ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ตลอดช่วงปี 2013 นับเป็นช่วงเวลาแห่งการชะลอตัว
อย่างแท้จริง จากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การสิ้นสุดโครงการ ส่วนลดภาษี
สงสุด 100,000 บาท แก่ผู้ซื้อรถคันแรก ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว

สภาพเศรษฐกิจ ที่ไม่ดีขึ้น ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเรื้อรัง ส่งผลให้กำลังซื้อ
รถยนต์ขนาดเล็ก ต่ำกว่า 2,000 ซีซี ลงไป หดหายจากเดิมมาก ปริมาณรถยนต์ที่ผลิต
ออกมาได้ หากไม่ส่งออกไปต่างประเทศ ก็จะต้องหาที่จอดรอเจ้าของมาอุปการะกัน
เป็นจำนวนมาก จนหลายค่าย ต้องเช่าลานกว้างๆ หลายแห่ง เพื่อจอดรถยนต์ที่ผลิต
ออกมาได้ และค้างสต็อก ระบายไม่ทันอย่างนี้

อีกทั้ง สิ่งที่ภาคการเงินเป็นห่วง ก็เกิดขึ้นจริง ลูกค้าบางกลุ่ม ผ่อนส่งไม่ไหว ขอคืนรถ
และต้องคืนเงิน 100,000 บาท ให้กับทางรัฐบาล แต่ความจริงก็คือ ลูกค้าเหล่านี้ 
ไม่มีแม้แต่เงินสดมากพอที่จะทำเช่นนั้น หนี้ภาคครัวเรือนก็เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทรถยนต์เอง ก็เร่งเดินเครื่องผลิตรถยนต์กันเต็มอัตราศึก ฝ่าย
ผู้ผลิตชิ้นส่วน ก็ต้องเร่งเพิ่มกำลังการลิตกันขนานใหญ่ สุดท้ายแล้ว พอเข้าสู่ปี
2013 การลดกำลังการผลิต จำเป็นต้องเกิดขึ้น แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายนักก็ตาม
จนถึงตอนนี้ ยอดขายรถยนต์ในเมืองไทย ยังไม่ฟื้นตัวดีเท่าที่ควร และจะ
เริ่มถดถอยลงจากนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2014 เป็นอย่างน้อย

แนวโน้มการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ในเมืองไทยปีนี้ จากเดิม ที่คาดไว้ว่า
รถกระบะ จะกลับมาคึกคักนั้น กลับกลายเป็นว่า Toyota และ Isuzu ชะลอ
แผนการเผยโฉมรถกระบะ รุ่นใหม่ของตนออกไป ทำให้เหลือเพียงค่าย
Nissan กับ Mitsubishi ที่จะต้องห้ำหั่นกันในตลาดกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม
เมื่อดูจากแผนการเปิดตัวรถยนต์ของแต่ละค่ายแล้ว บ่งชี้ชัดเจนว่า กลุ่ม
รถกระบะ และ SUV/PPV ซึ่งสร้างขึ้นบนพื้นฐานรถกระบะ จะกลับมา
เป็นกลุ่มตลาดร้อนแรง ในปี 2014 ต่อเนื่องถึง 2015 อย่างแน่นอน

(และนั่นคือสาเหตุที่ ภาพแรกของบทความเรา เป็นภาพเงาของรถกระบะเช่นนี้)

ส่วนตลาดรถยนต์นั่นั้น ในปีนี้ อาจยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนมากนัก ลูกค้าที่
อุดหนุน มักเป็นกลุ่ม ที่มีความจเป็นต้องซื้อมาใช้งานจริงๆ ไม่ใช่กลุ่ม
ที่จะซื้อรถยนต์อย่างฟุ่มเฟือย ซึ่งแต่ก่อน อาจมีแอบแฝงอยู่บ้าง แต่
ในช่วงนี้ ลดน้อยลงไปเยอะ เพราะผู้คน เริ่มคำนึงถึงการใช้จ่ายอย่าง
ระมัดระวัง ไปตามสภาพเศรษฐกิจ

เป็นประจำทุกต้นปีที่ J!MMY จะเขียนบทความสรุปความเคลื่อนไหวของปีที่แล้ว และสรุป
ความเคลื่อนไหว ของบรรดารถรุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ พร้อมข้อมูลการพัฒนารถยนต์
รุ่นใหม่ๆ ล้ำไปไกลล่วงหน้าก่อนสื่อรายใดถึง 4 ปี เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ Headlightmag.com
เป็นประจำ ทุกต้นเดือนมกราคม เพื่อเป็นของกำนัล สำหรับคุณผู้อ่าน ใช้เป็นข้อมูลในการ
เตรียมวางแผนซื้อรถยนต์ล่วงหน้า หรือสำหรับเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ของผู้คนใน
แวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์

และในปี 2014 นี้ ก็เช่นเดียวกัน ความเคลื่อนไหวในตลาดรถยนต์เมืองไทยนับจากนี้ จนถึงปี
2017 จะเป็นอย่างไร จะมีรถยนต์รุ่นไหนเข้ามาผลิต และเปิดตัวในบ้านเรา ให้ได้เป็นเจ้าของ
กันบ้าง มีเทคโนโลยีอะไรที่จะเข้ามาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกันบ้าง ทุกอย่าง รออยู่ใน
บรรทัดข้างล่างนี้ทั้งหมดแล้ว…

——————————————

***หมายเหตุ***
 
1. ปีนี้ มีความเคลื่อนไหวของรถยนต์จากเมืองจีน จริงจัง แค่เพียง 1 ราย นั่นคือ MG-SAIC 
และเราได้นำมาใส่ไว้ในบทความนี่ เป็นปีแรก ส่วนบริษัท ที่นำรถยนต์จีนยี่ห้ออื่นๆ เข้ามา
ขอไม่นับ เพราะตลาดยังค่อนข้างเล็กมากเกินไป หลายค่าย เช่น Great Wall มาอวดโฉม 
ในงาน Bangkok Motor Show เดือนมีนาคม 2013 เสร็จปุ๊บ ก็หันหลังกลับ เงียบหาย
ไร้วี่แววจะทำตลาดในบ้านเราต่อ ดังนั้น คงต้องขอพูดถึงเฉพาะ MG เพียงค่ายเดียวเท่านั้น

2. ปีนี้ หลายค่าย จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ทำตลาด แต่เราก็ยังคงบรรจุแบรนด์เหล่านั้น ไว้ใน
บทความประจำปีนี้ เพราะในปี 2015 แต่ละค่ายจะกลับมามีความเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง

3. ปีนี้ ผู้เขียน ขอถอด Alfa Romeo / Fiat ออกจากบทความ เพราะเราไม่สามารถสืบหา
ความเคลื่อนไหว หรือแผนการนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาขายในบ้านเราได้เลยจริงๆ
 
4. ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าถูกต้อง ตรงตามข้อเท็จจริงที่
เกิดขึ้นล่าสุด ณ วันที่นำบทความชิ้นนี้ ขึ้นเผยแพร่ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป อาจมีข้อมูลดิบและ/หรือ
ข้อมูลที่กลั่นกรองแล้วปรากฎขึ้นอีกได้ตลอดเวลา ข้อมูลเหล่านั้นอาจจะคลาดเคลื่อนหรือเพิ่มเติม
ข้อมูลเดิมจากบทความชิ้นนี้ย่อมเป็นไปได้ และเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ทุกเมื่อ เนื่องจากรายงานข่าว
ประเภทเจาะโครงการลับ หรือ Spyshot นั้น ไม่มีสื่อมวลชนเล่มใด รายใดในโลก ที่รายงานได้
ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง 100% ต่อให้เป็นฝรั่งมังค่าก็ตาม

คุณผู้อ่านควรติดตามข่าว “ด้วยวิจารณญาณ เหตุผลในเชิงตรรกะ หรือเกมการตลาดอย่างปราศจาก
อคติ” รวมทั้งศึกษาจากข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในสื่ออื่นๆ ประกอบกันด้วยอยู่เสมอ เพื่อความสดใหม่
ของข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากบทความนี้ เผยแพร่สู่สาธารณชนแล้ว

5. บทความนี้ มีอายุ ในการอ้างอิงได้ 1 ปี คือนับจากวันที่ 1 มกราคม 2014 ถึง 31 ธันวาคม 2014
เท่านั้น หลังจากนี้ ให้ติดตามอ่านข้อมูลอัพเดทได้ จากบทความสรุปรถใหม่ 2015 – 2018 ในวันที่
1 มกราคม 2015

6. หากอยากจะนำบทความชิ้นนี้ ไปเผยแพร่ที่ไหน กรุณาติดต่อมาที่ [email protected]
เพื่อ ขออนุญาตกันเสียให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ก่อนจะนำไปเผยแพร่ ต่อไป ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์
ในการอนุญาต เพื่อให้นำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยน์แก่สาธารณชน และ ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ใน
ทางธุรกิจใดๆทั้งสิ้น

เมื่อได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ ขอความกรุณา ขึ้นเครดิตของผู้เขียน และทำลิงค์ มายัง เว็บไซต์
Headlightmag.com ให้ถูกต้องเรียบร้อยด้วย การนำบทความไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ขึ้นเครดิตให้
และไม่มีการบอกกล่าวมายังข้าพเจ้า ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ละเมิด จะถูกดำเนินคดี ตามที่
กฎหมายบัญญัติไว้ สูงสุด โดยไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น!

(โดยเฉพาะพวกหน้าด้าน copy ไปโพสต์ในเว็บบล็อกตัวเองกันโครมๆ คิดว่าไม่เห็นกันเลยใช่ไหม
ถ้าเตือนกันดีๆ แล้วถ้ายังไม่ฟัง ก็จะต้องเจอไม้แข็งกันเสียบ้าง นะ ไอ้พวกมักง่ายชอบสวมรอย!
แค่ส่งอีเมล์มาขอนำไปลงเว็บกันดีๆ ผมก็อนุญาตแล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นวุ่นวายนักหนา หากไม่ใช่
เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ก็ยินดีอนุญาตให้นำไปเผยแพร่เกือบจะทุกรายอยู่แล้ว แค่ว่าใส่ชื่อ
ผู้เขียน ชื่อเว็บไซต์ และทำลิงค์ให้เว็บไซต์ของเราด้วย แค่นี้เอง หวังว่าคงไม่ยากไปนะครับ!)

——————————————

ASTON MARTIN
2014 : Finally, New Distributer in Thailand!
            Vanqish Volante 

ในที่สุด ภายหลังจากรอกันมายาวนาน ผู้ผลิตรถสปอร์ต ระดับ Luxury คู่ฟัดกับ Maserati
ก็มีผู้แทนจำหน่ายในประเทศไทย อย่างเป็นทางการเสียที

ผู้ที่คว้าสิทธิ์นี้มาครอง นั่นคือ กลุ่ม Millennium Auto ดีลเลอร์ของ BMW และ Rolls-Royce
ในเมืองไทย ในนามของ Master Group Corporation (Asia) or MGC นั่นเอง โดยได้มีการ
ก่อตั้งบริษัท Heritage Motor Sales and Services (Thailand) จำกัด หรือ Aston Martin
Bangkok มาดูแลการทำตลาด และบริการหลังการขาย ของ รถสปอร์คระดับไฮโซ แบรนด์นี้
ในบ้านเรา

พวกเขาเพิ่งจัดงานแถลงข่าว เปิดตัว บริษัทอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2013
และ จัดงานฉลองครบรอบ 100 ปีของ Aston Martin ทั่วโลก ในเมืองไทย ไปพร้อมกัน ที่
Siam Paragon โดยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ทีเดียวรวม 4 รุ่นใหญ่ 6 รุ่นย่อยรวด

มีทั้งรุ่น Vanquish ขุมพลัง AM111 Gen 4 บล็อก V12 สูบ 5,935 ซีซี 573 แรงม้า (PS)
แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร ราคา 24,900,000 บาท ตามมาด้วย Rapide S รถสปอร์ต
4 ประตู วางเครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน 558 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด เท่ากัน กระจาย
น้ำหนักหน้า-หลัง ในอัตราส่วน 48:52 ราคา 19,500,000 บาท

นอกจากนี้ยังมีรุ่น DB9 วางเครื่องยนต์ เดียวกัน กำลังสูงสุด 517 แรงม้า (PS) แรงบิด
สูงสุด 620 นิวตันเมตร เท่ากัน ราคา 18,500,000 บาท

และ น้องเล็กรุ่น Vantage ที่มาพร้อมขุมพลัง V8 DOHC 4,735 ซีซี กับ V12 สูบ 5,935
ซีซี มีให้เลือกถึง 3 รุ่น เริ่มจาก V8 Vantage 426 แรงม้า (PS) ราคา 13,500,000 บาท รุ่น
V8 Vantage S 436 แรงม้า (PS) ราคา 14,500,000 บาทและ V12 Vantage S 573 
แรงม้า (PS) ที่ 6,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร ราคา 18,900,000 บาท 

แต่ในปี 2014 นั้น คาดว่า จะมีการนำเข้า Aston Martin Vanquish Volante เวอร์ชัน
เปิดประทุนของตระกูล Vanquish ขุมพลัง AM111 Gen 4 บล็อก V12 สูบ 5,935 ซีซี
573 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร (คันสีขาวในภาพข้างบน) มาเสริมทัพ

——————————————–

Audi
A8 Hybrid / Q3 / Q5 / A6 Hybrid

แทบจะไม่ต้องเขียนต้นฉบับ ในประเด็นของ Audi กันใหม่เลย เพราะสถานการณ์
ช่วงปี 2013 มันก็ไม่ต่างอะไรกับปี 2012 นั่นแหละ! ทุกอย่างยังคงเงียบเชียบ 
แต่ยังมีลูกค้าอุดหนุนกันอยู่บ้าง แม้จะไม่มากนัก ที่แน่ๆ กลุ่ม DAD Yontrakit
ยังคงมีสิทธิ์ในการทำตลาด Audi กันไปอีกอย่างน้อยๆ 1 ปี 

อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวลือเกิดขึ้นว่า Audi เยอรมัน เริ่มรับสมัครผู้ร่วมงานใน
เมืองไทยกันแล้ว แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการใดๆทั้งสิ้น

กระนั้น ผู้จำหน่ายในบ้านเรา ก็ยังคงมองหารถยนต์รุ่นใหม่ สั่งเข้ามาขายแบบ
สำเร็จรูปทั้งคันเหมือนเดิมต่อไป โดย พวกเขาวางแผนจะนำเข้า A8 Hybrid
มาขาย หลังจากที่เปิดตัวรุ่น A8 ไปแล้ว ก่อนหน้านี้ ที่เหลือ ก็คงจะเน้นการ
นำเข้า Q3 และ Q5 ล็อตใหม่ เข้ามาขายในปริมาณไม่มากนัก เพื่อเอาใจกลุ่ม
ลูกค้าที่นิยม รถยนต์ในสไตล์ “ห่วงเยอะๆ”

เอ๋า! ก็โลโก้ Audi เขามีตั้ง 4 ห่วงไง!  จริงไหมละ!?

ทางฝั่ง MTM Thailand ก็รับสั่ง Audi สเป็กตกแต่งให้แรงเป็นพิเศษ ตามลูกค้า
ต้องการเช่นเคย หลังจากปีที่แล้ว สั่ง A8 Hybrid เข้ามา และมีลูกค้าอุดหนุน
ไปแล้วจนหมด (เพราะสั่งเข้ามาไม่กี่คัน) ปีนี้คาดว่าจะมี A6 Hybrid เข้ามา
ให้จับจองเป็นเจ้าของกัน แต่ยังต้องรอดูสเป็กที่แน่นอนกว่านี้อีกนิด

——————————————

BENTLEY
2014 : Flying Spur V8 Twin Turbo
2015 : Re-design SUV based on EXP 9F

ปีที่แล้ว AAS Auto Service สั่งนำเข้า Bentley Continental GT ตัวถัง Sedan 4 ประตู
ในชื่อ Flying Spur ซึ่งเป็นชื่อที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้แล้ว มาเปิดตัวในงาน Motor Expo
ทันช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พอดี รายละเอียดงานวิศวกรรม ก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก
รุ่น Continental GT กับ GTC มากนัก  วางขุมพลัง W12 สูบ 6.0 ลิตร Turbocharger
แรงสะใจถึง 616 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด มหากาฬ 800 นิวตันเมตร ทำให้ยักษ์
คันใหญ่ ที่ยาว 5.2 เมตร และหนักถึง 2.47 ตัน ทำอัตราเร่ง 0 – 100 ไมล์/ชั่วโมง
ได้เพียง 9.5 วินาที พร้อมความหรูหราสมชื่อชั้น ด้วยหนังแท้ชั้นเยี่ยมและไม้จริงที่
ประดับตกแต่งภายในรถ ราคาไม่แพงเท่าไหร่ แค่ 20,900,000 บาท เท่านั้นเอง!

อย่างไรก็ตาม ขุมพลัง V8 4.0 ลิตร Twin Turbo บล็อกเดียวกันกับ Continental GTC
จะถูกนำมาติดตั้งลงใน Flying Spur ด้วย คาดว่า AAS อาจจะนำเข้ามาขายในปี 2014

แต่เหนือสิ่งอื่นใด โครงการที่สำคัญกว่า และคาดว่าจะเป็นรุ่นสร้างยอดขายให้กับ Bentley
ในอนาคต คือ Crossover SUV รุ่นใหม่ นั่นเอง ขณะนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการส่งกลับเข้า
โรงงาน Crewe ในอังกฤษ ไปออกแบบมาใหม่ ให้ถูกใจลูกค้ามากขึ้น หลังจากอวดโฉม
ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2012 แล้วเจอเสียงด่ามากมาย พวกเขา
ถึงขั้น เลื่อนทุกโครงการที่ทำกันอยู่ออกไปเกือบทั้งหมด ดึงแรงงานกับมันสมอง มาทุ่มเท
เปลี่ยนแปลงรูปโฉม SUV คันนี้ขึ้นมาใหม่ ในปี 2015 เราจะได้เห็นเวอร์ชันพร้อมขายจริง
ที่ดูดีกว่าเวอร์ชันต้นแบบกันแน่ๆ แต่กว่าจะเริ่มขายจริง คงต้องมี 2016
 
และเมื่อถึงตอนนั้น AAS น่าจะนำเข้ามาให้มหาเศรษฐีชาวไทย เป็นเจ้าของกันได้ 
อย่างช้าที่สุดคือปี 2016 – 2017 หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้

Bentley วางเป้าหมายให้ SUV คันนี้ ทำทุกสิ่งที่ Range Rover สามารถทำได้ มันจะ
มีสมรรถนะที่สามารถไต่ทางลาดชันต่างๆ ได้ และ เป็นไปได้สูงว่า นี่อาจเป็น Bentley
รุ่นแรก ที่ติดตั้งขุมพลัง Hybrid

——————————————

BMW / MINI
2014 : BMW 5-Series LCI Minorchange / i8
           2-Series / 4-Series Cabriolet / X5 25d KD / X4 CBU /
           All New MINI Next Generation
2015 : 7-Series Full Model Change / X6 Full Model Change /
           All New MINI Clubman
2016 : 1-Series Saloon / All New MINI Saloon 4 Door

ปีที่แล้ว BMW Thailand ยังคงบุกตลาดเก็บกวาดยอดขายจากตระกูล 3-Series
กันอย่างต่อเนื่อง ทั้ง การเปิดตัว 3-Series GT ตัวถัง Fastback 5 ประตู พร้อม
ประตูแบบไร้เสากรอบ Frameless Door ในงาน BMW Xpo เมื่อ 5 กันยายน
2013 จากนั้น ช่วงเดือนพฤศจิกายน รุ่นประหยัด 316i ก็ออกสู่ตลาดตามมา
ตอนแรก เน้นขายลูกค้า Fleet แต่ไปๆมาๆ ก็ปล่อยให้ลูกค้าทั่วไป อุดหนุน
ได้ด้วยเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี 6-Series Gran Coupe ตามมาขายกัน
เกาะติดตลาดโลก และในช่วง Motor Expo ยังมีการเปิดตัว 4-Series ตัวถัง
Coupe 2 ประตู ของ 3-Series โดยเป็นรุ่น 420d ราคาประมาณ 3.7 ล้านบาท
พร้อมกับ X5 รุ่นใหม่ ล่าสุด ที่ยังไม่เปิดเผยราคาขายแน่ชัด

เข้าสู่ปี 2014 BMW เตรียมส่ง 5-Series LCI หรือรุ่นปรับโฉม Minorchange
มาเปิดตัวในเมืองไทยกันเสียที หลังจากปล่อยให้รออยู่พักใหญ่ นอกนั้น ก็จะเน้น
ไปที่การสั่งรถยนต์รุ่นแปลกๆ เข้ามาขายในจำนวนไม่มากนัก

มีทั้ง 2-Series (1- Series ตัวถัง Coupe 2 ประตู) , 4-Series เปิดประทุน
ที่เพิ่งเผยโฉมใน Tokyo Motor Show เดือนพฤศจิกายน 2013

ตามด้วย Crossover Coupe พันทางน้องสาวของ X6 อย่าง X4 ใหม่ ที่มี
กำหนดเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริง ช่วงต้นปีนี้ ในตลาดโลก และจะตาม
เข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา อย่างฉับไว ภายในปี 2014 นี้เช่นกัน ไม่เพียง
เท่านั้น X5 รุ่นประกอบในประเทศ จะมาพร้อมขุมพลัง Diesel Turbo
Common-Rail ให้เลือกเพียงรุ่นเดียวในช่วงแรก

แต่รถุ่นที่คาว่าจะสร้างความฮือฮามากที่สุดให้แก่ชาว Bimmer ในไทย
ทั้งหลาย นั่นคือ การมาถึง ของ BMW i8 เวอร์ชันจำหน่ายจริง ในฐานะ
รถสปอร์ต 2 ประตู ขุมพลัง Hybrid ที่อัดแน่นด้วยสารพัดเทคโนโลยี
และมีค่าตัวแพงระยับดับกิเลสกันเลยทีเดียว

พอข้ามไปยังปี 2015 จะถึงเวลาาที่ 7-Series ต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน
แบบ Full Model Chnage เช่นเดียวกันกับ X6 ซึ่งกำลังอยุ่ในช่วงปลาย
อายุตลาดเหมือนกัน

และเมื่อมองเลยไปยังปี 2016 เราอาจจะได้เห็น 1-Series ตัวถัง Sedan
4 ประตู เป็นครั้งแรก เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าชาวจีน และเอเซีย ที่อยากเอื้อม
อุดหนุน BMW คันแรกในชีวิต

ข้ามมาดูแบรนด์ในเครือ เชื้อชาติอังกฤษ อย่าง MINI ในปี 2013 ที่ผ่านมา การเปิดตัว
Paceman หรือเวอร์ชัน Coupe ของ Countryman คือรุ่นสุดท้ายในตระกูล MINI
ยุคใหม่ เจเนอเรชันที่ 2 ที่เปิดตัวในเมืองไทย

แต่ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ไป MINI จะมีการเปลี่ยนแปลงตามมาเป็นระลอกๆ เริ่มจาก
ในปี 2013 MINI Generation 3 เปิดตัวครั้งแรกในโลก เรียบร้อยแล้วใน งาน Tokyo
Motor Show เดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา พร้อมกับ L.A Auto Show

ช่วงแรกที่เปิดตัวจะมี 2 รุ่นให้เลือก คือรุ่น Cooper มาตรฐาน ขุมพลังใหม่ล่าสุด
เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร พ่วง Turbocharger 136 แรงม้า (HP) ที่ 4,500-6,000
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ที่ 1,250 รอบ/นาที ส่วนรุ่น Cooper S
เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้น เป็นขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร
พ่วงเทอร์โบ 192 แรงม้า (HP) ที่ 4,700 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280
นิวตันเมตร ที่ 1,250 รอบ/นาที ทั้ง 2 ขุมพลัง จะจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

