเล็กน้อย ไม่นึกว่า การจับเครื่องยนต์ ที่แรงระดับนี้ มาทำงานร่วมกับเกียร์
CVT น่าจะอืดกว่านี้อย่างที่หลายคนเขาเจอ และเล่าต่อๆกันมาก่อนหน้านี้
เสียด้วยซ้ำ

แต่หลังจากนั้น เมื่อคุ้นเคยกับตัวรถแล้ว ความสนุกสนานจะตามมา ผมยืนยัน
ด้ว่า ตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ ที่ใช้ชีวิตร่วมกับ Pulsar Turbo ไม่ว่า
ใครก็ตาม ที่มาทำมารยาททรามๆ ด้วยการขับดันท้าย หรือจี้ตูด ผมแค่กด
คันเร่งเต็มตีน ดัง ป้าก! Pulsar Turbo จะพาผมพุ่งไปข้างหน้าฉับพลัน
ทิ้งรถคันข้างหลัง ไว้เป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ ในกระจกมองหลังเท่านั้น!

ต่อให้เป็น Toyota Soluna Vios Turbo แบบ โมดิฟายเอง คันสีดำ
ป้ายทะเบียนบอกว่า เป็นรถในจังหวัด ราชบุรี ที่พยายามจะไล่มาจี้ตูดผม
บนบางนา – ตราด ตอนเที่ยงคืนกว่าๆ

สุดท้าย ผมไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ยกคันเร่ง ปล่อยให้ Vios Turbo
คันนั้น แซงขึ้นหน้าไป แล้วผมก็กระทืบคันเร่งอัดตาม”ไล่ล่า” แล้ว
แซงขึ้นหน้าไปได้ ที่ความเร็ว บนมาตรวัด 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง…!!!!
ก่อนจะถอนเท้าออก แล้วปล่อยแยกย้ายไปตามทางใครทางมัน

กลัวตายฮะ แถมยังไม่ใช่รถของเราเองอีกต่างหาก ให้บทเรียนกับหมอนั่น
ไปแค่นั้น ก็พอแล้ว!

หรือจะเป็นอีกครั้งกับ Honda Jazz Gen 2 สีดำ ทะเบียนเป็นเบอร์โทร
สั่งพิซซ่า ฮัท มีสาวนั่งมาในรถด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะรีบไปแดก พิซซ่า หรือจะรีบ
ไปหา Admin Fan Page ของ KFC ที่เขาร่ำลือกันว่าสุดยอดอัธยาศัยดี
หรือแค่อยากโชว์สาวที่นั่งข้างๆกัน หรือยังไง?

พอเห็นผมอยู่เลนขวาบนทางด่วน ขับเรื่อยๆ ตามรถคันข้างหน้าไปสบายๆ
เข็มความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ต้องรีบตามมาจี้ตูด แสดงสันดานดิบ
ดันหลัง ผมอยู่ได้

ผมเป็นพวกที่เกลียดคนขับรถจี้ตูดมากที่สุด บอกกันตรงนี้เลยว่า ตั้งแต่ผม
ขับรถเป็น จนถึงทุกวันนี้ เคยวางมิดไอ้พวกขับรถสันดานชอบจี้ตูด แบบนี้
มาก็ หลายคันแล้ว (แต่ขอไม่เล่าที่นี่แล้วกันครับ ไม่อยากให้ใครเอาไป
เป็นเยี่ยงอย่าง มันไม่ใช่เรื่องดี และไม่สมควรทำนักหรอก!)

พอมีจังหวะ ก็เลยกดคันเร่งเต็มตีน มุดหนี และไปอยู่เลนซ้าย ไม่อยากยุ่ง
ก็ยังจะตามมาอีก โอเค…ทีนี้ ก็ต้องออกแรง มุดหนี จนถึงจุดหนึ่ง ก็ลอง
ปล่อยให้ Jazz สีดำคันนั้นแซงขึ้นไป สุดท้าย ด้วยการอ่านไลน์ ที่ไม่ดี
ไม่ได้เรื่อง ผมก็แซงกลับไปได้อีกครั้ง อย่างสบายๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก
ทิ้งห่างไปไกล จนลงจากทางด่วน พระราม 4 ผมมารอเลี้ยวขวาที่สี่แยก
ศาลาแดง ไปทาง ราชประสงค์ อยู่พักใหญ่ กว่าที่ Jazz สีดำ ทะเบียน
เบอร์โทรพิซซ่า จะตามมาทัน คราวนี้ มันผู้นั้น เลือกจะมุ่งหน้าตรงไปทาง
พระราม 4 ต่อไป โดยไม่มายุ่งอะไรกับ Pulsar Turbo คันสีแดงอีก…

แต่ก็ใช่ว่า Pulsar Turbo จะชนะชาวบ้านเขาไปทั้งหมด เพราะในคืน
ถัดมา มี Mercedes-Benz CLS สีดำ รถเกรย์ ผู้บ้าระห่ำ คันหนึ่ง
พยายามจะไล่ตามผม ตั้งแต่ขึ้นทางด่วน ที่ด่านสาทร แต่ผมก็ไม่สนใจ
ยังคงขับเรื่อยๆ ใช้ความเร็ว 120 – 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง กลับบ้าน
ในช่วงเที่ยงคืน ตามปกติ เราก็ขับของเราไปเรื่อยๆ สบายๆ

พี่แกตามผมมาทัน บริเวณ ทางราบช่วงสุขุมวิท 62 แล้วก็พยายาม
ไล่ตามผม แบบที่จงใจให้รู้เลยว่าตาม ตอนแรก ว่าจะเปิดทางให้
แซงขึ้นไป แต่นึกอยากลองดูว่า Pulsar Turbo จะรับมือกับ CLS
ไหวไหม? ผมเลยลองกดหนีดู ก็หนีไม่ออกครับ แหงละ พลัง
190 แรงม้า มันจะไปสู้ CLS เขาได้ยังไงกันละ!?

