Mercedes-Benz พยายามลองผิดลองถูกในการบุกเบิกตลาดรถยนต์หรูเซกเมนต์ใหม่ของโลกสม่ำเสมอ แม้พวกเขาจะพยายามทำสำรวจและวิจัยร่วมกันมานาน 10 กว่าปีเพื่อจะได้รถยนต์ที่ผิดแผกไปจากวิถีของ Mercedes-Benz ที่เคยปฏิบัติมา แต่พวกเขาได้รับผลการตอบแทนด้วยความล้มเหลวด้านการตลาด ถูกลูกค้าของตนเองปฏิเสธรถรุ่นใหม่และยังถูกวิจารณ์เสียจนย่อยยับแทบจะทุกครั้ง

เราก็ไม่ทราบว่ามันเป็นอาถรรพ์ของ Mercedes-Benz หรืออย่างไรถึงต้องไม่ประสบความสำเร็จกับยานยนต์ที่ตนตั้งในรังสรรค์สร้างความแตกต่างกันนัก

 
 

หากจะย้อนกลับไปสมัยเปิดตัว A-Class ในช่วงปี 1997 คุณรู้หรือไม่ว่า Mercedes-Benz เตรียมตัวกับโครงการนี้นานถึง 15 ปี ย้อนกลับไปสมัยปี 1982 Mercedes-Benz อวดโฉมรถต้นแบบ NAFA ที่ทีมเริ่มเล็งเห็นยานยนต์ขนาดเล็กที่สามารถใช้งานในเมืองด้วยขนาดตัวถังแค่ 2.5 เมตร และสามารถขยับขยายไปเป็นรถขนาด 4 ที่นั่งในอนาคตได้ ด้วยขีดข้อจำกัดของเทคโนโลยียานยนต์สมัยนั้นจึงไม่อาจจะได้เห็นรถคันนี้โลดแล่นในท้องตลาดเร็ววันนี้

จนในที่สุดปี 1994 Mercedes-Benz Vision A93 คือรถต้นแบบของ A-Class ที่ใกล้เคียงกับความจริงแล้วเสร็จ 80%

 
 

จากแนวคิดของ Mercedes-Benz ที่ต้องการเจาะตลาดรถยนต์ที่ขนคนในเมืองภายใต้ข้อจำกัดสำคัญ ๆ เป็นเหตุให้หน่วยงานพัฒนาและวิจัยสร้างสรรค์ผลิตผลออกมาเป็นโครงสร้างพื้นตัวถังแบบแซนด์วิชใน A-Class ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและเนื้อที่ห้องโดยสาร(เพราะพื้นรถยกสูง)และโครงสร้างตัวถังแบบใหม่ใน Smart

แต่ความล้มเหลวของ A-Class ณ วันที่เปิดตัวรุ่นแรกในโลกก็มีเสียงวิพากย์วิจารณ์อื้ออึงไปทั่วสารทิศ บ้างก็ว่าเบนซ์เทียม เบนซ์จริงต้องขับหลัง หรือบ้างก็ว่าเบนซ์กระป๋อง แต่ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการแสดงออกให้เห็นว่า Mercedes-Benz ไม่สามารถพัฒนารถยนต์ที่มีสมรรนะการควบคุมดีเยี่ยมได้อย่างเคย เมื่อมีนักทดสอบรถยนต์จากนิตยสารชื่อดังในเยอรมนีทดสอบการหักเลี้ยวโค้ง หรือเรียกว่า Elk Test การทดสอบบังคับเลี้ยวหักหลบกวาง ปรากฏกว่า A-Class เสียการทรงตัวกะทันหันจนรถพลิกคว่ำจนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก

 
 

