Audi หนึ่งในผู้นำตลาดรถยนต์ระดับหรูเมืองเบียร์ (แม้ในบ้านเราจะเป็นผู้ตามอย่างสมบูรณ์แบบเพราะกลุ่มตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ประเทศไทยที่มีชงักปักหลักไม่สามารถเจริญเติบโตไปได้มากกว่านี้ ประกอบกับทางต้นสังกัดไม่ได้จริงจังกับตลาดอาเซียนมาก) ขึ้นชื่อว่าประสบความสำเร็จกับรถยนต์แทบทุกรุ่นก็เคยประสบความล้มเหลวตลาดรถหรูเล็กที่ถือเป็นตลาดปราบเซียนตลาดหนึ่งของโลก

 
 

เพราะอะไร?

เพราะตลาดรถยนต์หรูในอดีตมักจะยึดติดภาพลักษณ์ของความสง่างาม โอ่โถง หรูหรา ทันสมัย แสดงถึงฐานันดรศักดิ์อย่างแท้จริง เมื่อไรที่คุณถือกุญแจรถรุ่นนั้นคุณก็โก้ราวกับสวมชุด Armani และหิ้วกระเป๋า Hermes ใบละแสนอย่างสง่าผ่าเผย

แต่เมื่อคุณงามความดีเหล่านั้นถูกบีบย่อส่วนให้อยู่ในขนาดเล็กลงสวนทางการยอมรับของตลาดรถยนต์ระดับหรูแล้วล่ะก็เมื่อนั้นก็จะพบกับหายนะ หากผู้ผลิตรถยนต์ไม่สามารถสร้างส่วนผสมที่ลงตัวได้ตามแบบฉบับของตนเอง

 
 

ย้อนกลับไปปี 1999 ทันทีที่ Audi A2 ยลโฉมออกมาจับตลาดรถระดับหรูขนาดเล็กชูจุดเด่นตัวถังอลูมิเนียม รูปทรงตัวถังหมายมั่นปั้นมือให้เป็นต้นแบบของรถเล็กระดับหรูที่มีเนื้อที่ใช้สอยมาก ๆ เพื่อเอาใจเศรษฐีที่หวังจะซื้อมาใช้เพื่อการเดินทางในเมือง

ผลปรากฏว่ารถรุ่นนี้ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเพราะดีไซน์ของตัวรถไม่สามารถถ่ายทอดความหรูหราและความสง่างามเหมือนกับรถ Audi รุ่นอื่น ๆ แม้จะเป็นรถเล็กก็ตามแต่มันก็สามารถทำให้มันสง่าได้ไม่ยากนัก ประการสำคัญแนวคิดการออกแบบตัวถังที่แหวกแนวมากเกินไปสำหรับรถที่อยู่ในปลายยุค 90

 
 

ความชัดเจนของ Audi A2 ก็ยังไม่จัดว่าแจ่มชัดมากนักด้วยความที่เป็นรถแบรนด์ในเครือ Volkswagen ทำให้ Audi หยิบยืมข้าวของจากรถในเครือนี้มากก็ช่วยทำให้ลดต้นทุนการพัฒนาได้ แต่ Audi ก็ดันหยิบความเป็นรถราคาไม่แพงของ Volkswagen ใส่ติดตัวไว้นี่สิคือปัญหา สังเกตดีไซน์ภายในห้องโดยสารถ้าไม่มีตราสัญลักษณ์ Audi บนพวงมาลัยเราก็คงนึกว่าเป็นรุ่นประหยัดของ Volkswagen ทั้งที่ราคา A2 นั้นแพงกว่าชนิดที่ซื้อรถเล็กของค่าย Volkswagen ได้ถึง 3 คัน

 
 

สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ Audi A2 ล้มเหลวสุด ๆ คือการประโคมสารพัดเทคโนโลยีโดยเฉพาะตัวถังอลูมิเนียมทั้งคันเพื่อลบล้างคำพูดที่ว่า “นี่ไม่ใช่ Audi ราคาถูก” กลับกลายเป็นว่าราคาขายของ A2 กลับกระโดดพุ่งแพงกว่า Mercedes-Benz A-Class คู่แข่งหลักอย่างมาก

จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม Audi A2 กวาดยอดจำหน่ายระหว่างปี 2000 – 2005 ได้เพียง 176,377 คันเท่านั้น

