MAKE SENSE มีความหมายตามพจนานุกรม ไทย – อังกฤษ  Lexitron-2 Dictionary ของ NECTEC
ว่า “เข้าท่า หรือ เข้าที” คำคำนี้ ใช้เมื่อคุณรู้สึกว่า สิ่งที่คุณกำลังเห็น ได้ยิน หรือสัมผัสนั้น ไม่เพียงแค่
ตรงตามใจคุณ หากแต่มันยังต้องถูกใจคุณอีกด้วย

การที่ผมจะใช้คำว่า MAKE SENSE กับรถยนต์รุ่นใดสักคันหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายนัก อย่างที่คุณรู้ว่า
ผมเป็นพวกที่ว่า ถ้าชอบ ก็ชอบเลย ถ้าด่า ก็ด่าเลย แม้ว่า จะเป็นรถยนต์ที่ผมชื่นชอบอย่าง Volvo ผม และ
The Coup Team ของเรา โดยเฉพาะ ตาแพน Commander CHENG! ก็ยังสามารถหาเรื่องที่ต้องตำหนิ
แก้ไขปรับปรุงมาให้คุณได้เห็นได้อ่านกันได้อยู่ดี…

แต่ กับ รถยนต์นั่ง 4 ประตู สีแดง Flamingo Red คันนี้ ผมกลับประหลาดใจ ที่ Commander CHENG!
กับผม มีความเห็นตรงกันว่า MAKE SENSE TO BUY! ซึ่งมันช่างตรงกันข้ามกับรถรุ่นเดียวกัน แต่ต่างขุมพลัง
ที่เราเคยนำมาทดลองขับกันเมื่อปีก่อนๆ…

แถม…ที่สำคัญ ยังมีค่าตัวที่ถูกกว่าเดิมตั้งแต่ 7 แสน – 9 แสนบาท…!! 

เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2012  คุณ”หนู”  ประชาสัมพันธ์ของ Ogilvy บริษัทเอเจนซีโฆษณาระดับโลก
(ซึ่งมีผู้ก่อตั้งเป็นหนึ่งในคนเขียนหนังสือปลอกเปลือกวงการโฆษณา ระดับขายดี ที่ผมอ่านก่อนเข้านอน
ตอนดึกๆ มาตั้งแต่สมัยเด็กๆ) โทรศัพท์ติดต่อเข้ามา ระหว่างที่ผมเพิ่งออกจากงานแถลงข่าวประจำปีของ
Toyota ที่โรงแรมดุสิตธานี ว่าอยากจะชวนไปร่วมงานทดลองขับ รถยนต์ ซีดาน 4 ประตู หน้าตาและแบบ
รุ่นเดียวกับคันที่คุณเห็นอยู่ในบทความนี้ (ซึ่งจัดขึ้นไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมาหมาดๆ)

ตอนนั้น ผมตอบตกลงไปก่อน ด้วยเหตุผล ก็คือ เกรงว่าไม่รู้จะได้ทดลองขับเมื่อไหร่ ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอก…

ผมไม่ได้ชื่นชอบการไปร่วมทริปทดลองขับที่บริษัทรถยนต์ จัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เท่าใดนัก มันไม่ค่อยสนุก
กับการต้องไปนั่งรถให้ใครก็ไม่รู้ มาขับให้คุณนั่ง ถ้าเจอทริปไหน ที่คู่ Buddy เป็นคนขับรถดี ปลอดภัย
คุณจะมีความสุขมาก แต่ถ้าทริปไหน ไปเจอคู่ Buddy ที่ขับรถได้ระห่ำมาก ประเภทชอบขับจี้ตูดชาวบ้าน
หรือเบรกแบบไม่เผื่อระยะไว้เลย ประเภทเร่งเต็มมิดตีนติดเหล็กรถ โดยไม่สนว่าสภาพถนนจะขรุขระ
ขนาดไหน ก็มี ถ้าคุณไปเจอคนประเภทนี้ บอกได้เลยว่า ทริปนั้น คุณจะต้องมานั่งลุ้น เกร็งตัวเสียว จน
ปัสสาวะเหนียวเลยทีเดียว แล้วคุณจะไม่มีความสุข แถมยังไม่รู้จักรถได้มากพอ แม้ว่าจะต้องนั่งอยู่ใน
รถตลอดทั้งวันก็ตามยิ่งโดยเฉพาะ ทริปไหน มีโค้งเยอะๆ ต่อเนื่องกันเป็นร้อยโค้ง คุณอาจจะเกิดอาการ
เมารถจนอ้วกได้ง่ายๆ

พี่ต่าย PR ซึ่งเป็นพี่สาวผู้น่ารักของ Volvo ทราบเรื่องนี้ดี ทันที ที่คุณหนูวางสาย พี่กระต่ายก็เลยรีบโทรมา
เสนอว่า “เอาอย่างนี้ไหม พี่มี 2 ทางเลือก ถ้าจิมมี่ จะขับในทริป ก็ได้ ยินดีเลย แต่ว่า หากจะยืมไปทดลอง
เพื่อทำรีวิวหลังจากนี้ อาจต้องใช้เวลานานหน่อย เพราะในแง่ของการจัดการด้าน PR แล้ว จำเป็นต้องส่ง
รถยนต์ให้กับสื่อมวลชน รายที่ยังมิได้ทดลองขับกันเสียก่อน จึงจะค่อยวนกลับมาเจอผู้ที่เคยลองขับแล้ว
และคิดอยากจะขอยืมเพื่อนำไปทดลองขับเองอีกครั้ง” (หมายความว่า รถยนต์ที่มาถึงมือของผม อาจจะมี
สภาพบอบช้ำซ่อนเร้น มากกว่าปกติ

“แต่ถ้าจิมมี่จะไม่ไปร่วมทริปนี้ ทันทีที่ทริปทดลองขับ เสร็จสิ้นลง พี่ก็สามารถส่งรถยนต์ให้จิมมี่ยืมต่อ
ได้ทันทีก่อนคนอื่นๆ เพราะพูดได้เต็มปากในฐานะที่ จิมมี่ ยังมิได้ทดลองขับรถรุ่นนี้มาก่อนเลย”

ดังนั้น ผมจึงต้องเลือกว่า จะไปร่วมทริป หรือว่า จะรอรับรถมาทดลองขับเองเป็นการส่วนตัวกันดี?

เลือกไม่ยากเลยครับ! เป็นทางเลือกที่ “MAKE SENSE” ง่ายยิ่งกว่าฉีกซองมันฝรั่งเลย์แล้วเทเข้าปากเสียอีก!

นั่นละ คือเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้ รถคันสีแดง คันนี้ มาจอดอยู่บน Headlightmag.com กันในวันนี้

และในเมื่อ บทความรีวิว ครั้งนี้ ถือเป็นการพูดถึงรถยนต์รุ่นย่อยใหม่ ซึ่งถือเป็นการ Update รายละเอียด
และประสบการณ์ จากบทความรีวิวรถยนต์รุ่นเดิม ซึ่งเคยมีอยู่แล้วใน Headlightmag.com ของเรา ดังนั้น
บทความนี้จึงถูกรวบรัดตัดกระชับ ให้สั้นกว่า บทความรีวิว Volvo S60 2.0 T ที่เราเคยนำมาทดลองขับและ
ทำรีวิวกันไปแล้วเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2010 

เพื่อที่ให้คุณผู้อ่านได้รู้ว่า J!MMY ก็ทำอะไร “สั้นๆ” เป็นกับเขาเหมือนกัน

S60 1.6 DRIVe ถือเป็นรถยนต์รุ่นย่อยที่ 2 ในตระกูล S60 เจเนอเรชัน 2 ที่เปิดตัวในตลาดเมืองไทยมา
ตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2010 อันที่จริง Volvo ตั้งใจจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2011 ตามที่
ได้เคยปฏิบัติกันมา คือต้องใช้เวลา ราวๆ 1 ปี จึงจะมีรุ่น CKD  มาทำตลาดกันในเมืองไทย เพียงแต่ว่า
ในช่วงดังกล่าว ประเทศไทยกำลังวุ่นวายกับปัญหาน้ำท่วมภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร จนทำให้
Volvo ต้องตัดสินใจ เลื่อนการเปิดตัว มาเป็นในงาน Motor Expo วันที่ 1 ธันวาคม 2011 แทน

ความน่าสนใจของมัน ก็คือ ไม่เพียงแค่มีอุปกรณ์ลูกเล่นด้านความปลอดภัยมาให้พร้อมสรรพ ไม่แพ้
S60 2.0T ล็อตแรกแล้ว อีกประเด็น ที่ทำเอาหลายๆคน ถึงกับ FIN ไปเลย นั่นคือ ค่าตัวที่จะต้องแลกมา
เริ่มต้นในรุ่น S60 DRIVe B เพียง 1,899,000 บาท เท่านั้น !!! ขณะที่รุ่น S60 DRIVe S คันสีแดงที่คุณ
เห็นอยู่นี้ ค่าตัวอยู่ที่ 2,149,000 บาท!! ถูกกว่ารุ่นนำเข้าจากโรงงาน Ghent ในเบลเยียม หลายแสนบาท

ราคาถูกจนช็อควงการไปเลย ไม่มีใครคิดมาก่อนว่า Volvo จะสามารถทำราคาขายปลีกในเมืองไทย
สำหรับรถยนต์ขนาด Premium Compact ได้ถูกแบบนี้มาก่อน !! เรียกว่างานนี้ คาดหวังจะดับเครื่อง
ชนกับ BMW X1 2.0 ลิตร กันเลยทีเดียว!

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ S60 ใหม่ มีค่าตัวถูกขนาดนี้ ก็เพราะว่า Volvo ใช้วิธีการ นำเข้าชิ้นส่วน ไปประกอบ
ยังโรงงานของ Volvo มา กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1968 ปัจจุบัน มี
พนักงานประมาณ 200 คน ประกอบรถยนต์รุ่น Volvo S40, S60, S80, V50 , XC60 และ XC90 ว่าง่ายๆ
คือแทบทุกรุ่นที่มีขายอยู่ในเมืองไทยตอนนี้นั่นเอง

นั่นหมายความว่า ณ วันนี้  Volvo ที่ขายในบ้านเราทุกคัน จะนำเข้ามา จากโรงงานใน มาเลเซีย ทั้งสิ้น

แล้วโรงงาน สวีดิช แอสแซมบลี ที่ถนนบางนา-ตราดละ? ไม่ต้องห่วงครับ ก็ยังคงเปิดดำเนินการอยู่ แต่
ในฐานะผู้ประกอบรถบรรทุกขนาดใหญ่ Volvo Truck & Bus นั่นเอง 

ขนาดตัวถังยังคงไม่ต่างจากเดิม ด้วยความยาว 4,628 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตร  สูง 1,484 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,776 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า (Front Track) 1,588 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อ
คู่หลัง (Rear Track) 1,585 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่า 1,481 กิโลกรัม เมื่อรวมผู้โดยสาร 5 คน และสัมภาระ
พร้อมทั้งของเหลวในระบบ จะอยู่ที่ 2,020 กิโลกรัม น้ำหนักที่แผ่นหลังคาจะรับได้มากที่สุดคือ 75 กิโลกรัม

และในเมื่อขนาดตัวรถก็เหมือนเดิม ดังนั้น รูปลักษณ์ภายนอก ก็เลยแทบจะไม่มีความแตกต่างไปจาก S60
รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 Turbo 200 แรงม้า (HP) คันสีดำที่เราเคยทำรีวิวไปก่อนหน้านี้แต่อย่างใด อาจมีเพียงแค่
สัญลักษณ์ DRIVe ที่ฝากระโปรงหลังเท่านั้น ที่ทำให้รู้ว่า นี่คือ รุ่นประกอบที่มาเลเซีย

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่พอจะช่วยให้แยกความแตกต่างได้ ก็คงเป็นสีตัวถัง เพราะคราวนี้ สีน้ำตาลทองสวยๆ
อันเป็นสีโปรโมทในช่วงแรกที่เปิดตัว ถูกยกเลิกสำหรับตลาดเมืองไทยไปแล้ว ดังนั้น S60 1.6 DRIVe จึงมี
สีตัวถังให้เลือกเพียง 5 สี ได้แก่ สีแดง Flamenco Red ที่เห็นอยุ่ในบทความรีวิวนี้ สีดำ Ember Black เหมือน
ในรีวิว S60 2.0T สีเงิน Electric Silver สีขาว Ice White และสีเงินประกายทอง Seashell Metallic เท่านั้น

ล้ออัลลอย ในรุ่น B อันเป็นรุ่นพื้นฐาน เป็นลาย Orden ขนาด 7×16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/55 R16 ส่วนรุ่น
S จะสวมล้ออัลลอย ลาย Balder 5 ก้าน ขนาด 7×17 นิ้ว พร้อมยาง Michelin Premacy LC ขนาด 215/50 R17 

