สวัสดีครับท่านผู้อ่าน headlightmag.com ทุกท่าน เรากลับมาพบกันอีกครั้งในเทศกาลดูรถ
ประจำหน้าร้อนแห่งปี 2014 ท่านผู้อ่านหลายท่านที่ยังไม่ได้มาเยี่ยมชมงานในรอบVIPหรือรอบสื่อมวลชน
คงอยากทราบว่าแต่ละค่ายขนอะไรมาบ้างในปีนี้ แน่นอนครับว่ามีรถหลายรุ่นที่เปิดตัวไปก่อนหน้างาน
และบางรุ่นก็กวาดยอดจองไปเยอะเป็นหลักพันแล้ว แต่ก็มีบางรุ่นที่อาศัยงานนี้เพื่อเปิดตัวรถใหม่
สำหรับตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

แล้วงานนี้จะมีอะไรให้ท่านได้ชมกันบ้าง อย่ารอช้า เรามามกันเลยดีกว่าครับ

ASTON MARTIN

ค่ายรถสปอร์ตเมืองผู้ดีที่ในที่สุดก็ได้ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยไปแล้ว
ได้แก่บริษัท Heritage Motor Sales & Services (Thailand)จำกัด ในงานนี้จึงพร้อมใจขนฝูง
Aston หลายคันมาให้ยลโฉมกัน ทว่าน่าเสียดายที่มีการกั้นคอกกระจกไว้ ผมเลยได้แต่ยืนดู
อยู่ห่างๆทั้งๆที่ความจริงแล้วอยากลองนั่งเจ้า Vanquish มากถึงมากที่สุด

ตัวเด่นของงานนี้ ก็คงเป็นเจ้า Vanquish สีน้ำเงินเข้ม ใช้เครื่องยนต์ AM11 V12 สูบ 573 แรงม้า
ซึ่งเป็นเครื่องสำหรับ Production car ที่มีแรงม้ามากที่สุดที่ Aston เคยสร้างมา สนนราคาแบบ
เป็นกันเอง (ในหมู่คนรวย)อยู่ที่แค่ 24,900,000 บาท ส่วนคันที่เด่นเป็นสง่าอยู่บนเวทีนั้นมีชื่อเต็มว่า
“Q by Aston Martin Vantage S V12” ซึ่ง Q by Aston Martin นี่ก็คือการตกแต่งตัวรถตามความ
ต้องการของเจ้าของรถโดยสามารถเลือกสีสันลวดลายของวัสดุต่างๆได้หลากหลายแบบ ตั้งราคา
เอาไว้ที่ 20,900,000บาท (รุ่น Vantage V12ปกติจะราคา 18,900,000บาท) นอกจากนั้นรุ่นอื่น
ที่ขายอยู่ไม่ว่าจะเป็น DB9, Vantage V8 และ Rapide S ก็นำมาโชว์ในงานเช่นกัน สำหรับคนที่
สงสัยว่ารุ่นที่ราคาถูกที่สุดของ Aston Martin (เผื่อใครจะอยากเข้าโครงการ Aston คันแรก) คืออะไร
คำตอบก็คือ Vantage V8 คูเป้ 4.7ลิตร ราคา 13,500,000บาทครับ

BENTLEY

ดาวเด่นในงานนี้ก็คงเป็น Flying Spur ใช้เครื่องยนต์ W12 6.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์ 616 แรงม้า
สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 322 ก.ม./ช.ม. ถ้าใครไม่ชอบแบบ 4 ประตูก็จะมี
Continental GT Speed ให้เลือกอีกด้วย ส่วนใครที่คิดว่าเท้าขวาไม่ได้หนักขนาดที่
จะต้องใช้เครื่อง 12 สูบ ก็อาจจะชอบ Continental GT V8 ที่มีให้เลือกทั้งแบบธรรมดา
และเปิดประทุน และใครที่กำลังชะเง้อมองหา SUV ของ Bentley ก็ไม่ต้องปรายตา
มองให้เสียเวลา เพราะกว่าจะมาก็อย่างน้อยอีก 3 ปีโน่นเลยครับ

BMW/MINI

เด่นที่สุดในบูธคงไม่มีใครเกิน BMW i8 ซึ่งกลายมาเป็นความจริงจนได้ในที่สุด ตัวรถในเวอร์ชั่นผลิตจริง
นี้ถูกออกแบบโดยคุณเบนวา เจค็อบ ใช้ขุมพลังไฮบริด เครื่องยนต์ 1.5ลิตร 3 สูบเทอร์โบ 231 แรงม้า
ทำงานประสานกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 131 แรงม้า โดยในโหมดรักสันติ เจ้า i8 นี้สามารถวิ่ง
ด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวเป็นระยะทางประมาณ 37 กิโลเมตร แต่ถ้าลงแส้กันเต็มที่เมื่อไหร่ แรงม้ารวม
ระดับ 362 แรงม้าก็พร้อมที่จะทำให้ซูเปอร์คาร์ไฮบริดคันนี้แซงจาก 80-120ก.ม./ช.ม.ได้ภายในเวลา
น้อยกว่า 3 วินาที

นอกจากจะโชว์ศักยภาพทางวิศวกรรมด้วย i8 แล้ว สำหรับคนเดินดินอย่างพวกเรา BMW ก็มี
รถมาเอาใจเช่นกัน ได้แก่ BMW 220i Coupe ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.0ลิตรเทอร์โบ 184 แรงม้า
(ที่น่าจะนับเป็นเครื่องสหกรณ์ของ BMWได้แล้ว) รุ่น 220i Sport ราคาเริ่มต้นที่ 2,799,000บาท
ส่วนถ้าใครอยากจัดเต็มแบบ M Sport ซึ่งได้พวงมาลัย M สีสันการตกแต่งภายในแบบ M และ
ขยับล้อเป็น 18 นิ้วด้วย ก็เพิ่มเงินเป็น 2,949,000 บาทครับ..แต่ BMW เหมือนจะเย้าหยอกอยู่ในที
เอารุ่นน้องมาเปิดตัวแบบนี้ ก็เอารุ่นพี่อย่าง 420i  Coupe M Sport มาจอดราวกับพยายาม
ยกมือดักกวักมือเรียกอยู่ในที ถ้าใครคิดว่า 4 Series หล่อกว่าและยินดีจ่ายเงิน ก็ 3,699,000บาทครับ
นอกจากนี้ยังมี 420d Convertible รถเปิดประทุนเครื่องดีเซลมาเปิดตัวในงาน รุ่น Sport
ราคา 4,299,000 และรุ่น M Sport ราคา 4,499,000บาทครับ

เดินมาทางขวาอีกนิดก็จะพบบูธของ MINI ซึ่งผมเกือบเดินผ่านไปแล้วถ้าไม่ใช่มีรุ่นน้องมาสะกิด
ว่าพี่ บอดี้ใหม่มาเปิดตัวแล้วนะ ทำให้ผมต้องหันไปมองอีกครั้ง “เออ ใช่นี่หว่า!”

ตามข้อมูลที่ได้มาเบื้องต้น ยังไม่มีการเคาะราคา MINI ตัวใหม่ แต่คาดว่าน่าจะเริ่มต้นที่ราว
2.1ล้านในรุ่น Cooper และไปสุดที่ประมาณ 2.8ล้านในรุ่น Cooper S สำหรับสเป็คแต่ละรุ่นนั้น
MINI Cooper จะใช้เครื่อง 1.5 ลิตร 3 สูบ (พิมพ์ไม่ผิด) 136 แรงม้า ส่วน MINI Cooper D จะใช้
เครื่องดีเซล 1.5 ลิตร 3 สูบเช่นกัน มีแรงม้า 116 แรงม้า ส่วนตัวแรงอย่าง Cooper S นั้น
เลิกคบกับเครื่อง 1.6 แล้วหันมาใช้เครื่อง 2.0ลิตร 4 สูบเทอร์โบ ให้พลัง 192 แรงม้ากับแรงบิด
280Nm MINI ที่เป็นเครื่องเบนซินทั้งสองรุ่นสามารถเติม E20 ได้ครับ ส่วนรุ่นดีเซลนั้นรองรับถึงB7

รุ่น Cooper S นั้นดูน่าสนมาก เพราะการขยับพลังไปใช้เครื่อง 2.0ลิตรนั้นอาจทำให้มันสามารถ
ฟัดกับคู่แข่ง 2.0ลิตรอย่าง A250AMG และ Golf GTi ได้มันส์หมัดขึ้น ยิ่งถ้าราคากดให้ได้ตาม
ที่บอก..งานนี้ครูอังคณาจะไปคลองห้าอย่างแน่นอน ขอบอก

CHEVROLET

ในตอนแรก GM Thailand บอกว่าจะนำรถยนต์ต้นแบบ Chevrolet Adra คันสีเหลืองอ๋อย
ซึ่งจะเป็นต้นแบบของ B-Segment Crossover คันเล็ก ที่จะเข้ามาแข่งกับ Nissan Juke
อีก 1-2 ปีข้างหน้า มาอวดโฉมในงานนี้ แต่เนื่องจากคิวเดินสายอวดโฉมตามงาน Motorshow
ทั่วโลกของรถคันนี้มันแน่นเอี๊ยด แถมยังต้องเดินเรื่องเอกสารวุ่นวายมาก
คนไทยก็เลยอดดูตัวจริงของรถคันนี้ไปอย่างช่วยไม่ได้

อย่างไรก็ตาม บูท Chevrolet ปีนี้ ก็มีของใหม่มาโชว์ นั่นคือ Chevrolet Captiva  MY2014
ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อ 20 มีนาคม ที่ผ่านมาหมาดๆ มีการเพิ่มเครื่องปรับอากาศแยกฝั่ง Dual zone
ซ้ายขวา เพิ่มกุญแจแบบ PEPS (Passive Entry Passive Start..ที่จริงน่าจะจะเอา I มาต่ออีก
สักตัวจะได้เป็นPEPSIไปเลย เรียกง่ายดี) ซึ่งก็คือกุญแจ Smart Key นอกจากนี้ยังปรับดีไซน์
กันชนหน้าใหม่ พร้อมฝาครอบไฟตัดหมอก เปลือกกันชนหลังออกแบบใหม่ พร้อมปลาย
ท่อไอเสียโครเมียม กรอบไฟท้ายสไตล์ใหม่ เฉพาะรุ่น 2.0 Diesel LTZ จะเพิ่มบันไดข้าง
สแตนเลสมาให้ ขุมพลังยังคงเหมือนเดิมทั้งรุ่นเบนซินและดีเซลครับ

ส่วนรถยนต์ที่เหลือในบูทก็ยังคงมีแต่บรรดาพี่น้องผูกโบว์ (ไทย) ร่วมตระกูล มาจอด
ให้ลองนั่งกันครบทีมเช่นเคย ทั้ง Sonic, Cruze, Colorado และ Trailblazer ที่มาพร้อม
ขุมพลัง Duramax 163 และ 200 แรงม้า (PS) สำหรับโปรโมชั่นมอเตอร์โชว์ของChevrolet
ก็มี Chevrolet Super Deal ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งทุกรุ่น นาน 2 ปีครับ

FORD


นึกว่าจะไม่มีอะไรมาให้เห็น แต่ก็มี Ford Everest คันต้นแบบมาโชว์ตัว เป็นอันว่าใครก็ตามที่
อุตส่าห์เก็บเงินไม่ปันใจให้FortunerหรือPajero Sport ไปเสียก่อนนั้น ก็อาจจะได้พบกับ PPV รุ่นนี้
ในปี 2015 ซึ่งกว่าจะถึงวันนั้นเราคงได้เห็นข่าวภาพหลุด ทั้งถูกแอบถ่ายจากเมืองนอก หลุดในเมืองไทย
หลุดแบบแอ๊บตั้งใจไปอีกหลายทอด แต่ถ้ารักจริง รอกันได้ (หมายเหตุ – ผู้เขียนเองก็รอ นานๆจะเจอ
Ford ที่ดีไซน์เห็นแล้วรู้สึกว่าแหม๊มันช่างเหมาะกับบอดี้ไซส์ระดับ Commander Chengเสียนี่กระไร)

ส่วนรถรุ่นอื่นๆที่มาโชว์ก็ยังเป็นรถรุ่นที่เคยเห็นกันมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Fiesta Ecoboost
พริกขี้หนูที่หลายคนบอกรถ 1.0ลิตรอะไรกันวิ่งแบบFish&Chipหาย ดึงดีแท้ หรือจะเป็น Ford
EcoSport ซึ่งเป็นรถ SUV ขนาดเล็ก(บ้างก็จัดเป็นครอสโอเวอร์) เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ซึ่งผ่านวัฏจักร
การปล่อยข่าว>วิ่งแอบๆ>แอบวิ่ง>เปิดนู่นนิด>เปิดนี่หน่อย>โชว์เตรียมขาย>โชว์ตัวแบบใกล้ขาย
ในวันนี้ข่าวดีคือเดือนเมษายนจะเริ่มส่งมอบรถกันได้แล้ว Nissan Juke กับ Livina จะได้มีคู่แข่งเสียที
และเป็นการสร้างทางเลือกที่กว้างขึ้นอันเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคด้วย

ปี 2013 ที่ผ่านมานั้น Ford Global ภายใต้การนำของ Alan Mulally สามารถพลิกสถานภาพจาก
การนอนรอวันตายมาเป็นสิงห์ผงาดกวาดทำกำไรทั่วโลกได้ 8,600ล้านดอลลาร์ สร้างสถิติใหม่
ของทางค่ายเลยทีเดียว

HONDA

ขอย้ำว่า Jazz ใหม่ ยังไม่มาในงานนี้นะครับ ชัวร์ป้าบ รถที่นำมาโชว์ก็เป็นไลน์อัพที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็น City ที่เพิ่งเปิดตัวและสร้างกระแสมาได้สักพัก Accord ที่ยังขายได้เรื่อยๆด้วย
อุปกรณ์ที่ครบและเติม E85 ได้ รวมถึงรุ่นอื่นๆเช่น StepWGN, CR-Z, Brio และ Brio Amazeเป็นต้น

ส่วน Civic ที่คาดกันไว้ว่าจะมาเป็นตัวไมเนอร์เชนจ์แบบอเมริกาเขานั้น งานนี้สาวก Honda
อกหักกันเป็นแถบๆ กลายเป็นว่า Civic 2014 ณ วันนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากเท่าไหร่นัก
ที่สังเกตได้ชัดก็คือมีรุ่น 1.8ES เพิ่มเข้ามาโดยให้อุปกรณ์ตกแต่งสเกิร์ตและสปอยเลอร์ต่างๆครบ
แต่ยังใช้ล้อ 16 นิ้วอยู่ มีการเพิ่มอุปกรณ์พวกมัลติมีเดียให้ดูไฮโซขึ้นเช่นหน้าจอสัมผัส และเล่นDVD
ได้ แต่ไม่มี Navigator เพิ่ม Cruise Control มาให้และอุปกรณ์จุกจิกอีกนิดในราคา 950,000บาท
(รุ่น 1.8E ธรรมดาราคา 895,000) ส่วนพวกบรรดาถุงลมด้านข้างและม่านถุงลมกับล้อ 17 นิ้วนั้น
จะไปอยู่ในรุ่น 2.0ES เท่านั้น นอกจากนี้เพื่อส่งเสริมการขาย จึงมีแคมเปญต่างๆเช่นผ่อน
ดอกเบี้ย 0% 60 เดือนมาให้ สำหรับกลุ่มพนักงานและข้าราชการรัฐวิสาหกิจ มีแคมเปญผ่อน
ดอกเบี้ย 0% และแถมประกันภัยชั้น 1 ให้ ลองปรึกษาเจ้าหน้าที่ผู้ขายดูก่อนได้ครับ

HYUNDAI

เห็น i40 จอดโชว์อยู่บนบูธก็นึกว่าจะนำมาขาย แต่น่าเสียดายที่เอามาโชว์เฉยๆ i40 เป็นรถในสไตล์
สปอร์ตแวก้อนที่ถูกพัฒนามาเพื่อเอาใจลูกค้าในฝั่งยุโรป ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 177 แรงม้าจับคู่
กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

รุ่นอื่นที่มีการเปลี่ยนแปลงได้แก่ Hyundai Grand Starex รถตู้ระดับหรูของทางค่ายที่มี
การปรับเปลี่ยนกระจังหน้า กันชน และล้ออัลลอย 17 นิ้วลายใหม่เพื่อเติมความงามให้กับ
บอดี้พื้นฐาน H1 ที่ใช้ทำตลาดมาน่าจะ 5 ปีแล้ว โดยมีการแบ่งระดับการตกแต่งเป็น 2 รุ่นได้แก่
รุ่น Grand Starex VIP ซึ่งเป็นรถตู้ 7 ที่นั่ง มีเคาน์เตอร์ขนาดใหญ่คั่นกลางระหว่างเบาะแถวผู้ขับ
กับเบาะตอนที่สอง มีจอ LCD ที่ปรับขนาดเป็น 22 นิ้ว พร้อมทั้งดีไซน์เคาน์เตอร์ใหม่ให้ดูสวยงาม
ขึ้นกว่าเดิม ส่วนอีกรุ่นคือ Grand Starex Premium นั้นจะไม่มีเคาน์เตอร์ และเปลี่ยนจอภาพ
เป็นแบบยึดติดหลังคาแทน

ส่วนรถอีกรุ่นที่เพิ่มมาคือ Hyundai Tucson 2.0ดีเซลขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งปรับเพิ่มกำลังจาก
177 ไปเป็น 184 แรงม้าและเปลี่ยนล้อจากขนาด 16 นิ้วเป็น 17 นิ้ว และสำหรับรถคันอื่นๆ
เช่น H-1 Deluxe, และ H-1 Elite (เพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานติดรถเข้าไปมากกว่า Deluxe), Veloster
Turbo รถหลายใจอยากเป็นสามประตูก็อยาก อยากเป็นห้าประตูก็จะเอา ก็มีการคาดลายตกแต่ง
FIFA 2014 แล้วนำมาจัดโชว์ในบูธเช่นกัน

ISUZU

มางานนี้ก็มีการเอารถตัวแต่ง ตัวแข่ง และตัวแรงมาโชว์ แต่ยังไม่มีรถรุ่นใหม่ เพราะในปัจจุบัน
MU-X ก็ทำยอดขายได้ดีชนิด Fortuner เงิบรับประทานอยู่แล้ว

JAGUAR/LAND ROVER (JLR)

เรือธงของค่ายอย่างรุ่น XJ นั้น หลังจากที่มีมาให้เลือกทั้ง 3.0ลิตร V6 และ 5.0 ลิตร V8 ล่าสุดก็มีการ
นำเอาเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงเทอร์โบ 2.0 ลิตร 240 แรงม้ามาขาย จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
แม้ว่าความจุเครื่องจะดูเล็ก แต่ด้วยการที่มีน้ำหนักตัวเพียง 1.66 ตัน (เบากว่ารุ่น 3.0V6ซูเปอร์ชาร์จ
ถึง 95 ก.ก.) ก็น่าจะทำให้อัตราเร่งเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยรุ่น 4 สูบนี้จะมีการตกแต่ง
3 แบบคือ XJ Luxury, XJ Premium Luxury และ XJ Portfolio ซึ่งก็มีให้เลือกเท่ากับรุ่น 3.0V6 เบนซิน
โดยการตกแต่งแบบ XJ SuperSport กับ XJ Ultimate นั้นจะถูกสงวนไว้สำหรับรุ่น 3.0ดีเซลเทอร์โบ
275 แรงม้า และรุ่น 5.0ลิตรซูเปอร์ชาร์จ 510 แรงม้าเท่านั้น

ส่วน Range Rover นั้น ก็ขนเอา Range Rover และ Range Rover Sport มาเหมือนกับเมื่อครั้งงาน
MotorExpo ปลายปี ส่วนรุ่นเล็กแต่เฉียบอย่าง Evoque นั้นก็เปิดตัวสีใหม่แซนซีบาร์สีน้ำตาลสวยแปลก
ไปอีกแบบ นอกจากนี้รถโมเดล 2014 ที่เปิดตัวในไทยยังได้ใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแล้วเช่นกัน
โดยเกียร์ ZF “9HP” ตัวใหม่นี้มีน้ำหนักเบากว่าเกียร์ 6 จังหวะเดิม 7.5 ก.ก. และปรับปรุงการจัดวาง
องค์ประกอบภายในเกียร์และชุดเฟืองใหม่ สามารถลดแรงเสียดทานลงจนช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้
มากกว่าเดิม 4%

MAZDA


คงไม่ต้องพูดอะไรกันมากในเมื่อบอร์ด headlightmag.com ของเราก็แทบจะน้ำท่วมทุ่ง
ไปด้วยกระทู้ต่างๆเกี่ยวกับ Mazda 3 กันอยู่แล้ว ดังนั้นงานนี้พระเอกของงานก็ต้องยกให้กับ
รถที่เพื่อนๆในบอร์ดบางคนเรียกมันว่า “3-Series แห่งญี่ปุ่น” ซึ่งขนมาโชว์ครบทุกระดับการตกแต่ง
ไม่ว่าจะเป็นรุ่น E ราคา 833,000บาทที่ขาดของเล่นหวือหวาไปบ้างและล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
ที่ดูแล้วต้องรีบทำเรื่องของอนุมัติงบเปลี่ยนล้อและแต่งซิ่งแบบบูรณาการในทันที ไปจนถึงรุ่น SP
Hatchback ที่จัดอุปกรณ์มาแบบครบครัน เรียกว่ามางานนี้ทีเดียวสามารถเดินเล็งอุปกรณ์
และสีสันภายในรถจนรู้ได้เลยว่ารุ่นไหนที่จะเหมาะกับคุณ

นอกจากนี้ในบูธ Mazda ก็ยังมีการเปิดตัว Mazda 2 รุ่นพิเศษ “DARK EDITION” โปรยคำ
ประชาสัมพันธ์ว่า Uncover your dark side เชิญชวนให้คุณเข้าสู่พลังแห่งด้านมืดด้วยการ
ตกแต่งกระจังหน้า ล้ออัลลอย และสปอยเลอร์ในโทนสีดำหรือสี Gun metal มีการคาดลายหมากรุก
บนหลังคา เพิ่มการตกแต่งภายในที่กรอบแอร์เป็นสีเดียวกับตัวรถและวัสดุสีดำเงาเพิ่ม
ขายในราคา 672,000บาท และจำนวนจำกัด 600 คัน

ใครสนใจรถรุ่นอื่นๆเช่น CX5 ที่ได้รับความนิยมพอสมควร และ Mazda BT50 ก็สามารถ
ชมรถได้ในงาน ทั้งนี้ Mazda บอกมาว่าถ้าใครยังรักใคร่ใน Mazda 3 รุ่นที่แล้วอยู่และอยากได้มาใช้
มีโปรโมชั่นผ่อนดอกเบี้ย 0% นาน 72 เดือนนะครับ

MERCEDES-BENZ

มาแบบไม่มีวันยอมเสียมาด มอเตอร์โชว์ครั้งใหญ่ทั้งทีต้องมีของให้โดนใจสาวกดาวสามแฉกบ้าง
ในงานนี้จึงได้มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ 2 รุ่น และยังเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในตลาดอาเซียนอีกด้วย
ประกอบไปด้วย C-Class และ GLA-Class

C-Class ที่มาเปิดตัวนั้นในระยะแรกจะเป็นรุ่นนำเข้า ประกอบไปด้วยรุ่น C180 Exclusive และ
C250 AMG Dynamic โดยใน C180 Exclusive นั้นจะเป็นกระจังหน้าแบบคลาสสิคและใช้เครื่องยนต์
แบบ 1.6 ลิตรเทอร์โบ 156 แรงม้า/5,300รอบต่อนาทีและแรงบิดสูงสุด 250Nm/1,200-4,000
ในขณะที่รุ่น C250 นั้นจะใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0ลิตร (ไม่ใช่ 1.8ลิตรแบบรุ่นเดิมแล้ว) เทอร์โบ
211แรงม้า/5,500รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดปาเข้าไป 350Nm/1,200-4,000 รอบต่อนาที
รุ่น C180 ตั้งราคาขายไว้ที่ 2,790,000 บาท ส่วน C250 นั้นอยู่ที่ 3,190,000 บาทครับ
เวลาไปดูในงาน ให้สังเกตนิดนึงเพราะได้ทราบมาว่ารถโชว์บางคันสเป็คจะไม่เหมือนรถขายจริง
อย่างเช่น C250สีเงินนั้น เจ้าหน้าที่แจ้งกับผมว่ารถขายจริงหลังคาจะเปลี่ยนจากมูนรูฟเป็นหลังคา
Panoramic แต่จะไม่มีเครื่องเสียง Burmeister นะครับ สำหรับคนที่อยากรอรุ่นประกอบในประเทศ
อาจต้องรอกันอีกราว 7-10เดือนครับ ราคาจะถูกลงไม่มากแต่อาจได้ออพชั่นเพิ่มขึ้นกว่าตัวนำเข้า

ใหม่ถอดด้ามมาอีกรุ่นคือ GLA-Class โดยรุ่นที่มาเปิดตัวในช่วงแรกนี้จะมีเพียงแค่รุ่น GLA200Urban
กระจังหน้าสีเงินโครเมียมคาด2แถบ ใครที่กำลังคิดว่าจะได้ใช้รถขับสี่ขนาดเล็กก็ขอชี้แจงตรงนี้ก่อนว่า
GLA200 เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้านะครับ เครื่องยนต์เป็นขนาด 1.6 ลิตร เทอร์โบ 156 แรงม้า
สเป็คตัวเลขต่างๆเหมือนกับ C180 Exclusiveเลยแม้จะเป็นเครื่องวางขวางขับหน้าก็ตาม
ความต่างอยู่ที่ C-Class จะใช้เกียร์ 7G Tronic ในขณะที่ GLAจะใช้เกียร์ 7G-DCT คลัตช์คู่ครับ
ราคาเปิดตัว GLA200 ในขณะนี้ตั้งไว้ที่ 2,440,000บาท

นอกจากนี้ยังมี G-Class G350BlueTec Sport เครื่องดีเซล V6 3.0ลิตร 211 แรงม้า สำหรับคนที่
ต้องการทั้งโลโก้ดาวสามแฉกและมาดรถลุยที่ดูโหดขึ้น แตกต่างจาก Soft Roader ทั่วไป
ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา ก็เตรียมงบไว้เลยครับ 7.49 ล้านบาท และ S-Class ก็มีรุ่น S300 BlueTEC Hybrid
ที่ใช้เครื่องดีเซล 2.1ลิตร 204 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยแบ่งการตกแต่งและราคา
ออกเป็น 2 ระดับ รุ่น คือรุ่น Exclusive ราคา 6.49 ล้านบาท และรุ่น AMG Premium ราคา 7.29ล้านบาท
และสำหรับคนที่อยากเห็นตัวเป็นๆของ A45AMG และ CLA45AMG ตัวแรงที่เบนซ์ทำออกมาฆ่า
อิมและอีโว..มาดูได้นะครับ ตั้งราคาขายจริงแล้วด้วย A45 ราคา 5,790,000บาท และ CLA45 ราคา
5,990,000บาทครับ

ส่วนใครที่อยากทราบข่าวคราวถึงการส่งมอบรถ CLA250 ผมได้สอบถามเพิ่มเติมมาให้ครับ
หากคุณจองวันนี้ จะได้รับรถในอีก 1 ปีครึ่งข้างหน้า เพราะไทยเราได้โควต้าไตรมาสละ 200 คัน
ในขณะที่ยอดจองรวมนั้นปาเข้าไป 2,000คันแล้ว แหล่งข่าวภายในเราบอกว่าลูกค้าหลายคน
ที่รอไม่ไหว เปลี่ยนใจไปเอา GLA200 แทนก็มีหลายสิบคนแล้วครับ

MG

รถProduction Car จากฝีมือ MG ในที่สุดก็เปิดตัวเสียทีกับ MG6 ใหม่ หลังจากที่วิ่งพรางตัว
ทดสอบกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว รถที่นำมาโชว์ในงานนั้นไม่ว่าจะเป็นบอดี้ซาลูนหรือแฮทช์แบ็ค จะเป็น
พวงมาลัยขวา..ใช่ครับพวกเขาเดินหน้าผลิตรถจากโรงงาน MG ในระยองเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อถาม
ถึงราคาก็พบว่า ณ ปัจจุบันยังไม่ได้มีการสรุปราคาขายกันว่าควรจะเท่าไหร่ ..รีบประชุมกันหน่อยนะครับ
เพราะกำหนดการขายจริงได้ข่าวว่าเป็นเดือนมิถุนายนนี่นา

สำหรับสเป็คเท่าที่ทราบ MG6 จัดเป็นรถในเซกเมนต์ C+ ซึ่งมีขนาดอยู่ระหว่างCivicกับ Accord
(แต่เมื่อได้ลองสัมผัสและนั่งคันจริง ผมคิดว่ามันใกล้เคียง C-Segment มากกว่าโดยเฉพาะพื้นที่
เบาะหลังซึ่งสูสีกันกับ Altis โฉมใหม่) มีเครื่องยนต์ 2 แบบคือ 1.8 และ 1.8 เทอร์โบ โดยรุ่นหลังนี้
จะมีแรงม้า 161 แรงม้า และส่งกำลังผ่านเกียร์ซีวีที..เอ๊ะไม่ใช่ นั่นมันรถของคู่แข่งนี่ ของ MG6 Turbo
นี้จะใช้เกียร์แบบคลัตช์คู่ 6 จังหวะครับ และมีระบบABS กับแทร็คชั่นคอนโทรลมาให้พร้อม

ก็ลองจับตาดูว่าความร่วมมือระหว่าง SAICจากจีนและวิศวกรMGแห่งอังกฤษจะไปได้ดีขนาดไหน
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการปรับจูนรถและราคาที่ตั้ง อย่าให้เสียโอกาสนะครับเพราะโรงงานก็เสร็จแล้ว
ศูนย์บริการก็เตรียมตั้งไว้ในกรุงเทพและยังมีต่างจังหวัดตามหัวเมืองต่างๆอีก 16 แห่ง

MITSUBISHI MOTORS

น้องคิตตี้ยังทำหน้าที่ของเธออย่างขยันขันแข็ง Mirage ก็ยังมีรุ่นพิเศษที่ตกแต่งลาย Hello Kitty
อยู่เช่นเดิม ในวันนี้ Mitsubishi ยังไม่มีรถตลาดใหม่ๆที่จะเปิดตัวเพื่อสร้างความฮือฮาใดๆ
แต่ใช้วิธีเสริมและปรุงแต่งรถรุ่นเดิมอย่าง Pajero Sport/Triton ไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีรถรุ่นใหม่
ออกมา ในงานนี้จึงเน้นโปรโมชั่นส่งเสริมการขายซึ่งหากดาวน์ 25%และเลือกผ่อน 48เดือน
ก็จะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% หรือ 0.99% ตามแต่ละรุ่น

ส่วนรถโชว์ของงานนี้ ได้แก่ Outlander PHEV ซึ่งโด่งดังมาจากการที่เป็นรถแบบPlug-in Hybrid
คันแรกของโลกที่เข้าร่วมการแข่งขัน Asia Cross Country Rally เป็นระยะทาง 2,000 กิโลเมตร

NISSAN

เพิ่งจะแถลงข่าวรถรุ่นใหม่ 3 รุ่นอย่าง Livina, Juke Joint Edition และ Pulsar DIG Turboไป
เมื่อต้นเดือนมีนาคม ดังนั้นก็ไม่แปลกที่จะพบรถทั้งสามรุ่นในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้

ไฮไลท์ของงานถ้าไม่นับรถรุ่นที่ขายอยู่แล้วอย่าง Sylphy หรือ Teana ก็คงมีแต่ Pulsar DIG Turbo
ที่บอกว่าจะเผยราคาแล้วก็ยังไม่ได้ทราบกันเสียที เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นแบบ MR16DDT 1.6 ลิตร
เทอร์โบ 190แรงม้า แรงบิด 240Nm ส่งพลังลงพื้นผ่านเกียร์ CVT ที่มาพร้อมโหมด Manual ซอย
เป็น 6 จังหวะ มีการเพิ่มระบบช่วยรักษาการทรงตัว VDC รวมไปถึงแทร็คชั่นคอนโทรล และยังปรับ
ช่วงล่างให้หนึบกว่ารถ Pulsar รุ่นปกติ อีกทั้งยังเพิ่มถุงลมนิรภัยเป็น 6 ใบด้วย แต่มูนรูฟหายนะครับ

ส่วน Livina ก็เป็นรถที่ผสมผสานกันระหว่างรถแฮทช์แบ็คขนาดกำลังดีกับรถสไตล์ SUV จึงทำให้
มีจุดเด่นอยู่ที่ห้องโดยสารสูงโปร่งสบายหัว และมีเนื้อที่บรรทุกสัมภาระข้างหลังที่จุได้มาก
คนที่มีกิจกรรมยามว่างหรือประกอบอาชีพที่ต้องอาศัยการขนของเยอะๆน่าลองแวะไปดู
รุ่นเกียร์ธรรมดาราคาเริ่มต้น 672,000บาท และสามารถเลือกดาวน์ต่ำเพียง 29,999บาทและผ่อนได้
สูงสุด 84 เดือน..เขียนไปเขียนมาคอลัมน์นี้เหมือนช่วยเชียร์ให้ผู้อ่านเสียเงินอย่างไรก็ไม่รู้
ก็ขอให้พิจารณาการใช้เงินกันอย่างมีสมดุลย์แล้วกันนะครับ

PORSCHE

Macan Turbo มาเปิดตัวแล้วในงานนี้ ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.6 ลิตร 400 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที
และแรงบิด 550 Nm/1,350-4,500 รอบต่อนาที ใช้เกียร์ PDK (Porsche Doppelkupplung) คลัตช์คู่
ทำอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม.ได้ภายใน 4.6 วินาที และทำ ความเร็วสูงสุดได้ 264 ก.ม./ช.ม.
สนนราคาอยู่ที่ 12,400,000บาท..แต่เดี๋ยวก่อน หากว่าไม่ได้จำเป็นจะต้องเอาแรงไปไล่ฆ่า
อีโวกับอิมที่ไหน ท่านอาจจะอยากลอง Macan Diesel S 258 แรงม้า หรือ Macan S 340 แรงม้า
ซึ่งทุกคันมีเทอร์โบและมีราคาอยู่ที่ 9.2-9.4ล้านบาท

นอกจากนี้ ก็ยังขนรุ่นอื่นมาเกือบทั้งตระกูล ไม่ว่าจะเป็น 911 Turbo S, 911 GT3, 911 Carrera,
Cayman และ Panamera S Hybrid

ROLLS-ROYCE

บูธอลังการกินเนื้อที่มหาศาลและรถแต่ละคันก็ราคาไม่ใช่ย่อยเลย

คันที่เด่นอยู่ตรงกลางบูธ คือ Rolls-Royce Wraith ซึ่งเป็นรถคูเป้ขนาดใหญ่ หรูหราเหนือระดับ
กับเครื่องยนต์ที่มีการแจ้งมาว่า “เป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ Rolls-Royce เคยผลิตมา”
(แน่นอน นับเฉพาะเครื่องรถยนต์นะไม่ต้องไปนับเครื่องของเครื่องบินเจ็ท) ขุมพลัง 6.6ลิตร
12 สูบทวินเทอร์โบ เห็นหน้าตาอย่างนี้แตพกม้ามาถึง 624 ตัว (น้อยกว่าซูเปอร์คาร์ในตำนาน
อย่าง McLaren F1 แค่ 3 ตัว) ระบบเกียร์อัจฉริยะของแท้แบบอัตโนมัติ 8 จังหวะ มีการทำงาน
ที่สามารถเชื่อมกับระบบนำทาง GPS ซึ่งจะป้อนข้อมูลให้ ECU ของเกียร์นำไปใช้ประกอบการ
ตัดสินใจในการเลือกเกียร์ให้ถูกต้องตามสภาพถนนได้อีกด้วย ส่วนความหรูหราก็ไม่ต้องพูดถึง
วัวกี่ตัว ต้นไม้กี่ต้น สละชีพเพื่อความหรูหราอันเป็นที่หนึ่งของ Rolls-Royce ที่เฉพาะเอกสิทธิ์ชน
ที่มีอันจะกินจะสัมผัสได้ ในยามค่ำคืน หากท้องฟ้ามืดมนเกินไป หลังคาของ Wraith จะมีหลอดไฟ
แบบไฟเบอร์ออพติคจำนวน 1,340 หลอดที่จะส่งแสงคล้ายดวงดาวระยิบระยับ สร้างบรรยากาศได้

และนี่ก็คือ..ยนตรกรรมที่พวกเราน้อยคนคงได้สัมผัส เพราะค่าตัวนั้นได้ข่าวว่าไม่ 30.9ล้านก็39ล้าน
เนี่ยแหละครับ

SSANGYONG

เหมือนจะไม่มีอะไรใหม่ๆมาให้ดู แต่ก็ยังมีการเปลี่ยนโฉมไมเนอร์เชนจ์แต่งหน้าทาปากให้กับ
Korando อย่างที่เห็นครับ

SUBARU

ใช้เวทีในงานมอเตอร์โชว์ เปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่าง Subaru WRX ตามหลังตลาดโลกแบบไม่นานเกินรอ
รถรุ่นใหม่นี้สังเกตดีๆบนท้ายรถจะไม่มีคำว่า Impreza แล้ว แม้แต่เอกสารที่แจกยังใช้ชื่อเรียกว่า
Subaru WRX ..ทำนองเดียวกับที่ Nissan Skyline GT-R กลายมาเป็น Nissan GT-R นั่นล่ะครับ

Subaru WRX ปี 2014 ใช้เครื่องยนต์ FB20 “DIT” ความจุ 2.0 ลิตร แต่แรงม้าจะเพิ่มจาก 240 ใน
Forester เป็น 268 แรงม้าที่ 5,600รอบต่อนาที แรงบิด 350Nm ที่ 2,400-5,200 รอบต่อนาที
ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์ซีวีที (พิมพ์ไม่ผิด) Sport Lineartronic ก็ได้
รุ่นเกียร์ธรรมดา ตั้งราคาไว้ 2,640,000บาท ส่วนรุ่นซีวิที ราคา 2,740,000บาท

นอกจากนี้ก็มีรถรุ่นอื่นที่ขายอยู่ประจำไม่ว่าจะเป็น BRZ, Outback, Forester หรือ Legacy GT
ก็มากันครบ รุ่น XV, Outback และ BRZ มีโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% 48 เดือนครับ

SUZUKI

ดูเงียบเหงาจนพวกเราทั้งทีมแปลกใจ แม้ว่าจะมีการนำเอารถ A-segment ที่ขนาดเล็กกว่า Swift
อย่าง Celerio มาโชว์ตัวหลายคัน แต่อย่าเพิ่งท้อใจไปครับ วันสื่อมวลชนเพิ่งจบ รอดูวันมหาชนดีกว่า

Suzuki Celerio ใช้เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร 3 สูบ มีอุปกรณ์ติดรถเท่าที่จำเป็นเช่นล้ออัลลอย กระจกไฟฟ้า
เซ็นทรัลล็อค กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พวงมาลัยมีลักษณะเหมือน Swift และจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ
ภายในได้ดีเหลือเชื่อ เอาเป็นว่าผมลองนั่งเบาะหน้าเสร็จแล้วย้ายไปนั่งข้างหลังโดยไม่ปรับเบาะใดๆ
ปรากฏว่านั่งได้สบายกว่าที่คิด แต่ติตรงที่พนักพิงศรีษะของเบาะหลังมันต่ำไปจนใช้หนุนหัวไม่ได้เลย
เท่านั้น สำหรับตลาดของ Celerio นั้น มุ่งเป้าไปที่คนใช้รถในเมืองที่เน้นความเรียบง่ายและ
ประหยัดค่าเชื้อเพลิง รวมไปถึงครอบครัวกำลังโตที่อยากเปลี่ยนจากสองล้อมาขี่สี่ล้อเพื่อ
ความปลอดภัยที่มากขึ้นเป็นต้น สำหรับราคายังไม่ได้ฟันธงมา แต่ให้ลองเทียบกับ Swift เอาไว้
ราคาของรถสองรุ่นนี้อาจจะมาในแบบที่ว่า รุ่นถูกสุดของ Swift แพงกว่ารุ่นแพงสุดของ Celerio
นิดหน่อย อย่างไรก็ตามเราจะทราบความจริงกันหลังมอเตอร์โชว์นี้ไปครับ

TOYOTA/LEXUS

นอกจากรถต้นแบบ FV2 ที่มีลักษณะกึ่งรถกึ่งมอเตอร์ไซค์แถมยังไฮเทค ควบคุมการขับเคลื่อนได้
ด้วยการขยับร่างกายของผู้ขับ แล้วยังสามารถอ่านสภาพจิตของผู้ขับได้อีกต่างหาก..Toyota
ในปีนี้มาพร้อมกับธีม Vibrant of Happiness และอัดฉีดเอาความเป็นสปอร์ตเข้าไปในรถ
แต่ละรุ่นที่มีเท่าที่จะทำได้

Vios TRD Sportivo มาแล้ว กับล้อ 15 นิ้ว และชุดแต่งรอบคัน ใช้พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง
มีเครื่องเล่น DVD พร้อมหน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว ตกแต่งภายในด้วยวัสดุสีเมทัลลิก ตัวรถมีให้เลือกสองสี
คือสีเทาและสีขาว ตั้งราคาจำหน่ายเอาไว้ 669,000บาท

Hilux Vigo TRD Sportivo 2 มาพร้อมชุดแต่งเช่นกัน และใช้ล้อขนาด 16 นิ้ว มีการติดตั้ง
DRL-Daytime Running Light ไฟตัดหมอกและสติกเกอร์ ภายในสีดำ เบาะดำ เดินด้ายตะเข็บแดง
ตกแต่งคาร์บอนเพิ่มเติม มีให้เลือกเฉพาะเครื่อง 2.5 ลิตร แต่มีทั้งแบบธรรมดา แบบ Pre-runner
มีทั้ง 2 และ 4 ประตู ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 712,000 ไปจนถึง 944,000บาท

Fortuner TRD Sportivo 5 ก็มากับชุดแต่งรอบคันในแบบคล้ายๆกัน แต่จะได้ล้อขยับเป็นขนาด
18 นิ้ว มีเครื่องเล่น DVD จอสัมผัส ระบบนำทางที่รองรับ Smart G-Book ส่วนราคาตั้งไว้ 1,549,000
และถ้าเป็นสีขาวมุกจะอยู่ที่ 1,561,000บาท

โปรโมชั่น? ทั้ง Vios และ Vigo ตอนนี้ซื้อแล้วแถม Samsung Note3 ครับ

ส่วน Lexus ก็ใช้งานนี้ในการเปิดตัว ES300h ใหม่ล่าสุด ซึ่งสลัดคำครหาว่าเป็น Camry
รุ่นแพงได้สำเร็จ (เพราะแพลทฟอร์มรถนั้นไปเอาของรถใหญ่อย่าง Avalon สเป็คอเมริกา
มาใช้แทน) ใช้ชุมพลัง Hybrid 2.5 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พลังขับเคลื่อนรวมเป็น 205
แรงม้า (ตรงนี้แหละที่เหมือน Camry) เมื่อตั้งคำถามว่าในเมื่อมี GS300h อยู่แล้ว ทำไมจึงต้อง
เอา ES300h มาอีก ก็ได้รู้ว่ารถทั้งสองคันนี้มีปรัชญาในการออกแบบที่ต่างกัน ในขณะที่ GS
จะรับบทเป็นคู่ต่อสู้กับรถยุโรปขับหลังที่เน้นความสนุกในการขับ ES จะเป็นรถขับหน้าขนาดใหญ่
ซึ่งเป็นตลาดที่ชาวอเมริกันคุ้นเคยแต่อาจจะใหม่สำหรับประเทศไทย ES จะเน้นความเงียบ นุ่ม
ในการขับเคลื่อนมากกว่าความมันส์ในการกระแทกคันเร่ง และขนาดบวกกับวิธีการจัดวางขุมพลัง
ก็ทำให้มีพื้นที่ในห้องโดยสารโดยเฉพาะเบาะหลังกว้างกว่า GS อย่างเห็นได้ชัด

Lexus ES300h มีสองรุ่น คือรุ่น Luxury ราคา 3,490,000บาท และรุ่น Premium ที่เพิ่ม
ระบบนำทางและระบบควบคุมสั่งการ Remote Touch Interface ที่คอนโซลกลางเข้ามา
จะตั้งราคาไว้ 3,890,000บาท

VOLVO

ในงานนี้แม้ไม่มีรถใหม่โมเดลเชนจ์ แต่ก็มีการเปิดตัวขุมพลังใหม่ Drive-E Powertrains ลงในรถยนต์
2 รุ่นคือ S60T5 และ XC60T5 ซึ่งถึงแม้ว่าชื่อ T5 จะชวนให้นึกถึงเครื่องยนต์ 5 สูบเสียงหวานอย่างใน
V40 หรือ 850 รุ่นคลาสสิคจากยุค 90s แต่แท้จริงแล้วเครื่องตัวใหม่นี้ขอยืนยันด้วยเอกสารจากVolvo
ว่าเป็นบล็อค “4 สูบ 2.0 ลิตร” ครับ แต่พละกำลังไม่ใช่เล่นๆ เพราะมีแรงม้าถึง 220ตัว/5,500รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 350Nm/1,500-4,000 ..มาถึงจุดนี้บางคนอาจจะสงสัยแล้วว่าเติมน้ำมัน E85 ได้หรือเปล่า
ตามที่Volvo แจ้งมาในเอกสารคือ “รองรับน้ำมันเบนซิน 95 แก๊สโซฮอล์ E10 และ E20” ผมลองเอาเมาส์
คลิกแดร็กข้อความดูแล้วไม่มีคำว่า E85 ซ่อนอยู่แน่ครับ และสิ่งที่จากเราไปอีกอย่างหนึ่งคือเกียร์
คลัตช์คู่ 6 จังหวะลูกเดิม รุ่นใหม่นี้จะใช้เกียร์อัตโนมัติแบบปกติ แต่มีอัตราทดถึง 8 จังหวะ ที่เขยิบ
อัตราทดเกียร์ 1 ให้ยาวขึ้นอีกหน่อย และมี 7 จังหวะหลังที่ชิดกันมากขึ้น ซึ่งดีไม่ดีอาจจะทำให้รถ
มีอัตราเร่งบางช่วงเร็วกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำไป

อุปกรณ์ความปลอดภัยก็ยังเป็นจุดเด่นเช่นเคย เช่น Pedestrian and Cyclist Detection พร้อม
Full Auto Brake และ City Safety ระบบLane Keeping Aid ระบบCross Traffic Alert แจ้งเตือนเมื่อ
มารถวิ่งเข้ามาทางด้านข้างที่เราอาจมองไม่เห็น ทั้งหมดนี้มาในราคา 2,449,000บาทสำหรับ S60T5
และ 2,919,000บาทสำหรับ XC60T5

VOLKSWAGEN

ในปีนี้ก็ยังไม่มี Golf MK.7 มาเผยโฉมในไทยแต่อย่างใด แต่สำหรับคนที่มองหารถตู้ระดับผู้บริหารก็คง
ต้องมาดูที่บูทนี้บ้าง เพราะงานนี้ Volkswagen ขนกันมาถึง 3 รุ่นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Caravelle Touring,
Caravelle Businessline และ The New Multivan สนนราคาอยู่ที่ 3.09, 3.45 และ 3.98 ล้านบาท
ตามลำดับ

——————————————————————-