ผลจากการความผิดพลาดดังกล่าวก็ทำให้ Mercedes-Benz ชื่อเสียกระฉ่อนเมืองพักใหญ่ ๆ จนต้องนำรถที่ขายไปแล้วและเตรียมจะออกขายมาติดตั้งเหล็กกันโคลงหน้าหลัง,ปรับความสูงของรถเล็กน้อย และติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว ESP อันเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยของยุคนั้น พร้อมทั้งยังมีข่าวอีกว่าผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา A-Class บางคนถึงกับแสดงสปิริตลาออกกันเลยทีเดียว

สถานการณ์วันนี้ A-Class ก็ถือว่าทรง ๆ ไม่หวือหวานักแต่ก็ยังดีกว่าสมัยรุ่นแรก ๆ ที่ทำให้ Mercedes-Benz งามไส้กันมาแล้ว แต่ใช่ว่า Mercedes-Benz จะเข็ดนะครับ

 
 

ย้อนกลับไปปี 2002 Mercedes-Benz ริเริ่มมองหาช่องว่างตลาดรถยนต์ระดับหรูอเนกประสงค์ 3 แถว 7 ที่นั่งที่มีดีไซน์สวยงามปราดเปรียว ซึ่ง ณ ขณะนั้นยังมีช่องว่างอยู่มาก (ปัจจุบันรถมินิแวนระดับหรูก็ไม่มีใครคิดจะทำ กันนะครับ แปลกดี) ถึงแม้ว่า Mercedes-Benz จะมี V-class แล้วก็ตามแต่ถ้าพูดกันตามเนื้อผ้า V-Class ก็ไม่ได้รับความนิยมมากมายนักแถมยังมีเวอร์ชันรถเพื่อการพาณิชย์ทำให้เกรดระดับชั้นไม่อาจจะเป็นรถมินิแวนคู่บุญเศรษฐีได้เต็มปากนัก

ครั้งจะให้พัฒนามินิแวนทรงกล่อง ๆ เห็นทีจะธรรมด๊า ธรรมดา ต่ำกว่าวิสัยทัศน์ Mercedes-Benz เลยจัดการสร้างความแตกต่างด้วยการเป็นลูกผสม ลูกเสี้ยวของความสปอร์ตอย่างนั้น ความอเนกประสงค์แบบมินิแวนอย่างนี้ แถมยังลุยได้ด้วยโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อเหมือนเอสยูวี ฟังแล้วคุ้น ๆ อยู่ใช่ไหมล่ะครับ ผมจะบอกว่านี่ล่ะคือรถ Crossover คันแรกในชีวิตที่ Mercedes-Benz พยายามรังสรรค์ได้จนออกมาเป็น Mercedes-Benz Vision GST (Grand Sport Tourer)

 
 

จนกระทั่งออกมาเป็น R-Class ในปี 2005 ที่ถ่ายทอดจากรถแนวคิดมาแทบทั้งดุ้นด้วยความหวังที่ว่าจะช่วยมาอุดช่องว่างตลาดรถยนต์มินิแวนระดับหรู 7 ที่นั่งให้เติมเต็มเสียที แต่ Mercedes-Benz กลับไม่เรียกมันว่ามินิแวนแต่กลับมันเรียกมันเป็น Sport Touring แทน

ความสับสนของลูกค้าเก่าและใหม่เริ่มไม่เข้าใจว่ารถ R-Class ที่เราเห็นอยู่ตรงหน้ามันคือรถประเภทไหนกันแน่ระหว่าง มินิแวน เอสยูวี หรือสเตชั่นวากอนหรูหรา ซึ่ง Mercedes-Benz ไม่สามารถสร้างความเข้าใจให้กับลูกค้าแต่อันใดเลย ถ้าจะโทษต้องโทษความไม่ชัดเจนของตนเองเสียมากกว่า ประกอบกับ Mercedes-Benz ดวงไม่ดีที่นำเสนอรถประเภท Crossover ก่อนเวลาอันควรเพราะลูกค้ายังไม่เข้าใจความหมายของรถประเภทนี้มากนัก

 

จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมยอดขาย R-Class ถึงตกต่ำอย่างมาก หากดูจากเป้าหมายหลักในตลาดสหรัฐอเมริกาที่ Mercedes-Benz ตั้งเป้าขายถึง 5 หมื่นคันต่อปี แต่แล้วก็สามารถทำยอดขายสูงสุดได้แค่เพียง 18,168 คันในปี 2006 หลังจากนั้นมียอดขายที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี 2009 R-Class ทำยอดขายได้แค่ 2,825 คันเท่านั้น!!