เวอร์ชันไทย รอเจอกันได้ในช่วงต้นปี 2014 ที่จะถึงนี้ ผ่านการนำเข้าอย่าง
รวดเร็วฉับไวราวกับกลัวตกรถไฟ ของ BMW Thailand

ในช่วงปี 2014 – 2015 ตัวถัง Clubman จะตามมาเป็นลำดับที่ 2 คราวนี้ BMW
ตัดสินใจ ใส่ประตูคู่หลัง มาให้แบบรถยนต์ปกติทั่วไปกับเขาเสียที ตัวถัง
ที่ยาวขึ้นอีกเล้กน้อย จะช่วยให้นั่งโดยสารบนเบาะหลังสบายขึ้นอีกนิด

แต่ สิ่งที่ต้องจับตามองคือ ในปี 2016 เราอาจได้เห็น MINI Saloon เวอร์ชัน
Sedan 4 ประตู ที่ทำออกมาเพื่อเอาใจตลาดอเมริกาเหนือโดยเฉพาะ มาลุ้น
กันดีกว่า ว่ามีสิทธิ์จะเข้ามาขายในบ้านเรากันหรือไม่ อาจต้องรอจนถึงปี
2017 หรือไม่ ยังยากจะคาดเดา

—————————————————-

CHEVROLET
2014 : No Brand New Model in Thailand!
2015 : No More Chevy in Europe , Chevrolet SS From Australia,
            3 Core Models Minorchange , All New Cruze Global Launch
2016 : All New Cruze CKD in Thailand
2017 : No More Holden Commodors in Australia

ปี 2013 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ GM / Chevrolet ประสบกับมรสุมลูกใหญ่ในเมืองไทย เพราะ
นอกจากจะเจอผลกระทบจากโครงการรถคันแรกไปแล้ว ยังเจอปัญหาจากกลุ่มลูกค้าที่ใช้
Chevrolet Cruze แล้วพบอาการเกียร์มีปัญหา เข้าไปร้องเรียน กับสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี
ช่อง 3 และตามสื่อใน Internet มากมาย ทำให้ความเชื่อมั่นของลูกค้าใหม่ ที่กำลังตัดสินใจ
จะซื้อ Chevrolet ถึงขั้นชะงัก และถอยกรูด เล่นเอายอดขายของ Chevrolet ทุกรุ่น ลดลง
อย่างน่าใจหาย

มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้  เพราะปัญหานี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องบริการหลังการขาย ที่สั่งสม
กันมาหลายปี เป็นฝีก้อนใหญ่ บังเอิญว่าจังหวะเวลาที่ฝีก้อนนี้ปะทุขึ้นมา ดันเป็นช่วงปี
2013 พอดี ถึงแม้ว่า ผู้เกี่ยวข้องในองค์กรจะพยายามหาทางแก้ปัญหาอย่างไร แต่ถ้า ฝั่ง
ดีลเลอร์ ยังไม่ยอมร่วมใจ เอาแต่โทษบริษัทแม่โดยไม่ยอมปรับปรุงตัวเอง และคนใน
สำนักงานใหญ่ บางคนที่ไม่ใส่ใจปัญหานี้เท่าที่ควร ลูกค้าก็จะทนไม่ไหว และจะเริ่ม
เอาแต่ใจ จนตอนนี้ ยากเกินกว่าจะเจรจากันไหวแล้ว

ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ของ GM/Chevrolet ในบ้านเราช่วงปีที่ผ่านมา บางตาลงไปเยอะ
เพราะนอกเหนือจาก การนำเข้า Chevrolet Spin Compact Minivan 7 ที่นั่ง จาก
อินโดนีเซีย วางเครื่องยนต์ 1,600 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เข้ามาขาย รวมทั้ง
การอัพเกรดเครื่องยนต์ 1,600 ซีซี ให้กับ Sonic และเปลี่ยนเครืองยนต์ Duramax
Diesel Turbo 2,800 ซีซี 200 แรงม้า (PS) มาให้ กับ ทั้ง Trailblazer และ Colorado
ช่วงงาน Motor Expo ที่ผ่านพ้นไป ก็แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดที่สำคัญ
อีกเลย

ปี 2014 นี้ จะเป็นปีที่ GM ไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ ถอดด้าม มาเปิดตัวในบ้านเรา
กันเลย เว้นเสียแต่ว่า อาจจะต้องรอดู ความเป็นไปได้ว่า หลังจากที่ GM นำ
รถยนต์จาก Australia อย่าง Holden Commodors รุ่นล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วง
เดือนสิงหาคม 2013 มาแปะตรา เป็น Chevrolet SS เพื่อส่งออกสู่ตลาดต่างๆ มา
อวดโฉมในเมืองไทย ณ งาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น เสียง
ของลูกค้าให้การตอบรับดีเพียงพอที่ GM จะยอมสั่งนำเข้ารถยนต์รุ่นนี้ มาขาย
หรือไม่ เรื่องราคา ไม่ใช่อุปสรรค เพราะไทยเรา ทำข้อตกลงการค้า FTA (Free
Trade Area) กับ Australia อยู่แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ ทางเลือกขุมพลัง เพราะ
เท่าที่นั่งกางแค็ตตาล็อกของ Commodors ใน Australia และ New Zealand ดู
พบว่ามีขุมพลัง 4 ขนาด และเล็กสุดที่พอจะยอมรับได้ในบ้านเรา คือแบบ
V6 DOHC 24 วาล์ว 2,997 ซีซี SIDI (Spark Ignition Direct Injection)
185 กิโลวัตต์ หรือ 251 แรงม้า (PS) เติมน้ำมันเบนซินแก็สโซฮอลล์ได้ถึง
ระดับ E85 ส่วนที่เหลือนั้น เป็นขุมพลัง 3,564 ซีซี (3.6 ลิตร) ทั้ง เบนซิน
กับ LPG และ 5,967 ซีซี (6.0 ลิตร) เบนซิน ที่ดูน่าหวาดผวาตอนเติมน้ำมัน

แต่ไม่เป็นไร กว่าที่ SS จะเข้ามาขายในบ้านเรา อาจต้องรอข้ามปีกันไปจนถึง
ปี 2015 ซึ่งน่าจะยังเหลือเวลาอีกราวๆ 2 ปี ก่อนที่ Holden จะยุติการผลิตรถยนต์
ใน Australia ถาวร ช่วงปี 2017 หลังจากนั้น อนาคตของ SS และ Commodors
ยังไม่ชัดเจนในตอนนี้ ว่าจะประกอบที่สหรัฐอเมริกา หรือว่าย้ายมาประกอบ
จากเมืองไทย แล้วส่งกลับไปขายที่นั่นหรือไม่? เพราะตอนนี้ แม้แต่ SS ทุกคัน
ที่ขายใน สหรัฐอเมริกา ล้วนถูกส่งออกจาก Australia ลงเรือไปแดนลุงแซม
ด้วยกันทั้งสิ้น และตลาดรถยนต์ High-Performance Sedan ที่นั่น ก็ถือว่า
ขายได้เรื่อยๆ เพื่อเอาใจลูกค้าที่อยากได้ รถยนต์แรงระดับ Chevy Camaro
แต่เพิ่งแต่งงาน และถ้าซื้อ Camaro อาจโดนภรรยาบิดหูข้างขวาก็เป็นได้

ส่วนรุ่นปรับโฉม Minorchange ของรถกระบะ Chevrolet Colorado และ SUV
ร่วมตระกูล Chevrolet Trailblazer นั้น อาจเจอกันอีกครั้งในปี 2015 ไปเลย
เพราะเพิ่งเปลี่ยนขุมพลังใหม่ เป็น 2,800 ซีซี Duramax 200 แรงม้า (PS) ไป
หมาดๆ จึงยังเร็วไปที่จะมีการปรับปรุงอื่นใดเพิ่มเติมจากนี้ ในปี 2014

เช่นเดียวกันกับ Chevrolet Sonic ที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด จนกว่าจะ
เข้าสู่ปี 2015 ซึ่งจะถึงเวลาปรับโฉม Minorchange ตามตลาดโลกกันสักครั้ง
แต่อย่าคาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงด้านขุมพลังมากนัก

นอกจากนี้ ปี 2015 รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่หมดทั้งคัน Full Model Change
ของรถยนต์ Sedan ที่ขายดีทั่วโลกของ GM อย่าง Chevrolt Cruze ใหม่
จะคลอดออกสู่ตลาดโลก ขณะนี้ งานออกแบบภายนอก เสร็จสิ้นไปหมดแล้ว
และความคืบหน้าในการพัฒนา ก็เดินหน้ามาจนถึงขั้นที่ GM เริ่มส่งรถยนต์
ต้นแบบ ไปทดสอบตามสภาพถนนต่างๆทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่สนามแข่งรถ
ระดับตำนานอย่าง Nurburgring ในเยอรมันี เพื่อปรับแต่งระบบกันสะเทือน
รวมทั้งเซ็ตทุกการทำงานออกมาให้สมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
กำหนดเปิดตัว ในตลาดโลก จะมีขึ้นในปี 2015 และจะถูกสั่งเข้ามาผลิตใน
โรงงาน GM ที่ระยอง ช่วงปี 2016

ขณะเดียวกัน ใครที่สงสัยว่า Chevrolet Captiva จะเปลี่ยนโฉมใหม่เมื่อใด
คำตอบก็คือ ตอนนี้ GM เพิ่งจะนำรถยนต์ต้นแบบ ในขั้นเริ่มต้น ที่เรียกกันว่า
Test Mule Prototype (รถยนต์ต้นแบบ ที่สร้างขึ้นจากการนำชิ้นส่วนที่มี
อยู่แล้ว มาแปะๆประกอบเข้าด้วยกัน เพื่อให้วิศวกร เห็นแนวทางชัดเจนมากขึ้น
ว่า รถยนต์ที่จะออกมา ควรมี Packaging คร่าวๆ อย่างไร จัดวางอุปกรณ์
ต่างๆไว้ ประมาณไหน) เริ่มออกทดสอบใน Sweden แล้ว คาดว่าน่าจะ
ออกสู่ตลาดได้ ภายในปี 2015 แต่จะถูกนำมาประกอบขายในไทย หรือไม่
“คำตอบยังไม่แน่ชัดในตอนนี้” แต่ถ้าจะมาจริงๆ คงต้องรอไปจนถึงปี 2016

ทั้ง Cruze และ Captiva รุ่นต่อไป จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง D2XX ซึ่ง
เป็น Platform ใหม่ สำหรับรถยนต์นั่งขับเคลื่อนล้อหน้ากลุ่ม Compact
ยุคถัดจากนี้ไป ร่วมกับ Opel Astra , Opel Antara / Chevrolet 
Equinox และ Buick Crossover SUV รุ่นใหม่ ที่จะมาแทรกตรงกลาง
ระหว่างรุ่น Encore กับ Enclave

อย่างไรก็ตาม ปี 2015 นั้น จะเป็นปีที่ GM ตัดสินใจ ถอนการทำตลาดแบรนด์
Chevrolet ออกจากยุโรป ทั้งหมด เนื่องจากที่นั่น GM มีแบรนด์ Opel อยู่
ซึ่งต้องการความช่วยเหลือในการฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งอย่างมาก และการส่ง
แบรนด์ Chevrolet เข้าไปบุกตลาดที่นั่น รุ่นรถยนต์ที่คาบเกี่ยวกัน ก่อให้เกิด
การแย่งชิงลูกค้ากันเอง จนทำให้ Opel ไม่อาจฟื้นตัวจากปี 2008 ได้สักที

และในปี 2017 GM ก็จะยุคิการผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ ตระกูล Commodors
ใน Australia อีกเช่นกัน เพื่อหนีปัญหาค่าแรง และความไม่คุ้มค่าต่อการผลิต
และพัฒนารถยนต์ เพื่อตลาดกลุ่ม Oceania (Australia / New Zealand) อีก
ต่อไป เนื่องจากยอดขายรถยนต์กลุ่ม Sedan/Wagon ขนาดใหญ่ ขับเคลื่อน
ล้อหลัง นับวันมีแต่จะหดตัวลงเรื่อยๆ แถมตลาดรถยนต์มือสอง นำเข้าจาก
ญี่ปุ่น รวมทั้งรถยนต์เกาหลีใต้ ก็เข้ามาตีตลาด กินส่วนแบ่งไปกว่าครึ่งหนึ่ง
จนยอดขายหดหายไปเยอะ

ส่วน Chevrolet Voltz รถยนต์พลังไฟฟ้า ที่ใช้เครื่องยนต์ช่วยปั่นไฟอย่างเดียว
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับล้อคู่หน้า ถึงจะถูกสั่งนำเข้ามาอวดโฉมในเมืองไทย และเริ่มถูก
นำไปใช้ในการศึกษาเรื่องการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว แต่ก็ยังไม่พร้อมขาย
กันเสียที เพราะมี 2 อุปสรรคสำคัญ นั่นคือ ปริมาณสถานีชาร์จไฟฟ้าให้กับ
รถยนต์ EV ในบ้านเรา ที่ยังมีน้อยไป และ ราคาขายปลีกรวมภาษีนำเข้า และ
ภาษีอื่นๆ ที่ยังแพงเกินกว่าผู้บริโภคจะยอมรับได้…

——————————————

CITROEN
2014 : C4 Aircross SUV   

ปีที่ผ่านมา Citroen ภายใต้การดูแลของ DAD Yontrakit กลุ่มธุรกิจที่แยกตัวออกมาจาก กลุ่ม
ยนตรกิจ เดิม ยังคงใช้ความพยายามในการสรรหารถยนต์รุ่นใหม่ๆ มาเปิดตัวเอาใจลูกค้า
แฟนประจำกันอยู่ตลอด แต่ในปี 2013 นั้น กว่าจะนำ Citroen DS5 Premium Minivan รุ่น
ล้ำอนาคต และ Citroen C5 ใหม่ มาเปิดตัวได้ ก็ต้องล่วงเลยกันมาจนถึงปลายปี ในงาน
Motor Expo ส่วนแผนเดิมที่เคยขอ DS3 Cabrio เปิดประทุนมาขาย อาจต้องรอกันไป
อีกพักใหญ่ๆก่อน

ส่วนแผนในปีนี้ พวกเขาคิดจะสั่งนำเข้า Citroen C4 Aircross ซึ่งเป็นฝาแฝดร่วมโครงสร้าง
กับทั้ง Peugeot 4008 ซึ่งทั้งคู่ ก็เป็น สำเนา จาก ต้นฉบับ Mitsubishi RVR / ASX
และเผยโฉมมาตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2011 และเริ่มขายจริงในยุโรป เมื่อ 22 พฤษภาคม 2012
มาเปิดตลาดบ้านเรากันเสียที

แต่รุ่นที่จะสั่งมาขายในเมืองไทยนั้น อาจวางเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ
ราคาประมาณ 1,790,000 บาท ซึ่งนั่นก็จะทำให้ ราคา ชนกับ Skoda Octavia Combi
ที่บริษัทเดียวกัน สั่งเข้ามาขาย ชนิดชนกันเอง อย่างเต็มเปาพอดีๆ

กำหนดการเปิดตัว คาดว่าจะมาทัน Bangkok Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2014 นี้

——————————————

FORD
2014 : No Brand new Model in Thaland!
2015 : EVEREST Full Model Change !! / Ranger Minorchange / Focus Minorchange
2016 : ECO Car Phase 2 (KA)

ปี 2013 ที่ผ่านมา Ford เป็นหนึ่งในผู้ประสบเหตุจากยอดขายชะลอตัว อันเป็นผล
สืบเนื่องจากโครงการรถคันแรก จนต้องออกสารพัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายไม่ให้
ลดลงมากไปกว่าเดิมนัก อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องบริการหลังการขาย ก็ยังคงเป็น
ประเด็นเดิมๆ ที่ยังฉุดรั้งไม่ให้ Ford เติบโตไปได้มากกว่านี้กันเสียที

จนถึงช่วงปลายปี Ford เริ่มสร้างกระแสปูพรม การมาถึงเมืองไทยของขุมพลังใหม่
EcoBoost 3 สูบ 1.0 ลิตร Turbo ที่หลายคนเฝ้ารอ เพื่อวางใน Ford Fiesta
Minorchange ในรูปแบบตามที่เราคาดการณ์ไว้เมื่อปีที่แล้ว นั่นคือ ด้วยเหตุที่
ขุมพลังใหม่ แพงมาก และฝรั่งมังค่า มองว่า มันเป็นเครื่องยนต์ชั้นเทพ ทั้งความ
ประหยัดน้ำมัน และความแรง เทียบเท่า ขุมพลัง 1,600 ซีซี ทำให้ต้องวางมันลง
ใน Fiesta รุ่น Top Model แล้วอัด Option เข้าไป เพื่อขายแทนรุ่น 1,600 ซีซี
เดิม ทั้งหมด

นอกจากนั้น Ford EcoSport B-Segment Crossover SUV ยังถูกส่งเข้ามา
ประกอบขายในเมืองไทย เริ่มจากการนำตัวรถคันจริง มาจัดแสดงในงาน Bangkok
Motor Show เดือนมีนาคม จากนั้น ก็เริ่มปล่อยรถยนต์ทดสอบ วิ่งเล่น อ่อยลูกค้า
ให้เห็นกันจนเบื่อไปตามๆกัน พร้อมกับ Fiesta 1.0 EcoBoost ต้องรอให้ทั้งคู่
พร้อมเปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทย อย่างเป็นทางการ ในงาน Motor Expo ปลายเดือน
พฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยค่าตัวถูกกว่า Nissan Juke คู่แข่งที่ชิงเปิดตัวตัดหน้าก่อน
เพียง 2 วัน

ทว่า ยอดสั่งจองของทั้งคู่ กลับไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่หลายฝ่ายคาดไว้

สาเหตุก็เพราะ ความไม่พร้อมของฝ่ายผลิตในเมืองไทย และในยุโรป ที่ส่งขุมพลัง
EcoBoost 1.0 ลิตร มาเปิดตัวในบ้านเรา ไม่ทันช่วง ไตรมาส 3 ทำให้แผนการ
ตลาดเพื่อเปิดตัว Fiesta Minorchange EcoBoost ถูกเลื่อนจากช่วงกลางปี 
จนต้องมา จ๊ะเอ๋ กับแผนเตรียมเปิดตัว Ford EcoSport ช่วงปลายปี กันอย่างจัง
จนลูกค้าสับสนมาก กลายเป็นว่า อยากได้เครื่องยนต์ EcoBoost ลงในตัวถังของ
EcoSport แต่พอเปิดฝากระโปรงหน้ารถ แล้วเจอขุมพลัง เบนซิน 1,500 ซีซี 
จาก Fiesta รุ่นก่อนปรับโฉม ไม่เจอเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร ใหม่ ใน EcoSport 
ลูกค้าเลยขอรอจนกว่า Ford จะยกเครื่องยนต์ EcoBoost 1.0 ลิตร ใหม่ ลงใน
EcoSport กันก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่า เมื่อไหร่

(โอ้ย!! ย่อหน้าข้างบนนี้ เขียนเอง งงเองวุ้ยยย ทำไมต้องใช้ชื่อรถกับชื่อขุมพลัง
ให้มันเหมือนๆกันแบบนี้ด้วยฟะ!? ฝรั่งเอ้ยยยย!)

ในเมื่อ ปี 2013 Ford เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ไปจนหมดก๊อกกันแล้ว ปี 2014 
จะเป็นปีแรก ในรอบ 3-4 ปี ที่ Ford จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่อื่นใด เปิดตัวในบ้านเรา
กันอีก ตั้งแต่ต้นปี จนถึงสิ้นปี 2014 กันเลยทีเดียว!! อาจมีเพียงแค่การปรับปรุง
รายละเอียดทางเทคนิก และปรับอุปกรณ์ Option เล็กน้อย ให้กับทั้ง Fiesta
Focus และ Ranger แต่ไม่ถือว่าเป็นการปรับโฉม Minorchange

อย่างไรก็ตาม ใครที่ยังรอ Everest SUV บนพื้นฐานรถกระบะ Ranger ใหม่
ความเคลื่อนไหวล่าสุดก็คือ เวอร์ชันต้นแบบ เปิดผ้าคลุมครั้งแรกในโลกไปแล้ว
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2013 ที่ออสเตรเลีย ระหว่าง งานแถลงข่าว ของ Ford
เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขา ในดินแดน Down Under หลังจาก ประกาศยุติ
การประกอบรถยนต์นั่งขับล้อหลังรุ่นใหญ่ อย่างตระกูล Falcon กันภายในปี
2016-2017 นี้

Ford Everest ใหม่จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังและ Chassis T6 ใหม่ ร่วมกับ
Ford Ranger รุ่นปัจจุบัน งานนี้ Ford Australia ยังเป็นแม่งานในการพัฒนา
SUV รุ่นนี้ เกือบทั้งหมด งานออกแบบในภาพรวม พยายามออกแบบให้ตัวรถดู
แตกต่างจาก รถกระบะ แนวทางเดียวกับ Toyota Fortuner รุ่นปัจจุบัน ซึ่ง
นั่นทำให้ช้นส่วนตัวถังที่ใช้ร่วมกับ Ranger ใหม่ ได้นั้น มีเพียงแค่ เสาหลังคา
คู่หน้า A-Pillar คานกรอบห้องเครื่องยนต์ แก้มหน้าและบานประตูคู่หน้าเท่านั้น
ส่วนขุมพลัง ระบบส่งกำลัง ยกชุดจาก Ranger ใหม่ มาใส่ได้เลย แต่ยังไม่
แน่ชัดในเรื่องทางเลือกขุมพลัง ของเวอร์ชันไทยว่า จะมีเครื่องยนต์ Diesel
Common-Rail Turbo ทั้ง 2,200 ซีซี และ 3,200 ซีซี กับ เบนซิน
2,500 ซีซี ให้เลือก ครบถ้วนหรือเปล่า?

