หลังจากเที่ยว พักผ่อน ช่วงปีใหม่กันมา หลายๆท่านอาจยังเที่ยวไม่พอ ยังไม่สะใจ ทีมงาน
The Coup Team แห่ง Headlightmag.com ของเรา จะพาคุณผู้อ่านไปเดินเที่ยวต่อ ชมงาน
ยักษ์ใหญ่ประเดิมหัวปีให้ท่านได้บันเทิงกันอย่างต่อเนื่อง

นั่นคืองาน “BOI Fair 2011” ที่มาจัดกันจริงๆปี 2012 เริ่มวันแรก พฤหัสที่ 5 มกราคม 2011
ไปสิ้นสุดวันที่ 20 มกราคม 2011 สำหรับการจัดแสดงนอกอาคาร และวันที่ 13 มกราคม 2011
สำหรับการจัดแสดงสินค้าในอาคาร Challenger Hall 1-3

ในงานมีการแสดงจากบูธต่างๆเยอะมาก ทั้งหน่วยงานราชการ ปูน เครื่องดื่ม โทรศัพท์มือถือ
ผลิตพัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่เว้นแม้แต่กระดาษ ที่คาดว่า เดินดูวันเดียวยังไงก็ไม่หมด ต้องมี
อย่างน้อยสองวันเป็นแน่แท้

และที่ไม่พลาดคือเหล่าค่ายรถยนต์น้อยใหญ่ที่ขนกันมาจัดเต็มเกือบสิบยี่ห้อ ไม่รวมแบรนด์
มอเตอร์ไซค์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ประดับรถ และยางรถยนต์ โดยค่ายรถยนต์หลักๆได้ตั้ง
บูธกระจุกรวมกันใกล้หัวมุมสี่แยกติดอาคารอำนวยการ ดูได้คร่าวๆจากแผนผังนี้เลย…

ถ้าท่านจอดรถที่บริเวณอาคาร Challenger Hall ก็สามารถเดินตามทางเชื่อมมาได้เรื่อยๆจนมาถึง
บริเวณจัดงานตรงสี่แยกข้างตึกกองอำนวยการซึ่งเป็นทางเข้าหลัก พอผ่านประตูเข้ามาปุ๊บ ก็จะเจอ
“Ford Pavillion” ตั้งตระหง่านต้อนรับท่านเป็นที่แรก

ในพาวิลเลี่ยนของ Ford เน้นนำเสนอเทคโนโลยีเครื่องยนต์ขนาดเล็กแต่กำลังสูงด้วย Turbo อย่าง
Ford EcoBoost ที่เราได้แต่คาดหวัง อยากจะเห็นชาวไทยจะได้สัมผัสใน Ford Focus รุ่นเปลี่ยนโฉม
ใหม่ทั้งคันกันเร็วๆนี้  นำเสนอด้วยเกมส์ยิงประตูฟุตบอลลุ้นรางวัล Ford Fiesta ฟรีๆ หนึ่งคัน ในซุ้ม
ที่จัดไว้เป็นตาข่ายให้เตะกันอย่างสนุกสนาน

เดินไปเดินมา แอบแปลกใจอยู่ ที่เห็นมีคำว่า EcoBoost อยู่เต็มไปหมด แต่กลับไร้วี่แววของเครื่องยนต์
เบนซิน EcoBoost ตัวเป็นๆหรือ ป้ายอธิบายว่าอะไรมันคือ EcoBoost กันแน่ในพาวิลเลี่ยนตากอากาศ
ของ Ford ยังแอบสงสัยอีกอย่างว่า ทำไมถึงมีชุดโต๊ะเก้าอี้ปิดการขายมาตั้งไว้หลายสิบชุด…รึว่า Ford จะ
กล้าแหวกแนว กะขายรถในงาน BOI Fair?!