กุญแจของ S60 เป็นรีโมทคอนโทรล PCC (Personal Car Communicator) Keyless Smart Entry
พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer จากโรงงาน หน้าตาแบบเดียวกับใน S60 2.0T , S80 และ XC60 ใหม่
เพียงแค่ พกรีโมท PCC ไว้กับตัว ทันทีที่ดึงมือจับประตู รถจะปลดล็อคโดยอัตโนมัติ และถ้าจะล็อครถ ก็แค่กดปุ่ม
ตรงมือจับประตู สามารถสั่ง ล็อคหรือปลดล็อคประตู และฝากระโปรงหลัง โดยกดปุ่มเพียงครั้งเดียว แถมยังสามารถ
เข้าเมนู ไปตั้งค่าส่วนตัวเพื่อกำหนดให้ปลดล็อคประตูด้านคนขับก่อน หรือปลดล็อคประตูได้ทุกบานพร้อมกัน

นอกจากนี้ ยังสามารถสั่งเปิด – ปิดกระจก หน้าต่างทุกบาน เพียงแค่กดปุ่ม ล็อก หรือปลดล็อก ค้างไว้ 2 วินาที
และสั่งปลดล็อคฝากระโปรงหลังแยกต่างหากได้ แถมยังตั้งค่าในเมนูของรถ ให้ประตูทุกบานล็อคอัตโนมัติ เมื่อ

ออกรถไปได้สัก 5 วินาที และแน่นอน ผู้ขับขี่สามารถล็อคประตูทันทีได้เอง โดยกดปุ่มล็อกข้างมือจับประตูภายใน

รถ ซึ่งมีทั้งปุ่มล็อก ฝั่งผู้ขับขี่ และฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า ทำหน้าที่แทนสวิชต์กลอนประตูนั่นเอง

หากกำลังเดินช้อปปิงอยู่ แล้วสงสัยว่าล็อครถหรือยัง ให้กดปุ่ม i บน รีโมท PCC ไฟสัญญาณก็จะวิ่งวนๆ
รอบๆ PCC ถ้าล็อกรถแล้ว ก็จะขึ้นไฟเขียว ที่รูป กุญแจล็อก แต่ถ้ายังไม่ได้ล็อก ก็จะขึ้นไฟสัญญาณเตือน
ที่รูปกุญแจปลดล็อก เมื่อเดินกลับมาที่รถ ภายในรัศมี 60 ถึง 100 เมตร คุณสามารถกดปุ่ม i แสดงข้อมูล
ของ PCC เพื่อดูรายงานล่าสุดเกี่ยวกับสถานะการล็อคและการส่งสัญญาณเตือน

ระบบ PCC ของ S60 ยังมีสัญญาณกันขโมยควบคุมด้วย PCC เชื่อมต่อกับประตู ฝากระโปรงทุกบาน และ
ช่องเสียบกุญแจสตาร์ท สัญญาณนี้จะร้องลั่น เมื่อมีการเคลื่อนไหวภายในรถ หรือมีการทุบกระจก หาก
ตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นเมื่อ มีคนมารอที่รถ และพร้อมจะทำร้าย ให้กดปุ่มฉุกเฉินบน PCC รถ
จะร้องขึ้นมา เพื่อส่งสัญญาณเพื่อร้องขอความช่วยเหลือได้ เมื่อดับเครื่องยนต์ จะมีไฟหน้าส่องสว่าง
นำทางเข้าบ้าน และเมื่อเดินเข้าใกล้รถ หรือเมื่อออกจากรถ ไฟในห้องโดยสาร รวมทั้ง ไฟส่องพื้นที่ใต้
กระจกมองข้าง ติดขึ้นมา สั่งการได้ผ่าน PCC สรุปว่าเป็นออพชันเดียวกันกับใน S60 2.0T นั่นละ

เมื่อเปิดประตู ผมก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงประการต่อมา ที่ทำให้ S60 แตกต่างไปจาก Volvo รุ่นอื่นๆ
ก่อนหน้านี้ นั่นคือ น้ำหนักของประตู ซึ่งเบากว่าเดิม และถ้าปิดประตูเข้าไป เสียงปิดประตู ฟังแล้วจะไม่หนักแน่น
หมือนกับ Volvo รุ่นอื่นๆ จากโณงงานในสวีเดน หรือ เบลเยียม ในรอบ 4 ปีมานี้ แต่เสียงของมัน ฟังแล้ว
นึกถึง ประตูของ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ มากขึ้นนิดนึง แม้จะไม่เหมือนกันเป๊ะเลยก็ตาม

การออกแบบแผงประตูด้านข้าง แม้จะยังคงวางแขนได้ดีเหมือนเคย และใช้อะลูมีเนียม เป็นวัสดุประดับ
ตกแต่ง แต่ ด้านบนของแผงประตูนั้น ปรับให้ลาดเอียงลงเล็กน้อย จนคล้ายกับท่อนบนของแผงประตู
BMW 3-Series มากขึ้น กระจกหน้าต่าง ไฟฟ้า เป็นแบบ One-Touch ทุกบาน พร้อมสวิชต์ล็อกประตู
Central Lock ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสารด้านซ้าย

สังเกตการออกแบบยางขอบประตูให้ดี จะเห็นว่า ถูกปรับปรุงให้มีเบ้าติดตั้งยางขอบประตู โดยรอบ
ของกรอบประตู นอกเหนือจากบริเวณ กรอบกระจกหน้าต่าง ซึ่งเป็นการออกแบบ เพื่อลดเสียงลม
ที่จะเล็ดรอดเข้ามายังห้องโดยสาร ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ยิ่งเมื่อสังเกตกันไปเรื่อยๆ จะเริ่มเห็นว่า แผงประตูของ S60 ใหม่ มีความคล้ายคลึงกับแผงประตูของ
Crossover SUV รุ่น XC60 ยกพอสมควร เพียงแต่อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างกันบ้างนิดหน่อย

ชุดเบาะรองนั่ง และระบบสวิชต์ปรับตำแหน่งเบาะด้วยไฟฟ้า ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสาร รวมถึง ระบบจำ
ตำแหน่งเบาะนั่ง และกระจกมองข้าง 3 ตำแหน่ง เฉพาะฝั่งคนขับ ของ S60 1.6 DRIVe ยกชุดมาจาก SUV
รุ่นกลาง Volvo XC60 กันทั้งดุ้น เพียงแต่ว่า ปีกข้างของพนักพิงหลังนั้น หากเป็นรุ่น S60 อาจมีรอยตะเข็บ
ฝีเย็บที่แตกต่างกันนิดหน่อย รวมทั้ง พนักศีรษะ ที่แตกต่างจาก XC60 เพราะมีรูปทรงแบบเดียวกับ Volvo
รุ่นก่อนหน้านี้ เบาะนั่งมาในสไตล์สปอร์ตนิดๆ ออกแบบให้มีการรองรับสีข้างของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เพิ่มจาก
S60 รุ่นก่อนนิดหน่อย ที่สำคัญ ดูให้ดีจะเห็นว่า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด แบบ Pretensioner
& Load Limiter ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ มีสวิชต์ ปรับระดับสูง – ต่ำ มาให้แล้ว ไชโย!

ภาพรวมแล้ว เบาะนั่ง ยังคงให้ความสบายในแบบของ Volvo ยุคหลังปี 1998 เป็นต้นมา แทบทุกรุ่น นั่งนานๆ
ก็ไม่ปวดหลัง ไม่เมื่อยล้าแผ่นหลัง หรือบั้นท้ายแต่อย่างใด ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะ ก็ยังมีเหลือพอสำหรับคนตัว
สูงๆ เหมือนเช่น Volvo รุ่นอื่นๆ

ตั้งข้อสังเกตเล็กน้อยว่า ถึงแม้จะผ่านการใช้งานมาเพียง 2,400 กิโลเมตร เบาะคนขับของ รถคันสีแดงนี้ ก็เริ่ม
จะมีร่องรอยคราบสีดำ อันเกิดจากกางเกงยีนส์ กันบ้างแล้ว ดังนั้น การดูแลรักษาหนังของเบาะนั่งในรถยนต์
อย่าง Volvo โดยเฉพาะรุ่นที่มีห้องโดยสาร โทนสีสว่างแบบนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง และถ้าจำไม่ผิด Volvo มี
น้ำยาดูแลรักษาเบาะหนังของตนเอง ขายในศูนย์บริการด้วย หรือจะพึ่งพา Car care ชั้นเยี่ยมข้างนอกก็ได้

พืนที่วางแขนตรงคอนโซลกลางนั้น บุด้วยผ้า และมีฟองน้ำซ่อนข้างใน พอจะใหสัมผัสนุ่มๆ เหมือนแผง
ประตูด้านข้าง และอยู่ในตำแหน่งความสูงที่เหมาะสม แต่จะดีกว่านี้ ถ้าสามารถ เลื่อนขึ้นหน้าหรือถอยหลัง
ได้บ้าง มิใช่ติดตั้งตายตัว ในแนวเดียวกันกับ S80 และ XC60 เลย อะไหล่ชิ้นนี้ แทบจะยกมาจาก XC60 เช่น
เดียวกัน 

ส่วนการเข้าออกประตูคู่หลัง ทำได้ดีขึ้น หัวไม่ชนกับขอบหลังคาด้านบนง่ายดายเท่า S60 รุ่นก่อน
ตำแหน่งการวางแขนของแผงประตูคู่หลัง ไม่ได้แตกต่างจากแผงประตูคู่หน้าแต่อย่างใด กระจก
หน้าต่างด้านหลัง สามารถเลื่อนลงมาได้จนสุด มีสวิชต์ ล็อกและปลดล็อกอยู่ที่แผงประตู บริเวณ
มือจับประตูแทน แทนเดือยล็อกแบบรถยนต์ในปัจจุบันคันอื่นๆ เรียกได้ว่าง การวางแขน จะ
ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้

และด้วยเหตุที่ S60 เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้การจัดวางตำแหน่งล้อ กับเบาะหลังให้สมดุลกัน
ไม่ต้องเจอข้อจำกัดจากระบบขับเคลื่อน มากเท่ากับ BMW 3-Series และ Mercedes-Benz C-Class
กระนั้น พื้นที่วางขา ก็ยังจัดอยู่ในเกณฑ์ พอรับได้อยู่ พื้นที่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มากมายนัก คนตัวสูง
นั่งแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับผู้โดยสารตอนหน้าด้วย ปรับเบาะถอยหลังมามากไป เข่าของผู้โดยสารด้านหลัง
อาจจะติดพนักพิงเบาะหน้าได้

เบาะรองนั่ง ยังคงนั่งได้เต็มก้นเช่นเดิม แถมยังมีฟองน้ำอ่อนนุ่มสบายก้น รองรับอยู่ด้านหลัง พนักพิง
แผ่นหลังยังคงนุ่ม และติดแข็งนิดเดียว ส่วนพนักศีรษะ ก็ยังน่าพิงเหมือนเคย อีกทั้งยังมีสวิชต์ไฟฟ้า
สั่งพับให้พนักศีรษะทั้งฝั่งซ้าย และขวา ลงมาได้ หากไม่มีใครนั่งอยู่ที่เบาะหลัง เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยการ
มองเห็นด้านหลังรถมากขึ้น

ตรงกลางพนักพิงหลัง พับลงมาเป็นพนักวางแขน พร้อมช่องใส่แก้ว 2 ตำแหน่ง ซึ่งควรหาแก้วที่มีขนาด
พอดีกับช่อง จึงจะใช้งานได้สมอรรถประโยชน์อย่างแท้จริง ตำแหน่งวางแขนบนพนักพิง ถือว่า ทำได้
เหมาะสมดีแล้ว

พื้นที่เหนือศีรษะ ยังพอมีว่างอยู่ แต่ก็ไม่เยอะนัก หากคุณสูง 170 เซ็นติเมตร พื้นที่เหนือศีรษะ จะเหลือ
เพียงแค่ 3 นิ้วชี้สอดตรงกลาง ขณะที่ พื้นที่วางขา จะขึ้นอยู่กับการปรับเบาะคู่หน้า ของผู้ขับขี่ บรรยากาศ
การเดินทาง ก็พอกันกับ BMW 5-Series ใหม่ รหัสตัวถัง F10 คือนั่งสบาย มีพื้นที่วางขาพอดี แต่อาตจจะ
แอบอึดอัดนิดๆ เพราะระยะห่างจากขา กับด้านหลังของพรนักพิงเบาะหน้า น้อยไปหน่อย

พนักวางแขนตรงกลาง สามารถเปิดฝาออก เพื่อวางสิ่งของซ่อนไว้ได้นิดหน่อย เช่นเดียวกับเบาะหลัง
ที่สามารถแบ่งับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่วางสัมภาระ และยังคงใช้วิธีการพับเบาะที่เหมือน
Volvo รุ่นใหม่ๆคันอื่นๆทั่วๆไป แต่จะต่างไปจากรถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ อยู่บ้าง 

นั่นคือ คุณต้องเปิดฝาประตูห้องเก็บของด้านหลังขึ้นมาเสียก่อน จะเห็นมือจับสำหรับปลดล็อกพับเบาะ
อยู่ที่ด้านบนสุดของช่องทางเข้าสัมภาระ อยากพับเบาะฝั่งไหน ก็เลือกพับไปได้เลยตามใจชอบ แต่ต้อง
เดินย้อนยกลับไปพับพนักพิงเบาะลงด้วยมือเอาเองอีกทีนะครับ เพราะว่า ตัวพนักพิง มีแรงไม่พอ ที่จะ
พับตัวเองลงไป อย่างที่รถยนต์หลายๆรุ่นเขาทำได้กัน

ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง เปิดออกได้ทั้งการกดสวิชต์ที่บริเวณเหนือช่องใส่ป้ายทะเบียน และที่รีโมท PCC

ห้องเก็บของด้านหลัง จุได้ 380 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติของรถยนต์ Sedan
ทั่วไป ไม่ถึงกับใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กเมื่อได้เห็นของจริง มีแผงกันสัมภาระกระเด็นกระดอนไปมา ใช้งานได้
โดยยกขึ้นตั้งฉากง่ายๆ เช่นนี้ สามารถป้องกันไม่ให้ สิ่งของในห้องเก็บสัมภาระด้านหลังกระเด็นกระดอน
ไหลไปมา

ถ้าเมื่อยกพรมปูพื้นห้องเก็บของด้านหลังขึ้นมาจะพบว่า Volvo รุ่นนี้ ไม่มียางอะไหล่มาให้แล้ว แต่มีชุด
ปะยาง จาก Continental มาให้แทน ยังดีที่มีเครื่องมือซ่อมบำรุงประจำรถอย่างที่ขันน็อตล้อติดตั้งมาให้ด้วย 

ภายในใช้โทนสีเบจและดำสร้างบรรยากาศอบอุ่นสบาย ตามแบบ Scandinavian Design ที่
เน้นแนวคิด warm inside, cool outside โดยในรุ่น S ที่เห็นอยุ่นี้ จะตกแต่งภายในด้วยวัสดุ
สีดำ Charcoal และใช้หนังหุ้มเบาะกับวัสดุส่วนที่จะต้องสัมผัสกับผิวหนังของผู้คนด้วยสีเบจ
และดำ ส่วนรุ่น B จะตกแต่งด้วยหนังสีเบจล้วนๆ

มองจากด้านบนเพดานหลังคาลงมา แผงบังแดด ทั้งฝั่งซ้าย – ขวา มีทั้งกระจกแต่งหน้า และ
ไฟส่องสว่างมาให้ อีกทั้งตัวแผงบังแดดเอง เมื่อปลดล็อกสลัก ออกมาแล้ว ยังสามารถ เลื่อน
ไป – มา เพื่อให้สามารถบังแสงแดด ได้ทั่วถีงกว่าเดิม ส่วนไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร
และไฟอ่านแผนที่ ก็ถอดมาจาก Volvo รุ่นใหม่คันอื่นๆ อยู่ดีนั่นแหละ และมีสวิชต์เตือน
ผู้โดยสารด้านหลัง ให้คาดเข็มขัดนิรภัย ฝังมาให้บริเวณไฟส่องแผนที่ และไฟส่องสว่าง
ด้านหน้าของรถ รวมทั้งกระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ มาให้ทุกคัน

แผงหน้าปัดยังคงเหมือน S60 ใหม่รุ่น 2.0 T สิ่งที่ผมยังคงสงสัยจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ทำไมต้อง
ออกแบบตำแหน่งของช่องแอร์ ไว้ตรงกลาง ใต้จอมอนิเตอร์สี แทนที่จะเลื่อนตำแหน่งสวิชต์
ติดเครื่องยนต์ Push Start ไปไว้ที่อื่น จนขัดหูขัดตา สร้างความขัดแย้ง บนแผงควบคุมกลาง
ลายอะลูมีเนียม กัดขึ้นเงาแสนสวย อย่างที่เป็นอยู่นี้

ผมยังคงยืนยันว่า แผงหน้าปัดของ S60 รุ่นเดิมออกแบบมาได้ลงตัวกว่า ใช้งานสะดวกสบาย
เหมาะกับผู้ขับขี่มากกว่า แต่ข้อดีของแผงหน้าปัดของรถรุ่นใหม่นี้ กลับช่วยลดความสับสน
ขณะที่คุณคิจะต้องคลำหาสวิชต์อุปกรณ์อะไรสักอย่าง ในขณะขับรถด้วยความเร็วสูง ได้ดีกว่า
แผงหน้าปัดของรถรุ่นเดิม 

พวงมาลัยแบบสามก้าน ออกแบบในสไตล์ร่วมสมัย หุ้มหนัง และประดับด้วยโครเมียม เฉพาะในรุ่น S
นอกจากจะสามารถปรับระดับสูง – ต่ำ และใกล้ – ไกลได้มาก เหมือนรุ่น S80 แล้ว ยังถูกติดตั้งปุ่มควบคุม
ทั้งระบบ Adaptive Cruise Control รวมทั้ง สวิชต์ ควบคุมชุดเครื่องเสียง และโทรศัพท์ เคลื่อนที่ เพื่อความ
สะดวกในการใช้งานอีกด้วย ส่วนการติดเครื่องยนต์ หากพก รีโมท PCC ไว้กับตัวอยู่แล้ว ก็เหยียบเบรก
กดปุ่ม Start ได้ทันที

ส่วนในรุ่น B พวงมาลัยจะหุ้มหนังมาให้แบบเดียวกัน เพียงแต่ จะไม่มีการตกแต่งด้วยโครเมียม

แผงคอนโซลกลางและหน้าปัดทำมุมเอียงหันไปด้านคนขับ เหมือน S60 รุ่นก่อน เพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็น
ข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญได้สะดวก จากหน้าจอมอนิเตอร์สี 7 นิ้วซึ่งติดตั้งไว้ที่แผงคอนโซลหน้าด้านบน ใน
ระดับเดียวกันกับ ชุดมาตรวัดความเร็ว เพื่อให้ผู้ขับขี่ มองเห็นข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และลดการละสายตา
จากพื้นถนนให้สั้นที่สุด นอกจากนี้ แผงควบคุมกลาง ยังถูกออกแบบตำแหน่งการวางอุปกรณ์ต่างๆ ให้อยู่
ในระยะที่ผู้ขับขี่สามารถเอื้อมถึงปุ่มบังคับต่างๆ ได้สะดวก โดยไม่ต้องปรับเบาะเลื่อนเข้าใกล้แผงหน้าปัด

จอมอนิเตอร์แบบใหม่นี้ ถูกปรับปรุงรูปแบบการใช้งาน ให้เป็นในลักษณะ ซ้าย ไป ขวา ก่อนจะ เลื่อนขึ้น
หรือ ลง ด้วยการหมุน สวิชต์ควบคุม วงกลม ฝั่งขวา ด้านบน (จากสวิชต์ทรงกลม 4 ชิ้น บนแผงควบคุมกลาง)
ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และเข้าถึงเมนูที่ต้องการลึกๆ ได้ง่าย การแสดงผลต่างๆ เหมือนกับในรุ่น 2.0 T ทุก
ประการ นอกจากนี้ จอมอนิเตอร์ ยังทำหน้าที่แสดงผลจากกล้อง ขนาดเล็ก ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังรถ แถมยังมี

เซ็นเซอร์ กะระยะถอยหลังมาให้อีก เสียงดัง ปุ๊กๆๆๆ แถบสีเหลือง บนหน้าจอ สามารถหักเหได้ ตามแนวการ

หมุนของพวงมาลัยรถอีกด้วย เรียกว่า มาทั้งที มาให้ครบสมบูรณ์แบบไปเลยแบบนี้ดีกว่า

สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ทั้ง 4 บาน เป็นแบบ One Touch กดหรือดึงขึ้น เพื่อเลื่อนขึ้น หรือ ลงอัตโนมัติ
เพียงครั้งเดียว มีระบบ Jam-Protection ป้องกันการบาดเจ็บจากการโดนกระจกหนีบ ครบทุกบาน สวิชต์
กระจกมองข้างปรับได้ด้วยไฟฟ้า หากต้องการพับกระจก ก็ทำเหมือน Volvo รุ่นอื่นๆ คือ ต้องกดปุ่ม L R
พร้อมกันทั้ง 2 ปุ่ม กระจกจะพับเอง และกดอีกครั้ง เพื่อให้คืนกลับสู่สภาพพร้อมใช้งาน สวิชต์ เปิดปิด
ไฟหน้า ติดตั้งเหมือนรถยุดรปทั่วไป คืออยู่ฝั่งขวาของผู้ขับขี่ ใต้ช่องแอร์ อีกทั้งยังมีการติดตั้ง ไฟหน้า
แบบ ปรับมุมองศาการหักเห ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย Adaptive Bending Light แถมระบบ

ปรับระดับ ขึ้น ลง อัตโนมัติ มาให้ เพื่อความสะดวกในการขับขี่ทางไกล ยามค่ำคืน 

ชุดมาตรวัด ยังคงออกแบบ และจัดเรียงตำแหน่งไฟสัญญาณ รวมทั้งมาตรวัดต่างๆ เป็นรูปแบบเดียวกัน
กับมาตรวัดของ Volvo รุ่นอื่นๆ นับตั้งแต่รุ่นปี 2007 เป็นต้นมา หน้าจอวงกลม ตรงกลาง ของทั้ง มาตรวัด
ความเร็ว และมาตรวัดรอบ จะมีจอ Multi Information System เอาไว้แต้งการทำงานของระบบต่างๆภายใน
รถ ทั้งการแจ้งเตือน การแจ้งข้อมูล หรือ การทำงานของระบบ City Safety ต่างๆ

มาตรวัดแบบนี้ มีข้อดีคือ อ่านง่าย ไม่รบกวนสายตาผู้ขับขี่ แต่ได้ข้อมูลครบถ้วนตามต้องการทันที
ที่คุณเหลือบสายตาลงมามอง อย่างรวดเร็วในเสี้ยววินาที ไม่ซับซ้อน มีไฟเตือนเท่าที่จำเป็น นี่ละ
ชุดมาตรวัดแบบที่ผมอยากให้ผู้ผลิตหลายๆค่าย ดูเอาไว้เป็นแบบอย่าง ยกเว้นเรื่องเดียวคือ ทำไม
ต้องตัดมาตรวัดอุณหภูมิระบบหล่อเย็นออกไปด้วย? หรือว่า รถยนต์เมืองหนาว ไม่ค่อย Overheat
กันหรือยังไง? 

เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบ Digital แยกฝั่ง ซ้าย – ขวา ซึ่งให้ความเย็นกับคนขับอย่างผมได้ดี แต่ ผู้โดยสาร
ด้านหลัง ก็ยังคงบ่นกันเหมือนเคยว่า ช่องแอร์ บริเวณเสากลางทั้ง 2 ฝั่ง สำหรับผู้โดยสารด้านหลังนั้น กลับ
ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า นี่อาจเป็นเหตุผลของการออกแบบช่องแอร์ ไว้บนคอนโซลกลางให้
มีขนาดใหญ่ อย่างนี้ ด้านข้างกัน เป็นตำแหน่งสวิชต์ไฟฉุกเฉิน ไกลตัวไปนิด แต่มองหาเพื่อกดใช้งานได้ง่าย

ชุดเครื่องเสียงที่ติดตั้งมาให้ เป็นแบบ High Performance Multimedia (Level 3) 4×40 วัตต์ ลำโพง
มากถึง 8 ชิ้น มีระบบ Dolby DIGITAL ที่ Volvo เคลมว่า ให้คุณภาพระดับเดียวกับที่ใช้ในระบบ Home
Theatre และ Professional Theatre พร้อมทั้งช่อง Port AUX และ USB สำหรับเสียบเชื่อมต่อกับ
เครื่องเล่นเพลงอื่นๆ อย่าง iPod และสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth แถมยังสามารถ
ดึงเพลงจากในโทรศัพท์มือถือของคุณ มาเล่นในชุดเครื่องเสียงของ S60 กันสดๆ แบบ Audio streaming
ได้อีกด้วย

ผมไม่แน่ใจว่า นี่คือชุดเครื่องเสียงเดียวกันกับรุ่น 2.0 T หรือไม่ แต่ หลังจากที่ผม กับยอดนักฟังหูทอง
อีก 2 คนประจำเว็บของเรา อย่าง ตาเอก Backseat Driver และน้องต๊อบ ได้ทดลองฟังเพลงจากแผ่น
ต่างๆ รวมทั้งเสียบเชื่อมต่อกับดทรศัพท์ iPhone ด้วยแล้ว พบว่า เสียงบี้แบนกว่าในรุ่น 2.0 T อย่างที่
ไม่ควรจะเป็น จนผมสงสัยว่า เป็นเพราะ ลำโพง หรือสายสัญญาณหรือเปล่า ที่ทำให้เสียงบี้ลงจาก
มาตรฐาน ที่เคยพบในชุดเครื่องเสียงของ Volvo ได้อย่างนี้ ปกติแล้ว Volvo รุ่นใหม่ๆ ได้รับคำชม
จากพวกเราอย่างมาก ในเรื่องคุณภาพชุดเครื่องเสียง ที่ฉ่ำหู และได้อรรถรสเต็มเปี่ยม โดยไม่ต้อง
ไปซื้อหาชุดเครื่องเสียงมาเปลี่ยนเพิ่มเติมเลย (เพราะถ้าจะเปลี่ยน ก็คงไม่ง่ายเช่นกัน) แต่ใน S60
1.6 DRIVe ต้องบอกว่า แม้จะพอฟังได้ แต่ก็แอบผิดหวังเหมือนกัน เสียดายจริงๆ