Everest จะพร้อมเริ่มต้นประกอบขายในเมืองไทยได้ ช่วงปี 2015 อย่างแน่นอน
ก่อนจะเริ่มต้นส่งออกสู่ตลาดออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเตะวันออกกลาง ซึ่งยังมี
ความต้องการ อุดหนุน SUV ที่สร้างขึ้นบนเฟรม Chassis รถกระบะแบบนี้อยู่มาก

ส่วนใครที่ยังคงตั้งคำถาม ว่า Escape / Kuga ใหม่ จะมาประกอบเมืองไทย
หรือไม่ Focus TDCi จะเปลี่ยนใจปรับไลน์ประกอบส่งออก มาแบ่งขายใน
บ้านเราบ้างหรือเปล่า แล้ว Sedan รุ่นใหญ่ อย่าง Mondeo หรือแม้แต่ Falcon
รุ่นใหม่ จะมีมาขายบ้านเราบ้างหรือไม่

คำตอบ ณ วันนี้ ก็คือ “ไม่มี” เพราะสิ่งที่น่าจับตามองมากกว่านั้น กำลังมาถึง

Ford แสดงความสนใจว่าจะขอเข้าร่วมเป็นผู้ผลิตในโครงการ ECO Car Phase 2
ของรัฐบาลไทย เพื่อให้ด้รับสิทธิพิเศษ ลดหย่อนด้านภาษีต่างๆมากมาย และจะได้มี
มีรถยนต์ขนาดเล็ก กว่า Fiesta วาง เครื่องยนต์ 1,000 – 1,200 ซีซี มาขายใน
ไทย กันเสียที และพวกเขาเพิ่งเผยโฉมเวอร์ชันต้นแบบ ในชื่อ Ford KA Concept
ณ งานแถลงข่าว ในกรุง Bacelona ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2013
ซึ่งแม้ว่าจะเป็น KA รุ่นที่ 3 แต่ถือว่า มีการเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบจาก KA
รุ่นแรกและรุ่นที่ 2 โดยสิ้นเชิง เพื่อมาเน้นเอาใจตลาดกลุ่มกำลังพัฒนา ที่ต้องการ
รถยนต์ราคาประหยัด แต่ได้สมรรถนะสมตัว Option ครบๆ ในราคาสบายกระเป๋า

รายละเอียดของตัวรถ คาดว่า จะวางเครืองยนต์ 3 สูบ 1,000 ซีซี EcoBoost
แต่เป็น เวอร์ชันที่ลดความแรงลงมา เน้นการลดมลพิษ ยิ่งกว่าเดิม แต่ต้องประหยัด
น้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม โดยต้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาแบบครบครัน เช่น
ระบบ SYNC ราคาขาย ตอนนี้ยังไม่ต้องไปพูดถึง เพราะกว่าจะเปิดตัวได้ในบ้านเรา
ก็ต้องรอกันไปถึงปี 2016 แม้ว่า ตลาดอื่นๆ จะเริ่มผลิตออกขายในปี 2015 ก็ตาม

——————————————

HONDA
2014 : CITY Full Model Change 2CT  / JAZZ Full Model Change /
            Civic & Civic Hybrid Minorchange / Accord HYBRID /
            Brio Minorchange / MOBILIO / VEZEL
2015 : CR-V Minorchange / NSX
2016 : Accord Minor change / Brio SUV ?
2017 : Civic (Project code : 2SV) with Coupe !? / CR-V Full Model Change

ปี 2013 ที่ผ่านมา Honda ยังคงจะบุกหนัก และเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ อย่างต่อเนื่อง
เพื่อคาดหวังยอดขายรถยนต์นั่ง อันดับ 1 ในตลาดเมืองไทย แซงหน้า Toyota
ให้ได้เสียที เพียงแต่ ปริมาณ น่าจะลดลงจากปี 2012 กันบ้าง แต่ก็ไม่ได้น้อยหน้า
ไปกว่ากันนัก เพราะอุดมไปด้วย รุ่นสำคัญๆ สำหรับตลาดเมืองไทยทั้งสิ้น เริ่มจาก
Civic Hybrid ในเดือนกุมภาพันธ์ ตามด้วย All New Accord G9 ในเดือนมีนาคม

แม้แต่ Brio ก็ยังมี รุ่นปรับปรุงอุปกรณ์ ใส่ใบปัดน้ำฝนหลังมาให้ซะที (ไชโย!)
รวมทั้ง Brio Amaze ที่เพิ่มภายในสีดำให้เลือกด้วย จากเดิมที่มีสีเบจอย่างเดียว
แถมยังแอบเพิ่มถุงลมนิรภัย 6 ใบ ให้กับ CR-V 2.4 ลิตร ช่วง Motor Expo

ส่วนรถตู้นำเข้า มีทั้ง Freed Minorchange ช่วงสิงหาคม ตามด้วย StepWGN
Spada Minorchange จากญี่ปุ่น เดือนกันยายน และที่เกินความคาดหมายไป
นั่นคือ Honda Odyssey ใหม่ Minivan รุ่นใหญ่ เปิดตัวส่งท้ายปลายปี ในงาน
Motor Expo 28 พฤศจิกายน 2013 ที่ผ่านมา ถือว่าเปิดตัวตามหลังญี่ปุ่นฉับไว
ทันใจไม่ถึง 3 สัปดาห์ เท่านั้นเลย!

แต่สำหรับปี 2014 นี้ Honda จะกลับมา อัดกระหน่ำเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่
อย่างบ้าระห่ำ กันเหมือนปี 2012 อีกครั้ง ชนิดที่ เราอาจได้เห็นรถยนต์รุ่น
ใหม่ๆ จาก Honda กัน เกือบจะเดือนละ 1 รุ่น ด้วยซ้ำ!

เริ่มกันที่ City Full Model Change (Project Code : 2CT) ซึ่งเลื่อนการเปิดตัว
มาจากช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน และปล่อยให้ตลาดอินเดีย เปิดผ้าคลุมกัน
ไปก่อนหน้าเมืองไทย ช่วงเดียวกันไปก่อน

เวอร์ชันไทย จะยังเป็นเครื่องยนต์ L15 บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,500 ซีซี
เหมือนเดิม แต่ปรับปรุงตามแนวทาง Earth Dream Technoology ให้เติมน้ำมัน
เบนซินและแก็สโซฮอลล์ ได้ถึงระดับ E85 ระบบส่งกำลังจะเปลี่ยนกลับมาเป็น
เกียร์อัตโนมัติท อัตราทดแปรผัน CVT พร้อม แป้น Paddle Shift ลูกเดียวกันกับ
Fit / Jazz ใหม่ ในญี่ปุ่น ที่คาดว่าจะให้อัตราเร่งดีกว่ารุ่นปัจจุบันซึ่งใช้เกียร์
อัตโนมัติ 5 จังหวะ แถมยังประหยัดน้ำมันมากขึ้น อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ เราอาจได้เห็นหน้าจอเครื่องปรับอากาศ Touch Pad ล้ออัลลอยลาย
แปลกใหม่ สวยงามกว่าเวอร์ชันอินเดีย และชุดเครื่องเสียง ที่สวยงาม ล้ำอนาคต
ยิ่งกว่ารุ่นปัจจุบัน รวมทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA แป้นเปลี่ยนเกียร์ แบบ
Paddle Shift และเบาะหลังพับได้ กำหนดการเปิดตัว คือสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน
มกราคม 2014

ส่วนรุ่นพลังงานทางเลือกนั้น หากเป็นรุ่น CNG จะตามออกมาภายใน 3-4 เดือน
แต่ถ้าเป็น City HYBRID นั้น ในเมื่อ ตลาดญี่ปุ่นเอง ต้องเปิดตัว City HYBRID
ในเดือน กุมภาพันธ์ 2014 เท่ากับว่า มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่เราจะได้
เห็น City HYBRID บนถนนเมืองไทย

คิวถัดมา จะเป็น Honda Jazz รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change
หน้าตาเหมือนเวอร์ชันญี่ปุ่น ที่เปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2013 ไม่มีผิดเพี้ยน
ขุมพลังเวอร์ชันไทย ในรุ่นเบนซิน 1.5 ลิตร ยกชุดมาจาก City ทุกประการ
รวมทั้งเกียร์ CVT ลูกใหม่ด้วย โดยภายในยังคงเน้นความอเนกประสงค์
ในแบบเดิม แต่มีขนาดห้องโดยสารที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม นิดนึง

เท่าที่ผู้เขียนได้สัมผัสคันจริงในญี่ปุ่นมาบอกได้เลยว่า มีการแก้ไขปัญหา
ต่างๆจากรถรุ่นเดิมให้ดีขึ้น แต่เสน่ห์และความน่ารักของ Jazz ทั้ง 2 รุ่นเดิม
ถูกลดทอนลงไปอย่างช่วยไม่ได้

กำหนดเปิดตัวรุ่นเบนซิน ปกติ น่าจะมีขึ้นในเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2014

ส่วน Jazz Hybrid เดาได้เลยครับว่า ในเมื่อญี่ปุ่นมี คิดหรือว่าเมืองไทยจะไม่มี?
มีความเป็นไปได้สูงว่า จะตามมาหลังจากนั้น คาดว่าอาจเป็นช่วงครึ่งหลังของ
ปี 2014

ขณะเดียวกัน ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ Honda ต้องปรับโฉม Minorchange ให้กับ Civic
ตามตลาด อเมริกาเหนือกันเสียที หน้าตา ก็จะไม่แตกต่างจากเวอร์ชันส่งออก ที่
เห็นอยู่ข้างบนนี้ แน่นอนว่า เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ยังคงเหมือนเดิม
ทั้งรุ่น เบนซิน 1.8 ลิตร 2.0 ลิตร และ Civic HYBRID กำหนดเปิดตัว จะเป็น
ช่วง ต้นปี 2014

รายการถัดมา ก็คือ Honda Accord HYBRID ที่หลายคนเคยถามไถ่กันไว้
งานนี้ Honda ตั้งใจจะประกบกับ Toyota Camry HYBRID ด้วยขุมพลัง
เบนซิน 2.0 ลิตร EarthDreams i-VTEC 143 แรงม้า (PS) เชื่อมเข้ากับ
มอเตอร์ไฟฟ้า เมื่อทำงานร่วมกันจะได้กำลังสูงสุด 196 แรงม้า (PS)
Accord HYBRID เวอร์ชันไทย จะเป็นรุ่นมาตรฐาน ที่ยังไม่มีระบบเสียบ
ปลั๊กชาร์จกับไฟบ้าน แบบ PHV Plug-in Hybrod Vehicle) แต่อย่างใด
กำหนดเปิดตัว จะอยู่ในช่วง ก่อนงาน Bangkok Motor Show

หลังจากนี้ Honda Automobile (Thailand) มีแผนจะต้องส่งออก Accord
HYBRID จากเมืองไทย ไปขายใน Australia ช่วงปี 2014 นี่ละ

หลังจากนั้นจะถึงคิวของ การปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ให้กับ
เจ้าหนู Brio ECO Car คันจิ๋ว ให้มีอุปกรณ์ความปลอดภัยที่จำเป็น และ
ปรับปรุงวัสดุต่างๆ ให้มีคุณภาพดีขึ้น กันเสียที โดยยังคงใช้ขุมพลัง
และเกียร์ลูกเดิม รวมทั้งอาจมีการปรับปรุงอุปกรณ์ให้กับ Brio Amaze
อีกเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่า การเพิ่มห้องโดยสารสีดำ ให้รุ่น Amaze
และการเพิ่มใบปัดน้ำฝนหลังมาให้ ยังช่วยกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น
มากกว่านี้ไม่ได้มากนัก กำหนดการเปิดตัว ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะเ
เป็นช่วงหลังกลางปี 2014 ไปแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีโครงการใหม่แปลกประหลาดโผล่มาให้ได้เห็นกันอีก
นั่นคือ BRIO MPV ซึ่งจะพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ Brio และ Brio
Amaze แต่จะวางเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่วางอยู่ใน City และ Jazz รุ่น
ปัจจุบัน วางตำแหน่งการตลาด ในฐานะ Low-Cost Sub-Compact
MPV เพื่อเน้นให้ผลิตและทำตลาดในอินโดนีเซียเป็นหลัก

เวอร์ชันต้นแบบ เผยโฉมแล้วที่ Indonesia ในชื่อ Honda MOBILIO
และจะเริ่มออกจำหน่าย ในเดือนมกราคมนี้ ส่วนประเทศไทยเรา อาจต้อง
รอการนำเข้า กันจนถึง ไตรมาส 3 ของปี 2014 เพราะอย่างที่อ่านมา
ข้างต้น จะเห็นว่าช่วงต้นปี ชาว Honda คงทำงานกันจนตาเหลือก
แทบไม่เหลือเวลาว่างพอให้เปิดตัว Mobilio เพิ่มเข้าไปอีกรุ่นในช่วง
เวลาเดียวกันได้แน่ๆ จึงต้องข้ามมาเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 กันอย่างนี้

และอีกรุ่นหนึ่งที่จะเปิดตัวอย่างแน่นอนในเมืองไทยนั่นคือ Honda Urban SUV ที่ถูก
พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ Jazz และ City รถยนต์ Crossover B+C Segment รุ่นนี้ เพิ่ง
เปิดตัวในงาน Tokyo Motor Show ไปหมาดๆ ในชื่อ Honda VEZEL จะเข้ามาทำตลาด
“ทั่วโลก” อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดญี่ปุ่นจะได้ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1,500 ซีซี ทั้งแบบ
มาตรบาน และ HYBRID แต่ สำหรับตลาดเมืองไทยนั้น ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้
ในการวางขุมพลัง R18A 1,800 ซีซี จาก Civic มาให้มากกว่า กำหนดเปิดตัวในบ้านเรา
เร็วที่สุด คือ งาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2014 ช้าสุดคือช่วง ไตรมาสแรก ของ
ปี 2015

อย่างไรกตาม ด้วยขนาดตัวถังของ Vezel ที่ใหญ่กว่าความคาดหมาย นั่นทำให้ CR-V
รุ่นปรับโฉม Minorchange ที่มีกำหนดเปิดตัวในตลาดโลก ปลายปี 2014 และเปิดตัว
ในเมืองไทย ต้นปี 2015 อาจทำให้ลูกค้าสับสนได้ว่าจะเลือก CR-V หรือ Vezel ดี
งานนี้ Honda ต้องทำการบ้านให้ดีๆ มิเช่นนั้น Vezel อาจแย่งตลาดกับ CR-V เอง
เว้นเสียแต่ว่า Honda เตรียมแผนพัฒนา CR-V รุ่นต่อไป (เจเนอเรชันที่ 5 ) ซึ่งจะ
เปิดตัวในปี 2017 เอาไว้ให้เป็นรถยนต์ 5 หรือ 7 ที่นั่ง เต็มตัวมากขึ้นกว่านี้?

ส่วนปี 2015 นอกจาก CR-V Minorchange แล้ว อาจมีความเป็นไปได้ว่า Honda
น่าจะสั่งนำเข้า รถสปอร์ตรุ่นใหญ่ NSX ใหม่ พร้อมระบบขับเคลื่อน SH-AWD
เชื่อมกับขุมพลัง HYBRID มาเอาใจเศรษฐีผู้รักความแรงและแปลกอย่างแตกต่าง
แต่จะมาจริงหรือไม่ มาเมื่อไหร่ สเป็กเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังเกินคาดเดา ต้องรอ
ให้รุ่นจำหน่ายจริง เปิดตัวในงาน Detroit Auto Show เดือนมกราคม 2015 ก่อน

ข้ามไปยังปี 2016 จะถึงเวลาในการจับ Accord มาปรับโฉม Minor change แถม
ยังจะต้องมี B-Segment SUV ที่สร้างขึ้นบนโครงสร้างวิศวกรรมร่วมกับ Brio
ตามออกมา อุดช่องว่างในตลาดบางประเทศ รวมทั้งจะต้องมีการปรับโฉมใหม่
Minorchange ให้กับทั้ง City และ Jazz นอกจากนี้ ในปี 2016 เราอาจจะได้
เห็นรูปโฉมคันจริง ของ Civic ใหม่ รหัสโครงการ 2SV ซึ่งแว่วมาว่า คราวนี้
เมืองไทยเรา อาจได้ใช้ตัวถัง Coupe 2 ประตู กันอีกครั้งหนึ่งด้วย!! อีกทั้งยังมี
รุ่นเปลี่ยนโฉม ใหม่ทั้งคัน Full Model Change ของ CR-V ตามมาในระยะ
เวลา ที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งนั่นอาจทำให้ Honda ต้องเตรียมการ นำทั้ง 2 รุ่นใหม่
เข้ามาผลิตขายในบ้านเรา ช่วงปี 2017

——————————————

HYUNDAI
2014 : H1 Facelift & New Passegnger Vehicle 1 Model

ปีที่แล้ว Hyundai มีเพียง Velosrter กับ Veloster Turbo ในงาน Bangkok
Motor Show และปิดท้ายปีด้วย H1 รุ่น ปรับอุปกรณ์ใหม่ ในช่วงงาน Motor Expo

แต่ในปีนี้ เนื่องจาก ยังไม่มีข้อสรุปที่ชักเจนจาก Hyundai ณ วันปิดต้นฉบับ เราจึง
บอกได้แต่เพียงว่า จะมีรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ 1 รุ่น เข้ามาเปิดตัวในเมืองไทย อย่าง
แน่นอน ไม่นับรวมกับการกระตุ้นตลาด รถตู้ H-1 กันอย่างต่อเนื่อง ไปเรื่อยๆ

——————————————

ISUZU
2014 : D-Max & MU-X Model Year 2015
2015 : D-Max & MU-X BIG Minorchange with New Diesel 1.9 L Engine!!
2016 : D-Max & MU-X Model Year 2017
2017 : D-Max Full Model Change ?

ความเคลื่อนไหวที่สำคัญสุดของเจ้าตลาดรถกระบะในเมืองไทย ในปี 2013 ก็คือ
การเปิดตัว รถยนต์อเนกประสงค์ รุ่นใหม่ ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานงานวิศวกรรมของ
D-Max รุ่นล่าสุด เพื่อทำตลาดแทน MU-7 ในชื่อใหม่ MU-X เมื่อช่วงปลายเดือน
ตุลาคม ที่ผ่านมา รวมทั้ง เพิ่มรุ่นปรับปรุงอุปกรณ์ใหม่ Super Daylight ให้กับ
D-Max ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ก่อนเข้างาน Motor Expo เพียง 2 วัน

ในปี 2014 Isuzu จะยังคงไม่ทำอะไรกับ D-Max และ MU-X มากไปกว่า การเพิ่ม
หรือเปลี่ยนแปลง อุปกรณ์ประจำรถ ออกรุ่นตกแต่งพิเศษ แต่งหน้าทาปาก อาจจะ
ออกรุ่นพิเศษ ตามถนัด แต่จะไม่มีการปรับโฉมใหม่มากมายนัก เพราะในเมื่อ
ยอดขายยังคงเยอะอยู่ แถมคู่แข่งอย่าง Toyota ก็เลื่อนเปิดตัว Hilux รุ่นต่อไป
เป็นช่วง ไตรมาส 3 ปี 2015 ดังนั้น จึงยังไม่จำเป็นต้องเร่งเปลี่ยนโฉมใหม่กัน

แต่พอเข้าสู่ปี 2015 คราวนี้ Isuzu จะเข็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ออกสู่
ตลาดเมืองไทย และตลาดโลก เป็นขุมพลัง Diesel 1,900 ซีซี Common-Rail
Turbocharger Intercooler ซึ่งถือเป็นการท้าทายแนวคิดของผู้บริโภคเมืองไทย
ที่มีต่อประเด็นเรื่อง ความจุกระบอกสูบ กับความแรง และความประหยัดน้ำมัน
อย่างมาก

อันที่จริง แนวทาง Downsizing เครื่องยนต์ แบบนี้ Isuzu ไม่ใช่รายแรกที่ทำ
ในตลาดรถกระบะเมืองไทย เพราะ Nissan เคยสร้างความฮือฮามาแล้ว ด้วย
ขุมพลัง YD25 2,500 ซีซี Turbo แปรผัน 174 แรงม้า (PS) เมื่อปี 2007 ตามด้วย
Tata Xenon ที่เลือกวางขุมพลัง DECOR 2,200 ซีซี ในปี 2008 จากนั้น ก็เป็น
Ford Ranger / Mazda BT-50 PRO ที่เลือกจะวางขุมพลัง 2,200 ซีซี ลงในรุ่น
ยอดนิยมทั้งหลาย ในปี 2011 เพียงแต่ที่ผ่านมา ไม่มีค่ายใด กล้าลดความจุ
กระบอกสูบ ของเครื่องยนต์ Diesel สำหรับรถกระบะในเมืองไทย ลงไป
ให้ต่ำกว่า 2,000 ซีซี มาก่อน และ Isuzu จะเป็นรายแรกในเมืองไทย ที่
จะทำเช่นนั้น

เครื่องยนต์ใหม่ 1,900 ซีซี นี้ ยังอยู่ในรหว่างการพัฒนา และยังต้องใช้เวลา
อีกนานพอดูจึงจะทราบข้อมูล หรือรายละเอียดทางเทคนิคเบื้องต้น ที่แน่ๆ
เครื่องยนต์ใหม่นี้ จะถูกติดตั้งลงใน D-Max ใหม่ รุ่นปรับโฉมครั้งใหญ่
Big-Minorchange ที่จะเปิดตัวในช่วง ครึ่งหลังของ ปี 2015 โดยยังไม่
แน่ชัดว่า จะถูกนำไปวางลงใน MU-X ด้วยหรือไม่

แต่ถ้าจะถามถึงรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change ของ D-Max
ตอบได้เลยว่า ยังอีกไกล เพราะ Isuzu เพิ่งจะลงนามในบันทึกความเข้าใจ
MoU (Memorendum of Understand) กับ พันธมิตรเก่า General 
Motors เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2013 เพื่อจะกลับมาพัฒนารถกระบะรุ่นต่อไป
ร่วมกันอีกครั้ง

แม้ Isuzu จะปฏิเสธว่า จะไม่มีการขายหุ้นให้กับทาง GM หลังจากที่ฝ่าย
อเมริกัน ได้ขายหุ้นกลับคืนไปให้ฝ่ายญี่ปุ่น เมื่อปี 2006 แต่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่าง
ยังคงจำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เพราะ GM เอง ก็อยากจะบุกตลาด
ASEAN ให้ได้มากกว่านี้ ส่วน Isuzu เอง ก็อยากได้พันธมิตร มาช่วย
พัฒนารถกระบะ และเครื่องยนต์ เพื่อให้ต้นทุนในการพัฒนา ถูกลง

ในเมื่อทั้งคู่ เพิ่งจะเริ่มต้นคุยกันอีกครั้ง ในปี 2013 ดังนั้น กว่าที่เราจะ
ได้เห็นรถกระบะรุ่นใหม่หมดจดทั้งคันอีกครั้ง จาก Isuzu จึงอาจต้อง
รอไปถึงปี 2017 – 2018 ก็อาจเป็นได้

—————————————–

JAGUAR
2014 : F-Type Coupe in Thailand / XK Global Launch?
2015 : Premium Compact Saloon (3-Series Competitor)
2016 : C-X17 New Premium Compact Crossover (Evoque Competitor)
2017 : All New XF Sedan
          

ปี 2013 เป็นปีที่ ค่ายรถยนต์ระดับหรูจากอังกฤษ ภายใต้ร่มเงาเจ้าของใหม่อย่าง Tata Motors
ง่วนอยู่กับการเปิดตัว F-Type รุ่นเปิดประทุน และรุ่น Coupe อันเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียม
ความพร้อม เพื่อรองรับการมาถึงของสารพัดโครงการรถยนต์รุ่นใหม่ ในอนาคต เพื่อจะดึง
ให้ Jaguar กลับฟื้นขึ้นมา ด้วยภาพลักษณ์ใหม่ ที่ลูกค้าทั่วโลก ยอมรับได้เสียที

ขณะที่เมืองไทย ผู้นำเข้ารายใหม่ City Automotive ก็รีบสั่งนำเข้า F-Type เปิดประทุน ใหม่
มาเปิดตัวกัน เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2013 ที่ผ่านมา จุดเด่นอยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก ที่สวยงาม
และแปลกตาไปจาก Jaguar รุ่นก่อนๆ มือจับประตูรถ พับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า ช่องระบายลม
อัจฉริยะ หลังคาอ่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าใช้เวลาเพียง 12 วินาที ระบบแจ้งเตือนจุดบอด
ก่อนเปลี่ยนเลน Blind Spot Monitor ระบบตรวจจับพาหนะที่แล่นผ่านด้านหลังของตัวรถ
Reverse Traffic Detection และกล้องส่องหลัง รวมทั้งระบบ Intelligent Stop Start System
ทุกรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Quickshift มีให้เลือก 3 ระดับความแรง
ทั้งรุ่นเบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 2,995 ซีซี Supercharger 340 แรงม้า (HP) 8,500,000 บาท
รุ่น V6 ขุมพลังเดียวกัน แต่แรงขึ้นเป็น 380 แรงม้า (HP) 9,750,000 บาท และ เบนซิน V8
DOHC 5,000 ซีซี Supercharge 495 แรงม้า (HP) ราคา 10,750,000 บาท