เดินตรงต่อมาจะพบพาวิลเลี่ยนของ Mitsubishi Motors ขนาดกำลังน่ารักๆ ค่ายสามเพชรนำเสนอแนวทาง
เทคโนโลยีสีเขียวทั้งหลายภายในอาคาร ทั้งรถยนต์ FFV หรือ Flex Fuel Vehicle ใช้เชื้อเพลิงได้หลากหลาย
ที่มีจำหน่ายแล้วในบ้านเรานั่นคือ Lancer EX เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ตามด้วยเทคโนโลยีอนาคตอย่าง PHEV
หรือ Plug-in Hybrid ไปจนถึงรถไฟฟ้าอย่างเจ้า MiEV ที่จอดเป็นจุดเด่นรอรับการมาเยือนของทุกท่าน

แต่ถ้าแค่ดูแค่ส่องคงเสียชื่อ Headlightmag เป็นแน่แท้ เราจึงสนองความคันส่วนตัว ขอไปลองนั่งเจ้า MiEV
คันน้อยๆให้หายคันสักสองสามรอบ!!

ด้วยความกรุณาจาก พี่จิม PR คนสวยแห่งค่ายสามเพชร ทำให้เราได้สัมผัสรถไฟฟ้าคันจิ๋วนี้กันทั้งทีม

โดยมีพี่ทีมงานออร์กาไนเซอร์ขับวนรอบบูธ Mitsubishi หลายรอบ พร้อมอธิบายว่ารถไฟฟ้าคันนี้สามารถ
วิ่งได้ 160 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟเต็มที่ 1 รอบ สามารถชาร์จไฟแบบเร็ว ให้ได้ประจุ 80% ของความจุ
แบตเตอรี่ในเวลา 30 นาที คล้ายๆกับ Nissan Leaf  ที่พี่ J!MMY เพิ่งได้สัมผัสและนำมาเล่าให้ฟังกันเมื่อ
ปลายปีที่ผ่านมา จากการทดลองนั่ง สังเกตได้ว่า ตัวรถที่มีขนาดตามมาตรฐาน Kei ของญี่ปุ่น (กว้างไม่เกิน
1,475 มิลลิเมตร และใช้เครื่องยนต์ไม่เกิน 660 ซีซี หรือใช้มอเตอร์ไฟฟ้าก็ได้ แต่ต้องแรงไม่เกิน 64 แรงม้า
(PS) ไม่จำกัดแรงบิดสูงสุด ทำให้ MiEV มีวงเลี้ยวแคบและคล่องตัวมากในการขับขี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า
ทำให้รถออกตัวได้ไวตั้งแต่รอบต้น น่าจะเหมาะกับการใช้งานในเมืองมาก

ถ้าใครยังไม่เคยลองสัมผัสความรู้สึกของการนั่งรถไฟฟ้า 100% เต็มๆแบบนี้อยากให้มาทดลองนั่งและ
ทำความคุ้นเคยดู เพราะในอนาคต…นี่แหละคือรถยนต์ที่เราจะต้องเจอมันทุกวันในไม่ช้า

อยากรู้เกี่ยวกับ Mitsubishi MiEV เพิ่มเติม อ่านได้ที่นี่ พี่ J!MMY เคยไปทดลองขับเล่นๆมาแล้ว
บทความทดลองขับ First Impression Mitsubishi i-MIEV ปี 2010 By J!MMY & Commander CHENG!

ยังมีอีกสองอย่างน่าสนใจในกระโจมของค่ายสามเพชร นั่นคือรูปของ Mitsubishi Mirage บนนิทรรศการ
ส่วน Ecocar เป็นการยืนยัน 100% แล้วว่าคนไทยจะได้พบกับ Ecocar คันที่ 4 ของไทย ในรูปลักษณ์แบบนี้
แน่นอน

อย่างที่สองคือ…เจ้าเครื่องยนต์ดีเซลตัวนี้ มันไม่เหมือนกับขุมพลังประจำการใน Mitsubishi Triton ในบ้านเรา
เพราะมีขนาดกระบอกสูบเพียง 2.2ลิตร แถมยังผ่านมาตรฐานมลพิษ Euro5 มาแล้วด้วย น่าจะเป็นเครื่องยนต์
ที่เคยประจำการใน Mitsubishi Space Wagon (หรือ Grandis ในยุโรป) มาก่อน และยังทำหน้าที่ใน Mitsubishi
Outlander Euro-spec ที่แรงถึง 174 แรงม้า พร้อมแรงบิด 380 นิวตันเมตร จวบจนปัจจุบัน…แอบหวังเล็กๆว่า
คนไทยจะมีโอกาสเครื่องดีเซลเล็กๆแต่แรงๆแบบนี้กันบ้าง

เดินตรงมาอีกนิด ท่านก็จะพบกับพาวิลเลี่ยนขนาดย่อมเยาของ Isuzu และมาเจอรถคันนี้…

มันคือ Isuzu D-Max ใหม่แต่งเต็มไปเกือบๆแสนบาท พร้อมกับซุ้มย่อยประมาณ3-4ซุ้มเน้นในเห็นถึงความเจ๋ง
ในการออกแบบของรถกระบะเพื่อคนทั้งโลก

ต่อกันที่ค่ายโบว์ไทด์สีทอง “Chevrolet” ที่ใช้โอกาสนี้เปิดตัวแคมเปญระดับโลกฉลอง 100 ปี Chevrolet อย่างเต็มตัว
ในสโลแกน “For Life’s Journey” ซึ่งแตกต่างจากสโลแกน “Chevy Runs Deep” ที่ใช้ในตลาดอเมริกา ทีมเราเห็น
ส่วนตัวว่าปรับสโลแกนได้เหมาะสมกับตลาดบ้านเราดี

พาวิลเลี่ยนนี้แบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนจัดแสดงรถยนต์ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน ในเวอร์ชั่นฉลองครบรอบ 100 ปี
ของแบรนด์พร้อมขายของที่ระลึกแท้ๆโดยเจ้าของแบรนด์เอง กับอีกส่วนที่ท่านต้องไปต่อคิวทางด้านขวาที่เป็น
พื้นที่สีดำๆเพื่อเข้าไปเยี่ยมชมประวัติความเป็นมา 100 ปี ของแบรนด์นี้ ด้วยเทคนิคตระการตามากมายอย่าง
Augmented Reality ที่ให้คุณได้สัมผัสแบบจำลองของรถยนต์ Chevrolet ในสถานที่สวยๆด้วยมือของคุณเอง

หรือการฉายประวัติและวิสัยทัศน์โลกยานยนต์ในปี 2020 ด้วยภาพ Hologram 3 มิติ ผ่านแนวทางการนำเสนอ
ที่คล้ายคลึงกับภาพยนตร์ซึ่งบูธ GM นำไปจัดแสดงในงาน EXPO 2010 ที่ประเทศจีน เมื่อ 2 ปีก่อน

พอเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ สิ่งที่คุณจะเห็นเป็นลำดับต่อไป คือรถต้นแบบ EN-V ซึ่งปรากฎในหนังเมื่อสักครู่นี้

และที่ถือเป็นไฮไลต์ก็คือ โอกาสได้สัมผัสรถยนต์ไฟฟ้าขยายระยะทาง (Extended-range Electric Vehicle) 
อย่าง Chevrolet Volt ตัวเป็นๆ ส่งตรงจากสหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรกในเมืองไทย

และด้วยความคันบวกกับความกรุณาปรานีของพี่ตุ๊กตา PR Manager คนสวย ของ GM รวมทั้ง พี่ก้อง ฝ่ายการตลาด
ของ GM พวกเราจึงได้มีโอกาสเกาให้ หายคันกันอย่างใกล้ชิด

มาดูที่เครื่องยนต์กลไกก่อนเลย หลายคนอาจเริ่มสงสัยตั้งแต่ว่า “แล้วมันต่างยังไงกับ Hybrid” เจ้า Chevrolet Volt นั้น
เป็นรถไฟฟ้าจริงๆเลย หมายความว่ามอเตอร์ไฟฟ้ารับหน้าที่ขับเคลื่อนรถไปเต็มๆ ไม่มีเครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซิน
เข้ามาขับเคลื่อนล้อรถโดยตรงเหมือน รถยนต์ Hybrid มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งอยู่ทางด้านขวาของห้องเครื่องจะนำพลังงาน
จากแบตเตอรี่ที่เสียบชาร์จจากไฟบ้านมาตรฐาน กฟผ. ความแรง 220 volt ให้เต็มก้อนในเวลา 4 ชั่วโมง มาวิ่งบนถนน
ได้ราวๆ 70 กิโลเมตร

นี่เลย…เอารูปที่ชาร์จไฟให้เห็นกันจะๆ

แต่…สิ่งที่ Volt ต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าทั่วๆไปก็คือ มันสามารถวิ่งต่อได้เมื่อแบตเตอรี่หมด เพราะมีพลังงานสำรองจาก
เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.4ลิตร ที่สิงสถิตย์ทางด้านซ้ายของห้องเครื่อง คอยปั่นไฟเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้รถไปต่อ
ได้อีก 500 กิโลเมตร จึงสามารถวิ่งใช้งานได้ต่อเนื่องเหมือนรถยนต์เติมน้ำมันทั่วไป

มาที่ภายในกันบ้าง ห้องโดยสารภายในดูล้ำยุคกว่ารถตลาดทั่วไปเล็กน้อย ด้วยจอแสดงผลสีทั้งตรงหน้าคนขับที่ใช้แทน
หน้าปัดแบบปกติไปเลย และจอ Touch Screen กลางคอนโซลหน้าแสดงผลการทำงานระบบต่างๆได้สารพัด ทั้งเล่นเพลง
จากฮาร์ดไดร์ฟฝังในตัว จาก USB จากช่อง Aux-in แสดงผลระบบนำทาง แสดงสถานะระบบขับเคลื่อน รวมถึงโปรแกรม
วิเคราะห์ประสิทธิภาพการขับขี่ ที่ออกแบบเป็นสไตล์อเมริกันยุคใหม่ได้หวือหวาตระการตาจริงๆ

ปุ่มต่างๆล้ำยุคด้วยระบบสัมผัสเกือบทั้งหมด ยังดีที่มีการทำปุ่มนูนๆขึ้นมาให้พอคลำได้ว่าปุ่มไหนอยู่ตรงไหน ปุ่มสตาร์ท
และควบคุมเบรกมืออยู่ข้างคอนโซลเกียร์ที่ออกแบบให้เว้ากินเข้าไปในคอนโซลกลางอย่างกลมกลืนจนไม่แน่ใจว่าตกลง
นี่ใช่คันเกียร์แน่เหรอ!?…แต่มีวิศวกรมา Confirm ว่าใช่แน่ๆ

หน้าจอและแผงควบคุมถูกจัดวางไว้ในเน้นสูงๆเข้าไว้ เพื่อลดการละสายตาจากถนนเพื่อความปลอดภัย เสียงทั้งหมด
ถูกส่งผ่านชุดลำโพงของ Bose หวานหูกันไป

ยังไม่หมด…เนื่องจากรถคันนี้เป็นรุ่นท๊อปจากเมืองมะกัน อุปกรณ์น่าเกายังมีอีกเพียบ ทั้งระบบ Onstar ที่ให้คำแนะนำ
เส้นทาง ร้านอาหาร และเป็นผู้ช่วยส่วนตัว ต่อด้วยระบบSOSช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมถึงระบบ Homelink ที่ทำให้คุณควบคุม
เครื่องใช้ในบ้าน เช่น สั่งเปิดน้ำอุ่นระหว่างขับรถกลับบ้าน สั่งเปิดประตูโรงรถ ได้จากในรถกันเลย

วัสดุภายในห้องโดยสารและความปรานีตในการประกอบ ในความรู้สึกส่วนตัวพวกเราว่าดีกว่า Chevrolet Cruze อยู่เล็กน้อย
การได้สัมผัส Volt ทำให้พวกเรารู้สึกว้าวววววและรู้สึกแปลกๆว่า อนาคตมันมาใกล้ตัวเราขนาดนี้เลยเหรอจน พี่ J!MMY
แสดงออกด้วยสีหน้าแบบนี้

แต่ถึงจะฟินจะล้ำยังไงแอบขอตินิดนึงตรงที่ใส่ของฝาท้าย…ขอบล่างจะสูงไปไหน??

เอาล่ะยังไงก็ตาม Volt ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งใน BOI Fair ที่เราอยากให้คนไทยทั่วไปได้มีโอกาสซื้อมาใช้กันจริงๆ ไม่ใช่แค่โชว์…
ขอฝากความหวังไว้กับทีมงานบนตึกรสาด้วยนะครับ

ถัดจากพาวิลเลี่ยนที่ตกแต่งด้วยกระจก Recycle ของ Chevrolet ก็เป็นที่ตั้งของค่ายรถยนต์ที่กำลังกลับมารุกหนักในเมืองไทย
อย่าง SUZUKI ที่ยกโชว์รูม Corporate Identity ใหม่ มาตั้งกลางพื้นที่ นำ Suzuki Swift Range Extender มาโชว์เป็นดาวเด่น

Swift Range Extender มีหลักการทำงานคล้ายกับ Chevrolet Volt ต่างกันที่ความจุแบตเตอรี่น้อยกว่า Swift RE จึงวิ่งในโหมด
ไฟฟ้าอย่างเดียวได้ 15กิโลเมตร เท่านั้น หลังจากนั้นเครื่องยนต์ขนาดจิ๋ว 0.66ลิตร จะถูกปลุกมาปั่นไฟให้รถวิ่งต่อได้

ข้างๆกัน มีมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าต้นแบบ e-Let’s และสองพี่น้อง Kei car อย่าง Suzuki Lapin (แม้ว่าที่ญี่ปุ่นจะอ่านออกเสียง
ชื่อรุ่นว่า ลา- แปง แต่ที่ถูกต้องอ่านว่า ลู-แปง นะจ๊ะ) สีฟ้าน่ารักน่าชัง วางเครื่องยนต์ 660 ซีซี และออกแบบในสไตล์ Retro
ย้อนยุค Lapin ออกสู่ตลาดมาแล้ว 3 เจเนอเรชัน และได้รับความนิยมในตลาดญี่ปุ่นค่อนข้างดี เพราะความน่ารักของมันเอง

อีกคันคือ Suzuki Wagon-R 660 ซีซี 64 แรงม้า (PS) ซึ่ง พี่ J!MMY และเจ้ากล้วย ไปนั่งมาแล้วที่ญี่ปุ่น เมื่อครั้งไปเยือน
สำนักงานใหญ่ Suzuki ที่ Hamamatsu แต่การมาจัดแสดงในเมืองไทยวันนี้ ทำให้ทีม The Coup ของเราได้ค้นพบว่า
Kei car มันก็กว้างนั่งสบายเลยนี่หน่า ว่าแต่ เอา Kei car มาโชว์ตั้งสองคันอย่างนี้ Suzuki มีแผนอะไรอยู่ในใจรึป่าว??

เดินข้ามฟาก มาที่ HONDA Pavillion ซึ่งมีสปิริตมาร่วมงานด้วย ทั้งที่โรงงานตนเองก็อยุ่ใวนระห่างการฟื้นฟูบูรณะ
และการทำลายซากรถ 1,055 คันทิ้งไป ไม่เอามาขายใหม่อีก บรรยากาศทางเดินเข้าไปในบูธ เต็มไปด้วยเรืองราว
เกี่ยวกับแนวคิดด้านการใช้พลังงาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พอเดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังพื้นที่จัดแสดง มีรถมอเตอร์ไซค์ทรงเครื่องเต็มสูบอย่าง Honda Goldwing 2012 ที่จัดเต็ม
ทั้งเครื่องเสียงรอบทิศทาง เบาะอุ่นไฟฟ้า ระบบปรับความสูงและสมดุล ว่าไปถึงถุงลมนิรภัย…อะไรจะเว่อร์ขนาดนั้น

นอกจากนี้ยังมีรถยนต์ไฮบริดมาโชว์สองรุ่นคือ…Honda CR-Z ที่มีข่าวแว่วมาว่ากำลังจะแท้ง ไม่ได้ผุดได้เกิดในเมืองไทย
กับ Honda Jazz Hybrid ที่แว่วๆมาเหมือนกันว่าพวกเราอาจได้สัมผัสกันเร็วๆนี้ นอกจากรถยนต์ Honda ยังโชว์เทคโนโลยี
ประหยัดพลังงานภายในบ้านจากญี่ปุ่นรวมถึงโมเดลของโครงการในพระราชดำริ ให้ได้ศึกษากัน เสียดายที่พวกเราไม่มี
โอกาสได้ดูโชว์ของทางฮอนด้า ที่น่าจะมีอะไรเด็ดๆไม่ใช่น้อย

มาที่ค่ายลูกพระอาทิตย์ NISSAN กันบ้าง…งานนี้ลงทุนสร้าง Nissan Pavillion ได้อลังการ เป็นรูปตัว e เน้นถึงเรื่อง ecology
และเน้นเรื่องการสร้างแบรนด์ กันเต็มตัว

และแน่นอน ดาวเด่นของค่ายนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากน้องใบไม้ “Nissan Leaf” รถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100%
ในอิริยาบทต่างๆ ทั้งแบบนิ่งๆเท่ห์ๆ…(แล้วอีตาเสื้อดำนั่น มันไปทำท่าอะไรตรงนั้นฟะ? รถดีๆเค้า เสียภาพลักษณ์หมด!)

น้องใบไม้แสดงหนัง…

และน้องใบไม้โดนชำแหละ!!

อยากรู้เรื่อง “น้องใบไม้” เพิ่ม…ตามไปอ่านต่อได้เลยครับ คลิกที่นี่ –> บทความทดลองขับ First Impression : Nissan LEAF โดยพี่ J!MMY

นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสนใจจริงๆของ นิสสัน พาวิลเลี่ยน ที่ต้องยอมรับว่าจัดเต็มมากๆ คือ การแบ่งเรื่องราวออกเป็น 5 ส่วน
ตั้งแต่มุมสำหรับเด็ก มุมอดีตที่คุณจะได้เจอกับ รถกระบะ Nissan Datsun รุ่น “ช้างเหยียบ” สภาพดีตัวเป็นๆ ส่งตรงขึ้นมา
จากเจ้าของ (คุณโมฮัมหมัด) จาก “ยะลา” ว่ากันว่า งานนี้เจ้าของ ยอมขับรถมาให้ทางทีมงาน ขนขึ้นเทรลเลอร์ จากสงขลา
(เพราะไม่มีรถเทรลเลอร์รายใด ยอมลงไปจังหวัดยะลาเลย) แถมเจ้าของรถก็โทรมาเช็คทุกวัน ว่าลูกรักของตนอยู่ดีมีสุข
หรือไม่ ทาง Nissan ก็ตอบกลับว่า นอนสบายตากแอร์ทุกวันเลย! และนี่คือ หลักฐานยืนยันว่าเป็นความจริง หวังว่าคุณ
เจ้าของรถ น่าจะสบายใจได้นะครับ

 

รวมทั้ง รถกระบะ Nissan BIG-M อันเป็นรถกระบะระดับตำนาน เพราะนี่คือรถยนต์รุ่นที่ประถสบความสำเร็จสูงสุด
ในประวัติศาสตร์ของ Nissan เมืองไทย คันที่เห็นนี้ สภาพดีที่สุด เท่าที่จะเฟ้นหามาอวดโฉมได้แล้ว

แถมยังมีมุมภาพยนตร์โฆษณาเก่าๆ ของ Nissan มาให้ได้ชมกัน ด้วยไอเดียเท่ๆ คือ เอา Nissan Cefiro A31 ปี 1990
รถอีกรุ่นที่ขายดีเป็นประวัติการณ์ของ Nissan เมืองไทย มาผ่าครึ่ง เป็นโซฟาโรงหนัง (ทีมงานลงทุนตระเวณหาซื้อ
ซากครึ่งคันหลังจากเซียงกง เป็นเวอร์ชันญี่ปุ่น มาดัดแปลงเป็นโซฟาเก๋ๆ อย่างที่เห็น)

นอกจากนี้ยังมีมุมปัจจุบันที่โชว์เทคโนโลยีเด่นของนิสสัน และมุมอนาคตที่โชว์รถต้นแบบ Pivo1,2,3 จำลอง ซึ่งน่ารักมาก
แถมเจ้า Pivo 1 คันสีขาว ถ้าเอามือไปขวางหน้ารถ เซ็นเซอร์ จะสั่งหยุดรถ แล้วคำนวนเส้นทางใหม่ หันหัวรถกลับได้เอง!

รวมทั้ง Nissan Townpod รถต้นแบบ ขนาดจริง!! ส่งตรงจาก Tokyo Motor Show สดๆร้อนๆ เพื่องานนี้โดยเฉพาะ! เสร็จ
จากงานนี้ ก็จะขนกลับไปแสดงต่อที่อื่นอีกหลายงาน

ในส่วนปิดท้ายเป็นโรงภาพยนตร์ 4 มิติ โชว์ให้เห็นแนวคิดระบบขนส่งในอนาคตของนิสสัน เริ่มจากอนาคตในปี 2020
รถยนต์จะสามารถสื่อสารกับถนนและสื่อสารระหว่างกันได้ เพื่อเลือกเส้นทางการจราจรที่ดีที่สุด และลดอุบัติเหตุ

ในอนาคต รถยนต์ไฟฟ้า จะสามารถชาร์จไฟฟ้าจากการเข้าจอดในอาคารจอดรถอัจฉริยะ ที่จะเชื่อมโยงเพื่อสร้างสมดุล
ด้านพลังงานระหว่างรถยนต์ที่วิ่งบนถนน รถยนต์ที่เข้าจอดในอาคาร กับตัวอาคารได้ ด้วยระบบถนนอัจฉริยะและการ
ชาร์จไฟฟ้าแบบไร้สาย

ถ้ายังฟังดูไม่ล้ำพอ มาดูต่อที่ปี 2030 นิสสันมองว่ารถยนต์จะขับเคลื่อนอัตโนมัติ ทำให้คนสามารถใช้ชีวิตในระหว่าง
เดินทางได้ และปราศจากอุบัติเหตุทางถนน

และรถยนต์ไม่จำเป็นต้องจอดเพื่อชาร์จไฟอีกต่อไป เพราะสามารถชาร์จด้วยระบบ Smart Grid แล่นได้และชาร์จไฟ
ไได้ พร้อมกันในตัว! เพียงขับรถลงบนเลนชาร์จไฟฟ้าตามที่เป็นเส้นดำด้านขวาในรูป รถยนต์จะได้รับการชาร์จ
กระแสไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ…โอ้ย!! ล้ำกันไปใหญ่แล้วววว

สุดท้ายมาเบรกอารมณ์ล้ำๆด้วยน้องหมีขั้วโลก น่ารักจริงๆ ไอเดียมาจากภาพยนตร์โฆษณาของ Nissan LEAF ใน
สหรัฐอเมริกา ช่วงเปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้ ขายจริงกันเมื่อปี 2010 นั่นเอง!

มาที่พาวิลเลี่ยนสุดท้ายสุดท้ายกับพี่ใหญ่แห่งวงการยานยนต์บ้านเรา TOYOTA ที่จัดแสดงบนพื้นที่ขนาดใหญ่และมีดาวเด่น
น่ามองอยู่สองสามคัน

คันแรกคือ Toyota Prius-C Concept ซึ่งเป็นต้นแบบของรถยนต์ไฮบริดที่มีขนาดย่อมลงมาจาก Prius รุ่นปัจจุบันมาใกล้เคีย
งกับ Honda Jazz และ Toyota Yaris โดยรุ่นจำหน่ายจริงเปิดตัวไปแล้วที่ Tokyo Motor Show ที่ผ่านมา ในชื่อ Toyota Aqua
สำหรับตลาดญี่ปุ่น (และรูปร่างก็ต่างไปจากเวอร์ชันต้นแบบอยู่ไม่น้อย ไม่แน่ใจว่ารุ่นนี้จะโอกาสมาถึงเมืองไทยหรือไม่

อีกคันหนึ่งคือ Toyota Prius ที่เราคุ้นเคย ถูกจับมาทำให้เสียบปลั๊กไฟบ้านได้ ประหยัดน้ำมันขึ้นอีกเยอะในชื่อ Prius PHV
Plug-in Hybrid ซึ่งอย่าเข้าใจผิดว่ามันทำงานเหมือนกับ Extended-range Electric Vehicle ใน Chevrolet Volt มันเป็นเพียง
ระบบไฮบริดที่ได้รับการพัฒนาให้แบตเตอรี่มีขนาดใหญ่และดีขึ้น เพียงพอต่อการขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่
อย่างเดียว ด้วยความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ระยะทาง 23 กิโลเมตร ซึ่งยาวกว่าระบบไฮบริดในปัจจุบัน หาก
ขับเร็วกว่านั้น หรือไกลกว่านั้น เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8ลิตร ก็ยังต้องลุกมาทำงานขับเคลื่อนน้อง Prius ต่อไป…นั้นคือ
ความแตกต่าง ตอนนี้ Toyota ในญี่ปุ่น เปิดรับจอง Prius PHV สำหรับลูกค้าในแดนอาทิตย์อุทัยกันแล้ว ส่วนบ้านเรายังคง
ต้องรอกันต่อไป

นอกจากนี้ยังมียานพาหนะส่วนบุคคล Whee ถึงสามแบบมาให้เลือกสรร ทั้งแบบ Sporty, Active และ Universal สำหรับ
การใช้งานสามรูปแบบที่ต่างกัน พัฒนาต่อเนื่องมาจาก พาหนะแบบเดียวกันที่ชื่อ Winglet ที่ Toyota จัดแสดงไปทั่วโลก
ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา วิศวกรพัฒนา คือคนเดียวกับ ผู้พัฒนาหุ่นยนต์หมา Aico ของ Sony นั่นเอง สงสัยคงเบื่องานที่ Sony
เลยย้ายฟากมาอยู่ Toyota ดีกว่า

แถมยังมี การแสดงจาก Partner Robot หุ่นยนต์สีไวโอลีน ให้ได้ชมกันด้วย เล่นประสานกับนักดนตรีสาว กันสดๆ ส่วนพริตตี
บนเวทีนั้น ไม่ใช่พริตตีอาชีพ แต่เป็น พนักงานของฝ่าย ประชาสัมพันธ์ Toyota Motor Thailand มาเองเลยนะเนี่ย!!
เพิ่งรู้ว่า พนักงาน Toyota ก็มีคนสวยๆ น่ารักๆ อยู่ในสำนักงานใหญ่กับเขาด้วย โอ้วว..วว ! (ตอนแรกทีมงานอยากเซ็ตหุ่นยนต์
ให้เล้่นเพลงพระราชนิพนธ์ ซึ่งทำได้ แต่ต้องใช้เวลาโปรแกรมป้อนเข้าไปนาน แถมยังมีคิวเดินสายโชว์ตัวทั่วโลกอีกยาว เลยอด)

นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการแสดงเทคโนโลยีเมืองประหยัดพลังงานจากญี่ปุ่น ดูคล้ายๆของ Nissan และ Honda แต่ในรายละเอียด
จะแตกต่างกันนิดหน่อย น่าเข้าไปชม ไปเรียนรู้แนวคิดของชาวญี่ปุ่นในเรื่องนี้มากๆ ซึ่งถ้าผู้อ่านท่านใดจะศึกษาเพิ่มเติมก็ไม่ว่ากัน

แต่วันนี้…สำหรับพวกเรา…ทีมงาน Headlightmag.com ได้พาท่านชมในส่วนจัดแสดงของค่ายรถยนต์จนเหนื่อยหอบกัน
เลยทีเดียว เพราะหลายๆอย่างน่าสนใจต้องเจาะให้ลึกๆหน่อย ให้ได้สาระกันเต็มที่ ในภาพรวมสิ่งที่มาจัดแสดงสอดคล้อง
กับธีมงาน “Going Green for The Future” มาก คิดว่าเนื้อหาที่เก็บมาฝากน่าจะสะใจคนรักรถพอหอมปากหอมคอ แต่ถ้ามี
โอกาสอยากให้ทุกท่านไปดูด้วยตาตัวเองสักครั้งหนึ่ง

เพราะอาจจะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างจากสิ่งที่พวกเราได้เห็น…!

—————————————–

The Coup Team
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ลิขวิทธิ์ภาพถ่ายต่างประเทศ ของ บริษัทผู้ผลิต
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
5 มกราคม 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures (All of Pictures are from the Manufacturer)
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
January 5rd,2012

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcme, Click here!