ลากกันมาถึงหน้าเซ็นทรัลบางนา ผมตบเข้าซ้าย ปล่อยเขาแซงไป
สงสัยคงจะฉุนมาก และคิดว่าผมจะต้องไล่ตามเขาต่อ จนต้องมุด
หนีผมไม่คิดชีวิตขนาดนั้น เปล่าเลย ผมชะลอ เหลือ 60 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ขับช้าๆ เบาเครื่องยนต์ เพื่อให้อุณหภูมิของ Turbo มัน
ลดลงต่ำพอที่จะคลานกลับเข้าบ้านได้ แล้วดับเครื่องยนต์ได้
อย่างรวดเร็ว พอที่จะไม่เป็นการรบกวนเพื่อนบ้านยามวิกาล

ผมพอแล้วครับ แค่นี้ ผมก็รู้แล้วละว่า ไอ้บ้า CLS คันนั้น มันระห่ำ
เกินเหตุ ปล่อยให้เขาไปมุด ใส่รถคันข้างหน้า ไปตามทางของเขา
ได้แต่ภาวนาว่า อย่าได้เจอกันบนหน้าหนึ่งของ หนังสือพิมพ์หัวสี
ในเช้าวันรุ่งขึ้นก็พอแล้ว…

การตอบสนองของคันเร่ง ถือว่า มีจังหวะรอการทำงานของเกียร์ CVT
นิดเดียว พอรับได้ ที่เหลือ ปล่อยให้ Turbo ทำงาน พาคุณทะยานปรู๊ด
ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และแอบหลอนนิดๆ ไม่ว่าอยู่ในช่วงความเร็วใด
แค่เหยียบคันเร่งลงไปเต็มตีน เท่านั้นก็พอ

แต่ถ้าเหยียบแค่ครึ่งคันเร่ง หากใช้ความเร็วไม่สูงนัก พละกำลังของ
เครื่องยนต์ อาจส่งมาถึงคุณ น้อยลง แม้จะเหลืพอให้ดึงรถขึ้นไป
ข้างหน้า แต่ก็ไม่ถึงกับหวือหวาจนน่าตกใจ แค่สัมผัสได้เล็กๆ ว่า
Turbo กำลังทำงานตามแบบของมัน เท่าที่คุณจะกดคันเร่งลงไป
นั่นแหละ

นี่แหละครับ ลักษณะของ Sleeper หรือรถยนต์หน้าตาบ้านๆ ดูแล้ว
ไม่มีพิษสงอะไร ได้แต่งเติมให้ดูดุดัน มันเป็นเพียงรถบ้าน ธรรมดาๆ
แต่พอใครมากวนตีนใส่ ก็สามารถตอบโต้กลับ จนเล่นเอาคนที่มา
วอแวกับคุณ ถึงขั้นอ้าปากเหวอ หายบ้า หงายเงิบกันไปเลย

Pulsar Turbo คันนี้ มันคือ Sleeper ชัดๆ!!

ภาพรวมแล้ว มันแรงแหะ แรงแบบที่มีเพียงพละกำลังในการดึงรถ
ให้พุ่งไปข้างหน้าเพียงเท่านั้น ที่จะทำให้คุณสัมผัสได้ว่ามันแรงจริงๆ

เพราะเสียงเครื่องยนต์นั้น มันไม่ได้ก่อให้เกิดอารมณ์ร่วมเลย

การเก็บเสียง ภายในห้องโดยสาร ไม่แตกต่างไปจาก Pulsar รุ่นปกติมากนัก
คือ เงียบกว่าคู่แข่งหลายๆคันในพิกัด C-Segment Compact Class ด้วยกัน
ที่แน่ๆ เงียบกว่า Mazda 3 ใหม่ อยู่นิดนึง แแม้จะใช้ความเร็วสูงขึ้นไป
ถึงระดับ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ตาม

ด้านงานวิศวกรรมระบบพวงมาลัย ช่วงล่าง และเบรก ยกข้าวของจาก Pulsar
เวอร์ชัน Australia ที่ถูกผลิตขึ้นและส่งออกไปจากเมืองไทย มาใส่ให้ทั้งยวง!

ระบบบังคับเลี้ยวยังคงเป็น พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์
ผ่อนแรงแบบกลไกโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า EPS (Electronics Power Steering)
รัศมีวงเลี้ยว 5.2 เมตร ใช้กล่องควบคุมการทำงาน ตัวเดียวกันกับใน Pulsar
และ Sylphy รุ่นปกติ ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจครับ อัตราทดเฟืองพวงมาลัยที่
เหมือนกัน การเซ็ตให้พวงมาลัย หนืดในระดับเท่ากัน ส่งผลให้พวงมาลัย
ของ Pulsar Turbo ตอบสนองได้ เหมือนกับพวงมาลัยของ Pulsar 1.8 V
“ไม่ผิดเพี้ยน”!

ถ้าเปรียบเทียบการตอบสนองของพวงมาลัย Nissan รุ่นใหม่ๆ จะพบว่า
พวงมาลัยของ Sylphy 1.6 ลิตร และ Pulsar 1.6 ลิตร เซ็ตมาเหมือนกันเป๊ะ
คือเน้นการตอบสนองที่เบาหวิว หมุนได้คล่องแคล่ว กระชับ แต่แม่นยำ
จะช่วยให้คุณเลี้ยวกลับรถบนพื้นที่แคบๆ ในลานจอดรถตามอาคารต่างๆ
รวมทั้งการขับขี่ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับขี่แบบคลานๆในเมือง ได้ดี
เพียงแต่อาจต้องเพิ่มน้ำหนักกับความหนืดอีกสักหน่อย หากต้องเดินทาง
ในย่านความเร็วสูง เพราะมันเบาเกินไป

ส่วนพวงมาลัยของ Pulsar 1.8 ลิตร การสวมล้ออัลลอย 17 นิ้ว ที่หนักขึ้นนั้น
มีส่วนช่วยเพิ่มน้ำหนักที่คุณจะต้องหมุนพวงมาลัย มากขึ้นนิดหน่อยจนคุณ
สัมผัสได้ ความคล่องตัวก็จะลดน้อยลงไปนิดนึง ไม่มากนัก พอรับได้ แต่
ให้ความนิ่ง มั่นใจได้ ในช่วงความเร็วสูง มากกว่าพวงมาลัยของรุ่น 1.6 ลิตร
อยู่พอสมควร ทั้งที่ ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอัตราทด หรือค่าความหนืดใดๆ
ทั้งสิ้น

ในเมื่อพวงมาลัยของ Pulsar Turbo ยกชุดมาจาก Pulsar 1.8V นั่นเท่ากับว่า
การตอบสนองของพวงมาลัยรุ่น Turbo จะมาในสไตล์เดียวกับ Pulsar 1.8 V
แบบถ่ายเอกสาร โรเนียว ร่างพิมพ์เขียว เป็นสำเนา เป๊ะ!

