โครงการ Cash For Clunkers สำหรับผู้รับสารและผู้ติดตามข่าวสารรถยนต์อาจจะยังไม่ทราบหรือไม่เข้าใจมากนักว่าจะมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างไรเพราะเป็นเรื่องไกลตัวมากยิ่งนัก แต่พอยอดขายเผยเดือนกรกฎาคมแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ที่สูงสุดในรอบปี 2009 ค่ายรถติดลบน้อยที่สุดจนน่าพอใจมาก ก็ยิ่งเร้าทำให้พวกเราอยากรู้มากขึ้นว่ามันคืออะไรกันแน่  วันนี้ผมจะอธิบายให้เข้าใจครับ

Cash For Clunkers คือโครงการแลกรถยนต์เก่าที่กินน้ำมันมากไปตีราคาเงินสดมูลค่า 3,500-4,500 ดอลลาร์เพื่อซื้อรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันด้วยงบประมาณจากสำนักบริหารความปลอดภัยด้านการจราจรบนถนนไฮเวย์แห่งชาติ (The U.S. National Highway Traffic Safety Administration=NHTSA ) กระทรวงคมนาคมมากถึง 1 พันล้านดอลลาร์เริ่มตั้งแต่ 1 กรกฏาคมถึง 1 พฤศจิกายน กระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหรรมยานยนต์สหรัฐอเมริกาให้รอดพ้นจากภาวะซบเซาที่เริ่มออกฤทธิ์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2008 ทั้งราคาน้ำมันและภาวะเศรษฐกิจอันเกิดจากวิกฤตการณ์ Subprime Effect

คุณสมบัติที่จะนำมา Trade-In ตีมูลค่าจะต้องเป็นรถที่ผลิตมาตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา รถรุ่นใดที่เก่ากว่านี้คงต้องเก็บไว้ใช้เองครับ หากท่านใดที่ซื้อมือสองมาหรือไม่แน่ใจว่ารถรุ่นนี้ผลิตปีไหนกันแน่กรุณาตรวจแผ่นตรารับรองความปลอดภัยบริเวณกรอบบานประตูฝั่งคนขับ

หากคุณสมบัติรถที่จะตีมูลค่าผ่านทุกประการ เจ้าของรถก็ต้องเลือกรถใหม่ที่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิมเมื่อเทียบกับรถเก่าของตนเอง ตามอัตราดังนี้
-รถยนต์นั่งส่วนบุคคล หากซื้อรถใหม่ที่มีอัตราสิ้นเปลืองประหยัดเพิ่มขึ้น  4-10 MPG จะได้เครดิตเงิน 3,500 ดอลลาร์ หากซื้อรถใหม่ที่มีอัตราสิ้นเปลืองประหยัดเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10 MPG จะได้รับเครดิต 4,500 ดอลลาร์

-รถกระบะประเภท 1 น้ำหนักน้อยกว่าหรือเท่ากับ 8,500 ปอนด์ ฐานล้อยาวไม่เกิน 115 นิ้ว รถแวน,เอสยูวีฐานล้อยาวไม่เกิน 124 นิ้วได้แก่ Toyota Tacoma,Nissan Frontier รวมถึงรถ SUV ขนาดเล็กอย่าง Ford Escape เจ้าของรถเก่าจะต้องหารถใหม่ที่ประหยัดเพิ่มขึ้น 2-5 MPG จะได้รับเครดิต 3,500 ดอลลาร์ หากหารถที่ประหยัดเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 MPG ขึ้นไปจะได้เครดิต 4,500 ดอลลาร์

-รถกระบะประเภท 2 น้ำหนักน้อยกว่าหรือเท่ากับ 8,500 ปอนด์ แต่ฐานล้อต้องยาวกว่า 115 นิ้ว หากเป็นรถมินิแวนหรือรถตู้ขนของต้องฐานล้อยาวกว่า 124 นิ้ว  เจ้าของรถเก่าต้องหารถใหม่ที่ประหยัดกว่าเดิม 1-2 MPG จะได้รับเครดิต 3,500 ดอลลาร์ หากหารถที่ประหยัดมากกว่า 2 MPG ขึ้นไปรับเครดิต 4,500 ดอลลาร์

-รถกระบะประเภท 3 น้ำหนักต้องเกิน 8,500 ปอนด์แต่น้อยกว่า 10,000 ปอนด์ซึ่งไม่มีการคิดค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลือง (EPA)ทำให้ต้องคิดเรตพิเศษดังนี้ หากต้องการเครดิต 3,500 ดอลลาร์ก็แค่นำรถเก่าที่ผลิตตั้งแต่ปี 1984-2001 มา Trade-in ได้เลย หรือหากอยากเปลี่ยนไปซื้อรถกระบะประเภท 2 ก็ได้เครดิต 3,500 ดอลลาร์เช่นกัน  ส่วนเครดิต 4,500 ดอลลาร์นั้นหมดสิทธิ์ครับเนื่องจากรถประเภทนี้กินน้ำมันมาก(มากเสียจนหารถที่ประหยัดกว่ามาก ๆ ไม่ได้)และมักใช้ในเชิงพาณิชย์มากกว่าใช้งานส่วนบุคคล

รถเก่าที่นำมา Trade-In จะเข้าสู่กระบวนการทำลายทิ้งโดยดีลเลอร์จะหักค่าใช้จ่าย 30 ดอลลาร์และค่าการจัดการ 50 ดอลลาร์จากเครดิต 3,500-4,500 ดอลลาร์ บางชิ้นส่วนดีลเลอร์สามารถแยกมาขายหรือส่งไปพ่อค้าคนกลางที่รับไปรีไซเคิลต่อได้ ยกเว้นเครื่องยนต์ที่ต้องทำลายอย่างเด็ดขาดด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
-ถ่ายน้ำมันเครื่องทิ้งให้หมด
-นำสารโซเดียม ซิลิเคต(Sodium Silicate) เติมเข้าไป 40%
-ปิดท่อไปเสียและหม้อน้ำ
-เปิดเครื่องยนต์ที่รอบต่ำ ใช้เวลาสักพักหนึ่งเครื่องยนต์ก็จะทำงานไม่ได้อย่างถาวรครับ

ผลน่ะหรือประสบความสำเร็จมากมายถึงขนาดยอดขาย Ford เติบโตจากปีที่แล้ว 2% ฟังดูน้อยนิดแต่ถ้าเทียบกับค่ายอื่น ๆ ที่ยังติดลบอยู่ถือว่าหรูมาก ๆ ค่ายร่วมถิ่น Chrysler ยอดขายติดลบ 9% GM ติดลบหนักหน่อยที่ 19% ค่ายรถเอเชีย Toyota ติดลบ 11% Honda ติดลบ 16% Nissan ติดลบ 25% และ Hyundai ลดลง 12%

ชาวอเมริกันตอบรับดีมากเสียจนงบ 1 พันล้านดอลลาร์หมดไปพริบตาจนต้องเคาะร่างพิจารณาเพิ่มงบอีก 2 พันล้านดอลลาร์เห็นชอบผ่านวุฒิสภาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2009 ด้วยคะแนนเสียง 60 ต่อ 37 งบหมดเร็วขนาดนี้หลายฝ่ายก็วิตกกันว่าหากสิ้นสุดโครงการเมื่อไรยอดขายน่าจะกลับมาฟุบอีกครั้งเพราะขาดแรงกระตุ้น แต่หลายฝ่ายวิเคราะห์กันว่ากว่าจะถึงวันนั้นสถานการณ์น่าจะดีขึ้นอย่างมากจนทำให้ระบบเศรษฐกิจต่าง ๆ เดินหน้าด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้

โครงการนี้ประสบความสำเร็จได้คงมิใช่แค่งบประมาณจากรัฐบาลเท่านั้นแต่พฤติกรรมผู้บริโภคชาวอเมริกันต่างหากที่เปลี่ยนไปรวดเร็วและน่าตกใจเสียด้วย สังเกตจากรถรุ่นใหม่ที่นำเงินจากการ Trade-in มาซื้อกลับเป็นรถเก๋งประหยัดน้ำมันล้วน ๆ ไม่มีรถกระบะโผล่ให้เห็นเลย ขณะเดียวกันรถที่นำมา Trade-In ล้วนเป็นรถที่เคยครองใจคนอเมริกันอย่างเหนียวแน่นในยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟูและราคาน้ำมันไม่แพงเหมือนตอนนี้

นี่คือรายชื่อรถยอดนิยมที่ชาวอเมริกันนำเครดิตมาซื้อ

1. Toyota Corolla

2. Ford Focus

3.  Honda Civic

4. Toyota Prius

5.  Toyota Camry

6. Hyundai Elantra

7. Ford Escape

8. Dodge Caliber

9. Honda Fit

10. Chevrolet Cobalt

นี่คือรายชื่อรถยนต์ที่นำมา Trade-in สะท้อนภาพสังคมอเมริกันในอดีตพอสมควรเลยนะครับ

1. Ford Explorer 4WD

2. Ford F-150 2WD

3. JeepGrand Cherokee 4WD

4. Jeep Cherokee 4WD

5. Dodge Caravan/Grand Caravan 2WD

6. Ford Explorer 2WD

7.  Chevrolet Blazer 4WD

8. Ford F-150 4WD

9.  Chevrolet C1500 2WD

10. Ford Windstar FWD van

เหตุผลที่ Corolla มาเป็นอันดับ 1 ของรถยอดนิยมในโครงการนี้เพราะโรงงานสามารถผลิตได้ทันความต้องการของลูกค้าประกอบกับชื่อชั้น Corolla ที่สะสมมายาวนานเรื่องความทนทานและความประหยัดทำให้อเมริกันชนต้องคิดถึงรุ่นนี้ก่อนใคร ๆ อยู่แล้ว ขณะที่ Ford ไม่สามารถผลิต Focus ให้ทันความร้อนแรงได้คาดว่าอีกไม่นานนัก Ford คงปรับสายพานผลิตให้รองรับความต้องการได้มากกว่านี้

ส่วนเหตุผลของรถที่นำมา Trade-In ผมคงไม่ต้องบรรยายมากครับ แต่สรุปได้ว่ามันน่าจะหมดยุค SUV หรือ Minivan คันโต ๆ เครื่องโต ๆ แล้วล่ะครับ เราคงต้องจับตามองว่าเมื่อสิ้นสุดโครงการ Cash for Clunkers แล้วสถานการณ์ตลาดรถยนต์อเมริกันจะเป็นเช่นไร