ช่องเก็บของพร้อมฝาปิดฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า ด้านซ้าย มีขนาดลึกพอสมควร จุเอกสารประจำรถ
ทั้งคู่มือผู้ใช้รถ เอกสารกรมธรรม์ประกันภัย และทะเบียนรถแล้ว ยังมีพื้นที่เหลือ ใส่ปืนสั้นสัก
กระบอก หรือใส่ข้าวของจุกจิกอื่นๆได้อย่างสบายๆ  

กล่องเก็บของข้างลำตัวผู้ขับขี่กับผู้โดยสารตอนหน้า ด้านบน บุด้วยหนังแบบเดียวกับหนังหุ้มเบาะ ให้
สัมผัสที่ลื่น เนียน นุ่ม เหมือนกับใน Volvo S80 แถมยังวางแขนได้พอดีเป๊ะ เมื่อเปิดฝาด้านบนออก
จะพบกล่องใส่ CD ขนาด แค่พอดีกับกล่อง CD มาตรฐาน ไม่เหมาะกับ แพ็คเก็จ CD แบบประหลาดๆ
ทั้งหลายทั้งปวง มีช่องเสียบ USB และ AUX ถูกซ่อนเอาไว้ นอกจากนี้ ยังมีช่องเสียบไฟ 12V และช่อง
ใส่แก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง พร้อมไฟสีเขียวส่องสว่างมาให้ด้วยอีกต่างหาก มีฝาปิดแบบเลื่อน เพื่อความสวยงาม 

ทัศนวิสัย ด้านหน้า ก็ยังคงชัดเจนดี ตามมาตรฐานของรถยนต์ทั่วไป คุณยังสามารถเห็นฝากระโปรงหน้า
ได้อีกนิดหน่อย ขณะขับรถ แม้ว่าจะปรัะบตำแหน่งเบาะรองนั่ง ให้ต่ำลงสุดก็ตาม การมองเห็นถือว่า
ในตำแหน่งนี้ ไม่มีปัญหาอะไรนัก แค่อาจรู้สึกกะระยะในการจอดรถแบบหัวรถทิ่มเข้าช่องจอดยาก
นิดนึง แต่ไม่ต้องกลัว เพราะมีเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด เป็นตัวช่วยอยู่แล้ว 

มองมาทางขวามือ เยื้องจากด้านหน้าเล็กน้อย เสาหลังคาหน้า A-Pillar ฝั่งขวา ยังคงมีการบดบัง ในขณะ
เข้าโค้งทางขวามือ บนถนนสวนกันสองเลน นิดนึงแม้จะไม่มากนัก ก็ตาม กระจกมองข้างฝั่งขวา มอง
เห็นทิศทางของรถที่มาจากด้านหลังฝั่งขวาได้ดีพอสมควร แต่ขอบฝั่งขวาจะถูกพื้นที่ของกรอบพลาสติก
ด้านใน บดบังพื้นที่การมองเห็นไปบ้างพอสมควาร ซึ่งถ้าแก้ไขได้ ก็น่าจะดีกว่า 

ส่วนเสาหลังคาหน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย  แม้ว่าจะมีการลดขนาดความหนาของเสาหลังคาลงไปจากรุ่นเดิม
แล้วก็ตาม แต่การบดบังทัศนวิสัย ขณะเลี้ยวกลับ อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับว่า คุณปรับเบาะนั่ง
ของคุณ ให้เลื่อนเข้าใกล้ หรือถอยห่างจากพวงมาลัยมากน้อยแค่ไหน ถ้าปรับดีๆ ก็แทบจะไม่บังเลย
 แต่ถ้ามันบังเมื่อใด แสดงว่า คุณอาจจะปรับตำแหน่ง เบาะนั่งไม่ถูกต้องกับสรีระของคุณเอง

กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง ยังคงติดตั้งระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ BLIS (Blind Spot Information

system) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ทุกคัน จะมีกล้องอินฟาเรดใต้กระกมองข้าง หันไปทางด้านหลังรถ จับ

ภาพรถคันที่แล่นตามมาข้างๆ แล้วแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยสัญญาณไฟสีอำพัน ขึ้นอยู่กับว่า จักรยานยนต์ หรือรถ
จะแล่นมาทางฝั่งซ้าย หรือขวา ก็จะมีไฟสัญญาณแจ้งเตือนขึ้นมา ที่่กระจกมองข้างฝั่งนั้นแทน ระบบนี้จะ
ทำงานเมื่อความเร็วรถมากกว่า 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมทั้งมีสวิชต์ ปิด-เปิด ระบบที่แผงควบคุม ด้านล่าง
ใกล้คันเกียร์ และถ้า ไฟ BLIS กระพริบถี่ๆ แสดงว่าระบบอาจติงต๊อง วิธีแก้คือ ปิดระบบไปเสีย แล้วหาทาง
ดับเครื่องยนต์ ก่อนจะติดเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง เพียงเท่านี้ระบบก็จะกลับมาทำงานได้ตามปกติ

ในรถคันที่เราทดลองขับ ระบบ LIS ทำงานได้ตามปกติ ไม่มีอาการเสีย หรือรวนเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
คิดว่าระบบน่าจะเสถียรขึ้นกว่า C30 S80 ล็อตแรกๆแล้วพอสมควร 

ทัศนวิสัยด้านหลังมองเห็นดีขึ้นกว่า S60 รุ่นแรก ด้วยการออกแบบแนวขอบเส้นรอบกระจกหน้าต่าง บริเวณ
หูช้างด้านหลังใหม่ทำให้เพิ่มพื้นที่การมองเห็นจากรถรุ่นเดิมก่อนหน้านี้อีกนิดนึง และช่วยทำให้เกิดความ
โปร่งตาขึ้นจากรถรุ่นเดิม อีกนิดนึง แต่ถ้าเมื่อใดที่เอาพนักศีรษะ ยกขึ้นตั้ง ทุกอย่าง ก็จะกลับไปเหมือนกับ
รถยนต์ทั่วไปคือ พนักศีรษะ ใหญ่โตจนบดบังการมองเห็น จักรยานยนต์ ที่อาจจะแทรกตัวมาในขณะที่คุณ
กำลังถอยรถเข้าจอด 

 

 ********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ความแตกต่างที่สำคัญของ S60 ใหม่ คันที่เราเคยทดลองขับ และทำบทความ Full Review ไปเมื่อปี 2010
ไม่เพียงแค่แหล่งที่ผลิตของตัวรถเท่านั้น หากแต่ยังอยู่ที่ การเปลี่ยนมาใช้ขุมพลังใหม่ ขนาดเล็กลง แต่
ให้สมรรถนะที่จัดจ้านไม่แพ้กัน

เครื่องยนต์ใหม่ มีรหัส B4164T2 บล็อก  4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,596 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79 x 81.4
มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ Integrated Fuel SFI เรียงลำดับการจุด
ระเบิดตามกระบอกสูบ 1 – 3 – 4 – 2 รอบเดินเบาอยู่ที่ 750 รอบ/นาที เพิ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก กับรถยนต์
รุ่นปี 2012 (และออกสู่ตลาดโลกเมื่อช่วงปลายปี 2011 มานี้เอง) ถือว่าบ้านเราเราได้ใช้เครื่องยนต์ที่สดใหม่
 เหมือนกับ ตลาดอื่นๆ ทั่วโลก

จุดเด่นของเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่นี้ อยู่ที่การลดความจุกระบอกสูบลง แต่ใช้ระบบอัดอากาศ Turbocharger
แบบ Full Pressure มาช่วย และมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ภาพรวม เพื่อลดแรงเสียดทานลงให้น้อยที่สุดเท่าที่
จะเป็นไปได้ ไม่เพียงเท่านั้น เครื่องยนต์รุ่นนี้ยังถูกออกแบบมาให้ สามารถเติมน้ำมันได้ทั้ง เบนซิน 95 ทั่วไป
แก็สโซฮอลล์ 95 (E10) แก็สโซฮอลล์ E20 จนถึง แก็สโซฮอลล์ E85 ได้ด้วย

Volvo แจ้งตัวเลขสมรรถนะออกมาว่า เครื่องยนต์ใหม่นี้ ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า (HP) ที่ 5,700 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ( 24.45 กก.-ม.) ที่ รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,600 – 5,000 รอบ/นาที และปล่อย
ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (CO2) ต่ำเพียง 126 กรัม / 1 กิโลเมตร ซึ่งต่ำเกือบเท่ากับ รถยนต์ ECO Car ที่มีขาย
กันอยู่ในบ้านเรา ทั้ง Nissan March , Honda Brio , Mitsubishi Mirage และ Suzuki Swift ใหม่ เลย!

สิ่งที่คนส่วนมากไม่ทราบมาก่อนก็คือ เครื่องยนตฺ์ที่เห็นอยู่นี้ แท้จริงแล้ว มันเป็นเครื่องยนต์ของ Ford
ที่ผลิตออกจำหน่ายมาได้สักพักหนึ่งแล้ว โดยติดตั้ใน Ford Focus 2012 รุ่นใหม่ ในตลาดโลก แถมยัง
เป็นเครื่องยนต์ในตระกูล Ford ECO Boost ที่ Ford ในยุโรป พยายามโปรโมท ถึงสมรรถนะ ที่มาพร้อม
ความประหยัดน้ำมัน (และนี่อาจเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ Volvo เอง ก็ไม่สามารถโฆษณาในเรื่องของ
สมรรถนะจากเครื่องยนต์บล็อกนี้ได้มากเท่าที่สมควร)

แต่ถ้าจะคาดหวังให้ Fors Sales Thailand ติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่นี้ ใน Ford Focus 2012 ที่มีกำหนดจะ
เปิดตัวในเมืองไทย กลางปี 2012 นี้ ผมคงต้องบอกกันตรงๆ อย่างไร้ความเกรงใจกันเลยแม้แต่นิดว่า

“ฝันไปเถอะ ชาติหน้าตอนพลบค่ำนะ”

ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ของ GETRAG รุ่น MPS 6 – 7 Power Shift Dual Clutch ซึ่ง
อันที่จริง ก็เป็นเกียร์ลูกเดียวกันกับที่เคยประจำการอยู่ใน S60 2.0 T ดังนั้น อัตราทดเกียร์ และเฟืองท้าย ก็เลย
เหมือนเดิมเช่นกัน ดังนี้

เกียร์ 1                     3.818
เกียร์ 2                     2.150
เกียร์ 3                     1.407
เกียร์ 4                     1.029
เกียร์ 5                     1.188
เกียร์ 6                     0.971
เกียร์ R                     5.284
อัตราทดเฟืองท้าย        3.933 (เกียร์ 1-4)
                              2.682 (เกียร์ 5-6 + R)

หลักการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ ลูกนี้ คือมีชุดเกียร์ 2 ชุดพร้อมคลัทช์คู่แบบเปียกที่ทำงานแยกกันโดยอิสระ
ชุดที่ 1 จะควบคุมการทำงานของเกียร์ 1, 3, 5 และเกียร์ถอยหลัง ส่วนอีกชุดหนึ่งจะควบคุมการทำงานของเกียร์
2, 4, 6 โดยแต่ละชุดจะสลับกันทำงาน

เมื่อออกรถเรียบร้อยแล้วในเกียร์ 1 คลัทช์ชุดที่สองจะเข้ารอที่เกียร์ 2 ทันที เมื่อเปลี่ยนมาเป็นเกียร์ 2 แล้ว คลัทช์
ชุดแรกจะไปรออยู่ที่เกียร์ 3 สลับกันไปเรื่อยๆ การที่มีคลัทช์ 2 ชุดทำงานสลับกันเช่นนี้ทำให้เครื่องยนต์สามารถ
ส่งกำลังต่อเนื่องไม่มีขาดตอน ไม่ต้องมีทอร์กคอนเวอร์เตอร์และไม่เกิดการเสียแรงบิด จึงเปลี่ยนเกียร์ได้อย่าง
รวดเร็ว ราบรื่น และรักษาอัตราเร่งได้อย่างต่อเนื่องขณะที่มีการเปลี่ยนเกียร์

อย่างไรก็ตาม ทำความเข้าใจสักนิดนึงว่า เกียร์ลูกนี้ คือเกียร์คนละลูกกับที่ประจำการอยู่แล้วใน Volvo S40 และ
Ford Focus TDCi รุ่นปี 2009 – 2012

แล้วสมรรถนะจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง?

เรายังคังจับเวลาด้วยวิธีการเดิม นั่นคือ ใช้เวลากลางคืน บนเส้นทางที่ไม่ค่อยมีรถพลุกพล่าน ปราศจากผู้คน
ในมาตรฐาน เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า และนั่ง 2 คน ผู้จับเวลาให้เรา ยังคงเป็นคุณกล้วย BnN แห่ง The Coup
Team ของ Headlightmag.com เรานั่นละ ตัวเลขที่ออกมาได้ เมื่อเปรียบเทียบกับรถรุ่นเดิม มีดังนี้

 ถ้าเปรียบเทียบตัวเลขแล้ว ดูเผินๆ คุณอาจมองว่า ตัวเลขของรุ่น 2.0 T เดิม อาจจะดีกว่า รุ่น 1.6 DRIVe ใหม่
แต่ ต้องไม่ลืมนะครับว่า ตัวเลขในช่องแถบสีที่เห็นอยู่ มาจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร พร้อม Turbo
ที่ต้องมีภาระในการแบกลากน้ำหนักตัวถึง 1,481 กิโลกรัม (รถเปล่า) และ เกือบ 2 ตัน ในวันที่เราจับเวลากัน

ยิ่งดูตัวเลขอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง คุณจะพบว่า มันแทบจะใกล้เคียงกันมากๆ ต่างกันเต็มที่ก็แค่
ไม่เกิน และต่ำกว่า 1 วินาที ซึ่งต้องถือว่า ตัวเลขนี้ ไม่ธรรมดาแล้วละครับ สำหรับรถเก๋งยุโรป เครื่องยนต์
เบนซิน ขนาดเล็กกว่าปกติอย่างจงใจเช่นนี้

สิ่งที่อยากให้คุณจับตามองไว้ให้ดีคือ อัตราเร่งแซงช่วง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ทำได้ไวถึง 7.5 – 7.6 วินาที
ดีกว่ารุ่น 2.0 T อยู่ราวๆ 0.1 วินาที และดีกว่า Mercedes-Benz C200 Kompressor W204 กับ BMW 325i

ตัวถังเปิดประทุน Convertible (E93) อีกต่างหากแหนะ! แม้ว่าตัวเลขจะด้อยกว่าเพื่อนร่วมพิกัดคันอื่นๆ ที่เหลือก็ตาม

และทั้งหมดนี้ มาจากเครื่องยนต์แค่ 1.6 ลิตร พ่วง Turbo…! ที่ใช้เกียร์ลูกเดียวกับรุ่น 2.0 T เดิม!

ยิ่งเมื่อทดลองขับจริงแล้ว จะยิ่งพบว่า แรงดึงที่รถทำได้นั้น แม้จะไม่ถึงกับดึงกระชากจนรั้งแผ่นหลังคุณติดเบาะ
แต่ด้วยความต่อเนื่องของอัตราเร่ง จากแรงบิดที่มาในสไตล์ Flat Torque รวมทั้ง การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล และ
ราบเรียบ จนไม่รู้สึกเลยว่า เกียร์ถูกเปลี่ยนตำแหน่งขึ้นไปแล้ว ถ้าไม่ได้มองดูเข็มวัดรอบบนมาตรวัด จะพบว่า
แรงดึงที่พาให้รถพุ่งออกไปนั้น มากพอจะสร้างความหรรษาเพื่อการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ใช้ได้เลยทีเดียว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเร่งแซง ไม่ว่าคุณจะเหยียบคันเร่งลงไปเพียงแค่ 1 ใน 3 หรือว่า 2  ใน 3 คันเร่งไฟฟ้า
อาจจะมี Lack อยู่นิดๆ แต่ก็ถือว่าน้อยกว่า S80 ล็อตแรกๆนั่นมาก บูสต์ ของ Turbo เอง ก็มาค่อนข้างไว ตั้งแต่
ประมาณ 1,500 รอบ/นาที แรงบิดเกือบจะสูงสุด ก็มารอให้คุณขยี้อยูที่เท้าขวาแล้ว แค่เหยียบคันเร่งลงไปเมื่อ
คุณต้องการ แรงบิด 240 นิวตันเมตร ก็จะพาคุณ พุ่งแซงขึ้นไป อย่างรวดเร็ว ทันใจ หายห่วง เพียงพอ และ
ทิ้งรถคันที่คุณเพิ่งจะแซงมา ไว้เป็นเพียงจุดเล็กๆ บนกระจกมองหลัง ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น

พละกำลังมีให้คุณเรียกใช้ได้ต่อเนื่อง แถมในช่วงพ้นจาก 4,000 รอบ/นาทีขึ้นไป แรงบิดสูงสุด ก็ยังมีให้เรียกหา
ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับ 5,000 รอบ/นาที ถ้ายังใช้ความเร็วไม่สูงนัก คุณก็จะยังเห็นว่า ปลายค่อนข้าง
ไหลลื่นดี แต่เมือใดที่คุณใช้ความเร็วสูงระดับ เกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป หากคิดจะทำความเร็วสูงุด แตะ
ระดับ ท้อปสปีด 225 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว คุณจำเป็นต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆ และระยะทางข้างหน้าจะต้อง โล่ง
สนิทจริงๆ เนื่องจาก กว่าที่ความเร็วจะขึ้นไปถึงจุดนั้นได้ จะใช้เวลานานมาก และน่าแปลกว่า ในช่วงความเร็ว
ปลายๆ ก่อนถึงความเร็วสูงสุด เข็มวัดความเร็วจะแข็งกว่าปกติหรืออย่างไรก็มิทราบได้ กว่าจะกระดิกขึ้นไป
ครั้งละ 1 กิดลเมตร/ชั่วโมงได้นี่ ลุ้นกันปัสสาวะเหนียวเลยทีเดียว และเมื่อนั้นละ คุณก็จะได้รู้ว่า หลัง 5,000
รอบ/นาที ซึ่งผ่านพ้นช่วงแงบิดสูงสุดไปแล้ว ต่อให้เหยียบมากกว่านี้ ก็ต้องใช้เวลานานมาก เนื่องจากแรงบิด
จะไม่เหลือมากพอให้คุณเร่งความเร็วขึ้นไปได้อย่างว่องไวเหมือนช่วงก่อนหน้านั้นอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะกล่าวคำว่า ขอต้อนรับคุณผู้อ่าน สู่ อารยธรรม เครื่องยนต์สันดาป หลังปี 2011 อย่าง
เต็มตัวกันเสียที ผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่าย โดยเฉพาะในยุโรป ทั้ง Mercedes-Benz BMW Volkswagen Group
(รวมทั้ง VW Audi Skoda Seat Lamborghini) Porsche Volvo Ford (Europe) PSA Group

(Peugeot Citroen) ไม่เว้นแม้แต่ GM (Opel Chevrolet ฯลฯ) ต่างพากันค้นคว้าพยายามพัฒนา เครื่องยนต์

รุ่นใหม่ๆ ให้มีความจุกระบอกสูบน้อยลง แต่ใช้ Turbocharger มาช่วยอัดอากาศ จนให้พละกำลังเทียบเท่า หรือ

แรงกว่า เครื่องยนต์ความจุใหญ่กว่า แถมยังให้ความประหยัดน้ำมันมากกว่า ด้วยซ้ำ เพราะมีแรงเสียดทานน้อยกว่า

เครื่องยนต์ยุคก่อนหน้านี้

โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว มีแต่ผู้บริโภคในเมืองไทยเรานี่แหละ ที่ยังกลัว เครื่องยนต์เล็กๆ รุ่นใหม่ๆเหล่านี้
กันอยู่ ยังติดภาพ รถยนต์ในยุคโบราณ รุ่นบิดามารดายังวัยรุ่น กันอยู่เลย ว่า เครื่องเล็กจะไม่มีแรง ไม่รู้ว่าจะ
กลัวห่ากลัวเหว อะไรกันนักกันหนา อีตอนจะซื้อรถใหม่เนี่ย ก็ถามกันจริ๊ง ว่าประหยัดน้ำมันเท่าไหร่ อัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเท่าไหร่ พอเสนอเครื่องเล็กๆให้ ก็ส่ายหน้า

บางรายนี่เป็นเอามาก ขนาดในงานแสดงรถยนต์ทั้ง Motor Show / Motor Expo ไปเจอบูธรถยนต์ยี่ห้อไหน
ก็ตาม ต่อให้ถูกใจใกล้เซ็นใบจอง พอบอกว่า เครื่องยนต์ขนาดเล็ก เท่านั้นแหละ บุตรชายคนโตของบ้าน ผู้ซึ่ง
น่าจะมีโลกทัศน์กว้างไกล กลับพาบุพการี จูงกันเดินออกจากบูธหน้าตาเฉย โดยไม่สนใจแม้แต่จะทดลองขับ
หรือสำรวจดูก่อนว่า เครื่องยนต์เล็กๆ เนี่ย เขาติด Turbo มาช่วย แล้วเทคโนโลยีมันก็ทะลุทะลวงไปไกลจน
ถึงไหนต่อไหนมากมายแล้ว พอได้ฟัง ผมก็เซ็งทำอะไรไม่ได้มากเกินไปกว่า เซ็งจิตกับความคิดเหล่านี้เป็น
อันมาก!

สงสัยพวกเขาคงไม่เคยอ่าน Headlightmag.com ของเรามั้ง….ผมได้แต่คิดในใจ….

แต่อย่างว่าละครับ มองในอีกมุมหนึ่ง ผู้บริโภค ย่อมมีสิทธิ์กลัว และกังวลใจ เพราะการตัดสินใจซื้อรถยนต์
1 คันนั้น ใครๆ ก็อยากได้แต่สิ่งที่ตนเองต้องการจริงๆ ชอบจริงๆ กันทั้งนั้น

การเก็บเสียง ก็ยังคงทำได้ดี ให้ความรื่นรมณ์ กับผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ในทุกสภาพถนน หรือการจราจร
จนกระทั่งถึงความเร็ว เกินกว่า 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป เสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถ จะเริ่มเข้ามา
มากกว่าระดับความเร็วต่ำกว่านี้นิดนึง แต่ก็ไม่ก่อความรำคาญใดๆ ให้กับผู้โดยสารเลย จนกระทั่งเริ่มเข้า
สู่ความเร็ว ระดับ เกินกว่า 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปนั่นละครับ กระแสลม จะไหลผ่านตัวรถเร็วขึ้น เสียง
ของกระแสลม ขณะที่ตัวรถกำลังแหวกอากาศออกไป ก็จะดังเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา  

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัย แบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electronics
Power Steering) บอกได้เลยว่า นี่คือพวงมาลัย Volvo คันที่ 3 ซึ่งผมชื่นชอบมาก ต่อจาก S60 รุ่นก่อน และ C30
เป็นพวงมาลัยที่ปรับตั้งมาเพื่อเอาใจคนชอบขับรถโดยแท้

ครั้งแรกที่ขึ้นขับ พวงมาลัยของ S60 ใหม่ จะแตกต่างจาก พวงมาลัยของ Volvo รุ่นอื่นๆ คือคุณอาจต้องออกแรง
หมุนพวงมาลัยเพิ่มขึ้นจาก Volvo ทั่วๆไป สักหน่อย พวงมาลัยจะหนืดในแบบที่คุณสุภาพสตรี อาจไม่ชอบนัก
แต่สำหรับคนชอบขับรถ อย่างผม หรือ The Coup Team ของเรา ไม่เว้นแม้แต่ ตาถัง ว่าที่นักบิน ซึ่งมาช่วยผม
ทดลองรถในรอบหลายปีมานี้อยู่เรื่อยๆ และกำลังเล็งว่าจะซื้อ S60 อยู่พอดีนั้น กลับชอบมาก เจ้าตัวถึงกับเอ่ยว่า
การตอบสนอง ทำให้ระลึกถึง Saab 9-3 รุ่นสุดท้ายที่ขายในเมืองไทยกันเลยทีเดียว

ในช่วงความเร็วต่ำ พวงมาลัยอาจจะหนืดนิดนึง แต่เมื่อคุณขับออกถนนใหญ่แล้ว คุณจะพบว่า พวงมาลัยยังคง
มีความหนืดกำลังดี มั่นใจ และแม่นยำใช้ได้ มีระยะฟรี นิดหน่อย บังคับเลี้ยวไม่หนักไม่เบาเกินไป ในช่วงการ
ขับขี่ในเมือง ยิ่งเมื่อไต่ความเร็วขึ้นไปสูงๆ พวงมาลัยจะให้ความหนักแน่น มั่นคง ตึงมือ On Center Feeling

ดีมากๆ อยากจะบอกว่า ตั้งแต่เจอพวงมาลัยเพาเวอร์ปรับด้วยไฟฟ้า มา ผมอยากให้ผู้ผลิตรถยนตืชาวญี่ปุ่นและ
เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ชาวจีน ดูน้ำหนักพวงมาลัยของ Volvo S60 รุ่นนี้ กับ C30 และ ตระกูล Volkswagen

และ Saab ทุกคันเอาไว้ได้เลย นี่ละ คือพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ที่นักขับรถทุกเพศทุกวัย จะชื่นชอบกันละ!

อย่างไรก็ตามขณะที่ผมยืนอยู่ข้างนอก รอให้ตาเอก Backseat Driver ของเรา จอดรถให้เรียบร้อย หลังกลับมา
จากนำรถไปวนรอบๆ ซอยหมู่บ้านมาพักหนึ่ง  ผมพบว่า เสียงของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ควบคุมชุดพวงมาลัยนั้น ดัง
“วื๊ดดดดด” มากไปหน่อย มันอาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถ้าตราบใดที่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับการตอบสนองในภาพรวม
แต่ความน่ารำคาญในสายตาของลูกค้าบางคน ก็อาจมีอยู่บ้าง ถ้าปรับแก้ได้ ก็คงจะดี แต่ถึงไม่แก้ไข ก็ไม่ใช่ปัญหา
ใหญ่โตแต่อย่างใด

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลัง แบบ Multi-Link คอยล์สปริง 4 ล้อ มีการติดตั้งระบบ
ควบคุมการทรงตัว Advanced Stability Control ซึ่งมีเซ็นเซอร์ ตรวจสอบทั้งการโคลงตัวของรถ ตรวจสอบ
อัตราเร่ง เพื่อตรวจจับการลื่นไถล ตั้งแต่เริ่มลื่น และพยายามชดเชยแรงบิดไปยังล้อที่หมุนน้อยกว่า ให้เหมาะสม

นอกจากนี้ยังมี ระบบควบคุมการทรงตัวและยึดเกาะถนน DSTC (Dynamic Stability and Traction Control)
ช่วยควบคุมการทรงตัว ลดโอกาสที่รถจะเกิดอาการท้ายปัด หมุน หรือพลิกคว่ำ  อีกทั้งยังสามารถเลือกกดปุ่ม
Sport Mode หากผู้ขับต้องการความสนุกในการขับขี่เพิ่มขึ้น โดยระบบจะยอมให้ล้อหลังสามารถหมุนฟรี
ได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการเข้าโค้งการกระจายแรงบิด (Corner Traction Control by Torque Vectoring)
ถือเป็นการพัฒนาระบบ DSTC ให้ดีขึ้น เมื่อเข้าโค้ง ล้อที่อยู่ด้านในของโค้งจะเบรกพร้อมกับถ่ายทอดกำลัง
ไปยังล้อที่อยู่ด้านนอกมากขึ้น ทำให้ผู้ขับสามารถเข้าโค้งในวงแคบได้มากขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิด
อาการดื้อโค้งด้วย

รวมทั้งระบบควบคุมการเข้าโค้งการกระจายแรงบิด (Corner Traction Control by Torque Vectoring)

ถือเป็นการพัฒนาระบบ DSTC ให้ดีขึ้น เมื่อเข้าโค้ง ล้อที่อยู่ด้านในของโค้งจะเบรกพร้อมกับถ่ายทอดกำลังไปยัง

ล้อที่อยู่ด้านนอกมากขึ้น ทำให้ผู้ขับสามารถเข้าโค้งในวงแคบได้มากขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการดื้อโค้ง

ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างของ S60 ใหม่ จะให้ความยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง “ตึงตังนิดๆ” ซับแรงสะเทือนจากพื้น
ถนนไว้นิดหน่อย แล้วส่งผ่านมาให้ผู้ขับขี่สัมผัสผ่านทางพวงมาลัย ขณะที่ เบาะรองนั่ง จะช่วยซับแรงสะเทือนไว้
ตามสมควร นั่นจะทำให้ลูกค้า Volvo ที่คุ้นเคยกับความนุ่มสบาย อาจจะไม่ชอบรถคันนี้ และบอกว่ามันแข็งไปนิด
ทั้งที่จริงๆแล้ว หากมองในมุมของคนชอบขับรถ เช่นผม และ The Coup Team จะมองว่า ความสะเทือนนั้น

กำลังดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ยังอยู่ในเกณฑ์รับได้

แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณพา S60 1.6 DRIVe ขึ้นทางด่วน บอกได้เลยว่า คุณจะสัมผัสได้ถึงความนิ่ง แน่น และแม่นยำ
เรื่องน่าแปลกก็คือ รุ่น 2.0T ก่อนหน้านี้ ผมบอกว่า เมื่อเลยพ้น 170 กิโลเมตร/ชั่วโมงไปแล้ว ด้านหน้าของรถ
จะคล้ายกับว่าลอยขึ้นนิดหน่อย ซึ่งเริ่มน่ากังวลนิดๆ แต่ใน รุ่น 1.6 DRIVe นั้น แม้จะมีอาการหน้าลอยโผล่มา
ให้เจอ แต่ก็น้อยกว่าเดิมชัดเจน และคุณจะเริ่มรับสัมผัสนี้ได้ ก็ต่อเมื่อใช้ความเร็ว เลยจาก 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องใช้ความเร็วเหนือกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ช่วงล่างจะนิ่ง และมั่นใจ
ได้ดีมากกว่าที่คิด ยิ่งผสานกับ พวงมาลัยที่นิ่ง และมีเสถียรภาพดี ก็ยิ่งช่วยลดความเกร็งกังวล ในการเดินทาง
ด้วยความเร็วสูงๆ ได้อย่างดี

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ บนทางโค้งทางด่วน ขั้นที่ 1 และ 2 ในหลายๆโค้ง ผมมักใช้ความเร็วได้เต็มที่สุดก็แค่
90 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นก็มักจะถึงลีมิทของรถกันแล้ว แต่ ใน S60 1.6 DRIVe คันนี้ พาผมทะลุเพดานใน
โค้งต่างๆ ได้อย่างหน้าตาเฉย! ไม่ว่าจะเป็นทางโค้ง จากช่วงด่านพระราม 9 มุ่งหน้ามาเลี้ยวซ้าย ไปทางลง
เพลินจิต ทั้งเหนือและใต้ เป็นโค้งซ้ายที่มี 2 เลน และพื้นผิวถนนค่อนข้างลื่นนิดๆ อันตรายพอประมาณ
แต่ผมกลับสามารถ พาเจ้าแดง Flamingo คันนี้ พุ่งและเข้าไปอยู่ในโค้งด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ต่เนื่องตั้งแต่เริ่มเข้า จนถึงออกจากโค้ง ได้อย่าง “เนียนสนิท” อาจมีลื่นนิดๆ ในช่วงรอยต่อโลหะจากการ
เชื่อมทางโค้ง และทางด่วนขั้นที่ 1 เข้าด้วยัน เพียงนิดนึง แต่ภาพรวมแล้ว น่าประทับใจมากๆ นี่ยังไม่นับ
อีกหลายๆโค้ง ที่ผมสามารถใช้ความเร็วได้เกินกว่าที่เคยทำมาในรถคันอื่นๆได้อีกระหว่าง 5 – 10 กิโลเมตร/
ชั่วโมง อีกด้วย เช่นโค้งยาวๆ ต่อเนื่อง จากทางด่วนขั้นที่ 1 พุ่งขึ้นไปยังทางยกระดับบูรพาวิถี (ช่วงทางราบ
สุขุมวิท 62) ซึ่งเป็นโค้งซ้ายยาวๆ พื้นผิวเป็นลอนคลื่นนิดหน่อยในเลนซ้าย แต่ผมก็วิ่งในเลนขวา และแซง
ขึ้นหน้า Lancer Cedia ที่วิ่งด้วยความเร็วราวๆ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเลนซ้าย ได้สบายๆ ส่วนหนึ่ง ก็คง
เป็นเพราะยาง Michelin Premacy HP ที่สวมติดรถจากโรงงานในมาเลเซีย มาให้ด้วย

กลายเป็นว่า นี่คือ Volvo ที่ทำให้ผมใช้ชีวิตอยู่บนทางโค้ง ได้สนุกอีกคันหนึ่ง นอกเหนือจาก C30 2.4 ลิตร
ที่สวมยาง Piralli P Zero Rosso คันนั้น…

เมื่อถึงตอนนี้ ผมก็มั่นใจว่า ระบบกันสะเทือนของ S60 1.6 DRIVe เนี่ย ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ของมันไป
ดีแล้วนะครับ ไม่ต้องไปปรับอะไรเพิ่มเติม ยกเว้นแค่ อาจจะเพิ่ม ลิ้นสปอยเลอร์ด้านหน้า เพื่อช่วยเพิ่มแรงกด
ของอากาศ บริเวณด้านหน้า หรือ Down Force อีกนิดนึง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ระบบห้ามล้อเป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานเบรกหน้า มีขนาดเส้นผ่าศนย์กลาง แตกต่างกันไปตามแต่ละ
ประเทศที่ส่งเข้าไปขายทั้ง 300 / 316 หรือ 336 มิลลิเมตร (ของบ้านเรา น่าจะมีเป็น 300 หรือ 316 
มิลลิเมตร) มีรูระบายความร้อน ทำให้จานเบรกทั้ง 3 ขนาด มีความหนาเท่ากันที่ 28 มิลลิเมตร ส่วนจาน
เบรคู่หลัง ประเทศมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากันคือ 302 มิลลิเมตร ส่วนความหนา หากเป็นรุ่นจานเบรก
ธรรมดา จะหนา 11 มิลลิเมตร แต่ถ้ามีรูระบายความร้อน จะหนา 28 มิลลิเมตร เช่นกัน

ส่วนระบบตัวช่วยด้านความปลอดภัยในการทรงตัวต่างๆนั้น ประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อล็อกในสถานการณ์
คับขัน ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics
Brake Force Distribution) ระบบเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกในภาวะฉุกเฉินที่ต้องเหยียบเบรกกระทันหันแบบไฟฟ้า
หรือ EBA (Electronics Brake Assistance) ตัวเลขจากโรงงาน วัดระยะทางในการหยุดรถ จากพิกัดระดับ
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนถึงจุดหยุดนิ่ง ทำได้ 37 เมตร

การตอบสนองของระบบเบรกในภาพรวม ก็ยังคงให้ความมั่นใจได้ดีเหมือนเช่นใน รุ่น 2.0 T แป้นเบรกให้การ
ตอบสนองที่ต่อเนื่อง Linear ดีมาก ในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้องชะลอความเร็วของรถในช่วงเกิน
200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลงมาอย่างรวดเร็ว ระบบเบรกของ S60 ให้ความมั่นใจได้ดีมาก ต่อให้ต้องชะลอความเร็ว
ในขณะเข้าโค้ง S60 1.6 DRIVe ก็ยังให้เสถียรภาพที่ดี กระจายแรงดันน้ำมันเบรกไปยังล้อที่เหมาะสม ตามที่
ได้ปรับตั้งมา เพียงแต่ว่า ในขณะคลานไปตามสภาพการจราจรติดขัดในเมือง แม้ว่า ระบบเบรกจะยังให้ความ
นุ่มนวล แต่การชะลอรถให้หยุดแบบนิ่มๆ ไม่มีอาการ “กึก” ส่งท้ายก่อนรถจะหยุดนิ่ง อาจจะต้องอาศัยความ
คุ้นชินเข้ามาช่วยสักหน่อย  

ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย ที่ติดตั้งมาให้ ในรุ่น S จะประกอบไปด้วย ระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมระบบ
เบรกแบบเต็มแรงเบรก (Pedestrian Detection with Full Auto Brake มีเฉพาะรุ่น S) ระบบนี้สามารถตรวจจับ
ได้ว่ามีคนเดินถนนกำลังเดินเข้ามาในทิศทางเดียวกันกับรถ และจะหยุดรถอัตโนมัติถ้าคนขับไม่เบรกอย่าง
ทันท่วงที

ระบบนี้ประกอบด้วย Redar ที่ติดตั้งอยู่บนกระจังหน้าของรถ กล้องที่ติดอยู่ด้านหลังของกระจกมองหลัง และ
กล่องควบคุมระบบ Redar จะตรวจจับภาพมุมกว้าง 60 องศาทางด้านหน้ารถว่ามีวัตถุอยู่ในรัศมีหรือไม่ และ
วัดระยะห่างจากวัตถุนั้น ส่วนกล้องก็จะยืนยันว่าวัตถุนั้นเป็นโครงสร้างของมนุษย์ คือ มีศีรษะ ลำตัว แขน ขา
หรือไม่ โดยที่เรดาร์สามารถตรวจจับได้กระทั่งคนที่เพิ่งจะก้าวลงมาบนถนน กล้องรุ่นใหม่นี้มีความละเอียด
สูงกว่ารุ่นเดิมมาก ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวของคนเดินถนนนั้นได้ด้วย ระบบนี้ติดตั้ง
เป็นอุปกรณ์มาตรฐานและทำงานเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 35 กม./ชม.

ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ผู้ขับขี่จะได้ยินเสียงสัญญาณเตือน “ปรึ๊..บ ปรึ๊…บ” พร้อมกับเห็นไฟ LED สีแดง
กระพริบที่ด้านบนของแผงหน้าปัด สะท้อนขึ้นไปยังกระจกบังลมหน้ารถ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่มีปฏิกิริยา
ทันที  ขณะเดียวกันระบบเบรกก็จะเตรียมพร้อมไว้ หากผู้ขับขี่ไม่เหยีบเบรกเมื่อได้ยินและเห็นสัญญาณ
เตือน แต่ระบบคำนวณว่าจะเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ ระบบหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกจะทำงานทันที

ระบบเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการชน และหยุดรถแบบเต็มแรงเบรก (Collision Warning with Full Auto
Brake) มีเฉพาะรุ่น S เช่นกัน ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้ขณะขับขี่บนถนนไฮเวย์โดยเฉพาะ
สามารถรับรู้และเตือนผู้ขับขี่ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ภายในระยะ 150 เมตร Redar Sensor บนกระจังหน้า
และดิจิตอลที่อยู่บนกระจกบังลมหน้าจะตรวจจับระยะห่างระหว่างรถ S60 DRIVe กับรถคันข้างหน้า

หากรถคันหน้าหยุดกะทันหัน และระบบ Collision Warning ประเมินว่าอาจเกิดการชน ระบบจะส่งเสียง
สัญญาณ และไฟกระพริบสีแดงบนกระจกบังลมหน้า เพื่อเตือนผู้ขับขี่ และจะสั่งให้ระบบเบรกทำงาน
ในระดับหนึ่งเพื่อช่วยผ่อนแรงผู้ขับขี่ในการเหยียบเบรกให้รถหยุดทันท่วงที หากผู้ขับไม่เหยียบเบรก
ฟังก์ชั่น Auto Brake จะหยุดรถโดยทันที และเปิดสัญญาณไฟกระพริบฉุกเฉินเพื่อเตือนรถคันที่ตามหลัง
ให้ระวังตัว
ระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชั่นหยุด/ออกตัวรถอัตโนมัติ และระบบแจ้งเตือนระยะห่างจาก
รถคันหน้า (Adaptive Cruise control with Queue Assist and Distance Alert หรือ ACC) 
มีเฉพาะรุ่น S ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่ทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจากรถคันหน้าในทุกระดับความเร็ว จนถึง
200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในการจราจรที่เคลื่อนตัวช้าที่ระดับความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบ
หยุดรถและออกตัวรถอัตโนมัติจะปรับระดับความเร็วของรถให้พอดีกับคันหน้า จากรถที่หยุดอยู่กับที่ เพียง
กดปุ่มหรือเหยียบคันเร่ง ก็สามารถขับตามคันหน้าได้อย่างนิ่มนวล และถ้าใช้ความเร็วสูงกว่า 30 กิโลเมตร/
ชั่วโมง  ก็สามารถตั้งความเร็วรถที่ต้องการและ Time Gap หรือช่วงระยะวลาน้อยสุดที่รถจะวิ่งไปถึงคันหน้า
ได้บนพวงมาลัย ระบบจะปรับความเร็วให้สอดคล้องกับคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ หรือแสดงไฟเตือนถ้าคุณ
ผู้อ่าน ขับรถเข้าใกล้รถคันข้างหน้ามากเกินไป

ระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (City Safety) ติดตั้งมาให้ครบทั้งรุ่น B และ รุ่น S โดยระบบนี้
จะหยุดรถอัตโนมัติหากผู้ขับขี่ไม่ได้เหยียบเบรกอย่างทันการณ์เมื่อรถคันหน้าลด ชะลอความเร็วหรือหยุด
แบบกระทันหัน หรือเมื่อคนขับใช้ความเร็วมากเกินไปทำให้รถพุ่งเข้าหาวัตถุที่อยู่นิ่งๆ ข้างหน้า ระบบนี้
จะช่วยลด หรือเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้โดยเฉพาะการพุ่งเข้าชนรถคันหน้าเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำกว่า
30 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ (Blind Spot Information system – BLIS) ติดตั้งมาให้ทุกคัน
โดยจะเตือนจุดบอดด้านข้างรถ โดยมีกล้องดิจิตอลไว้ใต้กระจกมองข้างหันไปทางด้านหลังรถ เพื่อเฝ้าระวัง
ทั้งสองข้างของรถ หากมียานพาหนะเข้ามาในโซนจุดบอด ระบบนี้จะเตือน ให้หลอดไฟที่ติดอยู่กับประตู
คู่หน้า ทั้งด้านซ้ายหรือขวาจะสว่างขึ้น  ระบบนี้จะทำงานเมื่อความเร็วรถมากกว่า 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และตั้งแต่นำรถคันนี้มาทดลองขับ ระบบ BLIS ก็ไม่ได้รวน เหมือนอย่างที่เจอมาใน S80 หรือ C30 เลย

ทุกรุ่นจะติดตั้งเซ็นเซอร์ 4 จุดบริเวณกันชนหลังของรถ แต่ในรุ่น S จะเพิ่ม เซ็นเซอร์ บนกันชนหน้า
อีก 4 จุด แถมด้วย กล้อง Park Assist camera ติดตั้งเหนือช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง โดยมีแนวเส้นสี
เหลือง จะหักเหไปตามทิศทางการหมุนของพวงมาลัย เพื่อช่วยกะระยะขณะถอยเข้าจอดได้ดียิ่งขึ้น
จอดรถได้ตรงขช่องจอด ไม่เหลื่อมซ้ายหรือขวามากไป แถมยังสามารถเลือกปรับระดับเสียงสัญญาณ
การเตือนเมื่อถอยรถเข้าใกล้วัตถุต่างๆ ได้จากจอมอนิเตอร์สี บนแผงหน้าปัด

ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ นอกเหนือจากเข็มขัดนิรภัยทุกตำแหน่งจะเป็นแบบ
ELR 3 จุด พร้อมระบบปรับความตึงได้สำหรับทุกที่นั่ง มีระบบ Pre-prepared Restraints (PRS)
ปรับความตึงอัตโนมัติ ขณะเกิดเหตุ และระบบ Load limiter จะช่วยคำนวณและปรับแรงดึงกลับของ

เข็มขัดนิรภัยให้เหมาะสม เพื่อให้การปกป้องสูงสุดสำหรับการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้ง ทำงานร่วมกับถุงลม

นิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านลมนิรภัยรวม 6 ตำแหน่งแล้ว

ยังมีโครงสร้างตัวถัง ที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 Zone มีระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง (Side

Impact Protection System – SIPS) ระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลังที่เกิดจาก

การสะบัดของศีรษะ (Whiplash Protection System – WHIPS) ช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ

ที่คอ เมื่อรถถูกชนหลังในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การชนจากด้านข้างทั้งสองด้านของตัวรถ

ส่วนการขับขี่นั้น ยังมีการติดตั้ง ระบบป้องกันรถคว่ำ (Rollover Protection System – ROPS) มีให้

ทุกรุ่นทุกคัน ระบบนี้ใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ และระบบปรับระดับความตึงของเข็มขัดนิรภัย นอกจากนี้ม่าน
นิรภัยด้านข้าง (Inflatable Curtain) จะทำงานเมื่อรถคว่ำ เมื่อผนวกกับโครงสร้างนิรภัยของรถแล้ว ก็จะ
ช่วยลดการบาดเจ็บของผู้โดยสารที่ใช้เข็มขัดนิรภัยไว้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีการออกแบบ แกนพวงมาลัยให้ยุบตัวได้ โครงสร้างห้องโดยสารภายแบบดูดซับพลังงาน
รวมทั้งการออกแบบโครงสร้างด้านหน้า ให้ให้โค้งมน ไฟหน้าอยู่ในระนาบเดียวกับตัวถัง และพื้นที่บน
ฝากระโปรงหน้าเป็นแบบดูดซับพลังงานทำหน้าที่เป็นโซนยุบตัว คานพลาสติกนุ่มที่กันชนหน้า ฯลฯ
เพื่อช่วยลดการบาดเจ็บของคนเดินถนน ในกรณีที่ถูกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  

 รายละเอียดเพิ่มเติมของระบบต่างๆเหล่านี้ ดูได้จาก รีวิว ของ S60 รุ่น 2.0 T ใน Link ด้านท้ายบทความ

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เรายังคงทำการทดลองหาความประหยัดน้ำมันกันด้วยวิธีการดั้งเดิม คือขับรถไปเติมน้ำมันกันที่ สถานีบริการ
น้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน ฝั่งตรงข้ามและเยื้องๆปากซอยอารีย์ ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ โดยเรา
ยังคงเติมน้ำมัน “เบนซิน 95” กันเหมือนเดิมต่อไป

ซึ่งตรงนี้ต้องขอบคุณ Caltex โดยทางอ้อมด้วย ที่ยังคงเป็นบริษัทน้ำมันรายเดียว ซึ่งยังขายน้ำมันเบนซิน 95
แท้ๆ อยู่ โดยยังไม่มีความคิดที่จะเลิกขายในตอนนี้แต่อย่างใด (มิเช่นนั้น ผมคงเครียดมากกว่านี้อีกเยอะ)

แม้ว่า S60 1.6 DRIVe จะมีเครื่องยนต์ อยู่ในพิกัด 1.6 ลิตร แต่เนื่องจากรถยนต์รุ่นนี้ อยู่ในกลุ่ม Premium ซึ่ง
ลูกค้าส่วนใหญ่ จะให้ความสำคัญ ต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่มากเท่ากับกลุ่มรถยนต์นั่งยอดนิยม สำหรับ
ตลาด Mass Market เครื่องยนต์ต่ำกว่า 2,000 ซีซี จากญี่ปุ่น และกลุ่มรถกระบะ เราจึงตัดสินใจ เติมน้ำมันเพียง
แค่ให้หัวจ่ายตัด ก็พอ ไม่ต้องเขย่ารถอัดน้ำมันกรอกเข้าไปให้เต็ม เหมือนอย่างรถยนต์ทั้ง 2 กลุ่มที่กล่าวถึงไว้
เติมลงไปในถังน้ำมันขนาด 67.5 ลิตร ของ S60 นั่นละ

สักขีพยาน และผู้ร่วมทดลองกันในคราวนี้คือ คุณกล้วย BnN จาก The Coup Channel ของ Headlightmag.com
เรา ซึ่งเพิ่งจะว่าง และอยากทดลองดูตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองของรถรุ่นนี้กันอย่างจริงจัง

เติมน้ำมันเสร็จแล้ว เซ็ต 0 บน Trip Meter คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ แล้วออกรถช้าๆ เลี้ยวกลับ
บนถนนพหลโยธิน ไปเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออกปากซอย โรงเรียนเรวดี แล้วเลี้ยวขึ้นทางด่วนพระราม 6
เดินทางไปยังปลายสุดทางด่วน สายอุดรรัถยา ที่ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนเส้นเดิม โดยใช้
ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน ตามมาตรฐานเดิม

เมื่อเข้ากรุงเทพฯ เรามาลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน จากนั้น เลี้ยวกลับ
ที่สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ กลับเข้าไปเติมน้ำมัน เบนซิน 95 ที่ สถานีบริการน้ำมันของ Caltex เหมือนเดิม
และที่ หัวจ่ายเดิม

มาดูตัวเลขที่รถรุ่นนี้ทำได้กัน
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่  91.3 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.44 ลิตร



คำนวนแล้ว ได้อัตราสิ้นเลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.17 กิโลเมตร/ลิตร

เอาละ ตัวเลขที่ออกมา อาจจะต่ำกว่าความคาดหวังของคุณผู้อ่านหลายๆคน ที่อยากเห็น

ตัวเลขระดับ 15 กิโลเมตร/ลิตรขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้คุณลองดูตารางข้างล้างนี้ก่อน

 

ถ้าคุณคิดว่าตัวเลขของ S60 1.6 DRIVe ทำได้ยังไม่ถึงกับตัวเลขที่คุณคาดหวัง ตารางข้างล่างนี้ แสดงให้เห็นว่า
จากการทดลองต่างๆ ที่ผ่านมา ในรถยนต์กลุ่มพิกัด Premium Compact ด้วยกัน ตอนนี้ S60 DRIVe ทำตัวเลข
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง “ประหยัดที่สุดในกลุ่มรถยนต์ Premium Compact ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินด้วยกัน”

แน่นอว่า Mercedes-Benz C-Class C250 CDI Blue Efficiency กับ BMW 320d จะคว้ามงกุฎหัวจ่าย
น้ำมันทองคำ ไปครอง 2 ค่ายรวด เพราะประหยัดสุดอลังการ แต่นั่นก็เพราะเป็นขุมพลัง Diesel Turbo ลองวัดกัน
ด้วยรุ่นเครื่องยนต์เบนซินดู งานนี้ Volvo ก็ประหยัดกว่าเห็นๆ

แล้วคุณยังจะต้องการอะไรอีกละ? หืม?

อยากรู้ว่าตัวเลขจากการใช้งานจริงเป็นอย่างไร?

ได้เลยครับ มาตรวัดที่เห็นอยู่นี้ คือตัวเลขที่ผม Seto 0 บน Trip Meter ไว้ แล้วขับรถคันนี้ ใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็น
การทดลองอัตราเร่ง ทำท็อปสปีดไปเบ็ดเสร็จ 3 ครั้ง เร่งแซง รถติด ขับบนทางด่วน แล่นในเวลากลางคืนเป็นหลัก
ผมแล่นมาทั้งหมด 505 กิโลเมตร และยังเหลือน้ำมันอีก 1 ใน 8 ของถังความจุ 67.5 ลิตร และยังแล่นได้อีก ประมาณ
90 กิโลเมตร จากการคำนวนของคอมพิวเตอร์ในรถ

นั่นเท่ากับว่า น้ำมัน 1 ถัง สามารถพา S60 1.6 DRIVe แล่นไปได้ด้วยระยะทาง 600 กิโลเมตร ได้อย่างแน่นอน
ไม่ว่าคุณจะขับตะบี้ตะบันกันถึงพริกถึงขิง หรือจะขับเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะไปตามเรื่องตามราวก็ตาม

หมดข้อกังขาเรื่องความประหยัดแล้วนะครับ?

********** สรุป **********
ซุกซน อย่างมั่นใจ ปลอดภัยอย่างชาญฉลาด แรงและประหยัดกว่าที่คาด ในราคาถูกและคุ้มเกินคิด

ประโยคข้างบนนี้ มานั่งอ่านอีกที คล้ายกับคำขวัญประจำจังหวัดเลยแหะ!

มันไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงแต่อย่างใด ถ้าผมจะบอกว่า S60 1.6 DRIVe ก็ยังเป็น Volvo อีก 1 คัน
ที่ผมไม่อยากคืนกุญแจให้กับพี่ต่ายไปเลยจริงๆ เพียงแต่ว่า คราวนี้ ผมเองกลับอยากได้รถรุ่นนี้มาใช้
เป็นส่วนตัวกันเลยทีเดียว ความคิดดังกล่าว ไม่ถูกรบกวนโดยตัวเลขสมรรถนะอันอาจดูไม่สมเหตุผล
เช่นใน รุ่น S60 2.0 T เลยทั้งสิ้น!

เพราะ S60 1.6 DRIVe ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ด้วยเทคโนโลยีของ อดีตบริษัทแม่อย่าง Ford การลด
ความจุกระบอกสูบลง และพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ ให้มีแรงเสียดทานน้อยลง สมรรถนะพอๆ กันกับ
รุ่น 2.0 T แต่ประหยัดน้ำมันขึ้น ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความน่าใช้น่าขับขี่ น่าถวิลหา ให้กับ S60 ใหม่ยิ่งขึ้น
ไปอีก จนผมแอบเสียดายแทนลูกค้าที่ถอยรุ่น 2.0T ออกไปก่อนหน้านี้เลยจริงๆ

ขณะเดียวกัน บุคลิกการขับขี่ ของ S60 ใหม่ ก็ยังอยู่ตรงกลางระหว่าง Mercedes-Benz C-Class และ
BMW 3- Series เหมือนที่ผมเคยสัมผัสมาในรุ่น S60 2.0 T เลยนั่นละ ถึงพยายามจะเอาใจนักขับรถ
จนเทำให้บุคลิกในภาพรวม กระเดียดมาในแนวทางของ BMW มากกว่า Volvo รุ่นใดๆที่เคยมีมา จน
ทำให้ต้องใช้สโลแกนว่า Volvo ผู้ซุกซน (The Naughty Volvo) แต่อรรถรสในการขับขี่อันแสนสบาย
ในแบบฉบับของ Volvo แท้ๆ ก็ยังไม่ได้ถูกลดทอนลงไปแต่อย่างใด 

ที่สำคัญ S60 1.6 DRIVe ใหม่ มีความคล่องตัวสูงมากกว่า Volvo รุ่นอืนๆ ที่ผมเคยลองขับมา แถมมีออพชัน
ให้มาแน่นเอียด คุ้มค่า ในราคาสบายกระเป๋า เจ้าของ SME ที่เริ่มมีฐานะ และมองการใช้ชีวิตต่างจากคนอื่น
แม้ว่าจะเลือกรุ่น B อันเป็นรุ่นถูก จ่ายเพียง 1,899,000 บาท คุณก็จะได้ระบบ City Safety ระบบควบคุมการ
ทรงตัว DSTC ระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control มาด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็เพียงพอในระดับหนึ่งแล้ว

เพียงแต่ว่า ในรุ่น S ค่าตัว 2,149,000 บาท คุณก็จะได้ ระบบแจ้งเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการชน Collision Warning
ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบแปรผัน พร้อมระบบ หยุดและออกรถเองอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control
พร้อม Queue Assist และระบบ Distance Alert ระบบกล้องและสัญญาณเตือนขณะถอยเข้าจอด ทั้งหน้า-หลัง
Park-Assist Camera & Sensor ชุดเครื่องเสียง High Performance ที่มีเสียงบี้แบนไปหน่อย ผิดจากมาตรฐาน
Volvo รุ่นใหม่ๆในรอบ 5 ปีมานี้ ก็เพียงแค่นั้น ซึ่งการลงทุนในรุ่น S ย่อมคุ้มกว่าเมื่อจะต้องคิดถึงการขายต่อ
แม้ว่า ราคาอาจจะร่วงรูดเหมือน Volvo รุ่นอื่นๆ แต่รุ่นที่มีออพชันครบกว่า ราคาขายต่อ ก็จะตกต่ำน้อยกว่ากัน
ชัดเจน

แต่ถ้าจะถามถึงข้อที่ควรปรับปรุงของ S60 1.6 DRIVe แล้ว ผมมองว่า มีไม่มากนัก และมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
สำหรับผมแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าจะมีแค่ 2 ข้อเท่านั้น

ข้อแรก สายสัญญาณ และลำโพงของชุดเครื่องเสียงที่ติดมาให้กับรถ ผมว่าน่าจะอัพเกรดให้มีคุณภาพดีกว่านี้
อีกสักหน่อยจะดีกว่า เพื่อเสียงที่เคลียร์ ชัดเจน และไม่บี้แบนกว่ามาตจรฐานชุดเครื่องเสียงของ Volvo ที่เคย
เป็นมา

ข้อ 2 อาการด้านหน้ารถแอบลอยๆ ยังหลงเหลืออยู่บ้าง แม้ว่าจะน้อยลง และกว่าจะเจอ ต้องพารถให้แล่นไป
แตะระดับเกิน 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไปเสียก่อนก็ตาม อย่าลืมนะครับว่า ลูกค้าคนไทย ตีนผี ขับเร็วกัน
ก็มากมาย จนอยากรู้ว่า จะรีบไปเข้าห้องน้ำตามปั้มน้ำมันกันหรือยังไง? ถ้าใส่ สปอยเลอร์ชิ้นล่างด้านหน้า
อีกนิดหน่อย จะช่วยเพิ่มแรงกด Down Force ในช่วงความเร็วสูงได้มากขึ้น และการทรงตัวของรถก็จะ
ดียิ่งขึ้นได้อีก จากเดิม ที่ถือว่าทำได้ดีแล้วในระดับน่าพอใจ 

แล้วถ้าต้องเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกันละ?

Mercedes-Benz C200 CGI รุ่นพื้นฐาน 2,149,000 บาท
สิ่งเดียวที่ยังจะเป็นเหตุผลในการตัดสินใจซื้อรถรุ่นนี้ ก็คือ “ศักด์ศรีแห่งดวงดาวบนฝากระโปรงหน้า ที่ไม่ว่า
รปภ.โรงแรมไหนๆ ก็ต้องโค้งคำนับแล้วรีบหาที่จอดให้ ” และแค่นั้น…! เพราะอุปกรณ์พื้นฐานติดรถที่ให้มา
มันน้อยไปหน่อย เมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายออกไป แม้ว่าล็อตหลังๆ จะมีการติดตั้ง กระจกมองข้าง
พับด้วยสวิชต์ไฟฟ้ามาให้แล้ว ตั้งแต่ ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2011 ก็ตาม

BMW X1 sDrive18i ราคา 2,149,000 บาท เช่นกัน
ตามหลักแล้ว ผมควรเอา BMW 318i หรือ 320i มาเทียบจึงจะเหมาะสม แต่ในเมื่อ BMW Thailand จัดออพชัน
ให้เป็น BMW X1 อย่างนี้ ผมก็คงต้องจำใจ นำรถรุ่นนี้ มาไว้ในการเปรียบเทียบครั้งนี้ด้วย ข้อดีที่ X1 มีให้
เหนือกว่า S60 คือความอเนกประสงค์ ในแบบรถยนต์ Station Wagon หรือ Croosover SUV จากพื้นที่ห้อง
เก็บสัมภาระด้านหลัง ที่มีขนาดใหญ่พอประมาณ รวมทั้งอุปกรณ์ติดรถ ที่มีมาให้ในระดับเหมาะสม ไม่น้อย
และไม่มากมายนัก อย่างไรก้ตาม ในเรื่องสมรรถนะ ผมยังไม่ได้ทดลองขับ จึงยังบอกอะไรไม่ได้ เพราะเมื่อ
ติดต่อไปทาง BMW Thailand แล้ว ได้รับคำตอบว่า “จิมมี่ อย่าขับคันนี้เลย รอรุ่น xDrive 20d จะดีกว่า” ก็คง
พอจะนึกออกใช่ไหมครับว่า มีแนวโน้มที่ผมคงด่าเละเทะแน่ๆ กับสมรรถนะของมัน….

Skoda Superb 1.8 TSi
เอาละ พอมีรถคันนี้เข้ามาอยู่ด้วยละ เลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว การขับขี่ ของ Superb จะมาในอารมณ์ของ
รถยนต์ Saloon ขนาดกลาง เอาใจผู้ใหญ่ชัดเจน แต่กระฉับกระเฉงพอตัว ประหยัดน้ำมันกว่า S60 เห็นๆ
แต่ ชื่อชั้นของ Skoda นั้น ยังต้องอาศัยเวลาในการรื้อฟื้นความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคชาวไทยอีกพักใหญ่ๆ
สรุปได้ว่า ถ้าต้องการรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ เดินทางไปไหนมาไหนไกลๆ ได้สบายๆ ผู้ใหญ่ในบ้านจะ
ชื่นชอบ Superb มากกว่า ถ้าคุณมีความสามารถมากพอจะลากบุพการี มาทดลองขับถึงโชว์รูมได้ แต่ถ้าคุณ
ต้องการความคล่องตัว พร้อมระบบความปลอดภัยที่มากกว่า แน่นอนครับ S60 1.6 DRIVe เป็นคำตอบที่
ลงตัวกว่า 

 เอาละ ในเมื่อตัวเลขออกมาดีแบบนี้ ในเมื่อรถก็ขับดีใช้ได้มากขั้นอีกนิดแบบนี้ แถมค่าตัวก็ถูกกว่าเดิมมาก
ขนาดนี้ คำถามก็คือ แล้วคุณจะกลัวอะไร กับรถยนต์ยี่ห้อ Volvo กันอีก?

1 คืนก่อนวันที่ผมจะไปรับตัว S60 DRIVe คันนี้มาอยู่ด้วยกัน มีกระทู้จากคุณผู้อ่าน ถามเข้ามาในเวบบอร์ด
ของ Headlightmag.com เรานี่แหละว่า “ทำไม Volvo ในบ้านเรา ยังขายไม่ดี?”

นั่นสิ ทำไม?

หลังจากอ่านคำตอบของคุณผู้อ่านหลายๆคนแล้ว แทบจะทั้งหมด ส่วนใหญ่ บอกเหตุผลมาเหมือนๆกันว่า…
บริการหลังการขายไง!

ความน่ากลัวของเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ และทางสำนักงานใหญ่ก็รู้ปัญหากันดีว่า สิ่งที่ผู้คนยังกลัวกันอยู่
คือราคาอะไหล่ที่เคยแพงบรรลัย และความไม่เข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้ของช่างที่ต้องซ่อม วิเคราะห์โน่น
เดานั่น เคลมชิ้นนี้ ซ่อมชิ้นนั้น มันส์พะยะค่ะ กันไปเลย แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ มีแค่ 2 ประเด็นนี้จริงๆ ที่
ทำให้ผู้คนยังเข็ดขยาดกับ Volvo ในยุคก่อนๆอยู่

แต่ในเมื่อทุกวันนี้ เท่าที่ผมตั้งเว็บ Headlightmag.com มา 3 ปี ปัญหาของผู้ใช้รถยนต์ Volvo มีเข้ามา
ถึงมือผมรวมแล้ว ไม่เกิน 4 ราย และจากที่ติดตามเคสตลอด ก็เห็นถึงความพยายามของทางสำนักงานใหญ่
ในการแก้ไขปัญหา ส่วนราคาอะไหล่ แพงจริงไหม? จริง แต่ตอนนี้ มีบริการดูแลรถฟรี 5 ปี และฟรีค่าอะไหล่
3 ปี และจะว่าไปแล้ว ในบางกรณี ยังมี Good will ให้ลูกค้าบ้างด้วย ในกรณีที่เพิ่งพ้นระยะรับประกันคุณภาพ
ไปหมาดๆ สดๆร้อนๆ แล้วกันเกิดพังขึ้นมา อาจจะไม่ได้มีทุกกรณี แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่เหมือนกัน

ณ วันนี้ ผมก็เลยมองว่า ถ้าผมมีเงิน ผมไม่กลัวนะ ถ้าจะต้องรับอุปการะ Volvo สักคัน เข้ามาในชีวิต และ
ยิ่งถ้าเป็น S60 1.6 DRIVe คันนี้แล้ว ผมยิ่งไม่ลังเลเลย เพราะนี่คือ Volvo รุ่นที่ 2 ซึ่ง MAKE SENSE
พอให้เป็นเจ้าของมากที่สุด อีกรุ่นหนึ่งในรอบหลายปีมานี้ รองจาก Volvo S80 D3 ใหม่….แค่นั้น

เพียงแต่ว่า ถ้ากลัวจะเจ็บตัว ก็ซื้อมาใช้งานสัก 4 ปี แล้วขายต่อเลย เหลือระยะรับประกันไว้อีกสัก 1 ปี
ให้คนที่มาซื้อรถจากคุณต่อ เขาสบายใจได้อีกนิดหน่อย ก็น่าจะพอทำให้ราคาขายต่อของคุณไม่ตก
มากมายนักอีกต่างหาก

ถ้าผมยังไม่ลังเล….แล้วยังเหลืออะไรให้คุณลังเลกันอีกละ?

ใจของคุณเองไง!

——————————-///———————————

ขอขอบคุณ
คุณ ฉันทนา วัฒนารมย์ (พี่ตุ้ม)
และ คุณ ณัฎฐา จิตราคม (พี่ต่าย)

บริษัท Volvo Cars (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
บทความ ทดลองขับ Volvo S60 ใหม่! 2.0T 6AT : มัชชิมาปฏิปทา (ที่เบรกเองได้!) คลิกที่นี่
บทความ ทดลองขับรถยนต์ในกลุ่ม Premium Compact คลิกที่นี่


J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
10 กุมภาพันธ์ 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
Febuary 10th,2012

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Clicl Here!