ช่วงความเร็วต่ำ พวงมาลัยของ Pulsar 1.6 Turbo จะหนักและหนืดเพิ่มขึ้น
จากรุ่น 1.6 มาตรฐาน อยู่นิดหน่อย ไม่มากนัก แต่เซ็ตมาให้ตอบสนองได้
เท่ากันกับ Pulsar 1.8V การหมุนพวงมาลัย เป็นธรรมชาติมากขึ้นนิดเดียว
แต่ยังพอจับสัมผัสได้ว่า เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า อยู่นิดนึง

ในช่วงความเร็วสูง การตอบสนองของพวงมาลัย ทั้งการควบคุมรถ หรือการ
เลี้ยวเข้าโค้งจะแม่นยำในระดับใช้ได้ ถ้าคุณไม่เติมคันเร่งเพิ่ม จนเกิดอาการ
หน้าดื้อไปเสียก่อน นอกจากนี้ On Center feeling ถือว่านิ่งดีพอให้คุณลอง
ปล่อยมือจากพวงมาลัยได้ สบายๆ ทั้งที่เข็มความเร็วอยู่แถวๆ 190 กิโลเมตร/
ชั่วโมง!

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลัง แบบทอร์ชันบีม
ซึ่งก็แทบจะยกชุดมาจาก Sylphy เลยทั้งดุ้น ก็จริงอยู่ แต่มีการเปลี่ยนสปริงให้
มีค่าความหนืด (ค่า K) เพิ่มขึ้น เล็กน้อย

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ หากขับแบบฉาบฉวย คุณอาจเข้าใจว่า ช่วงล่างของ Pulsar Turbo
เซ็ตมาเหมือนกันกับ Pulsar 1.8V เป๊ะๆ แต่ถ้าลองขับต่อเนื่อง จะพบว่า การดูดซับ
แรงสะเทือน จากพื้นผิวขรุขระ ของช่วงล่างสเป็ก Australia ของ Pulsar Turbo นั้น
ในช่วงที่ใช้ความเร็วต่ำ ขณะขับผ่านหลุมบ่อ ฝาท่อ ลูกระนาดในซอยอารีย์ อาการ
สะเทือน จะเพิ่มขึ้นจาก Pulsar 1.8V อีกนิดหน่อย แต่ถ้าเจอเนินลูกระนาดขนาด
ใหญ่ จะพบว่า เมื่อช็อกอัพและสปริง ทำงานครบตาม Loop ของมันแล้ว ช่วงล่าง
ของPulsar Turbo กลับจะแอบนุ่มกว่า Pulsar 1.8V เวอร์ชันไทย อยู่นิดนึง

ในช่วงความเร็วสูง ช่วงล่างของรุ่น Turbo จะให้ความมั่นใจในการเดินทางได้ดี
เพิ่มจาก Pulsar 1.8V ปกติ ไม่มากนัก กล่าวคือมั่นใจพอกันกับรุ่นเดิม ผมสามารถ
ปล่อยมือจากพวงมาลัยได้สบายๆ ทั้งที่ใช้ความเร็วระดับ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ต่อให้มีกระแสลมด้านข้าง ถ้าไม่รุนแรงนัก ยังไงๆ Pulsar Turbo กับล้อ 17 นิ้ว
จากโรงงาน ยังคงรับมือได้สบายมากๆ

ในช่วงเข้าโค้ง ยาง Continental ContiPremium Contact2e ขนาด
205/50R17 ที่เคยไว้ใจได้ใน Pulsar 1.8 V กลับส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ให้
ได้ยินบ้างเล็กน้อย แม้จะยังพอรับมือได้อยู่ และยังช่วยให้รถเลี้ยวขวับได้
ทันทีตามต้องการ เมื่อขับด้วยความเร็วไม่สูงนักก็ตาม แต่ถ้าต้องเข้าโค้งด้วย
ความเร็วสูงขึ้น จะพบอาการหน้าดื้อเพิ่มขึ้นชัดเจนขึ้นกว่ารุ่นเดิมนิดหน่อย
โดยรวม รถก็ยังจิกอยู่ในโค้งได้ดีอยู่เหมือนเดิม เว้นเสียแต่ว่า คุณจะเพิ่ม
ความเร็วจนมากเกินไป หรือสภาพยางย่ำแย่เกินเหตุ

กระนั้นบนทางโค้งขวา รูปเคียว ของทางด่วนขั้นที่ 2 เหนือมักกะสัน ช่วงที่
เชื่อมต่อจากพระราม 9 ไปยังโค้งซ้าย โรงแรมเมอเคียว Pulsar 1.6 Turbo
พาผมเข้าโค้งนี้ได้ที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเรียกได้ว่า ใกล้ Limit
ของตัวรถมากที่สุด เท่าที่จะยังปลอดภัยอยู่

แต่ถ้าเป็นทางโค้ง ตัว S ยาวๆ ที่เชื่อมจากทางด่วนขั้นที่ 1 ขึ้นบูรพาวิถี ผมพา
Pulsar Turbo เข้าโค้งได้ที่ความเร็วบนมาตรวัด 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปได้
ทั้งๆที่ ช่วงในโค้ง เจอพื้นผิวลอนคลื่น ในช่วงกำลังจะออกจากโค้ง ตัวรถก็
พยายามรักษาเสถียรภาพไว้ให้ได้มากที่สุด สัมผัสได้ถึงการยุบและยืดตัว
ของช็อกอัพทั้ง 4 ต้น ชัดเจนมากๆ

ยังไงๆ การเข้าโค้ง ของ Ford Focus และ Mazda 3 ใหม่ ก็ยังทำได้ดีกว่า
แต่ Pulsar Turbo ก็มีช่วงล่างที่ไม่ได้เลวร้ายเลย มันดีใช้ได้แล้วเมื่อต้อง
คิดรวมกับเรื่องการวาง Packaging ของตัวรถ และการวางตำแหน่งของ
เบาะนั่งกับจุดศูนย์ถ่วงต่างๆ จะให้เรี่ยติดพื้นแบบทั้ง 2 คันนั้น คงยาก
เพราะโจทย์การสร้างรถยนต์ทั้ง 3 รุ่น มันแตกต่างกัน

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ คู่หน้า มีรูระบายความร้อน เสริม
ด้วยระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบ
กระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics Brake Force
Distribution) และระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist
มาให้ ถูกปรับเปลี่ยนขนาดจานเบรกให้มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ขึ้น
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเบรกให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ยังเพิ่มระบบ ควบคุมเสถียรภาพ VDC (Vehicle Dynamic
Control) แถมมาให้อีกด้วย หลักการทำงานคล้ายกับระบบ VSC ใน
Toyota นั่นละครับ

อันที่จริง ระบบเบรก ยังคงทำงานได้ดี จนไม่แตกต่างไปจาก Pulsar
1.8 V เท่าใดเลย เพียงแต่ว่า ในระยะแรกที่เริ่มเหยียบแป้นเบรกลงไป
แน่นอนว่า รถจะยังไม่เริ่มหน่วงความเร็วลงมาให้มากนัก จนกระทั่ง
แป้นเบรกถูกเหยียบลึกลงไปราวๆ 30 – 40 % จึงจะเริ่มหน่วงความเร็ว
ลงมามากขึ้นตามลำดับ

ในช่วงความเร็วต่ำ น้ำหนักแป้นเบรกที่อยู่ในเกณฑ์ดี เบรกได้ตามสั่ง
อยากให้ชะลอได้แค่ไหน ก็สั่งได้ตามนั้น เก็งน้ำหนักเท้า เพื่อบังคับ
ให้รถจอดสนิทอย่างนุ่มนวลก็ทำได้ ส่วนในช่วงความเร็วสูง ก็ยังต้อง
ถือว่า ทำงานได้อย่างดี หน่วงความเร็วลงมาได้ไว แทบจะในทันทีที่
เริ่มเหยียบแบรก

อย่างไรก็ตาม นิสัยถาวรของรถยนต์ที่ใช้เกียร์ CVT ยังคงโผล่มาให้เห็น
ใน Pulsar Turbo ด้วยเช่นกัน นั่นคือ ทันทีที่ถอนคันเร่ง รถอาจมีอาการ
พุ่งไปข้างหน้าเพิ่มขึ้นนิดนึง สวนทางกับในจังหวะที่คุณกำลังละเท้าขวา
จากแป้นคันเร่งมาเหยียบเบรก อย่าตกใจ และนั่นคืออาการปกติ ซึ่งผมเอง
ก็ไม่ค่อยชอบนัก ที่จะต้องเจอนิสัยของเบรกแบบนี้

และเช่นเดียวกันกับ Pulsar และ Sylphy รุ่นมาตรฐาน ถ้าคุณเหยียบแป้น
เบรกลงไป จนสุด คุณจะสัมผัสได้ว่า มีสวิชต์ที่จะสั่งการให้ระบบ ABS
EBD และ Brake Assist เริ่มทำงานทันทีที่ผู้ขับขี่ เหยียบเบรกกระทันหัน
หรือเหยียบแป้นเบรกจนสุดระยะเหยียบ ดัง “ตึ๊ก” ที่เท้าขวาของคุณ จะ
ทำให้รถรู้ว่า คุณอาจกำลังต้องการแรงเบรกอย่างปัจจุบันทันด่วน และเข้า
ช่วยเหลือคุณในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เฉลี่ย **********

Pulsar Turbo คันสีแดง ที่เห็นอยู่นี้ มาอยู่กับผมในช่วงเวลาที่ สถานีบริการน้ำมัน
Caltex พหลโยธิน เยื้องสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ มีกำหนดปิดปรับปรุง นานถึง
2 เดือนกว่า เพื่อจะต้องเปลี่ยนถังน้ำมันใต้ดิน ให้รองรับกับการนำน้ำมัน เบนซิน
Gasohol E20 มาขาย

ดังนั้น ผมจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางในการทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
เช่นเดียวกับ Mercedes-Benz CLA , MG6 และรถยนต์คันอื่นๆ ที่จะมีคิวในการ
นำมาทดลองขับ ช่วงเดือน มิถุนายน – สิงหาคมนี้

เหตุผลก็เพราะ น้องเด็กปั้ม ที่นั่น เราทำงานกันมาจนกระทั่งรู้งานจนคุ้นมือกัน
ว่า ต้องเขย่ารถอย่างไร เติมน้ำมันกันอย่างไร หากต้องไปเริ่มต้นตั้งหลักสร้าง
ความสัมพันธ์ใหม่ที่ปั้มอื่นนั้น เสียเวลาและวุ่นวายกว่าที่ทุกคนคิดไว้มากๆ
เรื่องนี้ สักขีพยานและผู้ช่วยในการทดลองรถกับผม ช่วยยืนยันให้คุณได้

ผมตัดสินใจ ยอมขับรถขึ้นทางด่วนช่วงสั้นๆ ไปลงประชาชื่น เพื่อเลี้ยวเข้า
ไปเติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนน
ประชนุกูล นั่นละครับ

อย่างไรก็ตาม การเติมน้ำมันครั้งนี้ เนื่องจาก ไม่ได้รับความสะดวกในการ
เขย่ารถ เราจึงตัดสินใจ ไม่เขย่ารถ เติมแค่หัวจ่ายตัด ก็พอ ซึ่งจะผิดไป
จากมาตรฐานของเราเล็กน้อย ที่ กำหนดให้ต้องเติมน้ำมันแบบเขย่ารถ
กับ รถยนต์นั่ง ประกอบในประเทศไทย ที่ใช้เครื่องยนต์ ต่ำกว่า 2,000 ซีซี
กลุ่ม B และ C-Segment หรือรถกระบะ เนื่องจาก ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ใน
กลุ่มนี้ ซีเรียสเรื่องตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ

ผู้ร่วมทดลองในคราวนี้ เปลี่ยนมือชั่วคราวมาเป็นน้อง Pao Dominic สมาชิก
The Coup Team รายล่าสุดของเรา ผู้ร่วมทดลอง อัตราสิ้นเปลือง ระยะหลังๆ
มาตลอด เพราะตอนนี้ ตาโจ๊ก V10ThLnD ติดภาระกิจส่วนตัวอยู่

เมื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron จนเต็มถังน้ำมันขนาด 50 ลิตร เราก็เซ็ต
0 บน Trip Meter A (Pulsar Turbo มีมาให้ ทั้ง Trip A และ B) คาดเข็มขัด
นิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ ออกรถ มุ่งหน้าออกจากปั้ม Caltex โดยใช้
เส้นทางเดิม และยังใช้มาตรฐานเดิม คือ ขับโดยใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกิน
110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ เบอร์ 1 อุณหภูมิราวๆ 24-25 องศาฯ และ
นั่ง 2 คน แต่คราวนี้ ที่มีการปรับแผน เปลี่ยนเส้นทางกันเล็กน้อย ในช่วง
จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด

พอออกจากปั้มปุ๊บ เรามุ่งหน้าไปเลี้ยวกลับ ใต้สะพานข้ามแยกรัชวิภา เพื่อ
มุ่งหน้าย้อนกลับมาที่สี่แยกโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น เลี้ยวขวา
จากนั้นเลี้ยวซ้ายขึ้นทางด่วน ที่ด่านประชาชื่น จ่าย 15 บาท แล้วมุ่งหน้า
ไปตามทางด่วนสายอุดรรัถยา หรือเส้นเชียงราก เส้นเดิมที่เราทำการ
ทดลองอัตราสิ้นเปลืองมาโดยตลอด เพื่อไปจ่ายค่าผ่านทาง 55 บาท ที่ด่าน
บางปะอิน อันเป็นปลายทางของเรา

จากนั้น เลี้ยวกลับ จ่ายค่าทางด่วนอีก 55 บาท ย้อนกลับเข้ากรุงเทพ กลับ
มาจ่ายค่าผ่านทางที่ด่านประชาชื่น ขาเข้าเมือง อีก 55 บาท แล้วมุ่งหน้า
ไปลงยัง อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้น เลี้ยวกลับที่วินรถตู้ แล้ววนขึ้น
ทางด่วนเส้นเดิม อีก 50 บาท มาลงทางด่วนประชาชื่นอีกครั้ง (รวมค่า
ทางด่วนอย่างเดียว 235 บาท ในเวลาเพียงแค่ชั่วโมงเศษๆ!)

ลงทางด่วนแล้ว ก็ต้องไปเลี้ยวกลับที่สี่แยก โรงพยาบาลเกษมราษฎร์
เพื่อมุ่งหน้ากลับมาถึงสถานีบริการน้ำมัน Caltex ประชานุกูล อีกครั้ง
เพื่อเติมน้ำมัน เบนซิน 95 Techron ที่หัวจ่ายเดิม เหมือนเช่นตอน
เริ่มต้น โดยยังเติมน้ำมันแบบ หัวจ่ายตัด เช่นเดียวกัน

และต่อจากนี้ คือ ตัวเลขที่ Pulsar Turbo ทำได้…

ระยะทางบนมาตรวัด Trip Meter A อยู่ที่ 93.1 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเบนซิน 95 Techron เติมกลับ 6.25 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน….. 14.89 กิโลเมตร/ลิตร

ดูตัวเลขแล้ว เหมือนจะประหยัดดีครับ แต่ในความจริง มันไม่เป็นเช่นนั้น…

ตั้งแต่ ผมทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จากรถยนต์ทดลองขับ
ทุกรุ่น ทุกคัน มาตั้งแต่ปี 2003 จนถึงตอนนี้ มีรถยนต์เพียง 4 คัน ที่
เข็มน้ำมัน ร่วงลงมาเร็วที่สุด

1. Range Rover Sport V8 HSE
2. Sybaru Tribeca
3. Skoda Fabia RS (แต่ก็ยังพอรับได้)
4. Nissan Pulsar DIG Turbo….!!!!

คุณผู้อ่านครับ มันเริ่มตั้งแต่ตอนทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแล้วครับ
เราแล่นไปแค่ ราวๆ 90 กิโลเมตร เศษๆ เปิดระบบ Cruise Control 
ไว้ที่ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ปรากฎว่า เข็มน้ำมันลดลงฮวบ อย่างที่เห็น
ในภาพข้างบนนี้ นั่นละ

หลังจากนั้น ตลอด 7 วัน ในการใช้งานปกติ เมื่อใดที่ผมเติมน้ำมันเข้าไป
เต็มถัง ภายใน 100 กิโลเมตรแรก เข็มน้ำมันจะลดลงอย่างรวดเร็ว หล่น
ลงมาเหลือ 1 ใน 4 ของถัง เช่นนี้เสมอ

แต่ช่วงหลังจากนั้น จนถึงครึ่งถัง มันจะลดลงอย่างฮวยฮาบ ถึงขั้นที่ว่า
เพิ่งแล่นไปได้แค่ 150 กิโลเมตร เข็มน้ำมันก็หล่นลงมาจนเหลือ ครึ่งถัง
แล้วด้วยซ้ำ!

แต่พอช่วงท้ายๆ ผมส่งคืนรถไปโดยน้ำมันในถังยังเหลืออยู่อีก 1 ใน 4
และไฟเตือนให้เติมน้ำมันสว่างขึ้น ระยะทางที่แล่นไปได้ทั้งหมด ราวๆ
322.5 กิโลเมตร เท่าที่ลองคาดการณ์แบบคร่าวๆ น่าจะยังสามารถแล่น
ได้ต่อเนื่องอีกไม่น่าเกิน 100 กิโลเมตร (เพราะช่วงหลังจากครึ่งถังลงมา
เข็มวัดเริ่มแข็งขึ้น และเริ่มลดช้าลง) เท่ากับว่า น้ำมัน 1 ถัง น่าจะแล่นได้
ราวๆ 420 กิโลเมตร รวมทั้งการขับแบบธรรมดา รวมทั้ง กดคันเร่งหนักๆ
เต็มตีนไป 5-6 หน  

บอกได้เลยว่า ถ้าคุณใช้ความเร็วนิ่งๆ ไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือ
ใช้รอบเครื่องยนต์ ไม่เกิน 2,500 รอบ/นาที อันเป็นช่วงที่ Turbo จะเริ่ม
ทำงานอย่างเต็มที่ คุณอาจจะแล่นได้ราวๆ 450 กิโลเมตร แต่ผมค่อนข้าง
มั่นใจว่า ไม่มีทางทำได้ดีกว่านี้แน่ๆ

แรงสะใจ แต่พอขับเรื่อยๆ กินน้ำมันขนาดนี้ ก็ปาดเหงื่อเหมือนกันนะ!

********** สรุป **********
แรงสะใจสมดังรอคอย แต่ต้องประหยัดน้ำมันกว่านี้ และโฆษณามากกว่านี้ เถอะ!

1 สัปดาห์เต็ม ที่ผมใช้ชีวิตกับ Pulsar 1.6 DIG Turbo เป็นช่วงเวลาที่ผม
ประทับใจ มากที่สุด ครั้งหนึ่ง ตลอดการทดลองรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มากว่า 10 ปี

เพราะมันเป็นช่วงเวลา ที่ฝันกลางวัน ของคนบ้ารถ ซึ่งเคยอยากเห็นผู้ผลิตสักราย
กล้าทำรถยนต์รุ่นแรงๆ วางเครื่องยนต์ Turbo กลับมาขายในบ้านเรากันอีกครั้ง
ในราคาสมเหตุสมผล มันกลายเป็นความจริง

และผมกำลังขับรถยนต์ ที่ผมเคยฝันไว้กันอยู่ ฝันไว้ทั้งการเป็นเจ้าของ และ
ฝันไว้ว่าอยากเห็นบนถนนเมืองไทย เป็นความฝันที่อยู่บนพื้นฐานจากความ
เป็นไปได้ และฝันที่จะเห็นใครสักคน กล้างัดข้อกับชาวต่างชาติ นำของดีๆ
มาให้คนไทย ได้อุดหนุนกันในราคาสมเหตุสมผลกันเสียที

ฝันนั้น เป็นจริงแล้ว!

ในฐานะที่ผม รอคอยการมาถึงของ Pulsar 1.6 DIG Turbo คันนี้ คงต้องบอกว่า
มันทำตัวเลขออกมาได้ แรงเกินกว่าที่ผมคาดหวังไว้พอสมควร เพราะตอนแรก
คิดว่า ได้อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 8.7 วินาที ก็คงจะดีถมถืดแล้ว

ที่ไหนได้ พอกดนาฬิกาจับเวลาออกมาได้ 8.17 วินาที ผมถึงขั้น กรีดร้องลั่นรถ
ยิ่งพอเจออัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แค่ 5.62 วินาที ผมกับน้องเปา
Pao Dominic แห่ง The Coup Team ผู้ร่วมทดลองของเรา ถึงขั้นร้องจ๊ากกกกก!

จริงของ Nissan เครื่องยนต์ MR16DDT ถูกสร้างขึ้นตามแนวทาง Downsizing
ซึ่งเป็นการพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีสมรรถนะเทียบเท่ากับขุมพลังบล็อกใหญ่ๆ
ทั้งที่ใช้ความจุกระบอกสูบ ลดน้อยลง จนเทียบเท่ากับรถยนต์บ้านๆ ทั่วๆไป

Trend ของ Downsizing Engine นี้ เกิดขึ้นในโลกได้สักพักแล้ว และมันกำลัง
จะกลายเป็นแนวทางต่อไปในการพัฒนาเครื่องยนต์สันดาป เพราะไม่ใช่แค่
Nissan หากแต่ BMW, Mercedes-Benz, VW Group , Toyota , Renault,
กลุ่ม PSA Peugeot Citroen ไม่เว้นแม้กระทั่ง Isuzu ก็ยังอยู่ในระหว่างการ
พัฒนา และเตรียมนำขุมพลัง Downsizing ของตน ออกสู่ตลาดกันต่อเนื่อง
ตั้งแต่ ปีนี้ เป็นต้นไปด้วยซ้ำ

ถือเป็นเรื่องน่าดีใจ ที่ Nissan นำเทคโนโลยี เครื่องยนต์ Downsizing มา
ประกอบในเมืองไทย เป็นรายที่ 3 ต่อจาก Mercedes-Benz และ Ford
ถือเป็นผู้ผลิตชาวญี่ปุ่นรายแรก ที่ทำเช่นนี้ในเมืองไทย ก็ว่าได้!

มันช่วยเติมเต็มบุคลิก Sport ให้ Pulsar ได้เรี่ยวแรงเต็มอารมณ์ เต็มอิ่ม
มากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

ต่อให้เราเสียดายว่า Nissan น่าจะใส่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เหมือนอย่าง
Juke Nismo RS 218 แรงม้า (PS) ที่เราเพิ่งลองขับกันไป หรือ จะพ่วงด้วย
เกียร์อัตโนมัติ 6 หรือ 7 จังหวะ แบบใหม่ ใช้ Torque Converter ซึ่งน่าจะ
ช่วยเพิ่มอรรถรสการขับขี่ให้มากยิ่งกว่านี้ แต่ตัวเลขอัตราเร่งที่ Pulsar Turbo
ทำได้ ก็ช่วยให้ผม ตัดใจได้ว่า เอาวะ! โลกมันก็คงต้องเป็นไปตามนี้ เพราะว่า
ยอดขายของรถยนต์นั่งที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ ในเมืองไทยตอนนี้ มันเกินกว่า 95%
ไปหมดแล้ว อีกประการหนึ่งก็คือ เกียร์ CVT ยังช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
และลดปริมาณก๊าซพิษจากไอเสียลงได้นิดนึง ในทางอ้อม

สิ่งที่ควรปรับปรุงต่อไป ก็มีไม่มากนัก ช่วงล่างที่เซ็ตมาแบบนี้ ถือว่าดีแล้ว
เมื่อเทียบกับบุคลิกของตัวรถ ถ้าใครอยากให้แข็งและหนึบยิ่งกว่านี้ คงต้อง
ไปหาช็อกอัพ และสปริง ชุดแต่ง กันเอาเอง ส่วนระบบเบรก ถือว่ารับได้
ขณะเดียวกัน พวงมาลัย ถ้าหนืดขึ้นในช่วงความเร็วสูงกว่านี้อีกสักหน่อย
จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเดินทางไกลได้อีก

จริงอยู่ว่า ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ช่วยให้ Pulsar มีน้ำหนักพวงมาลัยเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าทีวิศวกร ปรับเซ็ตความหนืดเพิมสักหน่อย ในช่วงหลังจากความเร็ว
80 กิดลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป โดยไม่ต้องไปยุ่งกับอัตราทดเฟืองพวงมาลัย
นั่นจะช่วย สร้างความแตกต่าง ด้านช่วงล่าง และระบบบังคับเลี้ยว ให้
แตกต่างไปจาก Pulsar รุ่นปัจจุบัน ในทางที่ดีขึ้น มากกว่าที่เป็นอยู่

กระนั้น ถ้าให้ขับแบบเดิมๆ เช่นนี้ ผมก็ถือว่า ยอมรับได้ ไม่เลวร้าย แต่
อาจจะไม่ได้สนุก หรือมั่นใจได้เท่ากับ Mazda 3 ใหม่ หรือ Ford
Focus Chevrolet Cruze รวมทั้ง VW Golf มากนัก แต่ถือว่า 
ชนะคู่แข่งในพิกัดเดียวกันหลายๆคันไปไกล

อีกเรื่องก็คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จริงอยู่ว่า ในความเร็วคงที่ เพื่อ
เดินทางไกลถือว่า พอรับได้ แต่เมื่อต้องใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้ง
ในเมือง และบนทางด่วน บอกเลยว่า เข็มน้ำมันลดลงเร็วมากกกก!
จนใจหาย หล่นร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม!

วิธีแก้หนะง่ายมาก…แค่ เปลี่ยนถังน้ำมันให้ใหญ่ขึ้นอีกนิด และเปลี่ยน
ชุดปั้มติ๊ก รวมทั้งลูกลอย หรือทำยังไงก็ได้ ให้เข็มน้ำมัน ลดลงช้าๆ
กว่านี้สักหน่อย แค่นี้ ก็ช่วยลดความรู้สึกทางจิตวิทยาของคนที่ใช้งาน
รถคันนี้ ลงได้มากเลยละ!

ไม่ได้ประชดนะ แต่ถ้ายังหาวิธีทำยังไงให้เครื่องยนต์ MR16DDT
ประหยัดขึ้นมากกว่านี้ไม่ได้ แนวทางข้างบนนี้ คือวิธีแก้ไขแบบ
บ้านๆ ในเบื้องต้น ที่จะช่วยบรรเทาความกังวลของลูกค้าลงไปได้

แล้วปัญหามันอยู่ที่อะไรกันละ? ทำไม Pulsar Turbo ถึงยังขายไม่ออก
ทำออกมา 350 คัน แต่จนถึงวันนี้ มียอดขายเท่าที่พอรับรู้ได้อย่างไม่เป็น
ทางการ แค่ไม่ถึง 20 กว่าคัน เท่านั้น!!!???

ผมยืนยันให้ตรงนี้เลยครับว่า ปัญหาหนะ มันมีอยู่นิดเดียว และมันไม่ได้
เกิดขึ้นกับตัวรถเลย….

ปัญหาระดับ Classic ของรถยนต์ หลายๆรุ่น ซึ่งพวกเรา คนเล่นรถ รับรู้อยู่แล้วว่า
มันเป็นรถยนต์ที่ดี แต่ความซวยมันมักมาเกิดขึ้น ว่า พอมาถึงเมืองไทย มันกลับ
ขายไม่ออก นั้น เกิดขึ้นจากปัจจัย ไม่กี่ข้อนักหรอกครับ

1. ลูกค้าไม่รู้ ว่ามันมีขาย!
2. ลูกค้ารู้ว่า มันมีขาย แต่พอเจอราคา ก็บ่นว่าแพงไป
    
    2.1 บางคันแพงจริง (เช่น Toyota Vios Turbo ตั้งราคาเข้าไปได้ 849,000 บาท
          ในวันที่ Vios รุ่นท็อป 1.5 S ราคายังไม่ถึง 700,000 บาท ก็เจ๊งบ๊งสิคร้าบ!
           ประกาศว่า จำกัดจำนวนผลิต 600 คัน เอาเข้าจริง ขายได้ 140 กว่าคันเอง
           แถมยังต้องโละสต็อกที่เหลือ ในราคาถูกกว่าตั้งไว้ ส่วนอีก หลายร้อยคัน
           ไม่ได้ผลิตออกมาตามเป้าจ้า!)

    2.2 บางคันต่อให้ ความจริงแล้ว ราคาไม่แพงเลย แต่ออพชันประจำรถ ก็ให้มา
          น้อยเสียจนลูกค้ารู้สึกว่า กูไปส่องหาแลคโตบาซิลลัส ในขวด ยาคูลท์ ยัง
          จะเจอเยอะกว่าเลย! (เคสนี้ มีทั้งผู้บริหาร อยากได้กำไรบ้าเลือด หรือไม่ก็
          เจอคนทำ Product Planning ไม่เป็นมวย มือใหม่ ทำห่าอะไรไม่ได้เรื่อง)

กรณีของ Pulsar Turbo เป็นกรณีข้อ 1 ครับ!!!!

เชื่อไหมละว่า จนถึงวันนี้ วันที่ผมยังนั่งเขียนบทความนี้อยู่ ยังมีลูกค้าชาวไทย
อีกจำนวนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่ไม่รู้มาก่อน
ว่า บ้านเรามี Pulsar Turbo ขายกันแล้ว…

เรื่องบ้าที่สุดก็คือ แม้แต่พนักงานขายของโชว์รูม Nissan ในต่างจังหวัด
ยังออกอาการ งงแดก! เมื่อลูกค้าถามถึงรถยนต์รุ่นนี้ บางคนถามกลับมา
ด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ว่า…

“เอ่อ พี่คะ ไม่มีรุ่นนี้นะคะ ไม่มี Pulsar Turbo นะคะ Nissan ยังไม่ทำขาย
มีแต่ Pulsar ธรรมดา ค่ะ”

“!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

ลูกค้าที่ได้ยินอาจแค่ขำก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

แต่ผมหนะ ลงไปนอนฮาท้องคัดท้องแข็ง ดิ้นอยู่บนพื้นบ้านไปนานแล้ว!!!!