ความผิดพลาดในอดีตก็ต้องจำเอาไว้เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำสองอีกครั้ง ยิ่งในเมื่อตลาดรถยนต์ระดับหรูขนาดเล็กกำลังมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะวัยวุฒิของเด็กยุคก่อนเริ่มเติบโตขึ้น,เทคโนโลยี และปัจจัยสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดตลาด Audi จึงซุ่มทำการบ้านมาอย่างหนักเพิ่มมิให้เกิดข้อผิดพลาดอีก

Audi A1 จึงตั้งโจทย์เสียใหม่เพื่อจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่ต้องการรถยนต์ระดับหรูที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในเมือง มีความสปอร์ต สนุกสนานในการขับขี่ มีความคล่องตัวสูง แถมยังใส่อัตลักษณ์ตามสไตล์ Audi เฉกเช่นเดียวกับรุ่นพี่ ๆ

ทำให้ Audi กล้าเคลมว่าเป็นรถหรูระดับ Entry Level ที่สมบูรณ์แบบและมีความสปอร์ตมากที่สุดในคลาด

 
 

ดีไซน์ภายนอกไม่แตกต่างจากรถต้นแบบ Audi A1 Project Quattro Concept ที่อวดโฉมในงาน Tokyo MotorShow 2010 ที่น่าประหลาดใจเล็กน้อยคือ Audi กล้าฉีกขนบการพ่นสีตัวถังของตนเองด้วยการพ่นบริเวณเรือนเสา A จรดเสา C เอาใจวัยรุ่นทันสมัยพอสมควร

จุดเด่นสำคัญของการออกแบบภายนอกคือดวงไฟหน้า LED มีรูปลักษณ์เสมือนปีกของนกเหยี่ยวโดดเด่นยามเมื่อรถวิ่งสวนทางกัน

มิติตัวถัง Audi A1 จัดอยู่ในขนาดซับคอมแพคท์ทั่ว ๆ ไปมีความยาว 3.95 เมตร ความกว้าง 1.74 เมตร ความสูง 1.42 เมตร ละทิ้งแนวคิดรถนั่งสบายไปได้เลย ขณะที่ฐานล้อยาวระดับ 2.47 เมตร

 
 

ภายในห้องโดยสารก็ไม่ทำให้คุณผิดหวัง Audi ออกแบบแผงคอนโซลจากปีกของเครื่องบิน โดยมีช่องแอร์ทรงกลมเปรียบเสมือนเครื่องยนต์เจ็ต แผงคอนโซลกลางได้แรงบันดาลใจเรือยอร์ช(จะพยายามลองจินตนาการตามที่เขาว่านะครับ) และวัสดุภายในก็รับรองแล้วว่าดูดีมีชาติตระกูลครับ

ขุมพลัง Audi A1 ก็มอบให้สะใจถึง 4 ตัวเลือกพลังแรง
-เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร TFSI 86 แรงม้า (HP) ที่ 1,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 16 กิโลกรัมเมตรที่ 3,400 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 12.1 วินาที
-เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร TFSI 122 แรงม้า (HP) ที่ 1,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 20.2 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์ S Tronic 7 จังหวะ อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.1 วินาที หากจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะก็จะได้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.2 วินาที

-เครื่องยนต์ดีเซล 1.6 TDI 105 แรงม้า (HP) ที่ 1,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 25.25 กิโลกรัมเมตรที่ 2,500 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 10.8 วินาที
-เครื่องยนต์ดีเซล 1.6 TDI บล๊อกเดียวกับข้างบนแต่ปรับจูนแรงม้าให้น้อยลงเหลือ 90 แรงม้า (HP) ที่ 1,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 23.23 กิโลกรัมเมตรที่ 2,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0 -100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 12.2 วินาที

 
 

Audi A1 เตรียมผลโฉมครั้งแรกในโลกที่งาน Geneva MotorShow 2010 ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ครับ ดังนั้นลูกเศรษฐีและเศรษฐินีทั้งหลายน่าจะมีโอกาสสมหวังบ้าง แต่จะสมหวัง 100% หรือไม่กรุณาถามตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราว่าพวกเขาคิดจะนำเข้ามาขายหรือไม่