ขณะเดียวกัน ในตลาดโลก F-Type ตัวถัง Coupe เพิ่งเปิดตัวกันไปในงาน L.A. Auto Show
และ Tokyo Motor Show เดือนพฤศจิกายน 2013 วางขุมพลังเดียวกัน ไปหมาดๆ ถ้าหาก
ไม่มีอะไรผิดพลาด ในปี 2014 นี้ City Automobile คงจะสั่งนำเข้ามาเสริมทางเลือกให้
บรรดาเศรษฐีไทย ได้ลองสัมผัสกันแน่นอน

ส่วนในตลาดโลกนั้น ปี 2014 นั้น จะถึงคิวของรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model
Change ของ รถยนต์ Coupe และเปิดประทุน ระดับ GT รุ่นใหญ่ อย่าง ตระกูล XK
ซึ่งจะมาในรูปแบบ Stylish Performance Coupe เน้นความสบายควบคู่กับความแรง
เพื่อต่อกรกับบรรดา คู่ปรับ อย่าง BMW 6-Series หรือ Mercedes-Benz S-Class
Coupe ใหม่ คาดว่า อย่างช้าสุดที่จะเปิดตัว ก็คือ ปี 2015

จากนั้นในปี 2015 ก็จะถึงเวลาที่ Jaguar จะล้างภาพอดีตอันเลวร้าย สมัยทำ X-Type
ออกขาย ด้วยการเปิดตัว Premium Compact Sedan รุ่นใหม่ ในชื่อ Q-Type ซึ่งถูก
วางตัวให้เป็นคู่ปรับโดยตรงกับ BMW 3-Series และ Mercedes-Benz C-Class ใหม่
โดยใช้พื้นตัวถังใหม่ PLA เป็นพื้นฐานในการพัฒนา

ข้ามไปยังปี 2016 เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ รถยนต์ต้นแบบ C-X17 ที่เพิ่งเผยโฉม
ไปทั้งในงาน Frankfurt Motor Show (10 กันยายน 2013) , Auto Guangzhou 
2013 และ Dubai Motor Show 2013 จะออกสู่ตลาด ในฐานะรถยนต์ Premium
Compact Crossover SUV ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง PLA ร่วมกับ Q-Type

และในปี 2017 ก็จะถึงเวลาที่ Jaguar จะเปลี่ยนโฉม Full Model Change ใหม่
ทั้งคัน ให้กับ Sedan ขนาดกลาง คู่ปรับ BMW 5-Series อย่าง XF กันเสียที แต่
เรื่องตลก ก็คือ พื้นตัวถัง PLA ก็ยังคงรับหน้าที่เป็นพื้นฐานให้กับ XF ใหม่ เช่นเดียวกัน
กับ ทั้ง 2 รุ่นข้างบนนี้ เรียกได้ว่า ทำ Platform แบบเดียว ใช้งานกันซะคุ้มเลยจริงๆ

แน่ละครับ ความอยู่รอด ของ Jaguar หลังจากนี้ จะขึ้นอยู่กับว่า รถยนต์
ทั้งหมดที่เตรียมเปิดตัว ตลอด 4 ปีข้างหน้านี้ จะช่วยพาให้ Jaguar สร้าง
รายได้จากยอดขาย ได้มากกว่าทุกวันนี้ หรือไม่?
——————————————

KIA MOTORS
2014 : New Cerato KOUP ( K3 KOUP)

เราเริ่มเห็นปริมาณของรถยนต์ Kia หนาตาขึ้นบนท้องถนนในกรุงเทพ ตั้งแต่
ปี 2012 เป็นต้นมา และในปี 2013 ที่เพิ่งผ่านไปนอกจาก Kia ภายใต้การดูแล
ของ Yontrakit Kia Motors ยังคงพยายามสั่งนำเข้า Sorento 7 ที่นั่ง ขุมพลัง
Diesel 2.2 ลิตร CRDi มาขายกันไปได้เรื่อยๆ รวมทั้ง Kia Rio Sedan ที่เพิ่ง
เปิดตัวไปในงาน Bangkok Motor Show เดือนมีนาคม แต่รถยนต์ที่สร้าง
ยอดขายให้พวกเขามากที่สุด ยังคงหนีไม่พ้น Kia Picanto K1 คันเล็กอยู่ดี

ในปี 2014 นั้น ตอนนี้ Yontrakit Kia Motors กำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับ
ทางเกาหลีใต้ เพื่อหาทางสั่งนำเข้า Kia Cerato Koup (K3 Koup) อันเป็น
รุ่น Coupe  2 ประตู ของรถยนต์นั่งขับเคลื่อนล้อหน้า กลุ่ม C-Segment
ที่มีเส้นสายสวยงามและลงตัวที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง ของ Kia ในตอนนี้ เพราะ
เป็นการนำ Cerato Koup รุ่นเดิม มาปรับโฉม Big Minorchange ครั้งใหญ่
ให้มีหน้าตาสอดคล้องกับ Cerato ตัวถังอื่นๆ ที่ขายในตลาดโลก ณ ตอนนี้

ขุมพลังที่อยู่ในระหว่างการตัดสินใจเลือก น่าจะเป็น รหัส Nu บล็อก
 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 161 แรงม้า (PS) แต่ ผู้เขียนขอแนะนำ
ว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ ถ้ายกขุมพลัง 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร Turbo
207 แรงม้า (PS) ที่ใช้ร่วมันกับ Hyundai Veloster มาได้ น่าจะช่วยให้
ชื่เสียงของ Kia เริ่มกลับมารู้จัก ในหมู่คนรักความแรง ไม่ยาก แถมจะ
ช่วยให้ภาพลักษณ์ของ Kia ในไทย ดีขึ้นยิ่งกว่านี้อีก

——————————————

LAMBORGHINI
2014 : Gallardo replacement named “HURACAN”
2015 : HURACAN Cabriolet
2016 : URUS SUV

ในปีนี้ Lamborghini พร้อมแล้วสำหรับการเปิดศักราชใหม่ ให้กับรถ Super Car รุ่นเล็ก
ของตน เพื่อรับหน้าที่ปรนเปรอความแรงให้ลูกค้า ต่อจาก Gallardo รถสปอร์ตที่เพิ่ง
จะถูกปลดออกจากสายการผลิตไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน หลังจากอยู่ในตลาดมานานถึง
10 ปี และได้ชื่อว่าทำยอดขาย รายได้ และผลกำไร ให้กับค่าย Lamborghini มากที่สุด
เท่าที่เคยมีมา

ชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการ นั่นคือ Huracan ซึ่งมาจากคำว่า Hurricane นั่นเอง เผยโฉม
สู่สายตาชาวโลกแล้วอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2013 ที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนนี้
คาดเดากันว่าจะใช้ชื่อ Cabrera ด้วยซ้ำ

จุดเด่นของ Huracan อยู่ที่สมรรถนะจากขุมพลังวางกลางลำตัว บล็อก V10 สูบ DOHC
5.2 ลิตร 610 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 560 นิวตันเมตร ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน
ล้อหลัง ผ่านเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 จังหวะ ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ใน 3.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีน้ำหนักตัวไม่รวมของเหลว
อยู่ที่ 1,422 กิโลกรัม

กำหนดการเปิดตัวในตลาดโลก อย่างเป็นทางการ จะมีขึ้น ณ งาน Geneva Motor
Show เดือนมีนาคม 2014 ที่จะถึงนี้ แต่สำหรับเมืองไทย อาจต้องรอคิวกันอีก
หลังจากนั้น สักพักใหญ่ น่าจะเป็นช่วง ปลายปี 2014 จนถึง ต้นปี 2015 อันเป็น
ช่วงเวลาที่ เวอร์ชัน เปิดหลังคาได้ ของ Huracan จะตามออกมาไล่เลี่ยกันพอดีๆ

ส่วนปี 2016 จะถึงเวลาที่ เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Lamborghini Urus Crossover
SUV ยุคใหม่คันแรกของ Lamborcgini ที่เคยเผยโฉมไปแล้วในฐานะของรถยนต์ต้นแบบ
จะพร้อมออกสู่ตลาดจริง แต่ในตอนนี้ ยังคงอยู่ในระหว่างการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อให้
เป็น Super Crossover SUV ที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด แต่จะต้องมีค่าตัวถูกที่สุดเท่าที่
Lamborghini เคยผลิตออกมา โดยตั้งเป้าที่จะขายให้ได้ทั่วโลก ปีละ 3,000 คัน

มาเมืองไทยเมื่อไหร่ เดี๋ยวทาง Niche Car ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ก็จัดงาน
เปิดตัวให้เราได้เห็นกันเองนั่นแหละ
——————————————

LAND ROVER
2014 : Range Rover Long Wheelbase
2015 : All New Defender / Freelander
2016 : Range Rover Minorchange

หลังการเข้ามาทำตลาดของ ผู้จำหน่ายรายใหม่อย่าง City Automotive ความเคลื่อนไหวของ
ค่ายรถยนต์อเนกประสงค์จากอังกฤษ อีกหนึ่งแบรนด์ที่ถูกแขกอินเดีย Tata Motors ซื้อไป
ร่วมชายคากับ Jaguar ก็เริ่มมีให้เห็นในบ้านเรามากขึ้น ปี 2013 ที่ผ่านมา พวกเขาสั่งนำเข้า
Range Rover Sport ใหม่ล่าสุด มาเปิดตัวในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา โดยเป็นรุ่นขุมพลัง
Diesel SDV6 DOHC 2,993 ซีซี Turbo 292 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร ที่
2,000 รอบ/นาที กับเบนซิน V8 DOHC 4,999.7 ซีซี 510 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 625
นิวตันเมตร ที่ 2,500 – 5,500 รอบ/นาที ขับเคลื่อน 4 ล้อ ตั้งราคาขายไว้แพงใช้ได้ ตั้งแต่
7,750,000 – 10,050,000 บาท

ในปี 2014 นี้ Land Rover จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ เพียงรุ่นเดียว นั่นคือ เวอร์ชันฐานล้อยาว
ของ Range Rover SUV ระดับ Flagship ที่แพงสุดในกลุ่ม เป้าหมายก็คือ เจาะตลาดกลุ่ม
ลูกค้าที่มักนั่งเบาะหลังของ Range Rover เป็นประจำ และต้องการความสบายที่มากกว่า
รุ่นฐานล้อปกติ โดยใช้ขุมพลังและระบบส่งกำลังเดียวกันทั้งหมด

แต่ในปี 2015 ตัวลุยประจำค่าย อย่าง Land Rover Defender จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่
ทั้งคัน Full Model Change กันเสียที ตัวรถถูกสร้างขึ้น โดยใช้พื้นฐานงานวิศวกรรมของ
Freelander ใหม่กันไปเลย กำหนดเปิดตัวจะอยู่ในช่วงปี 2015 แต่กว่าจะพร้อมขายจริง
อาจต้องรอกันจนถึงปี 2016 โดยเริ่มจากเวอร์ชัน ตัวถังสั้น 3 ประตู ก่อนที่รุ่น 5 ประตู
และรถกระบะ จะทะยอยตามออกมาในช่วงปี 2017 – 2018

ส่วนปี 2016 แม้ว่า Range Rover ใหม่จะเพิ่งเปิดตัวไป แต่กำหนดการปรับโฉม Minor
change ก็จะอยู่ที่ ปี 2016

และ Evoque น่าจะยังทำตลาดกันต่อไป ด้วยการปรับโฉม หรือเพิ่มทางเลือกรุ่นย่อย
ใหม่ๆ และเพิ่มรุ่นพิเศษ หรือปรับอุปกรณ์ กันไป ทุกปี อีกสัก 3-4 ปี

——————————————

LOTUS (By Niche Cars)   
The Future is bright…Axed that 4 in 5 New models!!!

หลังความวุ่นวายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จนทำให้ CEO สุดหล่อ Dany Bahar ถูกเจ้าของใหม่
DRB-HICOM ที่ซื้อหุ้นมาจาก Proton ถีบออกจาก Lotus ไป ทำให้อนาคตของผู้ผลิตรถยนต์
สปอร์ตขนาดเล็ก รายนี้ ย่ำแย่ลงตลอดเวลา 1 ปีครึ่ง ที่ผ่านมา

ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว Lotus ทุกวันนี้ อยู่ในสถานะล้มละลายได้อย่างเต็มปาก พวกเขาเริ่ม
เจอปัญหาขาดทุนตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา และเริ่มเสียเงินมากขึ้นทุกปีๆ ตัวอย่างที่เห็น
ได้ชัด ก็คือ ในช่วงสิ้นปี 2012 พวกเขาต้องใช้จ่ายเงินไปมากถึง 115 ล้านปอนด์ฯ ทำให้
เงิน 100 ล้าน ปอนด์ ที่ DRB-ICOM อัดฉีดลงมาให้ หายเกลี้ยงไม่เหลือ แถมยังต้องใช้
จ่ายเงินเกินตัวไปอีก แทนที่จะใช้เพื่อพัฒนารถใหม่ แต่กลับต้องถูกใช้เพื่อต่อลมหายใจ
ให้ดำเนินกิจการต่อไปได้แทน

แล้วรายได้ที่เข้ามาละ? ปี 2011 พวกเขาขายรถสปอร์ตทั่วโลกได้ 2,675 คัน แต่ที่แย่สุดคือ
ตัวเลขกลับดิ่งลงเหวเหลือ 963 คัน ตลอดทั้งปี 2012 ในปี 2013 พวกเขาวางแผนว่าจะขาย
รถให้ได้ 1,300 คัน แต่ถ้า ตัวเลขส่งมอบในแต่ละสัปดาห์อยู่ที่ 44 คัน เท่ากับว่า พวกเขา
จะทำยอดขายรวมได้ 2,000 คัน ในช่วงสิ้นปี 2013 ส่วนตลาดอังกฤษเอง มันย่ำแย่ถึง
ขั้นที่ว่า Lotus ขายรถให้ชาวอังกฤษได้เพียง 80 คัน ตลอดทั้งปี !!

ตัวเลขยอดขายแบบนี้ มันน้อยเสียยิ่งกว่า Rolls-Royce หรือ Ferrari เพียงยี่ห้อเดียวเสียอีก!

ก่อนหน้านี้ Volkswagen เอง ก็เคยแสดงความสนใจว่าอยากซื้อกิจการของ Lotus ถึงขั้น
ตรวจสอบสถานภาพทางการเงิน แต่สุดท้าย ก็ไม่เอา

นั่นหมายความว่า ทุกโครงการพัฒนารถสปอร์ต ทั้ง 3-4 แบบ ที่เคยเดินหน้าอยู่ในตอนนี้
ถูก “ยกเลิกไปเกือบทั้งหมด” เหลือแค่โครงการ Esprit อันเป็นรถสปอร์ตรุ่นสำคัญที่ถูก
วางเป้าหมาย ให้พา Lotus กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง

ล่าสุด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2013 ที่ผ่านมา Lotus ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษ
เป็นเงินสูงถึง 10.44 ล้านปอนด์สเตอร์ริง โดยเงินก้อนดังกล่าว จะถูกใช้เพื่อการพัฒนา
รถสปอร์ตรุ่นใหม่ และใช้ในการฝึกอบรมพนักงานใหม่ทั้ง 313 คน ที่จะถูกว่าจ้างใน
ช่วง 2 ปี นับจากนี้ ขณะเดียวกัน Lotus ก็ประกาศรับสมัครพนักงานใหม่ 100 คนรวด
ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวก ออกมาครั้งแรกในรอบ 2 ปี ว่า อนาคตขอ Lotus
จะยังยืนหยัดอยู่ได้

ส่วนแผนการหลังจากนี้? ในขณะที่ Dany Barhar ประกาศข่าวจนเกรียวกราวไปทั่วโลก
แต่ DRB-HICOM เลือกจะสงบเสงี่ยม แล้วรอวันประกาศความสำเร็จทีเดียวเลยดีกว่า
ระหว่างที่เน้นการนำรถยนต์รุ่นที่ขายอยู่แล้ว มาปรับปรุงสมรรถนะ ออกขายเป็นรุ่น
พิเศษ เวอร์ชันใหม่ๆ เลี้ยงบริษัทกันต่อไปนั้น DRB-HICOM จะเน้นการสร้างแบรนด์
ผ่านกิจกรรม Motor Sport เหมือนยุคของ Barhar แต่ใช้เงินอย่างระมัดระวัง รอบคอบ
มากยิ่งขึ้น แนวทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอย่างนี้ จึงทำให้ Lotus เอง ยังคงต้องตก
อยู่ในสภาพมืดมนแบบนี้ต่อไปอีกหลายปี ด้วยความหวังจากเจ้าของใหม่ว่า ในปี 2015
พวกเขาจะ บรรลุเป้าหมาย Brake event ด้วยตัวเลขยอดขาย 3,500 คัน ในปีนั้น

ในเมื่อ อนาคตของ Lotus ในยามนี้ก็สว่างพอๆกับแสงจันทร์ ในคืนที่คุณเดินหลงใน
ป่าดงดิบดังนั้น สถานการณ์ในเมืองไทย ก็จึงยังคงทำได้แต่รอดูท่าทีของบริษัทแม่ ว่า
จะทำอย่างไรต่อไป

——————————————

MASERATI
2014 : Ghibli Coming to Thailand
            Le Vante Global Launch
2015 : Le  Vante coming to Thailand

ความเคลื่อนไหวของ Maserati ในเมืองไทย เริ่มกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังการ
เปิดตัว Saloon รุ่นใหญ่ Quattroporte ในงาน Detriot Auto Show เมื่อต้นเดือน
มกราคม 2013 (เริ่มผลิต เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2012) จนได้รับออร์เดอร์จากลูกค้าทั่วโลก
จำนวนมาก โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้า สาววัยทำงาน ในเมืองจีน

ในที่สุด Empire Motorsport ผู้จำหน่าย Maserati แบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียม ในกลุ่ม
Fiat Auto SpA.จากอิตาลี อย่างเป็นทางการในไทย ได้จัดงานเปิดตัว Quattroporte
รุ่นที่ 6 ในบ้านเราไปเรียบร้อยแล้ว ณ พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ พระราชวังพญาไท เมื่อวันที่
22 พฤศจิกายน 2013 ที่ผ่านมา

เวอร์ชันไทย จะวางเครื่องยนต์ 2 แบบ คือรุ่น V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร ซึ่งถูกปรับปรุง
จากเครื่องยนต์ Pentastar ของ Chrysler สหรัฐอเมริกา กำลังสูงสุด 410 แรงม้า (HP)
แรงบิดสูงสุด 56 กก.-ม.ขับเคลื่อนล้อหลัง หรือขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยเกียร์อัตโนมัติ
8 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ราคา 11,500,000 บาท และรุ่น Quattroporte GTS เครื่องยนต์ V8 DOHC 32
วาล์ว 3.8 ลิตร 530 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 72.3 กก.-ม.ขับเคลื่อนล้อหลังเท่านั้น ให้
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 307 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ถือเป็นรถยนต์นั่ง 4 ประตู ที่แล่นได้เร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยผลิตออกสู่ตลาด ราคา
14,500,000 บาท

ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงก่อนหน้านี้ Empire Motorsport ยังได้นำเข้ารถยนต์ Coupe อย่าง
Maserati GranTurismo Sport เข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2013 ซึ่ง
ถือเป็นรุ่นอัพเกรดสมรรถนะจาก รุ่น MC Stradale ด้วย เครื่องยนต์ V8 DOHC 32 วาล์ว
4.7 ลิตร แรงเพิ่มขึ้นจาก 434 เป็น 460 แรงม้า (HP) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
เพิ่มขึ้นจาก 49.9 เป็น 52.9 กก.-ม. ที่ 4,750 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลัง ได้ทั้งเกียร์
อัตโนมัติ 6 จังหวะ จาก ZF ที่ใช้ Software แบบ MC Auto Shift Management
หรือเลือกติดตั้งเกียร์ Sequential 6 จังหวะได้อีกต่างหาก ราคา 16,000,000 บาท
โดยประมาณ

แต่ในยุโรป Masearati ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น พวกเขายังคงเดินหน้าเปิดตัว Saloon 
ขนาดเล็กกว่า Quattroporte ในชื่อ Ghibli กลางงาน Shanghai Motorshow
เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2013 ที่ผ่านมา เพื่อออกมาประลองศึกกับ BMW 5-Series
และ Mercedes-Benz E-Class ถือเป็นการนำชื่อ Ghibli กลับมาใช้อีกครั้ง หลังจาก
ยุติบทบาทไปเมื่อปี 1997

ในช่วงเริ่มต้น Ghibli มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ทั้ง รุ่นพื้นฐาน ขุมพลัง V6 DOHC 24 วาล์ว
3.0 ลิตร Turbocharger 330 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 50.9 กก.-ม. อัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 5.6 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 10.4 กิโลเมตร/
ลิตร ตามด้วยรุ่น Ghibli S ขุมพลัง V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร Twin Turbo แรงขึ้น
เป็น 410 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 56 กก.-ม. ที่ 1,750 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 5 วินาที ความเร็วสูงสุด 285 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับเคลื่อนล้อหลัง
ทั้ง 2 ขุมพลัง เป็นผลงานร่วมกันระหว่าง Maserati กับพันธมิตรเก่าอย่าง Ferrari
โดยใช้เทคโนโลยีบางส่วน เช่นระบบจ่ายเชื้อเพลิง Direct Injection จากขุมพลัง
V8 3.8 ลิตร ของ Quattroporte เอง และถูกผลิตขึ้นที่โรงงานของ Ferrari ในเมือง
Maranello

นอกจากนี้ Ghibli ยังเป็น Maserati รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ ที่มีขุมพลัง Diesel ให้เลือก
เป็นบล็อก V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิง Direct Injection ผ่านราง
Common-rail ด้วยแรงดันระดับ 200 บาร์ พ่วง Turbocharger 275 แรงม้า (HP)
แรงบิดสูงสุด มากถึง 61.1 กก.-ม. อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 6.3 วินาที
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 16.6 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า
160 กรัม/กิโลเมตร อีกทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบใหม่ Q4 all-wheel
drive system มาให้เลือกด้วย หลักการทำงานคือ  ใช้ระบบอิเลคทรอนิคควบคุม
คลัทช์เปียกแบบ multi-plate ซึ่งติดตั้งอยู่ในห้องเกียร์ transfer case เพื่อเชื่อมต่อ
การขับเคลื่อน 4 ล้อ เฉพาะในยามที่ผู้ขับขี่ต้องการให้ยึดเกาะถนนเพิ่มขึ้นเท่านั้น

หลังการเปิดตัวและเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนยุโรปได้ทดลองขับกันไปแล้ว ก็จะต้อง
รอเวลา ให้ไลน์ผลิตพวงมาลัยขวา พร้อมเสียก่อน จึงจะสามารถนำเข้ามาจำหน่าย
ในบ้านเราได้ ภายในปี 2014

ส่วนโครงการพัฒนา Crossover SUV ที่ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า LeVante ซึ่งถูก
วางเป้าหมายให้ประกบกับบรรดา Premium MidSize SUV ทั้ง Porsche Cayenne
Mercedes-Benz ML-Class , BMW X5/X6 และ Range Rover Sport ยังคง
เดินหน้ากันต่อไปเรื่อยๆ ล่าสุด งานออกแบบเสร็จสมบูรณ์แล้ว และจะไม่แตกต่างไปจาก
รถยนต์ต้นแบบ ที่เราเห็นกันอยูนี้ไปมากมายนัก จะไม่ใช้พื้นฐาน Platform และโครงสร้าง
วิศวกรรมใดๆ ร่วมกันกับ Jeep Cherokee อย่างที่คาดหมายกันทั่วโลก ช่วงก่อนหน้านี้
เป็นอันขาด นั่นหมายความว่า Le Vante ก็จะยังคงผลิตอยู่ใน Italy เท่านั้น ไม่ได้ถูก
นำไปขึ้นสายการผลิตที่โรงงานของ Chrysler ใน Michigan แต่อย่างใดทั้งสิ้น

ด้านขุมพลัง คาดว่าจะมีให้เลือกทั้งแบบ เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร พ่วง
Turbocharger 404 แรงม้า (HP) และ V8 DOHC 32 วาล์ว 3.8 ลิตร TwinTurbo
523 แรงม้า (HP) จาก Quattroporte รวมทั้ง ขุมพลัง V6 Diesel บล็อกเดียวกับใน
Ghibli เพื่อเน้นเอาใจตลาดยุโรป ที่ยังคงนิยมขุมพลัง Diesel เป็นหลักไปแล้ว

กำหนดการเปิดผ้าคลุมเผยโฉมครั้งแรก ของ Le Vante จะอยู่ในปี 2014 แต่จะพร้อม
ออกสู่ตลาดจริงทั่วโลก รวมทั้งเมืองไทย คาดว่าน่าจะเป็นปี 2015

——————————————

Mazda   
2014 : Mazda 3 Full Modelchange + CNG / Mazda 6 ?
2015 : All New MX-5 / BT-50 PRO Minorchange /
2016 : Mazda 2 Full Modelchange
2017 : CX3

ถึงแม้ว่า Mazda จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของตลาดรถยนต์ขนาดเล็กและกลาง
จนทำให้ Mazda 2 และ 3 ทำยอดตัวเลขได้ในระดับ ประคองตัวเท่านั้นก็ตาม แต่ด้วยเหตุ
ที่ตัวเลขยอดขายของ Mazda ในเมืองไทย ไต่ขึ้นเป็นติดอันดับ 5 ของโลก ทำให้บริษัทแม่
ในญี่ปุ่น เริ่มทุ่มให้ความสนใจกับตลาดแดนสยามเมืองยิ้ม ของเราอย่างเต็มรูป ชนิดที่ว่า
ไม่เคยมีมาก่อน!

ปี 2013 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีแห่งจุดเริ่มต้นสู่ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของ Mazda ใน
บ้านเราเมื่อถึงเวลาที่ชาว Hiroshima นำ กลุ่มเทคโนโลยี Skyactiv มาเปิดตัวสู่ตลาด
เมืองไทย เริ่มจากการนำ Mazda 6 เข้ามาให้ลองขับก่อน ช่วงเดือนมิถุนายน ที่สนาม
แก่งกระจาน เพื่อปูทางสู่การเปิดตัว Mazda CX-5 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

แต่ทั้งหมดในปีที่แล้วนั้น เป็นเพียงแค่ ออร์เดิร์ฟ!

เพราะอาหารจานหลักของจริงนั้น อยู่ที่การนำ Mazda 3 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งเผยโฉม
สู่สายตาชาวโลก ไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2013 เข้ามาประกอบขายในเมืองไทย อย่าง
รวดเร็วฉับไว เหนือความคาดหมาย มากันครบทั้ง Sedan 4 ประตู และ Hatchback
5 ประตู

เวอร์ชันไทย จะมาพร้อม Option จัดเต็มเท่าที่เป็นไปได้ ส่วนทางเลือกเครื่องยนต์นั้น
ยกทีม Skyactiv มากันทั้งหมด นอกจาก เครื่องยนต์เบนซิน 2,000 ซีซี บล็อกเดียวกับ
ที่กำลังประจำการใน CX-5 แล้ว จะมีขุมพลังใหม่ล่าสุด Skyactiv 1,600 ซีซี ที่ยัง
ไม่เคยเปิดตัวที่ไหนในโลกมาก่อน แต่หลังจากเปิดตัวไปอีกสักระยะ เราอาจได้เห็น
Mazda 3 Skyactiv CNG ซึ่งเพิ่งจะเผยโฉมไปใน Tokyo Motor Show สดๆร้อนๆ
ในเดือนพฤศจิกายน 2013 ที่ผ่านมา ออกอาละวาด สร้างความอือฮาให้แก่บรรดา
นักนิยมดมแก็ส(ติดรถยนต์) กันอย่างสบายใจเสียที อย่างไรก็ตาม จะไม่มีขุมพลัง
Diesel 2,200 ซีซี Turbo มาให้เลือกอย่างแน่นอน เพราะค่าตัวในรุ่น Diesel อาจ
โดดไปไกลถึง 1,200,000 บาท จากเหตุผลด้านภาษีต่างๆ

กำหนดการเปิดตัว ของ Mazda 3 ใหม่ ประกอบในประเทศไทย จากโรงงาน AAT
ระยอง จะเกิดขึ้น ในเดือนมีนาคม 2014 ช่วงงาน Bangkok Motor Show

อีกโครงการหนึ่ง ซึ่งยังต้องรอลุ้นกันต่อไปก็คือ การนำ Mazda 6 รุ่นล่าสุด มาบุกตลาดกลุ่ม
D-Segment บ้านเรา อย่างเต็มตัวเสียที ถือเป็นการกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ตระกูล 626
รุ่นสุดท้าย หายหน้าไปจากตลาดเมืองไทย ในปี 1997 – 1998 หากจะทำตลาดกันจริงๆแล้ว
แน่นอนว่า ทางเลือกขุมพลัง คงไม่ต่างไปจาก CX-5 คือ อาจต้องมีทั้ง รุ่นเบนซิน 2,000 ซีซี
กับ 2,500 ซีซี และ Diesel 2,200 ซีซี Turbo เป็นตระกูล Skyactiv ทั้งหมด หากนำมา
เปิดตัวในบ้านเราจริง ก็เริ่มมีลุ้นกันได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน – กรกฏาคม เป็นต้นไป และคงจะมี
แค่ ตัวถัง Sedan 4 ประตู เพียงอย่างเดียว ไร้เงาตัวถัง Wagon

นอกนั้น ก็จะมี รุ่นกระตุ้นตลาดของทั้ง Mazda 2 และ Mazda BT-50 PRO ออกมาเป็นหลัก

ย่างเข้าสู่ปี 2015 ในตลาดเมืองไทย Mazda อาจจะเหนื่อย เพราะ Mazda 2 จะยังไม่เปิดตัว
สู่ตลาดโลกจนกว่าจะถึงช่วงปลายปี 2015 และมีเพียงแค่การปรับโฉม Minorchange ให้กับ
รถกระบ Mazda BT-50 PRO เพื่อปรับทัพ กระตุ้นยอดขาย รับมือกับการมาถึงของบรรดา
เจ้าตลาด ทั้ง Toyota Hilux Vigo ใหม่ และ Isuzu D-Max Big Minorchange

กระนั้น Mazda ยังมีทีเด็ด เอาใจคนรักรถสปอร์ตเปิดประทุน สายพันธ์ Zoom Zoom อยู่
เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่ Mazda MX-5 รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change จะถูก
เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกอย่างเป็นทางการ

MX-5 รุ่นใหม่ ถือเป็นการร่วมงานพัฒนาด้วยกันครั้งแรกกับ FIAT Auto Spa. แห่งอิตาลี
โดยฝ่ายหลัง จะออกแบบตัวถังขึ้นมาใหม่ และใช้เครื่องยนต์ใหม่ของตัวเอง ทำตลาดใน
ฐานะ รุ่นเปลี่ยนโฉมของ Alfa Romeo Spider แต่ MX-5 ใหม่ จะวางเครื่องยนต์ใหม่
SKYACTIV ที่ลดความจุกระบอกสูบลงมาจาก 2.0 ลิตร เหลือแค่ 1.6 ลิตร พ่วงระบบ
อัดอากาศ Turbocharger เป้าหมายก็คือ จะต้องเพิ่มพละกำลังสูงสุดขึ้นเป็น 200 แรงม้า
(PS) ขณะเดียวกัน ต้องลดน้ำหนักลงอีก 100 กิโลกรัม เพื่อให้ตัวรถเบาไม่เกิน 1,000
กิโลกรัม พอดี!! หวังช่วยเพิ่มความสนุกเร้าใจในการขับขี่ และลดการกินน้ำมันลงให้ได้
มากกว่านี้ แถมยังปล่อยมลพิษน้อยลงกว่าเดิม กำหนดเปิดตัวอยู่ในช่วงต้นปี 2015 ดังนั้น
บ้านเราก็น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสรถสปอร์ตเปิดประทุนรุ่นยอดนิยมรุ่นใหม่คันนี้ ตามติด
ตลาดโลกกันอย่างฉับไว ผ่านการนำเข้าของ Mazda Sales Thailand โดยตรง

พอถึงช่วงปลายปี 2015 – ต้นปี 2016 น้องนุชสุดท้องอย่าง Mazda 2 ก็จะถึงเวลา
เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน โดยยึดแนวทางการออกแบบ Kodo Design เฉกเช่นพี่น้องร่วม
ตระกูล รุ่นอื่นๆ เราอาจได้เห็นภาพถ่ายจากเมืองนอกกันก่อน ในช่วง ไตรมาส 3 ของปี
2014 ก่อนที่เวอร์ชันประกอบในเมืองไทย จะพร้อมสู่การทำตลาดจริง ในช่วงปลายปี
2015 ถึง ต้นปี 2016 ส่วนรายละเอียดทางเทคนิคต่างๆ ยังไม่มีข้อสรุปในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม รถรุ่นนี้ อาจมีความเกี่ยวพันกับ Toyota อยู่ เพราะ Mazda และ Toyota
ร่วมลงนามในข้อตกลงร่วมกันว่า จะนำรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ที่ใช้พื้นฐานมาจาก
Mazda 2 เจเนอเรชันใหม่ ไป ขึ้นสายการผลิตที่โรงงาน Mazda ใน Mexico ซึ่งกำลัง
ก่อสร้างกันอยู่  หมายความว่า คนไทยเราอาจต้องทนเห็นหน้า Mazda 2 รุ่นปัจจุบัน
กันอีกอย่างน้อย ก็จนถึงปลายปี 2015 เป็นอย่างเร็วที่สุด

Mazda 2 ใหม่ และ MX-5 ใหม่ จะเป็น 2 ใน 5 โครงการพัฒนารถยนต์ ที่ Mazda
วางแผนไว้ว่าจะเปิดตัวในตลาทั่วโลก ทุกทวีป นับจากปี 2014 จนถึง 2017 ส่วนรุ่น
ที่ 3 นั่นคือ Mazda CX-9 ซึ่งจะยังคงประกอบที่โรงงาน Hofu ในญี่ปุ่นตามเคย
ส่วนบ้านเรา จะสั่งเข้ามาขายเช่นเดียวกับรุ่นปัจจุบันหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีความแน่ชัด

แต่ที่แน่ๆ ยังมีอีกโครงการ ซึ่งยังห่างไกลจากความจริง แต่ต้องจับตาดูให้ดี เพราะ
มีความเป็นไปได้ในการเข้ามาเปิดตลาดเมืองไทย นั่นคือ Mazda CX-3 อันเป็น
รถยนต์ Crossover SUV ที่มีขนาดเล็กกว่า CX-5 ลงมา โดยใช้พื้นฐานโครงสร้าง
วิศวกรรม ร่วมกันกับ Mazda 2 กว่าจะออกสู่ตลาดโลก ต้องรอถึงปี 2015 – 2016
และถ้าจะมาเมืองไทย เราอาจต้องรอกันจนถึงปี 2017 เลยทีเดียว

ส่วนอีกโครงการหนึ่งซึ่งยังเป็นปริศนานั้น…เป็นไปได้ไหมว่า อาจเป็นรถสปอร์ตขุมพลัง
Rotary Hybrid ที่น่าจะคลอดออกมาในปี 2017 อันเป็นปีฉลองครอบรอบ 50 ปี ที่
Mazda Cosmo Sport รถสปอร์ตขุมพลัง Rotary แบบแรกในโลก ออกสู่ตลาด?

——————————————

Mercedes-Benz
2014 : GLA – Class / A45 CLA45 AMG  All New C-Class /
            ML Sport version AMG Dynamic / S-Class CKD S300 Hybrid 
2015 : GLK Full Modelchange
2016 : E-Class Full Modelchange

ไฮไลต์ของค่ายรถยนต์ตราดาว ในปี 2013 ที่ผ่านมา คือการเปิดตัว E-Class Facelift
Minorchange ในงาน Banngkok Motor Show มีนาคม 2013 ก่อนจะส่งรุ่นประกอบ
ในประเทศ ออกสู่ตลาดได้ในเดือนกันยายน มีรุ่น E200 ทั้งตัวถัง Saloon Coupe
และ Cabriolet ส่วน E300 Bluetec HYBRID มีเฉพาะตัวถัง Saloon เท่านั้น ยังคง
ได้รับความนิยมอย่างสูงจากลูกค้าชาวไทยเหมือนเช่นเคย โดยเฉพาะอัตราเร่งและ
ความประหยัดน้ำมันที่มาควบคู่กัน

ส่วน S-Class ใหม่ W222 เผยโฉมกันเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2013 และเว็บไซต์
ของเรา ได้เป็นหนึ่งในสื่อมวลชนกลุ่มแรกของโลก ที่ได้ไปทดลองขับถึง Toronto
Canada ช่วงเดือนกรกฎาคม ก่อนการเปิดตัว S400 HYBRID รุ่นนำเข้าทั้งคัน CBU
ในบ้านเรา เมื่อเดือนกันยายน 2013 ปิดท้ายด้วย การเปิดตัว GL-Class SUV 7 ที่นั่ง
ขนาดยักษ์ ในงาน Motor Expo ส่งท้ายปีเก่ากันไป

แต่ในปี 2014 นี้ ค่ายรถยนต์ตราดาว เตรียมจัดหนัก บุกตลาดเต็มพิกัด ในทุกกลุ่ม
ตลาด เริ่มจาก การนำเข้า GLA-Class มาเปิดตัวในบ้านเรา เดือนกุมภาพันธ์ นี้
พร้อมกันกับ A45 AMG เวอร์ชันแรงที่สุดในตระกูล A-Class ยุคใหม่ ที่จะส่ง
ตรงมาถึงเเมืองไทย ในเวลาไล่เลี่ยกัน

ในช่วงเดือนมีนาคม เราอาจจะได้เห็น C-Class ใหม่ W205 เวอร์ชันไทย เปิดตัว
ตามเกาะติดตลาดโลก ชนิดเกาะรถไฟเหาะ กลางงาน Bangkok Motor Show
โดยเปนรุ่น นำเข้าทั้งคัน CBU ก่อนในช่วงแรก จากนั้น ทิ้งช่วงไปราวๆ ปลายปี
จึงจะมีรุ่นประกอบในประเทศตามออกมาให้ได้จับจองกันในราคาย่อมเยา โดยใช้
ขุมพลัง ร่วมกันกับ A-Class นั่นละ แต่ถูกออกแบบให้สามารถติดตั้งเชื่อมกับ
กับระบบขับเคลื่อนล้อหลังได้ และคราวนี้ เราอาจจะได้สัมัส เวอร์ชัน Hybrid
ใน C-Class เป็นครั้งแรกอีกด้วย แต่นั่นคงต้องรอหลังเปิดตัวไปสักพักใหญ่

รวมทั้ง อาจจะมีการเพิ่มรุ่นย่อยพิเศษ ให้กับ ML-Class ในรูปแบบ Sport
version AMG Dynamic เอาใจคนที่อยากได้ SUV ขนาดกลาง แต่ต้องการ
Option แบบจัดเต็มที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ในราคาไม่แพงนัก

ส่วน เศรษฐีคนใด ที่รอ S-Class ประกอบในประเทศ เชื่อว่า S300 Hybrid
น่าจะพร้อมเปิดให้จับจองเป็นเจ้าของกัน ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2014 นี้
และอาจจะมีรุ่นย่อยอื่นทะยอยเปิดตัวตามมา ในปีถัดๆไป

ย่างเข้าปี 2015 ค่ายดาวสามแฉก เตรียมเผยโฉม GLK-Class ใหม่ทั้งคัน
Full Modelchange คราวนี้ พวกเขาตั้งใจจะพารถคันนี้ ออกสู่ตลาดโลก
ให้ไกลยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น โอกาสที่จะมาเมืองไทย ก็มีสูงตามไปด้วย
และเมื่อถึงปี 2016 ก็จะได้เวลาที่ E-Class รุ่นปัจจุบัน เตรียมตกรุ่นกัน
ได้แล้ว เพราะรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Modelchange กำลังเริ่มทดสอบ
ในยุโรปแล้ว คาดว่า เราอาจจะได้เห็นรูปโฉมคันจริง ในช่วงก่อนสิ้นปี
2015 จนถึงต้นปี 2016 ตามธรรมเนียมการเปิดตัว E-Class ใหม่ ที่มัก
ใช้ช่วงเวลาสิ้นปี ในการเผยภาพคันจริง มาแล้วหลายเจเนอเรชัน

——————————————

MG-SAIC
2014 : START with MG6
2015 : New SUV

ผู้ผลิตรถยนต์ เชื้อชาติอังกฤษ สัญชาติจีน รายนี้ ปากฎชื่อเข้ามาอยู่ในทำเนียบรถยนต์
เปิดตัวในเมืองไทย ปีนี้ เป็นครั้งแรก เหตุที่บอกว่า เป็นเชื้อชาติอังกฤษ สัญชาติจีน นั้น
เพราะว่า MG มีประวัติศาสตร์มายาวนานมาก ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์อังกฤษที่ก่อตั้งขึ้น
ในปี 1924 โดยชื่อ MG นั้นหมายถึง Morris Garages ดีลเลอร์ของ Morris Motors ใน
Oxford  พวกเขาชำนาญในการสร้างรถสปอร์ตน้ำหนักเบา ขับสนุก แต่ MG ล้มลุก
คลุกคลานมาตลอดเกือบ 40 ปี หลังจากถูกยุบรวมเข้าไปอยู่กับกลุ่ม British Leyland
ตามด้วยการเปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็น Austin Rover และ Rover Group ในช่วงทศวรรษ
1990 จนเคยตกไปเป็นกิจการของกลุ่ม British Aerospace อยู่พักใหญ่

1 กุมภาพันธ์ 1994 BMW Group ซื้อกิจการ Rover Group รวมทั้ง MG และ Mini
เข้าไปด้วยยกแผง แต่ทนบริหารงานอย่างขาดทุนต่อไปไม่ไหว เลยเลือกเก็บ Mini
ไว้ แล้วแยกขาย Land Rover ให้ Ford ก่อนจะขาย Rover และ MG ให้กับกลุ่ม
นักลงทุน Phoenix Venture ในปี 2000 ต่อมา เกิดเรื่องอื้อฉาวด้านการดำเนินงาน
จนต้องให้กลุ่มนักลงทุนจากจีน Nanjing Automobile Group ซื้อกิจการ Rover
และ MG ไปเมื่อ 22 กรกฎาคม 2005 และต่อมา ก็กลายเป็นกิจการร่วมทุนในเครือ
ของ SAIC (Shanghai Automotive Industry Corporation) ผู้ผลิตรถยนต์
รายใหญ่สุดของจีน

วันนี้ MG-SAIC ตั้งใจจะสยายปีก มายังเมืองไทย เพราะมองเห็นช่องทางใน
การตั้งฐานการผลิตที่เมืองไทย เพื่อหวังจะส่งรถยนต์ออกสู่ตลาด ASEAN
Australia และ New Zealand โดยอาศัยความประณีตของแรงงานช่างฝีมือ
ชาวไทย ช่วยสร้างคำร่ำลือ ด้านคุณภาพการประกอบรถยนต์ MG ให้ดีขึ้น
ในสายตาชาวโลก

หลังจากเตรียมการมาได้พักใหญ่ MG-SAIC จึงจับมือกับ พันธมิตรยักษ์ใหญ่
ธุรกิจมในไทยอย่าง เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP จัดงานแถลงข่าวการมา
ลงทุนในบ้านเรา เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2013 ที่ผ่านมา

ทั้งคู่ร่วมกันตั้งบริษัท SAIC Motor -CP จำกัด สัดส่วนถือหุ้น จีน 51% ไทย
49% โดยลงทุนกว่า 90,000 ล้านบาท ก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ ในนิคม
อุตสาหกรรมเหมราช Eastern Seaboard รวมทั้งเตรียมแต่งตั้งโชว์รูมพร้อม
ศูนย์บริการกว่า 30 ราย ครอบคลุม กรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ

รถยนต์รุ่นแรกที่พวกเขาตั้งใจจะนำมาประกอบขายในบ้านเรา วิ่งทดสอบ
กันมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2013 แล้ว นั่นคือ MG6 ทั้งตัวถัง Sedan 4 ประตู
และ Hatchback 5 ประตู รถยนต์รุ่นนี้ ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ
2000 และเริ่มผลิตครั้งแรก ณ โรงงาน Longbridge ในอังกฤษ เมื่อวันที่
13 เมษายน 2011 นับจากนั้นมา ก็มีการปรับปรุงสมรรถนะอยู่เรื่อยๆ
มีขุมพลังให้เลือก 2 ขนาด คือ เบนซิน 1.8 ลิตร Turbo และDiesel
1.9 ลิตร Turbo

หลังจากเริ่มจัดแสดงบูธในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
พวกเขากำลังเตรียม วางแผนเปิดตัว แบรนด์ อย่างเป็นทางการ และเริ่ม
ทำตลาดจริงจัง ส่งมอบรถยนต์คันแรกถึงมือลูกค้า ในเดือนพฤษภาคม
ถึง มิถุนายน 2013 นี้

จากนั้น แผนต่อไปก็คือ พวกเขาเตรียมนำรถยนต์ MG3 Hatchback 5 ประตู
1.5 ลิตร เข้ามาประกอบขายด้วย โดยเป็นรุ่น MG3 Cross ซึ่งตกแต่งในสไตล์
Crossover Sub-Compact Hatchback ส่วนในปี 2015 พวกเขากำลังศึกษาว่า
จะหาทางผลิต SUV รุ่นใหม่ เพื่อออกมาต่อกรกับ Honda CR-V , Mazda
CX-5 , Nissan X-Trail และ Chevrolet Captiva ในราคาที่ถูกกว่า

อย่างไรก็ตาม ก่อนสิ้นปี 2013  ได้ไม่นาน ก็เกิดเรื่องราวเป็นข่าวในหน้า
หนังสือพิมพ์ธุรกิจ เมื่อผู้บริหารคนไทย รายหนึ่ง เลือกตัดสินใจ ลาออกมา
จาก MG – SAIC พร้อมกับเปิดเผยว่า  ทางฝั่งจีน เปิดบริษัทผลิตชิ้นส่วน
ในประเทศ ขึ้นมารองรับ แต่แท้จริงแล้ว เป็นบริษัทที่นำเข้าชิ้นส่วนมาจาก
จีน เพื้อจะได้ขอสิทธิ์ด้านสิทธิพิเศษทางภาษี กับประเทศในกลุ่ม ASEAN
ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรี AFTA (Asean Free Trade Area)

เพียงแค่ยังไม่เริ่มต้นขายรถยนต์ ก็กลายเป็นประเด็นร้อน ที่คนในแวดวง
อุตสาหกรรมยานยนต์บ้านเราจับตามองกันแล้ว

ในฐานะของผู้มาใหม่ อยากจะฝากบอกกับ MG-SAIC ไว้ว่า จะทำอะไร
ในเมืองไทย ก็ควรทำให้โปร่งใสเสียตั้งแต่แรก ควรทำตัวให้คนไทยวางใจ
และฟังในคำแนะนำของคนไทยให้มากๆ ไม่มีใครเขาคิดร้าย ไม่มีใคร
อยากจะหลอกเอาเงินของคุณอย่างเดียว แต่ถ้าคิดจะขายรถยนต์ในไทย
การบริการหลังการขายสำคัญมากถึงมากที่สุด อย่าคิดแต่จะทำยอดขาย
จนไม่สนใจการดูแลลูกค้าที่ซื้อรถยนต์จากคุณไปแล้ว เพราะนั่นละ
คือหายนะ ที่กำลังเกิดขึ้นกับแบรนด์อเมริกันในประเทศไทย ตอนนี้
ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว ศึกษากันดีๆเสียบ้าง ไม่เชื่อ ก็ถามลูกน้อง
คนไทย ที่ย้ายค่าย มาจาก ผู้ผลิตชาวอเมริกันเหล่านั้นดูเอาเองแล้วกัน!

——————————————

MITSUBISHI MOTORS
2014 :  All New Triton Full Model Change (GR-Project) , Outlander PHEV ,
             Pajero Sport LAST Minorchange , Mirage Minorchange (Suspension refinement)
2015 :  Pajero Sport Full Model Change , Attrage Minorchange
             NO PLAN FOR NEXT “LANCER” FOR THAILAND??

การเปิดตัว รุ่น Sedan 4 ประตู ของ Mirage ในชื่อ Attrage ช่วงเดือนพฤษภาคม 2013
ดึงเอา ดาราดังแห่งยุค อย่าง คิมเบอร์ลี และอดีต Presenter ของ Honda Jazz อย่าง
มาริโอ เมาเร่อ มาถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณา รวมทั้งรุ่นพิเศษ Attrage RalliArt ในงาน
Motor Expo ช่วยให้ Mitsubishi Motors ยังสามารถเพิ่มยอดขายในตลาด ECO Car
และมียอดขายภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ได้ตามความประสงค์ นอกเหนือจากการอัด
แคมเปญส่งเสริมการขาย กันต่อเนื่องจนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์ที่ ผู้เขียน
พูดได้เต็มปากว่า “เสพย์ติดการใช้แคมเปญ” จนยากจะถอนตัวไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า จะมีแต่ข่าวดี เพราะปี 2013 ที่ผ่านมา ผู้จำหน่ายในภาคเหนือของ
พวกเขา พยายามขยายตัวเร็วเกินไป จนเกิดปัญหาสภาพคล่อง และต้องปิดกิจการ จึง
ทำให้ลูกค้าในเชียงใหม่ และเชียงราย จดทะเบียนรถยนต์ที่ตนซื้อไม่ได้ โดนด่าเละ
กลายเป็นภาพลบให้กับแบรนด์ในสายตาลูกค้ากลุ่มนั้นไปอย่างน่าเสียดาย นี่ยัง
ไม่นับปัญหาเรื่องบริการหลังการขาย ซึ่งแม้จะพยายามกันเท่าไหร่ ก็ยังไม่ชนะใจ
ของลูกค้ากันเสียที

ปี 2014 จะเป็นปีสำคัญ สำหรับชาวทุ่งรังสิต และแหลมฉบัง เพราะถึงเวลาแล้วที่
ทุกฝ่าย ต้องเตรียมทัพรับศึก รถกระบะ และ SUV / PPV อย่างเต็มกำลัง ตามแผน
ที่บริษัทแม่ ประกาศออกมาในช่วงเดือนตุลาคม ว่านับจากนี้เป็นต้นไป พวกเขา
จะเน้นทำตลาดรถกระบะ รถยนต์กลุ่ม Crossover SUV และกลุ่ม SUV พันธุ์แท้
เป็นหลัก จนหลายคนเริ่มแซวว่า…

“พวกเขาคิดจะเจริญรอยตาม Isuzu อยู่ใช่ไหม?”

เริ่มจากช่วงต้นปี SUV / PPV รุ่นขายดีอย่าง Pajero Sport จะมีการปรับโฉม Minorchange
ครั้งสุดท้าย เปลี่ยนมาใช้กระจังหน้าใหม่ แบบเดียวกับ Triton รุ่นปัจจุบัน อาจเพิ่ม Option
บางอย่าง และชุดเครื่องเสียงที่ใช้งานง่ายกว่าเดิม โดยไม่มีการแตะต้องกับเครื่องยนต์อีก
เป็นอันขาด กำหนดเปิดตัว คาดว่าอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2014

จากนั้น ในช่วง ไตรมาส 3 ของปีนี้ Mitsubishi TRITON Full Modelchange จะออกสู่
ตลาดเมืองไทย เป็นแห่งแรกในโลก โดยยังคงใช้เส้นสายตัวถังจากรถกระบะต้นแบบ
Mitsubishi GR-HEV Concept ที่เผยโฉมครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show เดือน
มีนาคม 2013 และตามมาเปิดตัวในบ้านเรา ณ งาน Bangkok Motor Show ในช่วง
ปลายเดือนเดียวกัน

แนวทางการพัฒนา Triton รุ่นใหม่ จะเน้นการผสมผสานรูปแบบความทรหดบึกบึน
เข้าไปในเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว เอาใจลูกค้าชาวไทยมากขึ้น หลังจากที่มีบทเรียนจาก
Triton รุ่นปัจจุบันมาแล้ว ว่า เส้นสายที่ล้ำอนาคตเกินไป และการเรียก คุณ ตูน จากวง
Bodyslam มาช่วยเป็น Presenter ให้ ช่วยเรียกความสนใจจากลูกค้าได้เพียงส่วนหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่า ทางเลือกขุมพลัง จะเป็นเช่นไร เพราะบางกระแสข่าว
รายงานว่า คราวนี้ Mitsubishi Motors อาจลดความจุกระบอกสูบ ลงมาเล่นในพิกัด
2,200 ซีซี เหมือนคู่แข่งหลายค่ายตอนนี้ ส่วนขุมพลังรุ่น Top อาจไม่ใช่ 3,200 ซีซี
อย่างที่เป็นอยุ่ในรุ่นปัจจุบันอีกต่อไป เพราะลูกค้าเมืองไทย ให้น้ำหนักเรื่องของ
ความประหยัดน้ำมัน เหนือกว่าเรื่อง อัตราเร่ง อยู่ ในสายตาของคนญี่ปุ่น

กำหนดเปิดตัวอยู่ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2014 และมีแนวโน้มว่า อาจจะต้องเปิดตัว
ในช่วงใกล้เคียงกับ Nissan Navara Full Model Change ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้
ยังไม่มีข้อสรุปว่า Mitsubishi Motors จะยังคงใช้ชื่อ Triton กับรถกระบะรุ่นใหม่ใน
บ้านเราต่อไปหรือไม่

(ความเห็นส่วนตัว Triton เป็นชื่อที่ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยน และควรใช้ต่อไป!)

นอกจากนี้ Mitsubishi Motors กำลังศึกษาอยู่ว่า จะสั่งนำเข้า Outlander PHEV
รถยนต์ Crossover SUV พร้อมขุมพลัง Plug-in Hybrid เสียบชาร์จกับไฟบ้าน
ได้ด้วย มาขายในบ้านเราดีหรือไม่

ปัญหาก็คือ ถ้าสั่งเข้ามาจริงๆ ค่าตัวของมัน อาจพุ่งไปเฉียดๆ 3 ล้านบาท
ยิ่งถ้าเข้าไปนั่งดูภายในรถด้วยแล้ว หลายคนน่าจะเกิดคำถามว่า

“ฉันจ่ายเงิน เกือบ 3 ล้านบาท เพื่อรถยนต์ ที่มีพวงมาลัยกับสวิชต์เครื่องปรับอากาศ
เหมือน Mirage กับ Attrage เนี่ยนะ??” เพราะลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่ มักไม่ค่อย
ให้ความสนใจเรืองระบบขับเคลื่อนกันหรอก พวกเขาสนแค่ว่า Option ที่ได้ แลกกับ
ค่าตัวที่จ่ายหนะ มันคุ้มกันไหม? แค่นั้น!

ดังนั้น ผู้เขียนได้แต่ขอเตือนว่า ยังไม่สายเกินไป หากจะคิดดูให้ดีๆ อีกครั้ง

พอถึงปี 2015 เวอร์ชัน SUV/PPV ก็จะเวลาของ Pajero Sport เปลี่ยนโฉมใหม่
ทั้งคัน แบบ Full Model Change โดยจะมีการพัฒนาบนโครงสร้างเฟรมแชสซี
และงานวิศวกรรมของ Triton รุ่นต่อไป ตามคาด กำหนดขึ้นสายการผลิต น่าจะ
อยู่ในช่วงปลายปี 2014 ถึงต้นปี 2015

ทั้ง Triton ใหม่ และ Pajero Sport ใหม่ จะยังคงผลิตขึ้นที่โรงงานของตนใน
แหลมฉบัง ตามเคย ต่อไป

ข้ามมาดูรถเก๋ง ที่จะเหลือในตลาดเมืองไทย เพียง 2 รุ่นกันดูบ้าง Mirage
ใหม่ จะมีการปรับโฉม Minorchange ในช่วงปี 2015  ส่วน Attrage ที่เพิ่ง
เปิดตัวไป จะยังไม่มีการปรับโฉมอื่นใด นอกเหนือจากการกระตุ้นตลาด
ด้วยรุ่นพิเศษ ตามสไตล์ของค่ายทุ่งรังสิต จนถึงปี 2015 ไม่แน่ว่า ทั้ง 2 รุ่น
จะปรับปรุงระบบกันสะเทือนให้มั่นใจขึ้นกันได้ เมื่อไหร่?

สำหรับ อนาคตของ Lancer ในเมืองไทยนั้น แนวโน้มค่อนข้างมืดทน
เพราะว่า ข้อตกลงล่าสุด ที่เพิ่งลงนามกับทาง Renault เมื่อปลายเดือน
ตุลาคม 2013 ระบุว่า  Renault จะต้องส่งรถยนต์ D-Segment ให้ทาง
Mitsubishi เอาไปขายในชื่อ Galant เฉพาะตลาดอเมริกาเหนือ และ
ต้องส่งรถยนต์ C-Segment ให้ ฝ่ายญี่ปุ่นเอาไปขายในตลาดโลก แต่
ต้องส่งออกมาจากโรงงาน Renault เท่านั้น

นั่นหมายความว่า มีความเป็นไปได้ที่ Renault Megane รุ่นต่อไปจะแปะ
ตรา Mitsubishi Lancer ขายในตลาดโลก และอาจเป็นไปได้อีกเหมือนกัน
ที่ Lancer รุ่นต่อไป จะไม่มาเมืองไทย

อีกทั้ง Mitsubishi Motors เอง ก็ประกาศกลายๆแล้วว่า นับจากนี้ รถเก๋ง
ที่พวกเขาจะพัฒนาต่อไป ก็คือ รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันของทั้ง Mirage
และ Attrage เท่านั้น เต็มที่สุด ก็อาจจะมี รถเก๋งสมรรถนะสูง สืบทอด
ตำนานของ Lancer Evolution ออกมาอีกสักรุ่นหนึ่ง นอกจากนี้ พอที
ไม่มีอีกแล้ว

เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะ Lancer รุ่นปัจจุบัน ไม่ประสบความสำเร็จ
ด้านยอดขาย ในแทบทุกประเทศที่เข้าไปจำหน่าย เท่าที่ควร เนื่องจาก
ตัวรถดูเป็นผู้ชายมาก จนกลุ่มลูกค้าสตรี พากันเกลียดขี้หน้า สมรรถนะ
ก็ยังไปในแนวทาง รถยนต์ GT หนักๆ มากกว่า

เท่ากับว่า หลังจากนี้ Mitsubishi Motors จะต้องเน้น รถยนต์ ECO Car
ขนาดเล็ก และบรรดา รถกระบะ กับ Crossover และ SUV ทั้งหลาย อย่าง
จริงจัง มากกว่าที่เคยเป็นมา โดยต้องยอมทิ้งตลาดรถยนต์นั่ง Sedan 4 ประตู
ไปเกือบท้ังหมด!?

 ———————————–

NISSAN
2014 : Navara Full Modelchange / All New X-Trail Made in Thailand /
            Pulsar Turbo E20 /Almera Minorchange
2015 : Navara SUV / PPV
2016 : Teana Hybrid + Minoerchange / March Full Modelchange /
2017 : Sylphy Full Modelchange / Almera Full Model Change

ปี 2013 ถือเป็นปีที่ Nissan ต้องออกแรงในการประคองยอดขายกันเหนื่อยกว่าปกติ 
เพราะเป็นผู้ประสบเหตุ จากโครงการรถคันแรก ไปเต็มๆ จนถึงตอนนี้ แม้ว่า Almera จะ
ครองแชมป์ ECO Car Sedan ที่ขายดีที่สุดในกลุ่ม (เพราะมีอยู่แค่ 3 รุ่น) แต่ March
ปรับโฉม Minorchange ในช่วงงาน Bangkok Motor Show มีนาคม 2013 กลับ
มียอดขายไม่สู้ดีนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งคันอื่นๆ

ขณะที่กลุ่ม C-Segment การเปิดตัว Nissan Pulsar ใหม่ ซึ่งเป็นเวอร์ชัน Hatchback
ของ Sylphy กลับไม่ได้ช่วยให้ยอดขายดีขึ้นกว่าเดิมเลย โชคไม่ดีนักที่การเปิดตัวเกิดขึ้นใน
จังหวะที่ ความต้องการรถยนต์กลุ่ม C-Segment หดตัวอย่างรุนแรง แม้จะเริ่มกรเตื้องขึ้น
ในช่วงปลายปี แต่ก็ต้องอัดแคมเปญช่วยกระตุ้นกำลังซื้อกันอย่างหนัก มีเพียง Sylphy ที่
ยังสามารถทำยอดขายในภาพรวมได้อย่างดี เกาะกลุ่ม เจ้าตลาด ทั้ง Toyota Corolla Altis
และ Honda Civic ไปได้เรื่อยๆ แถมการออกรุ่นติดก๊าซ จากโรงงาน Sylphy CNG และ
รุ่นตกแต่งพิเศษ ทั้ง Sylphy 1.6 SV (แต่งคล้ายกับ Pulsar 1.6 SV )ก็ ช่วยเพิ่มความสนใจ
ของลูกค้าที่มองหาความคุ้มค่าจากโรงงาน มากยิ่งขึ้น

ยิ่งในกลุ่มรถตู้เพื่อการพาณิชย์แล้ว แม้จะเปิดตัว Nissan Urvan ใหม่ ออกมา แต่ก็เจอ
หมัดสวนจาก Toyota Commuter ใหม่ ที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยมาให้คู่หน้า เป็นครั้งแรก
ของกลุ่มรถตู้เข้าไป แถมวางเครื่องยนต์ใหม่ Diesel 3.0 ลิตร Turbo ก็ถึงกับทำให้
Urvan จุกไปเลย

ไฮไลต์ สำคัญของ Nissan เกิดขึ้นในช่วงปลายปี ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว Teana ใหม่
Full Model change ที่จัดทัพปรับอุปกรณ์มาอย่างดี ตีกบาลคู่แข่งทั้ง Toyota Camry 
และ Honda Accord จนเกือบหงายหลัง แต่สุดท้าย กว่าจะเริ่มส่งมอบรถยนต์กันได้เต็มที่
ต้องรอจนถึงเดือนมกราคม 2014

ขณะเดียวกัน น้องเล็กที่หลายๆคนหมดหวังไปแล้ว อย่าง Nissan Juke จู่ๆ ก็กลับมา
เปิดตัวกันได้ในที่สุด ก่อนงาน Motor Expo 2 วัน เป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่กระแสของ
Juke จะโรยราไปพอดี งานนี้ Nissan ถึงขั้นต้องใช้วิธี ส่งเครื่องยนต์ HR16DE จาก
Sylphy จากเมืองไทย ไปให้โรงงานของตนใน Indonesia ประกอบมาเป็นรถใหม่
เพื่อให้ใช้ชิ้นส่วนในไทย Local Content เกิน 40% ขึ้นไป จนได้รับสิทธิพิเศด้าน
ภาษี แถมงานนี้ ดึง พีช พชร นักแสดงนำจาก ซีรีส์สุดฮิต “Hormones” มาช่วยเป็น
Presenter สร้างสีสันจนดึงยอดขาย แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Ford EcoSport รวม
ยอดสั่งจองมากถึง 3,200 คัน ขึ้นแท่นรถยนต์ที่มียอดจองสูงสุดในงาน Motor Expo
แถมยังไปเบียดยอดขายของ Pulsar เองด้วยซ้ำ ใครที่รอรับรถอยู่ ใจเย็นๆ เดือน
มกราคม Juke ล็อตแรก จะเดินทางมาถึงท่าเรือแหลมฉบังอย่างแน่นอน

ส่วนปี 2014 นั้น Nissan จะยังคงจัดเต็ม จัดหนักต่อเนื่อง จากปี 2013 เริ่มกันด้วย
ช่วงไตรมาสแรก Nissan จะเปิดตัว Almera Minorchange กันเสียที งานนี้ อาจมี
การปรับรูปโฉมภายนอกนิดหน่อย ส่วนภายในอาจมีการปรับอุปกรณ์ประจำรถ
ปรับทัพรุ่นย่อย และแน่นอนคือ การปรับราคาขึ้น

ตามมาด้วย Surprise ที่ผู้เขียนรอคอย (อยู่คนเดียว..หรือเปล่า?) นั่นคือการนำ
ขุมพลัง 1.6 ลิตร DDT Turbo Intercooler มาวางลงใน Pulsar (และอาจ
รวมถึง Sylphy ด้วย) งานนี้ ได้ยินมาว่าจะมีการปรับเซ็ตพวงมาลัย และช่วงล่าง
เอาใจคนชอบขับรถสนุกๆมากยิ่งขึ้น คาดว่าน่าจะเปิดตัวได้ ในช่วงงาน Bangkok
Motor Show หรือหลังจากนั้นไม่นานนัก ที่ล่าช้าไปนั้น อาจเพราะ จะต้อง
ปรับแต่งเครื่องยนต์ ให้สามารถรองรับการใช้งานน้ำมัน แก็สโซฮออล์ ได้
อย่างน้อยๆ ก็ต้องมี E20 กันขึ้นไปนั่นละ

ล่วงเข้าสู่ ช่วงกลางปี หลังจากที่โรงงานแห่งใหม่ของ Nissan บนพื้นที่ใกล้กับ
โรงงานเดิม ถนนบางนา-ตราด กม.22 เสร็จสิ้นปุ๊บ เราจะได้เห็นการเปิดตัว
รถกระบะ Navara ใหม่รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ทั้งคัน รายละเอียด
ต่างๆ ยังไม่มีหลุดเล็ดรอดออกมา เพราะการง้างปากคนของ Nissan เดี๋ยวนี้
มันช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน

อย่างไรก็ตาม ถ้าอ้างอิงข้อมูลเก่าที่เคยเขียนเอาไว้ในบทความสรุปรถใหม่ใน
เมืองไทย 2013 – 2016 เมื่อปีที่แล้ว ก็จะพบว่า Nissan คิดจะเล่นเกม Engine
Downsizing ในตลาดกลุ่มนี้ ด้วยการยกขุมพลังใหม่จาก Renault แบบ Diesel
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.3 ลิตร Common Rail พ่วงด้วย Turbo และ
Intercooler มาวางลงใน Navara รุ่นต่อไป พละกำลังจะแรงไปถึง 200 แรงม้า
(PS) ซึ่งนั่นเท่ากับ Mazda BT-50 PRO และ Ford Ranger 3.2 Wildtrak
รุ่นปัจจุบันเลยทีเดียว! ทั้งที่มีความจุกระบอกสูบ น้อยกว่ากันถึง 1 ลิตร!! ส่วน
เวอร์ชันส่งออก จะเป็นรุ่น Twin Turbo แรงเพิ่มขึ้นได้อีก 10 แรงม้า รวมเป็น
210 แรงม้า (PS)!! แต่ คงจะไม่ทำตลาดในไทย (มามุขเดียวกับ เครื่องยนต์
Diesel Twin Turbo ของ Isuzu D-MAX ที่มีไว้เพื่อตลาดส่งออกเท่านั้น) 
เฟรมแชสซีส์ จะยังเน้นความแข็งแก่ง ทนทรหด เพื่องานบรรทุกตามเดิม แต่
จะเสริมให้แข็งแกร่งขึ้น โดยที่มีปัจจัยเรื่องต้นทุน มาเกี่ยวข้องค่อนข้างเยอะ
เนื่องจาก Navara รุ่นปัจจุบันนั้น ขายได้เรื่อยๆ แต่กำไรต่อคัน น้อยมาก หรือ
แทบไม่เหลือเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น การลดต้นทุน แต่ยังคงรักษามาตรฐานของ
ตัวรถไว้ให้ได้อย่างดี จึงเป็นโจทย์หินสำหรับทีมวิศวกรของ Nissan ในครั้งนี้

หลังจากนั้น จะถึงคิวของ Nissan X-Trail ใหม่ล่าสุด เจเนอเรชัน 3 ที่จะถูก
นำมาขึ้สายการผลิตในบ้านเรา อย่างจริงจังเสียที คาดว่า น่าจะวางขุมพลัง
เดียวกันกับ Nissan Teana นั่นคือ เบนซิน 4 สูบ 2.0 และ 2.5 ลิตร ขับเคลื่อน
ล้อหน้า และ 4 ล้ออัตโนมัติ ด้วยเกียร์ CVT จุดเด่นที่ผู้เขียนได้สัมผัสกับตัวจริง
ณ ประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว นั่นคือ เบาะนั่งแถวกลาง จะนั่งสบายที่สุด ในบรรดา
คู่แข่งพิกัดเดียวกัน ทั้ง Honda CR-V , Mazda CX-5 ไปจนถึง Chevrolet
Captiva แต่เบาะแถว 3 นั้น อาจจะยังทำได้ไม่ดีเท่า Captiva กำหนดเปิดตัว
คาดว่าจะเกิดขึ้น ถัดจาก Nissan Navara ใหม่ ไปสักเล็กน้อย

ส่วนคำถามที่ว่า แล้ว SUV / PPV บนโครงสร้างของ Navara ใหม่ละจะมีมา
ผลิตขายในบ้านเราหรือเปล่า คำตอบก็คือ มีโครงการนี้อยู่จริง แต่จนถึงตอนนี้
ก็ยังไม่มีความชัดเจนแน่นอนอะไรทั้งสิ้น เราจึงได้แต่รอดูความเคลื่อนไหว
กันต่อไป แต่จากการคาดการณ์ บอกได้ว่าหาก Nissan ตัดสินใจ เปิดไฟเขียว
สั่งเดินหน้า ลุยผลิต SUV รุ่นนี้จริง โดยใช้เครื่องยนต์กลไก เฟรมแชสซี
และงานวิศวกรรมต่างๆ ยกชุดมาจาก Navara 2014อย่างน้อยๆ เราอาจต้อง
รอจนถึงปี 2015 – 2016 จึงจะได้เห็นรถคันจริง ออกมาขึ้นโชว์รูมในบ้านเรา

ย่างเข้าปี 2016 ใครที่รออุดหนุน รถยนต์ Hybrid จาก Nissan เตรียมเก็บตังค์
รอกันไว้ได้เลย เพราะ Teana HYBRID ใหม่ คาดว่าจะมาถึงในช่วงเวลานั้น
นอกจากนี้ โครงการสำคัญยิ่งกว่าเดิม นั่นคือ Nissan March โฉมใหม่ทั้งคัน
Full Model Change จะต้องเปิดตัวในปี 2016 นี้ด้วย อาจจะเข้าร่วมโครงการ
ECO Car Phase 2 เพื่อให้สอดคล้องต่อเนื่องจาก March รุ่นปัจจุบัน คาดว่า
ตัวรถ จะต้องถูกยกระดับด้านคุณภาพ มากขึ้นกว่านี้ รวมทั้งการขับขี่จะต้อง
กลับมาถูกใจชาวยุโรปมากกว่านี้ แต่ยังต้องประหยัดน้ำมัน และใช้งานง่าย
เหมือนเช่น March ทุกรุ่น ตลอด 33 ปีที่ผ่านมา

และในปี 2017 เราอาจจะได้เห็น รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของ Sylphy
รวมทั้ง Almera ใหม่ ซึ่งจะถือเป็น 2 ทัพสำคัญในการบุกตลาด Sedan
ของ Nissan ในช่วงนั้น แต่ในเวลานี้ ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึง ทั้งคู่

———————————–

PEUGEOT
2014 : After 3008?…No Brand New Model!

ค่ายเสือสำอางค์เมืองน้ำหอม ภายใต้การดูแลของ บริษัท ยูโรเปียน ออโตโมบิลล์ จำกัด อดีต
บริษัทในเครือยนตรกิจ ที่ตอนนี้ แยกตัวจากกลุ่ม เดิมเรียบร้อยแล้ว ยังคงเดินหน้าทำตลาด
ไปแบบ Low Profile ไม่หวือหวานัก อย่างน้อยๆ การตัดสินใจนำเข้า 408 Sedan ขุมพลัง
2.0 ลิตร Turbo มาขาย ก็ถือว่า ถูกต้อง เพราะช่วยผลักดันยอดขายให้ยังพออยู่ได้ในตลาด
รถยนต์บ้านเรา ที่มีการแข่งขันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนบรรดารถยนต์แบรนด์แปลกๆ เริ่ม
อยู่ยากขึ้นทุกวัน

อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วง Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2013 Peugeot จะมีรถยนต์รุ่น
ใหม่ 2 รุ่นรวด นั่นคือ 3008 Crossover เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Turbo 156 แรงม้า ค่าตัว
2,390,000 บาท แต่ยังเป็นรุ่นที่เปิดตัวมาตั้งแต่ ปี 2010 (เพราะรุ่นปรับโฉมใหม่ ของ
ปี 2014 เพิ่งจะเผยโฉมไปไม่นานมานี้) และ 408 รุ่นพิเศษ “Sportium” ไฟหน้ารมดำ
ล้ออัลลอยรมดำ สปอยเลอร์หลัง ราคา 1,390,000 บาท มาอวดโฉมและเปิดรับจองอยู่

แต่สำหรับปี 2014 นั้น Peugeot แอบทำเสียงอ่อย ค่อยๆบอกว่า “ปีนี้ ยังไม่มีแผนนำเข้า
รถยนต์รุ่นใหม่มาขาย ขอระบายสต็อกที่มีอยู่ กันก่อน” มามุขเดียวกันกับ GM , Ford
และ Kia กันเลยทีเดียว

——————————————

PORSCHE
2014 : Macan Compact SUV in Thailand / Cayenne Faceliftd + Plug in  Hybrid /
           918 Spyder
2015 : Project “960”

ปีที่แล้ว AAS เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 3 รุ่นรวด ในปีเดียว ทั้ง 911 Carrera 4S ขุมพลัง
Boxer 3.8 ลิตร 400 แรงม้า (PS) เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2013 ตามด้วย การเปิดตัว
Panamera Minorchange ใหม่ ซึ่งมีทั้งรุ่น Diesel เมื่อ 6 สิงหาคม 2013 วางขุมพลัง
Diesel V6 สูบ 3.0 ลิตร Turbo 258 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 – 4,400 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,750 รอบ/นาที

และรุ่น Panamera S E-Hybrid ในฐานะ รถยนต์แบบ Plug-in Hybrid เสียบปลั๊กชาร์จไฟเข้า
แบตเตอรี่ได้ แบบแรกในเมืองไทย ที่พร้อมทำตลาดจริงอย่างเป็นทางการ เมื่อ 25 กันยายน 2013
วางเครื่องยนต์ V6 DOHC 3.0 ลิตร Supercharge ผนวกกับ มอเตอร์ไฟฟ้า สร้างพลังรวมได้ถึง
416 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 590 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic S 8 จังหวะ
(ไม่ใช่คลัตช์คู่นะจ๊ะ) ดังนั้น E-Hybrid จึงสามารถคลานเงียบๆ ในเมืองได้อย่างประหยัดน้ำมัน
และให้อัตราเร่งเร่งได้เร็วอย่างรถสปอร์ต แปะป้ายราคาไว้ 9,600,000 บาท โดยรับประกันตัวรถ
9 ปี และรับประกันอายุแบตเตอรี่ 6 ปี

ในปี 2014 นี้ บรรดา อาตี๋เล็ก อาหมวยใหญ่ เตรียมรอพบการมาถึงของ Crossover SUV
ขนาดเล็กกว่า Cayenne บนพื้นฐานวิศวกรรมร่วมกับ Audi Q5 ในชื่อ Porsche Macan
ได้เลย เพราะเวอร์ชันจำหน่ายจริง เผยโฉมแล้ว ทั้งใน Frankfurt Motor Show เดือน
กันยายน และ Tokyo Motor Show เดือนพฤศจิกายน 2013 พูดให้เข้าใจง่ายๆ มันคือ
การนำเอา Cayenne รุ่นล่าสุด ไปย่อส่วน ให้นั่งได้ 5 คน และทำตลาดในราคาถูกลง
ยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย กลายเป็น Porsche ราคาถูกที่สุดเท่าที่เคยมีมา

Macan ทำตลาดด้วย 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Macan S ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V6 สูบ 3.0 ลิตร
Twin Turbo 340 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 460 นิวตันเมตร
ที่ 1,450 ถึง 5,000 รอบ/นาที อีกรุ่นคือ Macan Diesel วางขุมพลัง Diesel V6 สูบ
3.0 ลิตร Turbo ลูกเดียว 258 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 – 4,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
580 นิวตัน-เมตรที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที ทั้ง 2 รุ่น ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อม
เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ PDK 7 จังหวะ เหมือนกัน

คาดว่า Macan เวอร์ชันไทย ที่ทาง AAS น่าจะนำเข้ามา อาจจะเป็นรุ่น
Macan S ก่อน และคาดว่า กว่าจะมาง อาจต้องรอ ช่วงกลางปี 2014 แล้ว

ส่วน 918 Spyder รถสปอร์ต Plug-in Hybrid ที่ใช้งานได้ทั้งน้ำมันเบนซินและ เสียบชาร์จกับ
ปลั๊กไฟบ้าน วางขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว 3,400 ซีซี 500 แรงม้า (PS) ติดตั้งอยู่กลางลำตัว
(Mid-Engine) เกียร์อัตโมัติ  Dual Clutch PDK 7 จังหวะ ถ่ายทอดกำลังสู่มอเตอร์ 2 ตัว ที่ล้อ
คู่หน้า และ อีก 1 ตัว ที่ล้อคู่หลัง อีก 218 แรงม้า (PS) รวมกันแล้วแรงเกือบๆ 800 แรงม้า (PS)
เผยโฉมแล้วในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2013 พร้อมกับทำสถิติ
แล่นในสนาม Nurburgring ที่เยอรมันี ได้เร็วที่สุด ด้วยเวลา 6 นาที 57 วินาที (!!) คาดว่า
ถ้ามหาเศรษฐีเมืองไทยคนใดสนใจ คงต้องสั่งจองกับทาง AAS กันเอาเอง ในปี 2014 นี้

ในปี 2015 Porsche ยังเตรียมจะพัฒนารถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางขนาดกลางค่อนข้างใหญ่
รุ่นใหม่ ในรหัสโครงการ 960 ซึ่งแม้ว่า ภาพรวมแล้ว มันคือการนำ Porsche Cayman มาขยายร่าง
แต่เป้าหมายของมัน คือ ถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อกรกับ Ferrari 458 Italia หรือรถ Super Car ในระดับ
เท่าๆกัน เช่น Lamborghini Gallado Full Model Change รถคันนี้ต้องคอยดูว่า จะเข้ามาบ้านเรา
ในปี 2016 หรือ 2017 ?
 
——————————————–

PROTON
2014 : New SAVVY

จากที่เคยทำนายไปในบทความเดียวกันนี้เมื่อปีก่อนว่า การเปิดตัวของ Preve น่าจะ
ช่วยทำให้อนาคตของ Proton ในเมืองไทย สดใสขึ้นมาบ้าง การณ์กลับกลายเป็นว่า
2013 เป็นปีที่ Proton เริ่มอยู่ในสถานการณ์ไม่ดีนัก อาการหนักน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าเก่า

จริงอยู่ว่า Preve Turbo จะทำให้ผู้เขียนประทับใจในอัตราเร่งได้มาก แถมภาพรวม
ของตัวรถยังถือว่าดีขึ้นจากมาตรฐานดั้งเดิมของ Proton สมกับสโลแกนโปรโมทของ
รถยนต์รุ่นนี้ว่า Drive it to believe it. แต่ด้วยการบริการหลังการขาย ของผู้จำหน่าย
รายปัจจุบัน มีเสียงร่ำลืออื้ออึงคะนึงหนาหู เหลือเกิน ทำให้อนาคตของแบรนด์ Proton
ในบ้านเรา สุ่มเสี่ยงต่อหายนะมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ Exora Turbo Minivan ที่ทาง
Proton อยากจะใช้เป็นตัวหลักในการกู้ยอดขายในบ้านเรา กลับกลายเป็นว่า ขายได้
ไม่ถึงฝันเท่าที่ควร อีกทั้งโชว์รูม กับศูนย์บริการ ที่เคยมี เริ่มทะยอยล้มหายตายจาก
กันไปเรื่อยๆ ดังนั้น ต่อให้พวกเขาเปิดตัว Preve Hatchback 5 ประตู 1.6 ลิตร
Turbo ในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา ก็ไม่อาจเรียกให้ผู้บริโภค เดินเข้าบูธของ
Proton ได้มากมายเหมือนแต่ก่อน

สิ่งที่ทุกคนรอคอยกันในตอนนี้คือ การเข้ามาบริหารเองของบริษัทแม่ จากมาเลเซีย
ซึ่งก็ตกอยู่ในภาวะลำบาก เหมือนกัน จนต้องจับมือแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี กับค่าย
Honda และเริ่มทะยอย ส่งผลผลิตที่ Honda เลิกขายไปแล้วมา Re-badge
หรือเอารถยนต์ Honda รุ่นเก่า มาแปะตราขายใหม่ในชื่อ Proton เช่น Sedan
ใหญ่ อย่าง Accord G8 กลายเป็น Proton Perdana ใหม่ไปเสียอย่างนั้น ดู
ซ้ำรอยเหมือนรุ่นก่อน ที่การนำ Mitsubishi Eterna ยกมาเปลี่ยนตราขายกันดื้อๆ

แต่ รถยนต์รุ่นใหม่ ที่เชื่อแน่ว่า ชาวมาเลเซียคงจะรอคอยกันเยอะ นั่นคือ Savvy
รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change ที่จะมีเส้นสายแบบ Mini-MPV
มากขึ้น ทั้งที่ยังอยู่ในร่างของ Hatchback 5 ประตู ตามเดิม วางเครื่องยนต์
เบนซิน 4 สูบ 1,200 ซีซี 75 แรงม้า (PS) จากรุ่นปัจจุบัน ขับเคลื่อนล้อหน้า
ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ในตอนนี้ รถยนต์ต้นแบบ Protoype กำลังวิ่งเล่น
ทดสอบอย่างขะมัเขม้น ทั้งที่มาเลเซีย และในยุโรป เพื่อให้ทันการเปิดตัวใน
มาเลเซีย เป็นแห่งแรกในโลก ภายในกลางปี 2014 และถ้าไม่ผิดแผนอื่นใด
คนไทย ก็จะได้พบกับ Savvy ใหม่ ในช่วงปลายปี 2014

แต่ถ้าจะให้ดี ขอให้ Proton Thailand บริษัทแม่จากมาเลเซีย มาลุยเอง
เลยจะยิ่งดี!

——————————————–

Rolls-Royce
2014 : รุ่นพิเศษ Limited Edition
2015 : Wraith เปิดประทุน

การเปิดตัว รถยนต์นั่งระดับหรู 2 ประตู ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานจาก Saloon รุ่น Ghost ในชื่อ Wraith
รวมทั้งรุ่นพิเศษสำหรับ Ghost จำนวนจำกัด คือ Hi light สำคัญของ Rolls-Royce ทั่วโลก และใน
เมืองไทย ตลอด ปี 2013 ทำเอา โชว์รูม Rolls-Royce Motor Car Bangkok ของ Millenium
Auto ทั้งที่ พระราม 3 และ Siam Paragon หัวบันไดไม่แห้ง เลยทีเดียว

แต่ในปี 2014 มหาเศรษฐีทั้งหลาย อาจยังไมได้เห็นรถยนต์รุ่นใหม่จาก Rolls Royce กัน มีเพียง
แค่รุ่น Limited Edition ออกมาเอาใจนักสะสมของแปลก และกว่าที่เราจะได้เจอรถยนต์รุ่นใหม่
จริงๆ นั่นคือ เวอร์ชัน เปิดประทุนของ Wraith ซึ่งวางขุมพลังเดียวกัน ระบบส่งกำลังเหมือนกัน
อาจต้องรอกันไปจนถึงปี 2015 หรือ 2016 ด้วยซ้ำ เพราะทางโรงงานในสหราชอาณาจักร บอกว่า  

“เราไม่รีบ!”

———————————————–

SKODA
2014 : Supurb  Minorchange / Yeti Minorchange

ต้องยอมรับว่า ปี 2013 ไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับแบรนด์ Skoda ในเมืองไทย เพราะต่อให้
ผู้จำหน่ายบ้านเรา พยายามอย่างไร ปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่การจดทะเบียนรถ
ให้ลูกค้าล่าช้า ก็เพิ่งมาทะยอยแก้ไขกันได้ในช่วงปลายปีนี่เอง จนถึงเรื่องบริการหลัง
การขาย ที่ยังไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้นัก แต่อย่างน้อย ความพยายามนำเข้ารถยนต์
รุ่นใหม่ล่าสุด อย่าง Octavia Combi 2.0 TDi พร้อมเกียร์อัตโนมัติ DSG 6 จังหวะ ก็
สำเร็จลงด้วยดี แม้จะเข้างาน Motor Expo ในวันที่ 2 ธันวาคม ล่าช้ากว่ากำหนดการ
ถึง 4 วัน ก็ตาม แต่ด้วยราคาแนะนำ 1,690,000 บาท ก็ทำให้หลายคนตัดสินใจสั่งจอง
กันได้ไม่ยาก ได้ยินว่า บางคน ถึงขั้น ถอนจอง Mazda CX-5 เพื่อมาจบกับ Octavia
หลังจากแค่ลองขับไปรอบเดียวเท่านั้น!

ปี 2013 DAD Yontrakit จะเริ่มกลับมาลุยตลาด Skoda อย่างจริงจังมากขึ้นได้lสักที
ทั้งการสั่งนำเข้า Superb Minorchange รุ่นล่าสุด พร้อมออพชันระดับจัดเต็ม แต่ยัง
ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร TSI ตามเดิม มาทันในช่วงงาน Bangkok Motor
Show ส่วนช่วงปลายปี อาจจะได้เจอกับรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Yeti
เจ้าหมีหิมะ ที่มีหน้าตาเรียบร้อยและดูแก่ลงกว่าเดิม ในงาน Motor Expo

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจากแผนกันอีกนะ!

ส่วน Rapid ดูรูปการณ์แล้ว อาจต้องพักโครงการกันไปเลย เพราะ รถยนต์นั่ง
Sedan ขนาดเล็ก หน้าตาเรียบๆ วางเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร แล้วต้องขายในราคา
คันละเกินกว่า 1 ล้านบาท อยู่พอสมควร เห็นทีว่าจะขายได้แน่ๆ…(สัก 3-4 คัน
ที่เหลือ จอดนอนดมฝุ่นอยู่ในโกดังนั่นแหละ!)

——————————————–

SSANGYONG
2014 : B-Segment Crossover SUV (Smaller than Korando)

นับตั้งแต่ ปี 2013 นี้เป็นต้นไป กิจการของ Ssangyong Motor ถูกครอบครอง โดยกลุ่ม
บริษัทอุตสาหกรรม Mahindra & Mahindra จากอินเดีย ซึ่งชนะการประมูลสำเร็จ และ
จากแผน Promise 2013 ว่าจะออกรถยนต์รุ่นใหม่ แบบปรับโฉม Minorchange รวม
5 รุ่น และทำยอดขายให้ได้ 150,000 คัน/ปี ภายในปี 2013 และจะเปิดตัวรถยนต์รุ่น
ใหม่หมดทั้งคัน และรุ่น Full ModelChange รวม 4 รุ่นรวด เพื่อสร้างยอดขายระดับ
300,000 คัน ให้ได้ ภายในปี 2016 รวมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า EV และรถยนต์ SUV ที่
ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ มลพิษต่ำ อีกด้วยนั้น

แต่ในเมืองไทย หลังจากที่เผยโฉม Korando เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด ก็ยังไม่มีรถยนต์
SUV รุ่นใหม่ๆ คันอื่น เปิดตัวกันเท่าใดเลย ขณะที่ศูนย์บริการ ก็ยังคงทำหน้าที่ดูแล
ซ่อมบำรุงรถยนต์ของลูกค้าไปเรื่อยๆ จนความเคลื่อนไหว จะเริ่มเงียบหายแล้ว

แต่ในปี 2014 นี้ เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ B-Segment Crossover SUV ขนาดเล็กกว่า
รุ่น Korando ที่สร้างขึ้นจาก รถยนต์ต้นแบบ Ssangyong XIV-1 และ XIV-2 จะพร้อม
ออกสู่ตลาดในเกาหลีใต้ และคาดว่า มีกำหนดจะส่งมาเปิดตัวในบ้านเรา อย่างเร็วที่สุด
คืองาน The International Bangkok Motor Show เดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้

——————————————–

SUBARU
2014 : WRX STi

นับตั้งแต่ Subaru XV ประกอบในมาเลเซีย ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในงาน Motor Expo
เดือนพฤศจิกายน 2012 จนถึงวันนี้ กลุ่ม Tan Chong Group / MotorImage ผู้จำหน่าย
Subaru ในเมืองไทย ภายใต้ชื่อใหม่ T.C. Subaru ต้องพบเจอกับเรื่องตื่นตะลึงตึงตึง ชนิดที่
พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน…อาทิ…

– จากแผนเดิมที่ กลุ่ม Tan Chong วางสัดส่วนยอดขาย XV ใน ASEAN ให้ อินโดนีเซียถึง
50% มาเลเซีย  กับฟิลิปปินส์ แห่งละ 20% และไทยแค่ 10% แต่การณ์กลับพลิกล็อกถล่ม
ทะลาย กลายเป็นว่า ตลาดความหวังทั้ง 3 ยอดขายไม่เดิน แต่ยอดสั่งจองในเมืองไทย พุ่ง
พรวดพราดทะยานฟ้า โหม่งเตะดาวลูกไก่พุ่งใส่บริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น จนต้องปรับสัดส่วนให้ XV
แทบทุกคันที่ส่งออกในตอนนี้ ขนมาลงเมืองไทยให้หมด!!

– ชาวญี่ปุ่น ที่ Fuji Heavy Industries (สำนักงานใหญ่ Subaru ที่ญี่ปุ่น) ถึงกับบินมา
ดูสถานการณ์กันต่อเนื่องชนิดที่ว่า เว้นไปได้สัก 2-3 สัปดาห์ ก็ยกโขยงมากันอีกแล้ว! และ
พวกเขาเริ่มมองเห็นศักยภาพของตลาดเมืองไทย มากขึ้นกว่าที่เคยมีมา

– โชว์รูม ถนนสุขาภิบาล 2 หาที่จอดรถแทบไม่ได้อีกต่อไป เพราะทุกวัน จะมีรถเทรลเลอร์
ขน XV มาลงจอดที่โชว์รูม อย่างต่อเนื่อง เช้า สาย บ่าย ค่ำ แทบไม่มีวันหยุด และทุกคัน
เป็นรถยนต์ที่ถูกจับจองมีเจ้าของไปหมดแล้ว แต่ยังทะยอยส่งมอบให้ลูกค้ากันไปเรื่อยๆ

– มีโชว์รูม และศูนย์บริการ Subaru เปิดขึ้นมาใหม่ ตามจุดต่างๆ มากถึง 11 แห่ง ไล่เลี่ยกัน
แถมมีครบตามหัวเมืองสำคัญๆ ไม่เว้นแม้แต่ที่พัทยา ก็ยังมีผุดขึ้นมาให้เห็น!

– สถาบันการเงินอย่าง ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา เริ่มติดต่อมาขอดีลทำแคมเปญส่งเสริมการขาย
ร่วมกับการใช้สินเชื่อ หรือบัตรเครดิตร่วมกัน!

– ทั้งหมดที่พูดมาข้างต้น ทำให้ Tan Chong Group ตัดสินใจ เพิ่มงบโฆษณามหากาฬ
เริ่มลงโฆษณาบนป้าย Bill Board สำคัญๆ ในกรุงเทพมหานคร 5 แห่ง แถมด้วย การ
ซื้อเวลา ลง Spot โฆษณา ทางวิทยุ…และตามด้วย โฆษณา โทรทัศน์

– ในที่สุด ลูกค้ายิ่งเริ่มมั่นใจในแบรนด์มากขึ้น ว่าคราวนี้ จะมาอยู่กันนานๆ ก็ยิ่งเริ่ม
เดินเข้ามาดู XV กันต่อเนื่อง ยิ่งเริ่มมีแคมเปญ ปลายปี ลดเหลือ 1,290,000 บาท
และทางเลือกต่างๆนาๆ

– ไม่เพียงเท่านั้น ยังสั่งนำเข้า Subaru Forester มาช่วยเสริมทัพ ทั้งรุ่น 2.0 iL และ
ตัวแรง 2.0 XT Turbo มาขายกันแบบเอใจลูกค้าเรื่อยๆ

คำถามก็คือ ต่อจากนี้ Subaru จะเป็นอย่างไรต่อไป? จะสั่งนำเข้ารถยนต์รุ่นไหน
มาบุกตลาดกันอีก?

ปี 2014 นั้น อาจยังไม่มีแนวโน้มชัดเจนนัก เพราะแม้ว่า Subaru Levorg Sports
Wagon คันใหม่ ที่แทรกกลางระหว่าง Impreza , XV และ Legacy เพิ่งเปิดตัวใน
งาน Tokyo Motor Show เดือนพฤศจิกายน ไปหมาดๆ แต่ในเบื้องต้น Levorg
ยังถูกจำกัดการทำตลาดแค่ในญี่ปุ่นเท่านั้น ทั้งที่จริงๆแล้ว หากนำมาประกอบขายใน
มาเลเซีย หรือเมืองไทย แล้วสามารถทำราคาให้ต่ำลงมา ในระดับพอกันกับ XV หรือ
อาจจะแพงกว่ากันไม่เกิน 200,000 บาท ก็ย่อมเรียกลูกค้าให้เดินเข้ามาอุดหนุน
Subaru กันได้ อย่างเต่อเนื่อง เพราะตัวรถคันจริง ตอบโจทย์ลูกค้าบ้านเราได้อยู่
และ ยังไม่มีใคร เปิดตลาดกลุ่ม Wagon ราคาไม่เกิน 1,500,000 บาท อย่าง
จริงจังมานานหลายปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มลูกค้าดั้งเดิมที่รักความแรง Subaru ยังจำเป็นต้องรั้ง
พวกเขาไว้ ด้วยการนำเข้าตัวแสบอย่าง WRX Sti ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ
ในงาน L.A.Auto Show เดือนพฤศจิกายน 2013 (ชนกับ Tokyo Motor
Show นั่นละ) มาเอาใจนักซิ่งเท้าไฟ แต่ยังไม่มีอะไรแน่ชัดว่า WRX
Sti ใหม่ จะมาถึงบ้านเราได้เมื่อไห่

ส่วนตลาดโลก นั่น ปี 2014 – 2015 Subaru Legacy ใหม่จะต้องเปิดตัว
และแน่นอนว่า คงจะต้องมีเข้ามาขายในบ้านเรา พร้อมกันทั้งรุ่น Wagon และ
รุ่น Outback ยกสูง อย่างแน่นอน เพียงแต่ อย่าคาดหวังเรื่องงานออกแบบ
ภายนอกมากนัก เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการเอา Impreza หรือ XV รุ่นใหม่
มาเป่าลมให้โป่งพองโตเป็นลูกโป่ง…แค่นั้น!

——————————————–

SUZUKI  
2014 : New ECO Car 1.0 Litre Below Swift ! (Alto / Celerio Replacement) /
           Swift Minorchange Dual Jet
2015 : Swift’s Based Sedan (Not Indian Swift DZire Sedan!)
2016 : Swift Full Model Change
2017 : B-SUV ?

ปีที่แล้ว ถึงแม้ Suzuki เก็บเกี่ยวยอดขายจาก Swift เพียงรุ่นเดียว แต่ก็ได้กลับมาเป็นกอบเป้นกำ
ถึงขั้นข้นแท่นเป็น ECO Car ตัวถัง Hatchback รุ่นขายดีทีสุดในเมืองไทยไปบางเดือนด้วยซ้ำ
แต่การมาถึงของ Toyota Yaris ในเดือนพฤศจิกายน ก็ทำให้ Swift เสียตำแหน่ง แชมป์ยอดขาย
กลุ่ม ECO Car Hatchback ไปตามความคาดหมาย กระนั้น ยังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้อยู่อย่างดี

ขณะเดียวกัน Suzuki Ertiga รถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ก็ควรจะได้รับความนิยมจนยอดขาย
ดีกว่านี้ หากไม่ติดปัญหาที่ว่า ยอดขายในอินโดนีเซีย ได้รับความนิยมสูงมาก จนกำลังการผลิต
ที่โรงงานในแดนอิเหนาเอง ยังไม่เพียงพอ ทำให้การส่งมอบรถยนต์ ถึงมือลูกค้าในไทย ล่าช้า
จนยอดขายไม่เปรี้ยงปร้างเท่าใดนัก และทำให้ลูกค้าบางส่วนกลับไปอุดหนุน Toyota Avanza
อย่างช่วยไม่ได้

ท้ายสุด ในช่วงงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน Suzuki นำรถยนต์ต้นแบบขนาดเล็กในชื่อ
A-Wind มาเปิดผ้าคลุม ถึง 2 คันรวด ถือเป็นการเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรกในโลก เพื่อยีนยัน
กระแสข่าวช่วงก่อนหน้านี้ว่า Suzuki กำลังซุ่มทำ ECO Car Hatchback คันเล็กกว่า Swift อยู่จริง

แม้รถคันนี้จะถือเป็นรุ่นเปลี่ยนโฉมของ Alto / Celerio เวอร์ชันตลาดโลก (คนละรุ่นกับ Alto
660 ซีซี ในกลุ่ม K-Car ของ ญี่ปุ่น และคนละคันกับ Maruti Suzuki Alto 800 ในอินเดีย แต่ช่วง
ก่อนปีใหม่ Suzuki แย้มออกมาแล้วว่า ตั้งใจจะเลิกใช้ชื่อ Alto ในตลาดโลก ดังนั้นจึงเหลือเพียง
2 ทางเลือก คือ ใช้ชื่อรุ่นว่า Celerio หรือ ตั้งชื่อใหม่กันไปเลย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในตอนนี้
คาดว่า การใช้ชื่อ Celerio (อ่านว่า เซเลริโอ) ในบ้านเรา ดูจะเป็นไปได้มากที่สุด

เวอร์ชันจำหน่ายจริง ของ Celerio จะเริ่มผลิตขึ้นในโรงงานของ Suzuki ที่จังหวัดระยอง ใน
เดือนมีนาคม นี้ และจะเริ่มเปิดตัวออกสู่ตลาดเมืองไทย เป็นแห่งแรกในโลก อย่างเป็นทางการ
ภายในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน มีนาคม ก่อนงาน Bangkok Motor Show จะเริ่มขึ้นไม่กี่วัน

ราคาขาย? รุ่นแพงสุด Full Option ต่ำกว่า 450,000 บาท แน่ๆ แต่ราคาเริ่มต้นในรุ่นถูกสุดนั้น
อาจถูกลงไปได้จนถึง ระดับ 300,000 บาท บวกลบนิดหน่อย!!

ย่างเข้าสู่ปี 2015 รถยนต์นั่ง Sedan 4 ประตู พิกัด B-Segment ที่ใช้โครงสร้างวิศวกรรม
พื้นฐานของ Swift ก็จะเป็นคิวต่อไปที่รอเวลาเข้าสู่ช่วงทำคลอด แม้จะมีภาพถ่ายคันจริง
หลุดออกมาจากทางฝั่งอินเดียแล้ว แต่ เส้นสายภายนอก จะยกมาจากรถยนต์ต้นแบบ
Suzuki Authentic S ที่เผยโฉมในช่วงกลางปี 2013 ที่ผ่านมา

เวอร์ชันไทย จะยังคงใช้เครื่องยนต์ 1,200 ซีซี อย่างแน่นอน แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็น
ขุมพลัง ใหม่ 1,200 ซีซี Turbocharger ด้วยหรือไม่ กำหนดเปิดตัว จะอยู่ในช่วง
ไตรมาสแรก ต้นปี 2015 เหมือนเช่นที่ Suzuki มักยึดถือในการเปิดตัวรถยนต์รุ่น
ใหม่ๆ ในบ้านเรา ตั้งแต่ปี 2012 เป้นต้นมา Sedan คันใหม่นี้ ถูกคาดหวังให้เป็น
Global Small Sedan คันใหม่ของ Suzuki อย่างแท้จริงเสียที

และพอเข้าสู่ปี 2016 ก็จะถึงเวลาที่ Swift ต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change
ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดอื่นใดเล็ดรอดออกมามากนัก เพราะยังห่างไกลจากช่วงเวลา
เปิดตัว แต่คาดกันว่า Swift รุ่นใหม่ ต้องยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และเพิ่มระยะฐานล้อ เพื่อให้
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งมีความเป็นไปได้ว่า อาจติดตั้ง เครื่องยนต์ใหม่
1,200 ซีซี พ่วง Turbocharger ที่มีกระแสข่าวลือจากต่างประเทศ ในช่วงปลายปีที่่ผ่านมา เพื่อ
เพิ่มสมรรถนะทั้งอัตราเร่ง ความประหยัดน้ำมัน รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์
เพื่อให้สอดรับกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต อัตราใหม่ในปี 2016 แต่จนถึงตอนนี้ ทุกอย่าง
ยังไม่นิ่ง และยังเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมดตลอดเวลา

ส่วนโครงการต่อไปที่เราควรเริ่มจับตามองกันได้บ้างแล้ว คือ การเตรียมนำรถยนต์ B-Segment
Crossover SUV รุ่นใหม่หมดจด มาผลิตขายในเมืองไทย ช่วงปี 2016 – 2017 โดยรถยนต์
ใกล้เคียงกับความเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้ น่าจะถูกพัฒนาต่อยอดมาจากรถยนต์ต้นแบบ
Suzuki iV-4 ที่เพิ่งเผยโฉมใน Frankfurt Motor Show และ Tokyo Motor Show ช่วงเดือน
กันยายน – พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แต่รายละเอียดในตอนนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยมากนัก

——————————————–

TOYOTA / LEXUS
2014 : ALL NEW Corolla ALTIS / Vios TRD Sportivo
           LEXUS RC , CT Minor & NX
2015 : Camry & Camry HYBRID Minorchange
           ALL NEW HILUX (Project Code : IMV2) /  
2016 : Fortuner Full Model Change + Hybrid !? /  Innova Full Model Change
2017 : Vios Minorchange / Yaris Minorchange / Camry Full Model Change

ปี 2013 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ ยักษ์อันดับ 1 ของญี่ปุ่น เกิดอาการถดถอย ในบ้านเรา อย่างชัดเจน
เพราะแม้จะมีการเปิดตัว Toyota Vios รุ่นเปลี่ยนโฉมแทบทั้งคัน Full Model Change ของ
ขุนศึกรุ่นสำคัญ กลางงาน Bangkok International Motor Show เมื่อเดือนมีนาคม รวมทั้ง
Toyota Yaris ใหม่ ที่ใช้ตัวถังพิเศษ พัฒนาร่วมกับ Vios ใหม่ แต่ใส่ขุมพลัง 1.2 ลิตร เพื่อให้
ชนกับบรรดา ECO Car รุ่นต่างๆ ทว่า ยอดขายก็ไม่กระเตื้อง เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะ
กำลังซื้อในตลาดรถยนต์ขนาดเล็กตั้งแต่ 1,500 ซีซี ลงมา หดตัวอย่างรุนแรง หลังจากโครงการ
สนับสนุนคืนเงิน 100,000 บาท จากรัฐบาล ยุติลง

จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไม Toyota ถึงตัดสินใจเลื่อน สารพัดโครงการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่
ให้ไกลออกไป จากเดิมกันทั้งหมด แทบทุกโครงการ!

เริ่มจากปี 2014 ถือเป็นปีที่ Toyota อาจยังต้องประคองตัวกันไปอีก 1 ปี เพราะสถานการณ์
ภาพรวมของตลาด จะยังไม่ดีขึ้นมากนัก อีกทั้งผู้บริโภค ยุคใหม่ๆ ที่เข้าถึงข้อมูลจากโลก
On-Line ทั้งหลาย จะเริ่มเปลี่ยนใจไปจาก Toyota มากขึ้น เพราะต้องการลองเสี่ยงหันไป
อุดหนุนแบรนด์ระดับมวยรองในตลาด เพิ่มขึ้น

ดังนั้น รถยนต์รุ่นใหม่ทั้งคันจาก Toyota ในปีนี้ จะมีเพียงแค่ Corolla ALTIS รุ่นใหม่
เปลี่ยนโฉมทั้งคัน Full Model Change ซึ่งนอกจากจะยืนยันว่า บ้านเราจะได้ใช้เวอร์ชัน
เดียวกับ ตลาดยุโรป แล้ว ยังจะไม่มีรุ่น 2,000 ซีซี ให้เลือกในช่วงแรกที่เปิดตัว อีกต่อไป
เหลือไว้เพียงแค่เครื่องยนต์ 1,600 และ 1,800 ซีซี โดยไร้เงารุ่น 2,000 ซีซี ขณะนี้ เริ่ม
มีการผลิต และส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ของเรา บ้างแล้ว แต่สำหรับเมืองไทย
มีกำหนดเปิดตัว ในวันที่ 14 มกราคม 2014 นี้ คาดว่าราคาน่าจะแพงขึ้นกว่าเดิมราวๆ
10,000 – 40,000 บาท ในแต่ละรุ่นย่อย ตามสูตรเดิมๆ

จากนั้น เดือนมีนาคม นี้ Vios TRD Sportivo รุ่นตกแต่งพิเศษ เอาใจคนอยากได้
Option จัดเต็ม จากโรงงาน ก็พร้อมจะปล่อยออกสู่ตลาดช่วงก่อนงาน Bangkok
Motor Show ไม่กี่อึดใจ ถือเป็นหนึ่งในรุ่นกระตุ้นตลาด TRD Sportivo ที่น่าจะ
ทะยอยเปิดตัวออกมา ในจำนวนจำกัด ไม่กี่พันคัน ตามเคย

ส่วน Camry และ Camry HYBRID รุ่น ปรับโฉม Minorchange เลื่อนการเปิดตัวไป
เป็นช่วงไตรมาสแรกของปี 2015 คาดว่าคราวนี้ อาจมีการปรับโฉม ครั้งใหญ่ ให้สดใหม่
และขึ้นนำในฐานะจ่าฝูงเจ้าตลาด D-Segment ในบ้านเราต่อไปได้อีก 2 ปี คาดว่าอาจมี
การนำเทคโนโลยี ขุมพลัง Direct Injection D4-S มาติดตั้งให้ในรุ่น 2.0 ลิตร ส่วนรุ่น
Hybrid นั้น ยังไม่แน่ใจว่า จะตกแต่งเพิ่มเติมให้หรูขึ้น หรือถอดชุดเครื่องเสียง JBL
ที่ให้เสียงอันห่วยแตก จนต้องยอมซื้อวิทยุ ธานินทร์ เครื่องละ 300 บาท มาฟังแทน
ทิ้งไปด้วยหรือไม่ แต่คำแนะนำจากใจที่ขอมอบให้ตรงนี้ ก็คือ ไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
ไม่เช่นนั้น ก็หาพันธมิตรใหม่ มาช่วย ยังดีเสียกว่าจะปลดประจำการออกไปง่ายๆ

อีกโครงการสำคัญ ที่เจอโรคเลื่อนเข้าไป คือ โครงการพัฒนารถกระบะ Hilux VIGO
รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change ซึ่งถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงไตรมาส 3
กลางปี 2015 แทน แม้ว่างานออกแบบใกล้เสร็จหมดแล้ว แต่ Toyota บอกว่า “ยังไม่รีบ”

อย่างไรก็ตาม แนวคิดในการพัฒนา จะมุ่งเน้นให้เป็นรถกระบะที่ทนทรหดต่อสภาพ
การใช้งานหนักหน่วง เพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เพื่อรองรับความต้องการจากบางประเทศ
ที่ใช้งานรถกระบะโหดร้ายกว่าเมืองไทย เช่นในแถบแอฟริกาใต้ ซึ่งต้องเปลี่ยนไส้กรอง
อากาศกันทุกเดือน!!

แต่ที่แน่ๆ ขุมพลังของเวอร์ชันไทยจะยังเป็น ตระกูล KD Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
มีให้เลือกทั้ง 2,500 และ 3,000 ซีซี Common-Rail Turbo VGT Intercooler ที่
ปรับปรุงให้แรงขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้น รวมทั้งติดตั้ง บานแค็บเปิดได้ แต่ยังไม่แน่ว่าจะมีการ
แก้ไขยกระดับสมรรถนะและการทรงตัวให้ดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน และจะใช้ชื่อรุ่นว่าอะไร?
เพราะยังมีความเป็นไปได้อยู่บ้างว่า Toyota อาจไม่ใช้ชื่อ Vigo ต่อไป ซึ่งหากย้อนไปดู
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แทบจะกลายเป็นธรรมเนียมของค่ายไปแล้วว่า ทุกครั้งที่ Toyota
เปลี่ยนโฉมใหม่ให้รถกระบะทั้งคัน จะต้องเปลี่ยนชื่อ Sub name ตามไปด้วย แต่ตอนนี้
ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป

ส่วน ต้นปี 2016 จะเป็นช่วงเวลา ที่ Fortuner ใหม่ Full Model Change จะเผยโฉม
ออกสู่ตลาด และจำเป็นจะต้องมี Innova ใหม่ ตามเข้ามาเปิดตัวในเมืองไทยด้วยอย่าง
หลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่งานวิศวกรรมต่างๆ จะใช้ร่วมกันกับ Hilux Next Vigo แน่นอน

แต่ที่ต้องจับตาดูไว้ก็คือ เราอาจจะได้เห็น Fotuner HYBRID ออกสู่ตลาดด้วย ก็เป็นได้
เพราะ Toyota คิดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว ว่าอยากจะทำ เพื่อขยายฐานการใช้ขุมพลัง
Hybrid ในรถยนต์ของตนให้เยอะที่สุด เพื่อช่วยลดค่าพัฒนาแบ็ตเตอรี และระบบ
ขับเคลื่อน ให้มีต้นทุนถูกลง เพียงแต่ในความเป็นจริง Fortuner จำเป็นแค่ไหนที่จะ
ต้องมีรุ่นขุมพลัง Hybrid ? มันขึ้นอยู่กับว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ จะ
ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ในการใช้อัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ ที่จะเริ่มใช้ในปี 2016
หรือไม่?

ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ฝั่ง Lexus ในปี 2013 ที่ผ่านมา เน้นการบุกตลาดของรุ่น IS ใหม่
Full ModelChange กันไปแล้วทั้ง IS 300h และ IS250 รวมทั้ง การเผยโฉมรุ่น GS300h
ในช่วงเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา แม้จะมีลูกค้าให้ความสนใจพอสมควร แต่ลูกค้าที่เซ็น
ใบสั่งจอง ก็ยังไม่เยอะเท่าที่ควร เนื่องจากราคาขายปลีกที่แพงเกินใจลูกค้านั่นเอง

ในปี 2014 รถยนต์รุ่นใหม่จากแบรนด์ Lexus ที่จะเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา ยังคงเป็น
รถนำเข้ากันตามเคย เนื่องจากแผนการนำ ES300 มาประกอบขายในเมืองไทย ดูท่าจะ
ไปไม่สวย จนมีข่าวว่าต้องพับเก็บเข้าลิ้นชักกันชั่วคราว ดังนั้น ปี 2014 นี้ เราจะได้เห็น
Lexus IS Coupe ในชื่อ RC (มาจาก Rear Wheel Drive Coupe) โดยเวอร์ชันขายจริง
จะเผยโฉมในสหรัฐอเมริกา ต้นปี 2014 จากนั้น จะตามมาเปิดตัวในเมืองไทย ช่วง
งาน The International Bangkok Motor Show  เดือนมีนาคม แต่กว่าจะพร้อมส่ง
มาขายในบ้านเรา อาจต้องรอถึงกลางปี

อีกคันหนึ่ง นั่นคือ Lexus NX Premium Compact Crossover SUV คันเล็กกว่า RX
เป็นครั้งแรกที่ Toyota จะวางขุมพลัง Turbocharger ให้กับตระกูล Lexus รถยนต์
รุ่นนี้ มีกำหนดเปิดตัวในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และน่าจะส่งมาถึงเมืองไทย หลัง
การเปิดตัวของ RC ราวๆ ไม่กี่เดือน

นอกจากนั้น ยังมีรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ CT200h Premium Hatchback
ขับเคลื่อนล้อหน้า ขุมพลัง Hybrid น้องเล็กสุดในตระกูล ที่เข้าสู่ช่วงกลางอายุตลาด จน
ต้องปรับหน้าตาใหม่ เผยโฉมครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show และ Tokyo
Motor Show ก่อนจะบินมาเปิดตัวในเมืองไทย ในช่วงปี 2014 นี้ ถ้า Toyota และ
Lexus กรุงทพ สามารถเคลียร์สต็อกเก่าของ CT200h รุ่นปัจจุบันไปได้หมด

——————————————–

VOLKSWAGEN
2014 : What’s going on? New Beetles?

จนถึงตอนนี้ สิทธิ์การทำตลาดรถยนต์ Volkswagen ในบ้านเรา ก็ยังอยู่กับ “ไทยยานยนตร์”
เหมือนเช่นเคย และปี 2013 ที่ผ่านมา ต้องถือว่า รถยนต์รุ่นใหม่ๆ แทบไม่มีเลย ถ้าไม่นับ
Volkswagen Amarok ซึ่งมีผู้สั่งจองไปทั้งหมด ราวๆ 20 – 30 คันเท่านั้น การส่งมอบจะ
เริ่มต้นขึ้นในช่วงหลังปีใหม่ รวมทั้ง รถตู้ยอดนิยม Caravelle ที่มีการตกแต่ง ภายในกัน
ในระดับ Minorchange มากถึง 2 รอบ

มาปีนี้ เรายังคงต้องดูกันต่อไปว่า ตกลงแล้ว ไทยยานยนตร์ จะพร้อมสั่งนำเข้า Volkswagen
New Beetle ใหม่ ขุมพลัง 1.4 TSI รวมทั้ง Volkswagen Golf และ Golf GTi ใหม่ Mk VII
เข้ามาหรือไม่ เพราะตั้งแต่ต้นปี 2013 จนถึงวันปิดต้นฉบับบทความนี้ ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า
ชวนให้สงสัยว่า ที่ยังแจ้งมาว่า อยู่ในระหว่างเจรจากับบริษัทแม่ในเยอรมันี เพื่อจะขอสั่ง
รถเข้า รถยนต์รุ่นนี้มาขายนั้น ไม่รู้ว่า เจรจาบ้าอะไรตั้งเป็นปี ปล่อยให้พ่อค้ารายย่อยสั่ง
นำเข้ามาขายเก็บตังค์ไปสบายใจเฉิบกันแล้ว

หรือจะต้องรอให้ บริษัทแม่ เข้ามาทำตลาดเองกันจริงๆ?

——————————————–

VOLVO
2014 : XC90 Full ModelChange Launch Global
2015 : XC90 Full ModelChange SKD Malaysia launch in Thailand

ตลอดปี 2013 ที่ผ่านมา Volvo V40 ใหม่ คือรถยนต์ กลุ่ม Premium Compact Hatchback ที่
ทำให้ ชื่อของ Volvo กลับมาอยู่ในความสนใจของลูกค้าชาวไทยอีกครั้ง แม้จะเปิดตัวกัน
ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม แต่กว่าจะเริ่มส่งมอบรถให้
ลูกค้าที่สั่งจองไว้ ต้องรอจนถึงเดือนพฤศจิกายน กันก็ตาม แต่ด้วยค่าตัวรดับ 1.8 ล้านบาท
ทำให้หลายๆคน ที่คิดจะซื้อรถยนต์ในระดับราคาเท่าๆกัน ถึงกับขอตัดสินใจ ดึง V40
มาเป็นหนึ่งในตัวเลือกมากขึ้น

ล่าสุด ก่อนสิ้นปี เมื่อ xx พฤศจิกายน 2013 ที่ผ่านมา Volvo จัดงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่
รวดเดียว 5 รุ่นรวด! นำทัพโดย V40XC และบรรดารุ่นปรับโฉม Minorchange ของทั้ง S60
V60 XC60 และ S80 มาพร้อมระบบ Redar ตรวจจับและสั่งเบรกอัตโนมัติ เมื่อมีจักรยาน
ขี่ตัดหน้า เป็นรายแรกในโลกและในไทย!

ส่วนในปี 2014 หลังการเผผยโฉมรถยนต์ต้นแบบ รุ่นใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นแนวทางการ
ออกแบบของ Volvo ในยุคต่อไป ณ งาน Detroit Auto Show ต้นเดือนมกราคม 2014 แล้ว
คาดว่าเราจะได้เห็นการเปิดตัวของ Volvo XC90 ใหม่ ในตลาดโลกกันเสียที หลังจากที่
Volvo เริ่มปล่อยภาพวาด Sketch ออกมาบ้างแล้ว นิดๆหน่อยๆ พวกเขาระบุว่า จะติดตั้ง
สารพัดเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยเต็มเหนี่ยวชนิดหมดยกห้องแล็บมาให้ลูกค้ากัน
เลยทีเดียว

แต่กว่าจะเข้ามาขายในบ้านเรา อาจต้องรอจนถึงปี 2015 ในรูปแบบ รถยนต์นำเข้าจาก
มาเลเซีย

สรุปว่า หลังจากนี้ ความเคลื่อนไหวของ Volvo ให้ดูว่า โรงงานในมาเลเซีย เตรียมผลิต
รถยนต์รุ่นไหน? ก็จับจ้องได้เลยว่าอีกไม่นานนัก สักพัก รรุ่นนั้นจะเข้ามาขายใน
บ้านเราแน่ๆ

—————————————///——————————————-

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขวิทธิ์ภาพถ่ายต่างประเทศ ของ บริษัทผู้ผลิต และ Website ที่มี Credit ใต้ภาพ

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
1 มกราคม 2014

Copyright (c) 2014 Text
(All of Pictures are from the Manufacturer & Some Website as in Credit)

Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
January 1st,2014

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE