การรอคอยรถยนต์ราคาประหยัดคันละประมาณ 400,000 บาท ของ Honda จบสิ้นลงแล้วในวันนี้ 17 มีนาคม 2011
Honda ประกาศเปิดตัว Brio ใหม่ เวอร์ชันพร้อมจำน่ายจริง สู่สายตาสาธารณชนทั่วโลกอย่างเป็นทางการวันนี้  ณ
Royal Paragon Hall ศูนย์การค้า Siam Paragon Honda คาดว่าจะ Brio จะช่วยยกระดับและสร้างมาตรฐานใหม่
ให้แก่รถยนต์อีโคคาร์ในเมืองไทย ทั้งด้านการออกแบบ การจัดวาง ความสะดวกสบาย ในห้องโดยสาร อัตราการ
ประหยัดเชื้อเพลิงและราคาที่คุ้มค่า

มร. อาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธานบริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด กล่าวว่า “Honda ภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ได้
แนะนำ Brio คันแรกสู่สายตาชาวโลก นี่เป็นรถยนต์ที่ผลิต ประกอบและจัดจำหน่ายในประเทศไทย เราดีใจมาก
ด้วยเช่นกัน ที่ไทยได้รับเลือกให้เป็นผู้นำการผลิตรถยนต์รุ่นนี้สู่ตลาด นับเป็นการยืนยันขีด ความสามารถและ
ศักยภาพที่เปี่ยมล้นของทีมงานของเรา ตลอดจนบริษัทคู่ค้าในภูมิภาคนี้ ที่คอยให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี
แก่โครงการพัฒนา Honda Brio ด้วยดีเสมอมา”

มร. ฟูจิโมโตะกล่าวเสริมว่า ยานยนต์ที่มีขนาดกะทัดรัด ราคาย่อมเยา และคายไอเสียสะอาด กำลังได้รับความสนใจ
และการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก “Brio จะสนองตอบความต้องการด้านไลฟ์สไตล์ของผู้ที่
มองหารถ รูปลักษณ์โดดเด่นสะดุดตา ขนาดกะทัดรัด แต่ให้ความรู้สึกกว้าง โปร่งสบาย และประหยัดเชื้อเพลิง อีกทั้ง
เป็นแบรนด์ที่พวก เขาให้ความใว้วางใจ ในเรื่องเทคโนโลยีนำสมัยและเทคโนโลยีความปลอดภัย”

ต้องขอทำความเข้าใจกันเล็กน้อยว่า Brio เป็นรถยนต์ขนาดเล็กกว่า B-Segment (กลุ่ม Jazz / City) อยู่นิดหน่อย โดย
คู่ต่อสู้ของ Brio ในตลาดโลก คือ Toyota Aygo / Peugeot 107 และ Citroen C1 ไปจนถึง Renault Twingo Volkswagen
Lupo อันเป็นรถยนต์ในพิกัด Sub-B Segment (หรือจะเรียกว่า A-Segment) ไปเลย ก็พอได้อยู่ เพราะคาบเกี่ยวกัน)
แต่ในเมื่อ มาทำตลาดเมืองไทย คู่ต่อสู้อย่าง Nissan ตัดสินใจนำ March อันเป็นรถยนต์กลุ่ม B-Segment Hatchback
มาขึ้นสายการผลิตในไทย ทำให้ มีข้อได้เปรียบในเรื่องความยาวตัวถังที่มากกว่า Brio ชัดเจน

แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะสำหรับ Honda แล้ว ประเด็นที่เหนื่อยกว่าคือการพัฒนา Brio ให้ผ่านมาตรฐษน รถยนต์
ECO Car ในไทย ซึ่ง รถยนต์ที่จะได้ชื่อว่าเป็น ECO Car ต้องมีคุณสมบัติ ประหยัดเชื้อเพลิง 5 ลิตร / 100 กิโลเมตร
ปล่อยไอเสียระดับต่ำตามเกณฑ์มาตรฐาน Euro 4 หรือสูงกว่านั้น ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต้องไม่เกิน 120 กรัม
/ ระยะทาง 1 กิโลเมตร และมีระบบความปลอดภัยอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ทั้งการชนด้านหน้าและด้านข้าง ตามข้อ
กำหนดที่ 94 และ 95 คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ สำหรับยุโรปขององค์การสหประชาชาติ  (UN Economic Commission
for Europe — UNECE)

ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ริเริ่มโครงการรถยนต์อีโคคาร์ เมื่อช่วงปลายปี 2006 หลังมีกระแสห่วงใย สิ่งแวดล้อม
และราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ปีต่อมาไทยประกาศว่า จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ อีโคคาร์ พร้อมเสนอแรง
จูงใจด้านภาษีให้แก่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ผลิตยานยนต์ประเภทนี้ในประเทศ แรงจูงใจด้านภาษีดังกล่าวมี อาทิ การจัด
เก็บภาษีสรรพสามิตอุดหนุนพิเศษในอัตราร้อยละ 17 สำหรับ ตลาดภายในประเทศ (เทียบกับอัตราร้อยละ 30 ในกรณี
ของรถยนต์ทั่วไป) การนำเข้าเครื่องจักรกล แบบปลอดภาษีและระยะเวลาปลอดภาษีนานถึงห้าปีเต็ม โดยในส่วนของ
ผู้ผลิตจะต้องรับผิดชอบผลิต รถยนต์อีโคคาร์จำนวนอย่างต่ำ 100,000 คันต่อปี ในปีที่ 5 ของการผลิต

โครงการรถยนต์อีโคคาร์ได้รับการสนับสนุนและคำมั่นจากผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นจำนวนหนึ่ง ซึ่งมี Honda รวมอยู่ด้วย
โดย Honda เป็นผู้ที่ริเริ่มนำเสนอแนวคิดให้รัฐบาลไทยสนับสนุนโครงการรถยนต์อีโคคาร์ มาตั้งแต่ต้น ด้วยเล็งเห็นว่า
โครงการนี้มีศักยภาพมหาศาลพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้นำผลิตภัณฑ์ หรือ Product Champion” ตัวต่อไปของไทยได้
อย่างสบาย

Brio มีความยาว 3,610 มิลลิเมตร กว้าง 1,680 มิลลิเมตร สูง 1,485 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,345 มิลลิเมตร
ทีมออกแบบ เลือกที่จะลดความสูงและขยายความกว้างของตัวรถ เพื่อเพิ่มความรู้สึกกว้างสำหรับรถขนาด
กะทัดรัด และการขับขี่ ที่คล่องตัวมั่นคง ลำตัวที่สั้นของ Brio นอกจากจะช่วยให้การขับขี่คล่องตัวแล้ว ยังให้
ทัศนวิสัยดี ในทุกทิศทางอีกด้วย ซึ่งทำให้การขับขี่และการจอดรถบนถนนแคบสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น

ภายในห้องโดยสาร ออกแบบให้กว้างขวางพอเพียง เพื่อให้ผู้โดยสารทุกตำแหน่ง มีพื้นที่ใช้สอยสูงสุด
โดยวิศวกรได้ตัดทุกสิ่งที่สิ้นเปลืองเนื้อที่ออกไป โทนสีคู่ที่ใช้ช่วยโน้มนำความรู้สึกโล่งกว้างและเปี่ยมด้วย
คุณภาพสมราคา เบาะนั่งคู่หน้า โอบกระชับ แต่พนักศีรษะ ฝังตัวติดกับพนักพิงเบาะ ส่วนเบาะหลัง สามารถ
พับได้ แต่ต้องพับพนักพิงทั้งชิ้นลงมา ทั้งหมด ไม่สามารถแบ่งแยกพับได้ (แบบเดียวกับ Nissan March ไม่
ผิดเพี้ยน) ประตูบานท้ายช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขนย้ายสิ่งของเข้า-ออกจากพื้นที่เก็บสัมภาระ
ขนาด 175 ลิตร (ไม่รวมพื้นที่เมื่อพับเบาะ) ซึ่งสามารถรองรับกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดใหญ่ รถเข็นเด็ก หรือแม้
กระทั่งถุงกอล์ฟ

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านออกแบบให้จับกระชับมือ มาตรวัดเรื่องแสงสีส้ม 3 วง พื้นหลังมาตรวัดสีขาว
ตัดกับสีดำ ดูสปอร์ต มีขนาดใหญ่มองเห็นได้ชัดเจน พร้อมจอแสดงผลระดับของน้ำมันเชื้อเพลิง และ
การขับขี่แบบ LED  ซึ่งจะแจ้งระยะทางรวม อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย อีกทั้งยังมีไฟแสดงผลการ
ขับขี่แบบประหยัด ECO (จะแสดงขณะขับขี่ที่ความเร็วคงที่โดยที่รอบเครื่องและความเร็วสัมพันธ์กัน
ช่วยให้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ)

ชุดเครื่องเสียงเป็นแบบ 2DIN เล่นเพลงจากช่องเสียบ USB , AUX , ไม่มีเครื่องเล่น CD มาให้ สามารถ
บันทึกคลื่น FM ได้ 30 ช่อง AM บันทึก 30 ช่อง (ส่วนในรุ่น S ไม่มีเครื่องเสียงมาให้แต่อย่างใด) ส่วน
เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบเดียวกับ Honda City แต่ ไม่มีไล่ฝ้าด้านหน้า สวิชต์เป็นแบบมือหมุนมาตรฐาน
รูปร่างคล้ายด่านเจดีย์สามองค์ทรงหงาย ค้ายกับที่พบได้ใน Nissan March รุ่นมาตรฐาน มีสัญญาณเตือน
(สำหรับเบรกมือ กุญแจรถ ไฟหน้าและเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย) ระบบล็อกป้องกันเด็ก กุญแจ WAVE
ระบบ Immoblizer และไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED

เครื่องยนต์ของ Brio มีหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ใต้ฝากระโปรงหน้าของ City ใหม่คันที่บ้านผู้เขียน
ไม่ผิดเพี้ยน ครับ เปลือกนอกหนะใช่ แต่ไส้ในหนะต่าง เป็นเครื่องยนต์เบนซิน รหัส L12A บล็อก 4 สูบ
SOHC i-VTEC 1.2 ลิตร หัวฉีด PGM-FI 90 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร
(11.2 กก.-ม.) ที่ 4,800 รอบ/นาที ดู
ตัวเลขแล้ว จะมีแรงม้า มากกว่า Nissan March 11 ตัว (79 แรงม้า)
ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะและอัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT ถือเป็นการกลับมา
อีกครั้ง ของเกียร์ CVT สำหรับ Honda และถือเป็นไฟลท์บังคับให้ต้องใช้เกียร์ลูกนี้ เพื่อให้ผ่านมาตรฐาน
ข้อกำหนดด้าน ECO Car ของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อย่างไรก็ตาม เกียร์
CVT ลูกนี้ จะมีระบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์มาใช้ พร้อมด้วยระบบล็อกอัพคอนโทรลที่พัฒนาขึ้นใหม่ ช่วย
ถ่ายทอดกำลังได้เต็มที่

นอกจากนี้ Honda จะยังติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งแบบเชิงป้องกันและเชิงรับ อาทิ ถุงลมนิรภัย
ตู่หน้า ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสาร รวม 2 ใบ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ซึ่งช่วยป้องกันล้อล็อก
ขณะเบรกกะทันหัน และช่วยให้คนขับยังสามารถควบคุมทิศทาง ของรถได้อย่างปลอดภัย ระบบกระจาย
แรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) โครงสร้างตัวถังกระจายแรงกระแทกจากการชน G-CON เพื่อเพิ่มความ
ปลอดภัยและความมั่นคงให้แก่ตัวถัง รถในขณะเดียวกัน และเข็มขัดนิรภัยชนิดปรับความตึงอัตโนมัติ

ขอย้ำว่า ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ที่จะถูกติดตั้งใน Brio เวอร์ชันไทย ทุกรุ่นย่อย ทุกคัน!!
โดยเฉพาะถุงลมคู่หน้าสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ซึ่งนับว่าเป็นการยกมาตรฐานด้านความ
ปลอดภัย ขึ้นอีกระดับหนึ่งสำหรับรถยนต์กลุ่มอีโคคาร์

คุณอรนุช พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ Honda กล่าวว่า “เราจะสื่อสารกับลูกค้าภายใต้
แนวคิด The Perfect Happiness หรือ ความสุขที่ลงตัว โดยมี Honda Brio เป็นรถยนต์ที่จะมอบความสุข
ให้กับลูกค้าของเราทั่วประเทศ โดยมอบรถยนต์ที่มีคุณภาพ ราคาย่อมเยา ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ งาน
มอเตอร์โชว์ การแสดงคอนเสิร์ท และ การสนับสนุนรายการต่างๆเพื่อเพิ่มการรับรู้ รวมทั้งการชักชวน
ให้เแวะเข้ามาขับขี่ ทดสอบ”  และจะมีพรีเซ็นเตอร์ เป็นดารานักแสดงละครช่อง 3 ที่กำลังได้รับความ
นิยมอยู่ในขณะนี้ ถึง 2 คน ทั้ง “หมาก-ปริญญ์” และ “ญาญ่า”
มาร่วมนำเสนอภาพลักษณ์ของ Brio
ให้เข้าถึงลูกค้าของเราทุกกลุ่มได้ง่ายยิ่งขึ้น”

Honda ตั้งราคา Brio รุ่น S เกียร์ธรรมดา ไว้ที่ 399,900 บาท และ รุ่น V เกียร์ธรรมดา 469,500 บาท  
ขณะที่ราคาของรุ่น V เกียร์อัตโนมัติ CVT อันถือเป็นรุ่นท็อป อยู่ที่ 508,500 บาท มีสีตัวถังให้เลือก
5 สี ได้แก่ เขยว Fresh Lime สีขาว Taffeta สีฟ้า Cerulian (Metallic) สีเงิน Alabaster และสีดำ
Crystal Pearl

หลังการเปิดตัวรอบสื่อมวลชนในวันนี้ ถ้าใครคิดอยากจะแวะเข้าโชว์รูม Honda ไปดู Brio คันจริง
บอกได้เลยว่า ยังไม่มีรถขายหรือแม้แต่จะให้ดู ต้องไปที่งาน Bangkok International Motor Show
ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 4 เมษายน นี้ ที่ Challenger Hall IMACT เมืองทองธานี เท่านั้น เพราะ
กว่าที่จะพร้อมสำหรับส่งมอบให้ลูกค้าที่สั่งจองเป็นรายแรกได้ ก็ต้องล่วงเข้าไปยังปลายเดือน
พฤษภาคมที่จะถึงนี้

——————————–///———————————–