ต้องยอมรับในโชคชะตาของ R-Classs ว่าแทบจะมองไม่เห็นอนาคตของมันเลย ผิดกับ A-Class ที่ยังสามารถเดินหน้าไปต่อได้เพราะตลาดพรีเมี่ยมขนาดซับคอมแพคท์ยังมีช่องว่างอีกเยอะ

ในเมื่อรถเซกเมนต์ใหม่ที่ใช้เงินลงทุนพัฒนาสูงพังพินาศไม่เป็นท่าขนาดนี้ Mercedes-Benz ต้องแก้เกมส์ด้วยการปรับโฉมขนานใหญ่ที่เรียกว่า Big Minorchange โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างตัวถังใหม่ให้เปลืองเงินเล่น ๆ

R-Class โฉมใหม่จึงปรับปรุงโหงวเฮ้งต่าง ๆ รอบรถเพื่อให้เศรษฐีต้องตาต้องใจกับมันจนอาจจะเปลี่ยนใจซื้อมันก็เป็นไปได้

ความเปลี่ยนแปลงหลักคือภายนอกที่เปลี่ยนโฉมชิ้นส่วนเปลือกหน้าจากเดิมมาเป็นแนวหรูหรามากขึ้น ได้แก่ ชิ้นส่วนไฟหน้าทรงวงรีพร้อมไฟทรง 3 เหลี่ยมประกบข้างและกระจังหน้าเล็กทรงสปอร์ตเปลี่ยนมาเป็นไฟหน้าทรงเหลี่ยมมีย้อยหยดลงเล็กน้อยและเปลี่ยนทรงกันชนมาเป็นแบบคมเข้มขนาดใหญ่พร้อมกันชนที่ดูบึกขึ้น

แต่จุดที่สร้างความประหลาดใจให้เราคือ Mercedes-Benz จะยอมลงทุนตกแต่งบั้นท้ายเสียใหม่จนทำให้เรารู้สึกว่ามันดูชันและลาดน้อยกว่ารุ่นเดิม ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะหดความยาวตัวถังลงเล็กน้อยซึ่งรายละเอียดทางเทคนิคก็ยังไม่เห็นตัวเลขที่แท้จริงว่ารถมันสั้นลงจริงหรือไม่

 
 

การตกแต่งภายใน Mercedes-Benz ยังคงใช้แผงหน้าปัดชุดเดิมแต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการตกแต่งภายในใหม่ ด้วยการเพิ่มสีตกแต่งภายใน ได้แก่ สีเบจอัลมอนด์จับคู่กับสีน้ำตาลมอคค่า และสีเทาเหมือนขนสัตว์ Alpaca จับคู่กับสีน้ำเงินหิน Basalt นอกจากนี้ยังมีรุ่นตกแต่งภายในแบบสปอร์ตจากสังกัด AMG ให้เลือกด้วย

รายละเอียดเครื่องยนต์ยังไม่อาจทราบได้ตอนนี้คงบอกได้เพียงว่ารุ่น R350 CDI 4MATIC มีพละกำลัง 265 แรงม้า (HP) แต่มีค่าไอเสีย CO2 ต่ำลงกว่าเดิม มีอัตราสิ้นเปลือง 11.6 กิโลเมตรต่อลิตร

 
 

รายละเอียดต่าง ๆ คงต้องอดใจรอสักระยะหนึ่งเพราะเรามีเพียงรูปภาพและรายละเอียดคร่าว ๆ เท่านั้นครับ