กรุงเทพฯ – บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวสุดยอดยนตรกรรมหรูระดับโลกในตระกูล S-Class ใหม่ล่าสุดด้วยรุ่น S400 HYBRID AMG Premium 
รหัสตัวถัง W222 ด้วยความเลิศหรู อลังการ มาพร้อมกับภาพลักษณ์ใหม่ของการออกแบบบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำแห่งยนตรกรรม หรูหราระดับพรีเมี่ยม The new S-Class
ยานยนต์ที่ได้รับการรังสรรค์ใหม่ ภายใต้แนวคิด Vision accomplished ด้วยความเป็นเลิศแห่งวิศวกรรมยานยนต์สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ระบบการขับขี่แบบอัจฉริยะ
(Intelligent Drive)  เทคโนโลยีประหยัดพลังงานใหม่ล่าสุด (Efficient Technology) และความหรูหราสง่างามในทุกองค์ประกอบ (Essence of Luxury) 
โดดเด่นด้วย รูปลักษณ์ดีไซน์ใหม่หมดที่คงความหรูหรา น่าหลงใหล ล่าสุดได้รับรางวัลด้านดีไซน์ระดับโลกจาก Red Dot Award 2013 และ Automotive Brand Contest 2013
นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยสมรรถนะอันทรง พลัง โดยมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินไฮบริดแบบ V6  พร้อมระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบายที่ทำให้
เมอร์เซเด ส-เบนซ์เป็นรถยนต์ที่ขับขี่ปลอดภัยอย่างชาญฉลาด ในราคา 11,400,000 บาท เปิดตัวและพร้อมจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา
เฉพาะที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการเท่านั้น

มร. ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ S-Class ที่นำมาเปิดตลาดในไทย ได้แก่
S400 HYBRID AMG Premium ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันพร้อมใส่ใจในทุกรายละเอียด ในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องรูปลักษณ์ใหม่ที่น่าหลงใหล 
สมรรถนะ ยอดเยี่ยม ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ความสะดวกสบายที่เหนือกว่าและยังคงความสปอร์ตปราดเปรียว ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ S-Class โฉมใหม่เป็นที่สุดใน
ทุกองค์ประกอบ สมเป็นยนตรกรรมที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ซึ่งสามารถตอบโจทย์ตามปรัชญาของเมอร์เซเดส-เบนซ์ภายใต้สโลแกน “The best or nothing.”
และเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของกิจการได้เป็นอย่างดี”

alt

The new S-Class โฉมใหม่ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่หมด แต่ยังคงความหรูหราสง่างาม ซึ่งได้ผสมผสานแนวคิดการออกแบบที่ทันสมัยและเฉียบคมงดงามน่าดึงดูดใจ
มี ความเป็นสปอร์ตมากขึ้น โดยกระจังหน้ามีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความโดดเด่นเป็น 3 มิติ นับตั้งแต่ฝากระโปรงแบบ long bonnet 
ความสวยงามของลายเส้นพริ้วไหวด้านข้าง (dropping line)  ความโค้งมนของเส้นหลังคา (roof line)  ตลอดด้านท้ายรถที่ออกแบบให้มีความลาดเท
ทำให้ S-Class ใหม่มีสัดส่วนตัวรถสวยงามสมบูรณ์แบบ และยังมีอารมณ์ความเป็นสปอร์ตเหมือนรถยนต์คูเป้ด้วย  ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์หรู
โดยมิติของตัวรถ The new S-Class มีความยาวขึ้น 20 มม. กว้างขึ้น 28 มม. และสูงขึ้น 17 มม. ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้นและเพิ่มความสะดวกสบายภายใน
ห้องโดยสาร สำหรับพื้นที่ห้องโดยสารด้านหน้าคนขับมีพื้นที่เหนือศีรษะ (headroom) เพิ่มขึ้น 14 มม. พื้นที่ช่วงไหล่ (shoulder room) ของผู้โดยสารด้านหน้า
เพิ่ม ขึ้น 14 มม. และผู้โดยสารด้านหลังเพิ่มขึ้น 11 มม. พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังช่วงขา (kneeroom) เพิ่มขึ้น 16 มม. ให้ความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารตอนหลังมากขึ้นกว่าเดิม

เมอร์เซเดส-เบนซ์ S-Class รุ่นใหม่นี้ ใช้เทคโนโลยีระบบส่องสว่างเป็นแบบ LED ตลอดทั้งคันทั้งภายนอกและภายในซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลก โดยรวมรถคันนี้มี
หลอดไฟ LED รวมกันเกือบ 500 ดวง โดยไฟหน้าใช้หลอดไฟ LED ข้างละ 56 ดวง ไฟท้าย ใช้หลอดไฟ LED ข้างละ 35 ดวง โดยมีหลอดไฟ LED สำหรับ
ตัด หมอกหลังอีก 4 ดวง ส่วนภายในห้องโดยสารของตัวรถมีใช้มากถึง 300 ดวง  โดยสามารถประหยัดพลังงานโดยรวมถึงกว่า 75 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับหลอดไส้แบบธรรมดา
นอกจากนั้นยังมีระบบ LED Intelligent Light System สำหรับโคมไฟหน้าซึ่งจะช่วยปรับลำแสงให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพอากาศ

เมอร์เซเดส-เบนซ์นับเป็นเจ้าแรกที่ได้พัฒนาระบบไฟส่องสว่างโดยคำนึงถึงความ ปลอดภัยผู้ใช้ถนน โดยได้พัฒนาไฟท้ายให้สามารถปรับระดับความสว่างได้ตามสถานการณ์
ของการขับ ขี่และสิ่งแวดล้อมขณะนั้น  โดยไฟเบรกและไฟสัญญาณต่างๆ ด้านท้ายสามารถปรับระดับของความสว่างได้ตามลักษณะการใช้งานและสภาพแวดล้อม
(ทั้ง กลางวันและกลางคืน)  ตัวอย่างเช่น หากผู้ขับขี่เหยียบเบรกเพื่อหยุดรถรอสัญญาณไฟตอนกลางคืน ระบบจะลดระดับความสว่างของไฟลงเพื่อไม่แยงตาผู้ขับขี่รถคันหลัง

alt

การตกแต่งภายในของ The new S-Class ยังคงเน้นองค์ประกอบที่ผสานเอารูปแบบดั้งเดิม ความหรูหรา และแนวคิดของรถซาลูนรุ่นใหม่ให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืน
ภายใต้แนวคิดความ นุ่มสบายขณะขับขี่ ความกว้างขวาง รวมไปถึงอุปกรณ์คุณภาพสูงภายในรถที่สามารถใช้งานได้ง่าย เน้นการใช้วัสดุคุณภาพสูงและการออกแบบที่เน้น
การใช้งานได้จริงเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นลายไม้ที่ได้รับการออกแบบพิเศษ designo high-gloss sunburst brown myrtle wood แบบ 2 โทนสี (two-tone)
รวมทั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa แบบ Exclusive package ตัดเย็บลายเบาะแบบ diamond design พร้อมด้วยผ้าหลังคา และแผงบังแดดด้านหน้าหุ้มด้วย
DINAMICA microfibre  พร้อมด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ที่สามารถปรับเฉดได้ถึง 7 สี นอกจากนั้นยังติดตั้งพวงมาลัยหุ้มหนังสลับ
ลาย ไม้ 2 ก้านแบบมัลติฟังก์ชั่น ซึ่งเป็นพวงมาลัยนิรภัยพร้อมพาวเวอร์ที่สามารถปรับน้ำหนักได้ตามความเร็วรถ ซึ่งจะช่วยทำให้การควบคุมทิศทางรถเป็นไปอย่างเที่ยง
ตรงแม่นยำและปลอดภัย

ระบบให้บริการข้อมูลของ The new S-Class จะแสดงผลผ่านหน้าจอดิสเพลย์แบบ TFT มีความละเอียดสูงมีขนาด 31.2 ซม. จำนวน 2 จอโดยตัวแรกด้านหน้าคนขับ
สำหรับ ให้ข้อมูลการวัดค่าต่างๆ บนแผงหน้าปัด เช่น มิเตอร์วัดความเร็ว ความเร็วรอบ ระยะทางและอื่นๆ ส่วนจอด้านซ้ายสำหรับให้ข้อมูลระบบความบันเทิงต่างๆ รวมถึงการเชื่อมต่อ
อินเตอร์เน็ต และยังสามารถควบคุมการทำงานได้จากรีโมทคอนโทลและแป้นควบคุมตรงคอนโซลกลางที่ ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม สามารถควบคุมการทำงานได้สะดวก
ในขณะที่ระบบ ความบันเทิงในที่นั่งด้านหลังมีจอแสดงผลอีก 2 ตำแหน่ง (Individual Entertainment in the rear) ที่ติดตั้งอยู่บริเวณด้านหลังของพนักพิงที่นั่งคู่หน้า
ซึ่งให้บริการ ด้านข้อมูลและความบันเทิงต่างๆ แก่ผู้โดยสารตอนหลังโดยแยกอิสระ ระบบ COMAND Online ควบคุมการทำงานของวิทยุ–ดีวีดี และเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
พร้อม Controller และระบบนำทาง (navigation system) นอกจากนั้นยังมีรีโมทคอนโทรลควบคุมการทำงานของระบบ COMAND Online สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
รวมถึงระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) ด้วย

alt

The new S-Classได้รับการติดตั้งระบบ active perfuming system มาพร้อมกับ AIR-BALANCE Package เป็นครั้งแรกของโลก โดยระบบจะผลิตกลิ่นหอมและ
ปรับ ระดับความหอมได้ด้วยตัวคุณเอง ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้แนะนำน้ำหอมปรับอากาศคุณภาพสูง เพื่อให้ความสดชื่นและความรื่นรมย์มากขึ้น โดยกลิ่นหอมที่ใช้มี
ให้เลือก 4 กลิ่น ได้แก่ FREESIDE MOOD, NIGHTLIFE MOOD, DOWNTOWN MOOD และ SPORTS MOOD

นวัตกรรมของการพัฒนาเบาะนั่งใหม่โดยเน้นให้ความสะดวกสบายมากขึ้นโดยได้รับการออก แบบโครงสร้างเบาะให้มีน้ำหนักเบาขึ้นประมาณ 20 กก. โดยติดตั้งระบบนวด
แบบ ผ่อนคลายแบบ ENERGIZING Massage ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลกที่ติดตั้งในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ S-Class รุ่นใหม่นี้ ระบบนวดแบบ ENERGIZING Massage
ใช้หลักการนวดผ่อนคลายเหมือนการใช้หินร้อน

ในเบาะที่นั่งคู่หน้าและคู่หลังของ S-Class ใหม่เป็นแบบ Climatised seat ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโลกเช่นกันที่ใช้เบาะนั่งพร้อมระบบระบายอากาศเบาะ นั่งโดยใช้
พัดลมดูดอากาศ และระบบอุ่นเบาะนั่ง ให้มีอุณหภูมิพอเหมาะสะดวกสบายตลอดการขับขี่สำหรับเบาะนั่งด้านหลังฝั่งซ้าย เป็นแบบ Executive Seat สามารถปรับเอนพนักพิงเพิ่มขึ้น
ได้จาก 37 เป็น 43.5 องศา ซึ่งเป็นองศาของการปรับเอนพนักพิงที่มากที่สุด ในเซ็กเมนต์ของรถยนต์รุ่นนี้ นอกจากนั้นยังสะดวกสบายด้วยที่รองขา (leg support) ที่ผู้ใช้
สามารถปรับขนาดความยาวและองศาได้ตามต้องการเพิ่มความสบายในการพักผ่อนมากขึ้น

ที่นั่งตอนหลังใน S-Class ใหม่เพิ่มแพ็กเกจสำหรับผู้โดยสาร (Chauffeur package)  ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายและป้องกันการได้รับการบาดเจ็บจาก
การ เกิดอุบัติเหตุ ด้วยฟังก์ชั่น “Chauffeur” ที่สามารถปรับเลื่อนเบาะที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้าไปด้านหน้าได้อีก 40 มม. และเลื่อนขึ้นด้านบนได้อีก 37 มม.จากตำแหน่งปกติ
ทำให้มีพื้นที่วางขา สำหรับผู้โดยสารตอนหลังเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้โดยสารสามารถผ่อนคลายเต็มที่ด้วยการใช้ที่พักส้นเท้าหรือ  (heel rest) เมื่อมีการพับเบาะนั่งด้านหน้า
ซึ่งนับเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในเรื่องการการพักผ่อนแบบสะดวกสบายตลอดการเดินทาง

เมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์เพียงไม่กี่รายที่ผลิตเบาะนั่งด้วยตน เองทั้งในรุ่น E-Class และ S-Class ทั้งนี้เพื่อมาตรฐานคุณภาพสูงสุดและความทนทาน
ในการใช้งานได้ยาวนาน ขณะเดียวกันเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังเป็นผู้นำตลาดในการคิดค้นฟังก์ชั่งใหม่ๆอีก ด้วย เช่น ระบบนวดแบบ ENERGIZING Massage ซึ่งสร้างขึ้น
จากหลักการนวด โดยใช้หินร้อน อีกด้วย โดยกระบวนการผลิตเบาะนั่งนั้นเมอร์เซเดส-เบนซ์ ใช้พนักงานช่างฝีมือกว่า 600 คน ภายใต้กระบวนการผลิตที่มีความซับซ้อนและ
ละเอียดอ่อน ผสานกับงานฝีมือขั้นสูงควบคู่กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงเรื่องของความใส่ใจในรายละเอียด ความประณีตในการเดินด้ายและการเย็บเบาะหนังและการเลือกสีสัน
ในรถแต่ละรุ่นซึ่งมีความหลากหลาย

The new S-Class ใช้ชุดเครื่องเสียงคุณภาพ Burmester® Surround Sound System พร้อมลำโพง 13 ตัว ซึ่งให้ระดับเสียงคมชัดเซอร์ราวซาว์รอบทิศทาง
แบบ “feel-good sound” โดยจะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพกับระบบ Frontbass system ซึ่งเป็นระบบที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้และได้นำมาใช้
ในรถยนต์ซาลูนเป็นครั้งแรก 

The new S-Class มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยกว่ารุ่นก่อนถึง 20% ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมโลกสีเขียว โดยรุ่นที่เปิดตัวในประเทศไทย
คือ รุ่น S 400 HYBRID AMG Premium ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V6 ขนาด 3.4 ลิตร แรงม้าสูงสุด 306 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 370 นิวตัน-เมตร
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 27 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0–100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 6.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16 กม./ ลิตร และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ย 147 กรัม/กม.
โดยพละกำลังถูกถ่ายทอดผ่านเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะแบบ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย แบบ DIRECT SELECT

ระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® เป็นแนวคิดระบบความปลอดภัยที่ได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เพิ่มระบบ PRE-SAFE® Impulse
ซึ่งจะทำงานเมื่อเกิด อุบัติเหตุจากด้านหน้า โดยผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าจะถูกเข็มขัดนิรภัยดึงให้ออกห่างจากทิศทางที่ ถูกเชี่ยวชนตั้งแต่จังหวะแรกก่อนรถถูกชน
และจะลดแรงดึงกลับ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงของอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้น เมอร์เซเดส-เบนซ์เพิ่มอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารด้านหลังมากขึ้น
ด้วยหัวเข็มขัดนิรภัยแบบเรืองแสงที่เบาะหลังแบบปรับระดับเองอัตโนมัติ (Active Seat-Belt Buckle) เข็มขัดนิรภัยแบบถุงลมสำหรับผู้โดยสารด้านหลังริมหน้าต่าง (Beltbag)
ระบบ ตัดการทำงานถุงลมนิรภัยอัตโนมัติ และถุงลมนิรภัยด้านข้าง ซึ่งทำงานร่วมกับระบบ PRE-SAFE® ช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บให้กับผู้โดยสารที่นั่งเบาะหลัง ซึ่งเป็น
อุปกรณ์ ที่อยู่ในระบบ PRE-SAFE® Rear Package หัวเข็มขัดนิรภัยแบบเรืองแสงจะถูกยกขึ้นโดยอัตโนมัติด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเมื่อ ประตูหลังถูกเปิดเพื่ออำนวยความสะดวก
ในการคาดเข็มขัดนิรภัย เพื่อประโยชน์ในการป้องกันการบาดเจ็บบริเวณกระดูกเชิงกรานและบริเวณส่วนหน้า อกของผู้โดยสารได้มากขึ้น เข็มขัดนิรภัยเบาะหลังนี้จะทำหน้าที่
ปกป้องโดยรั้งตัวผู้โดยสารโดยอัตโนมัติเพื่อเตรียมพร้อมกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

Mercedes-Benz S400 Hybrid AMG Premium พร้อมจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว โดยถือว่าเป็นการทำตลาดแบบสายฟ้าแลบตามหลังการเปิดตัวในตลาดโลก
เพียงไม่ กี่เดือน และจะทำตลาดในรูปแบบนำเข้าทั้งคันกันก่อนในล็อตแรกจำนวน 50 คัน ด้วยราคา 11,400,000 บาท ก่อนจะทำการประกอบในประเทศและจำหน่ายตามมา