งานนี้ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ระหว่าง “พนักงานขายไม่ทำการบ้าน”
หรือ “Nissan ไม่ค่อยมีโฆษณาของรถรุ่นนี้ให้เห็นกันเลย”

บางคนอาจเถียงว่า ข่าวประชาสัมพันธ์ ก็มี แบนเนอร์โฆษณาใน Internet ก็มี
บทความของเราก็มีพูดถึง บทความของเว็บไซต์อื่นๆ ก็มีให้อ่านกัน แล้วยังมี
คนไม่รู้ด้วยเหรอ ว่ามันมีขาย??

ยืนยันว่า มีครับ และเยอะด้วย คนส่วนใหญ่ เขาไม่ได้สนใจรถยนต์ กันมาก
เท่ากับที่คนในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ และสื่อมวลชนสายรถยนต์ด้วยกัน
จะสนใจกันเองหรอกครับ คนส่วนใหญ่ของประเทศไทยเรานั้น พวกเขามัก
ต้องตื่นแต่ไก่โห่ ออกจากบ้านเช้าตรู่ อาจจะฟังวิทยุในรถบ้าง ทำงานหนัก
วันๆหนึ่ง ดู TV ไม่เยอะ อ่านหนังสือพิมพ์ไม่แยะ เปิด Internet ทีไรก็เห็น
พวกเล่นเข้าแม่งแต่เว็บโป๊ เป็นส่วนมาก ดังนั้น การรับสื่อ ก็จะน้อย

เปล่านะ ไม่ได้หมายความว่า จะให้ Nissan ไปลงโฆษณาในเว็บโป๊เปลือย!

แต่หมายความว่า ถ้างบประมาณไม่ถึง การทำตลาด ก็ควรต้องพลิกไปเป็นแบบ
ปากต่อปาก ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสาร ขั้นพื้นฐาน ที่จะช่วยกระจายข่าวสารที่เรา
ต้องการออกไปในวงกว้างมากที่สุด…

ปัญหาของ Pulsar Turbo ก็คือ Nissan ก็รู้อยู่เต็มอกว่า ถ้าขายแพงไป ก็ขาย
ไม่ออก เลยต้องกดราคาลงมา แต่ต้องเหลือออพชันเอาไว้มากที่สุดเท่าที่ทำได้

แต่ถ้าให้ลุยเต็มสูบกันได้ไม่อั้น ทำหนังโฆษณาทาง TV ก็ทำไม่ได้อีก เพราะ
ราคาที่ตั้งมา 1,070,000 บาท นั้น มันแทบไม่เหลือกำไรให้ทำโฆษณากันเลย
ดังนั้น การที่คุณได้เห็น Print Ad. ในหน้าหนังสือพิมพ์หัวสี ประปรายแค่ไม่กี่ครั้ง
รวมทั้ง Banner โฆษณาของ Pulsar Turbo ใน Headlighmtag.com
ของเรา นั่นคือผลจากการที่พวกเขา เจียดงบเต็มที่ เต็มฝืน กล้ำกลืน ฝืนทน
กันมากแล้ว

ช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่อ ไม่ยอมหางบโฆษณามาเพิ่ม ให้ลูกค้ารับรู้ มากกว่านี้
ทั้งที่ตัวรถเอง แทบจะเรียกได้ว่า มันคือการ ยกเอา Pulsar Turbo เวอร์ชัน
Australia มาขายคนไทย จัดออพชันมาให้เต็มเหนี่ยว ตัดออกแค่ Sunroof
แถมยังตั้งราคา พอฟัดเหวี่ยงกันกับ Mazda 3 และ Ford Focus 2.0 รุ่น 
Top แถมยังถูกกว่า Chevrolet Cruze 2.0 VCDi Diesel Turbo ด้วยซ้ำ

ทางแก้เดียว ที่จะทำให้ Nissan สามารถ ขาย Pulsar Turbo ทั้ง 350 คัน
ออกไปจนเกลี้ยงได้…

ง่ายนิดเดียวครับ…โฆษณาให้มากกว่านี้ ให้คนเห็น และรับรู้ มากกว่านี้ แค่นั้น!
ไปหางบมาส่งเสริมการขาย อย่างไรก็ได้ วางรูปแบบการโฆษณา และกำหนด
กลยุทธ์ หรือ Strategy เสียใหม่ ให้เข้าท่ากว่านี้ และหาทางทำอย่างไรก็ตาม
ให้ลูกค้า ได้มีโอกาสทดลองขับ ได้ง่ายกว่านี้… จัดกิจกรรม 1 วัน ปิดสนาม
สักแห่ง แล้วให้ลูกค้าที่รับเชิญมา ลองซัด อัดกันเต็มๆ แค่นี้ ก็น่าจะช่วยได้
พอสมควรแล้ว งบประมาณที่ใช้ เต็มที่ก็แค่ 3 แสนบาท / วันเดียว

อย่าปล่อยให้สถานการณ์มันเป็นแบบนี้อีกต่อไปเลย เสียดาย รถยนต์ดีๆ ที่
อุตส่าห์ วางแผน อยากเอามาให้คนไทยได้ใช้กันแทบตาย และผมก็ไม่อยาก
ให้ Pulsar Turbo ต้องกลายเป็น Case study ในความทรงจำ ที่บริษัท
รถยนต์ ค่ายอื่น จะยกเอามาอ้างให้ผมได้ยินในวันข้างหน้า…ว่า…”นี่ไง พอเอา
รถดีๆ ออพชันเยอะๆ เครื่องแรงๆ มาขายคนไทย ก็ขายไม่ออก!”

มันไม่ต่างอะไรกับการโดนตบหน้าซ้ำไปซ้ำมา กลางสี่แยกไฟแดง เลยนะนั่น!

———————–///———————

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Nissan Motors (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ และอำนวยความสะดวกด้านต่างๆอย่างดียิ่ง

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
FULL REVIEW : Nissan PULSAR

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
ภาพวาด หรือ ภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิค Illustration เป็นของ Nissan Motor Co.Ltd.
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
20 กรกฎาคม 2014

Copyright (c) 2014 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 20th,2014

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE