วันนี้บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี จำกัด และบริษัท มาสด้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมมือเปิดโรงงาน AAT เฟสที่ 2 อย่างเป็นทางการด้วยเงินลงทุนมูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีเปิดโรงงงานรถยนต์นั่งเอเอที โดยมี ฯพณฯ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย นายเอริค จี. จอห์น  ฯพณฯ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นายเคียวจิ โคะมะจิ รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของฟอร์ด มาสด้า และเอเอที ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดโรงงานอย่างเป็นทางการ

 

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมประเทศไทยถึงเพิ่งได้ตั้งโรงงานประกอบรถเล็กคู่นี้ทั้ง ๆ ที่น่าจะทำมาตั้งนานแล้ว จริง ๆ ทั้งคู่เคยศึกษาความเป็นไปได้มาตั้งแต่ปี 2004 คาบเกี่ยวนโยบายยุคเริ่มต้นอีโคคาร์รัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ประกอบกับวงจรสินค้าช่วงนั้น (LifeCycle) อยู่ในช่วงกลางอายุตลาดเพราะรุ่นใหม่ทั้งคู่จะเป็นรถระดับโลกในทุก ๆ ประเทศที่จำหน่ายแบรนด์ Ford และ Mazda  บริษัทแม่ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ ระหว่างนี้ก็ทบทวนข้อบังคับการลงทุนอีโคคาร์ไปในตัว

ระยะเวลาผ่านไปเริ่มมองเห็นแล้วว่านโยบายอีโคคาร์ไม่เสถียรภาพและไม่เหมาะสมกับการลงทุนของตนจึงเร่งตัดสินใจตั้งโรงงานในไทยแต่กว่าจะอนุมัติเป็นรูปร่างได้ต้องรอถึงปี 2007

จนกระทั่งในเดือนตุลาคม 2007 มาสด้า และฟอร์ด ประกาศจะลงทุนสร้างโรงงานแห่งที่สองใกล้ ๆ โรงงานแห่งแรกเพื่อประกอบรถยนต์นั่งขนาดเล็กระดับบีคาร์สร้างความฮือฮาให้ แก่วงการสร้างความหวังว่าจะได้ใช้รถเล็กสวย ๆ เหมือนกับประเทศอื่น ๆ ประกอบกับปีนั้น Mazda เพิ่งเปิดตัวรุ่น 2 ในตลาดโลกก็ยิ่งกระพือกระแสมากขึ้นไปอีก

จุดมุ่งหมายของโรงงานใหม่คือขยายกำลังผลิตอีก 1 เท่าตัวกลายเป็น 275,000 คันต่อปี เพื่อประกอบรถยนต์นั่งขนาดเล็ก Mazda 2 และ Ford Fiesta ให้ความสำคัญโรงงานในไทยเป็นศูนย์กลางตลาดอาเซียน,ออสเตรเลีย,นิวซีแลนด์ และแอฟริกาใต้ นอกเหนือจากการผลิตรถกระบะ 1 ตันป้อนตลาดโลก 130 กว่าประเทศ จำนวนเงินลงทุนสะสมทั้งคู่ตั้งแต่ปี 2538 ต้นไปมากถึง 51,000 ล้านบาท

นายเดวิด อัลเดน ประธานฟอร์ด อาเซียน เปิดเผยว่า “การลงทุนก่อสร้างโรงงานเอเอทีแห่งใหม่ที่เสร็จสมบูรณ์ ตอกย้ำถึงความสำคัญของเอเอทีต่อการดำเนินงานของเราในภูมิภาคนี้  และมีบทบาทเชิงกลยุทธ์
ที่สำคัญในฐานะศูนย์กลางการผลิตและส่งออกระดับโลก  ทั้งนี้ ภูมิภาคอาเซียนเป็นตลาดที่มีความสำคัญ
ต่อกลยุทธ์การเติบโตของฟอร์ดในเอเชีย การที่เอเอทีสามารถผลิตรถได้หลากหลายประเภทมากขึ้น
จะเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันการเติบโตของธุรกิจของเรา”

นายมาซาฮารุ ยามากิ รองประธานบริหาร มาสด้า คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “โรงงานผลิตรถยนต์นั่งแห่งใหม่ของเอเอทีจะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจของมาสด้าทั่วโลก  โรงงานแห่งนี้จะใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีความยืดหยุ่นสูงที่ทันสมัยที่สุด ซึ่งจะทำให้เราสามารถผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพระดับโลก และโดดเด่นด้วยมาตฐานความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

“โรงงานเอเอทีเป็นตัวอย่างที่สำคัญของความสำเร็จ ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างพนักงานมาสด้า ฟอร์ด และเอเอทีที่ได้ทุ่มเทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน  ผมมั่นใจว่าการทำงานร่วมกันเป็นทีมที่แข็งแกร่งจะทำให้เราฝ่าฟันอุปสรรคความท้าทายต่างๆ และนำพาเราไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจได้ต่อไป” นายยามากิกล่าวเสริม

โรงงานใหม่ติดตั้งเทคโนโลยีการพ่นสีแบบซ้อนทับ 3 ชั้น อบเพียงครั้งเดียวช่วยลดปริมาณสารอินทรีย์ไอระเหยหรือ Volatile Organic Compounds (VOC) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการะบวนการนี้ จัดเป็นบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมไม่น้อย

ส่วนภาระสำคัญอื่น ๆ นอกเหนือจากเป็นศูนย์กลางการประกอบ Mazda 2 และ Ford Fiesta ประจำอาเซียน ณ ปัจจุบันยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนรถขนาด C-segment รุ่น Mazda 3 และ Ford Focus ยังคงใช้โรงงานผลิตประเทศฟิลิปปินส์อยู่เหมือนเดิม

ดังนั้น ถ้านับจากวันเปิดโรงงาน เมื่อวาน (13 กรกฎาคม) เราจะเหลือเวลาอีกไม่นาน สำหรับการรอคอยยลโฉม Mazda 2 แฮทช์แบครุ่นแรกที่ออกจากสายพานผลิตจากโรงงาน AAT เฟชที่ 2 ประมาณตุลาคมถึงพฤศจิกายนปีนี้ จากนั้น ในเดือน มีนาคม 2010 ฟอร์ด ฟิเอสตา 1.6 ลิตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch ก็จะคลอดตามออกมา

ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ มาสด้า 2 ตัวถัง ซีดาน จะเปิดตัว พร้อมกัน ในงาน บางกอกอินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ที่ไบเทค บางนา ปลายเดือนมีนาคม 2010

 

——————————————–///——————————————-