UPDATE!!

บทความนี้ มีการปรับปรุงจนเป็น บทความใหม่ ประจำปี ในชื่อ รวมรถใหม่ในไทย 2011 – 2014 ออกมาแล้ว

คลิกอ่านบทความใหม่ ที่อัพเดทข้อมูลรถใหม่ในไทย กว่าบทความนี้ ได้ ที่นี่ (CLICK Here)

สภาพตลาดรถยนต์เมืองไทยในปี 2009 ที่ผ่านมา แม้จะไม่เงียบเหงาหนักหนาเท่ากับ
วิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 1997-1998 อย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนออกมาคาดการณ์ไว้ เพราะ
เริ่มมีรถยนต์ขนาดเล็ก ทะยอยเปิดตัวสู่ตลาดเป็นรุ่นใหม่ครั้งแรกหลายรุ่น และราคาน้ำมัน
ในช่วงตลอดทั้งปี ไม่ได้ผันผวนไปมากนัก และเป็นไปตามสภาพวิกฤติเศรฐกิจโลก
อันเริ่มมาจาก สหรัฐอเมริกา แต่ด้วยเหตุที่มีการประโคมข่าวกันมากเกินเหตุ จนผู้คน
เกือบจะทั้งโลก พากันตื่นตระหนก และพยายามแก้ปัญหา ในเชิงตั้งรับเอาไว้ก่อนแล้ว
อีกทั้ง ปัญหาความไม่สงบของการเมืองภายในประเทศ ทำให้ผู้ผลิตแทบทุกราย ตัดสินใจ
ลดกำลังการผลิต ปลดคนงานในไลน์ผลิต ประเภท Sub-contract ชั่วคราว ออกไปเยอะ
และชะลอดูสถานการณ์ กันแทบจะทั้งวงการ ส่งผลให้ ตลาดรถยนต์ ลดความคึกคักลงไป
ไม่น้อยเลยทีเดียว

ช่วงครึ่งหลังของปี เมื่อการเมือง เริ่มมีเสถียรภาพขึ้น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ของรัฐบาลในแต่ละประเทศ ที่งัดออกมาใช้เต็มไปหมด ทำให้เศรษฐกิจของโลก ฟื้นตัว
กลับมาได้ ในช่วง ไตรมาสสุดท้าย และส่งผลให้ผู้คนซึ่งชะลอการตัดสินใจซื้อรถไปตลอดทั้งปี
พากันกลับมา ซื้อรถใหม่กันมากมาย จนยอดจองในงาน Motor Expo ถล่มทะลายไปตามๆกัน

รายที่ดูจะหนักหนาสาหัสที่สุด เห็นจะได้แก่ผู้ผลิตรถยนต์จากสหรัฐอเมริกา ทั้ง GM
และ Ford ซึ่งต้องรับบทหนัก ทั้งการรอดูสถานการณ์ ความเปลี่ยนแปลงของบริษัทแม่
โดยเฉพาะ GM ที่ประกาศล้มละลายไปในช่วงกลางปี และแทบจะเรียกได้ว่า
เกือบจะ ตัดหางหน่วยงานในไทย กันเลย ขณะที่ ฟอร์ด เอง ก็ได้แต่ประคับประคอง
ให้รอดพ้นไปได้อย่างทุลักทุเล

โดยผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น รายหลักๆ ทั้ง โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ มิตซูบิชิ ต่างพากัน
พักการจ้างพนักงานชั่วคราวในไลน์ประกอบ กันยกใหญ่ ก่อนจะเริ่มเรียกรับสมัคร
กลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง ในช่วง ครึ่งหลังของปี

ขณะที่ผู้ผลิตรายใหม่ๆ ที่ลงสู่ตลาดในปี 2009 ที่ผ่านมา มีเพียงรายเดียวคือ Chery
ซึ่งเปิดตัว ครั้งแรกในงาน Bangkok International Motor Show ที่ไบเทค เดือนมีนาคม 2009
และพยายามสร้างความคุ้นเคยในแบรนด์รถจากเมืองจีนให้คนไทยได้รู้จักกัน

นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา ยังเป็นปีที่ หลายๆค่าย ซึ่งซุ่มอยู่เงียบๆ พยายามเดินหน้าเปิดตลาดกัน
อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Volkswagen ภายใต้การดูแลของ ไทยยานยนต์ (หนึ่งในส่วนที่แตกออกมาจาก
ยนตรกิจเดิม) เปิดตัวรถใหม่ทีเดียว 4 รุ่นรวด ในงานเดียวกันกับ Chery และ Suzuki ที่ถือได้ว่า
เป็นการกลับมาเตรียมการวางแผนทุ่มลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อสร้างรถ ECO Car ในเมืองไทย
อีกทั้งยังเป็นปีที่ Nissan กับ Tata ประกาศความพร้อมในการเตรียมผลิตรถยนต์ ECO Car
ด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้ ล้วนถือเป็นบททดสอบในการปรับตัว ต่อสภาวะการณ์ที่เปลี่ยนไป
ของทุกค่ายรถยนต์ กันโดยถ้วนหน้า

ในปี 2010 นั้น สิ่งที่ต้องจับตากันต่อไป คือ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศ ที่จะ
เป็นปัจจัยหลัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และจะ
ส่งผลต่อการซื้อรถยนต์ ที่น่าจะอยู่ในระดับเพิ่มขึ้นจากปี 2009 ไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม ด้วยอานิสงค์ ของการเปิดตัวรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ๆ สู่ตลาด ตลอด
ช่วงครึ่งแรกของปี ก็พอจะสร้างสีสัน และการขยายตัว ให้เกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่ง
ขึ้นอยู่กับแผนการตลาด ที่แต่ละค่าย จะเตรียมไว้อยู้ในมือ

กระนั้น ช่วงครึ่งหลังของปี ยังมีปัจจัยการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ตามสภาพเศรษฐกิจโลก
ที่คาดว่าจะฟื้นตัว อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในครึ่งหลังของปี 2010 แทบจะไม่มีรถยนต์รุ่นสำคัญๆใดๆ
เปิดตัวกันอีกเลย ถือเป็นบรรยากาศ ที่แปลกไปจากที่ควรเป็นไม่น้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่
แต่ละค่ายทะยอยเลื่อนโครงการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพื่อให้ไปเปิดตัวในช่วงปี 2011 กัน
เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะรถยนต์จากโครงการ ECO CAR ของทั้ง 6 ผู้ผลิตรายใหญ่และรายเล็ก

เป็นประจำทุกต้นปีที่ ผมจะมีบทความสรุปความเคลื่อนไหวของปีที่แล้ว รวมทั้งสรุปความเคลื่อนไหว
รถใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ พร้อมข้อมูลการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ล้ำไปไกลล่วงหน้าก่อนสื่อรายใด
ถึง 3 ปี ในนิตยสาร THAIDRIVER แต่นับจากนี้ บทความนี้ จะย้ายมาเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ เป็นประจำ
ทุกต้นปี และกลางปี เพื่อเป็นของกำนัล สำหรับผู้อ่าน เอาไว้ใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมวางแผนซื้อรถยนต์
ล่วงหน้า หรือสำหรับผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ ใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

และผู้เขียนได้แต่หวังว่า การย่างก้าวเข้าสู่ปีใหม่นี้ ซึ่งเป็นปีที่ แม้ว่าความวุ่นวาย ดูจะลดน้อยลงกว่าเดิม
แต่การใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท คือหนทางที่ดีที่สุด ในการอยู่ร่วมกัน ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ใจเขาใจเราให้มากขึ้น
คิดเพื่อผู้อื่นรอบตัวให้มากขึ้น คิดถึงตนเองให้น้อยลง เริ่มที่ตัวเราเพียงเท่านี้ ผู้คนรอบข้างก็จะเริ่มมี
กำลังใจมากขึ้น ทิศทางเศรษฐกิจที่จะฟื้นกลับมาดีขึ้น ก็จะส่งผลให้บรรยากาศของตลาดรถยนต์
จะกลับมาคึกคักกันได้ในท้ายที่สุด อาจฟังดูเหมือนไม่เกี่ยวสักเท่าใด แต่หากตรึกตรองดูให้ดี จะพบว่า
ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เชื่อมต่อกันเป็นวงจรห่วงโซ่ทั้งนั้น

เอาละ เรามาดูกันดีกว่าว่า ปีนี้ แต่ละค่ายจะมีรถยนต์ใหม่รุ่นใด ที่ต้องจับตามองกันกันบ้าง?

***หมายเหตุ***
ข้อมูลทั้งหมดในรายงานชิ้นนี้ ได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าถูกต้อง
ตรงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นล่าสุด ณ วันที่นำบทความชิ้นนี้ ขึ้นเผยแพร่
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป อาจมีข้อมูลดิบและ/หรือข้อมูลที่กลั่นกรองแล้วปรากฎขึ้นอีก
ได้ตลอดเวลา ข้อมูลเหล่านั้นอาจจะคลาดเคลื่อนหรือเพิ่มเติมข้อมูลเดิมจาก
บทความชิ้นนี้ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น เนื่องจากรายงานข่าวประเภทเจาะโครงการลับ
หรือ สปายช็อตนั้น ไม่มีสื่อมวลชนเล่มใดรายใดในโลกที่สามารถรายงานได้ถูกต้อง
ตรงตามความเป็นจริง 100% ต่อให้เป็นฝรั่งมังค่าก็ตาม คุณผู้อ่านควรติดตามข่าว
“ด้วยวิจารณญาณ เหตุผลในเชิงตรรกะ หรือเกมการตลาด อย่างปราศจากอคติ”
รวมทั้งศึกษาจากข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในสื่ออื่นๆ ประกอบกันด้วยอยู่เสมอ

——————————————

ALFA ROMEO / FIAT
Giulietta 149 E47

2-3 ปีที่ผ่านมา ค่ายงูกินเด็กแห่งเมืองมักกะโรนี ภายใต้การดูแลของกลุ่มพระนครยนตรการ
เคยดำริว่าจะสั่งนำเข้ารถรุ่นนั้นรุ่นนี้ เข้ามาทำตลาด แต่เอาเข้าจริง สุดท้าย ก็ยังไม่เห็นมี
รถยนต์รุ่นใหม่ๆ บนโชว์รูม เสียที ทั้ง 8C Competizione ไปจนถึง Mi.To คอมแพกต์
แฮตช์แบ็กสุดไฮเทค ตัวตายตัวแทนของ 147 ก็ยังเงียบสนิท จำได้ว่ารถรุ่นใหม่ 3 รุ่นสุดท้าย
ในตลาดเมืองไทยของอัลฟาโรมิโอ คือ 159  Alfa GT และ Brera

ปีนี้ ก็คงต้องรดูกันต่อไปว่า พระนครยนตรการ จะสั่งนำเข้า Giulietta 149 รหัส E47 อันเป็น
รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของ 147 แบบ 5 ประตู เข้ามาหรือไม่ เพราะดูเหมือนจะติดปัญหา
เดียว นั่นคือ การที่ยังไม่มีเกียร์อัตโนมัติให้เลือก ส่วน Mi.To นั้น รอดูรุ่นเกียร์อัตโนมัติ
แบบคลัตช์คู่ กันอยู่ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ ก็น่าจะมาได้ทันที อย่าให้ช้าเหมือน Fiat 500
ที่กว่าจะกลับมาเปิดตัวในไทย ณ งาน Motor Expo 2009 กันได้ ก็รอนาน จนเขาเลิกฮิต
ไปเสียแล้ว
——————————————

 

BENTLEY
Mulsanne ใหม่ จะมาเมื่อไหร่ ยังไม่รู้

หลังจากเปิดตัวรุ่น Flying Spur Speed  อันเป็นรุ่นปรับโฉมเล็กน้อย ของ
ตัวถังซีดาน มาทำตลาดด้วยราคา 25 ล้านบาท ก็น่าแปลกใจว่า เบนท์ลีย์
ไทยแลนด์ ผู้จำหน่ายรถยนต์หรู ระดับ Ultra Luxury ที่ถูกจับแยก
ออกจาก Rolls Royce มาอยู่ในร่มไม้ชายคาของ Volkswagen รายนี้
แทบไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ มายั่วกิเลสฌสรษฐีเมืองไทยกันอีกเลย

โดยเฉพาะ รุ่น Brookland หรือถ้าพูดให้ถูก ก็คือ Arnage ตัวถังคูเป้
เครื่องยนต์ขนาดมหึมา 6,761 ซีซี แรงสะใจถึง 537 แรงม้า (PS) พร้อม
เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะจาก ZF  นั้นกลับไม่ปรากฎตัวในเมืองไทย
เป็นไปได้ว่า ยอดผลิตทั้ง 550 คันเท่านั้น ถูกจับจองจนเกลี้ยงไปแล้วก็เป็นได้
ส่วน  AZURE T รถเปิดประทุนรุ่นใหม่ ก็มีค่าตัวทีแพงเกินเหตุไป

ฉะนั้น หลังจากนี้ เราคงต้องรอการเปิดตัว Bentley Mulsanne ซาลูนยักษ์รุ่นใหญ่
ที่สุด เพิ่งจะเปิดผ้าคลุมกันในงาน Frankfurt Motor Show เมื่อเดือนกันยายน
ที่ผ่านมา ในฐานะตัวตายตัวแทนของรุ่น ARNAGE ที่ใช้โครงสร้างนี้มานาน
ตั้งแต่ปี 1967 คราวนี้ มูลซาน วางเครื่องยนต์ใหญ่โตมโหฬาร V8 6,750 ซีซี
พละกำลังมหาศาลถึง 505 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด อลังการถึง 1020 นิวตันเมตร
หรือ 103.93 กก.-ม. แต่ยังอุตส่าห์ทำตัวร่วมกระแสรักษ์โลกกับเขา ด้วยการเคลมว่า
ปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ ลดลงจากเครื่องยนต์ V8 รุ่นเดิมถึง 15% เชื่อมด้วย
เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Quick Shift ว่าจะเข้ามาเปิดตัวในบ้านเราได้เมื่อใด
แทบไม่ต้องพูดถึงป้ายราคา เพราะลำพัง แค่ รุ่นล่างสุด อย่าง Continental GT คูเป้
2 ประตู สุดประทับใจผู้เขียน ก็ปาเข้าไป 23-24 ล้านบาท เข้าให้แล้ว ดังนั้น คาดว่า
มูลซาน ใหม่ คันนี้ อาจมีราคาแตะระดับ 35 ล้านบาทขึ้นไป ได้ไม่ยาก

——————————————

BMW / MINI
New 5 Series F10
X1 ดูกันอยู่
MINI Crossover  ดูไปเถอะ เดี๋ยวก็มา

ปีที่ผ่านมา BMW กระหน่ำเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และกิจกรรมการตลาดสุดระทึกใจ
อย่างบ้าคลั่ง ราวกับอัดอั้นมานาน เริ่มตั้งแต่ ใช้ฤกษ์ วันวาเลนไทน์ ปล่อย 120d Coupe
รถเล็ก ขุมพลัง ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ ที่หลายคนคิดว่า หมดหวังไปแล้ว สร้าง
กระแสกลับขึ้นมายั่วใจลูกสาวเจ้าสัวได้อย่างดี

ตามติดด้วยการเปิดตัว ซีรีส์ 7 ใหม่ รหัส F01/F02 อย่างอลังการ ในเดือนกุมภาพันธ์
ด้วยการสร้าง อาคาร Lounge ขนาดใหญ่ หน้าลานเซ็นทรัลเวิล์ด เป็นสถานที่
รับรองแขก VIP ที่ได้รับเชิญมาชมรถ เท่านั้น! และ ซีรีส์ 3 Minorchange
ช่วงงาน Bangkok Motor Show มีนาคม 2009 ที่มาครบทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน
กับรุ่นขายดีอย่าง 320d SE คันละ 2.89 ล้านบาท

จากนั้น ในช่วง เดือนกันยายน ซีรีส์ 7 ใหม่ ประกอบในประเทศ ทั้ง 740 Li เครื่องยนต์
3.0 ลิตร เทอร์โบ และ 730 Ld ขุมพลัง ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ ก็พร้อมปล่อยรถสู่มือ
ผู้มีอันจะกินเรียบร้อยแล้ว รวมทั้ง รุ่นย่อยพิเศษ ของ 320d และ 520d Sport Package
กับรุ่น Corporate ตัดออพชัน หั่นราคาทิ้งกราวรูด ยั่วน้ำลายคนอยากซื้อซีรีส์ 5 กันยกใหญ่
อีกทั้งยังเป็นปีแรกที่ BMW เข้าร่วมงาน Motor Expo เต็มอัตราศึก หลังจากหลงเอา
รถมือสองของตนมาขายอยู่ได้ตั้งหลายปี แถมตบท้ายด้วยภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์
เรื่องใหม่ล่าสุด ถ่ายทำบางส่วนในประเทศไทย ออกฉายเมื่อ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา
เรียกได้ว่า เป็นปีที่ เราไม่เคยเห็น BMW คึกคักเหมือนยักษ์ออกศึก ได้มากขนาดนี้มาก่อน

มาปีนี้ ค่ายใบพัดสีฟ้า จากเมืองมิวนิค เยอรมนี มีการบ้านชิ้นใหญ่ที่จะต้องเตรียมวางแผน
เกทับ บลัฟคู่ปรับตลอดกาลอย่าง Mercedes-Benz E-Class W212 ใหม่ ด้วยการเปิดตัว
ซีรีส์ 5 Full Modelchange รหัสรุ่น F10 ที่เพิ่งคลอดออกสู่สายตาชาวโลกไปหมาดๆ
เมื่อ 24 พฤศจิกายน 2009 โดยในช่วงแรก อาจจะเป็นการนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน จากเยอรมัน
ก่อนจะส่งมาขึ้นไลน์ประกอบ ที่โรงงานของตน ในระยอง คาดว่า น่าจะเปิดตัวด้วยรุ่น
เครื่องยนต์ เบนซินกันไปก่อน จากนั้น รุ่น 520d ที่กลายเป็นรุ่นขายดีไปแล้ว จึงจะคลานตามมา
นอกจากนั้น อาจมีรายการกระตุ้นตลาด ด้วยรุ่นย่อยพิเศษต่างๆ ตามแต่วาระและโอกาสจะอำนวย

ส่วนใครที่รอ X1 รถยนต์ SUV รุ่นล่าสุดของค่ายนี้ ยังคงต้องรอดูกันต่อไป เนื่องจากว่า
มีขนาดตัวถัง พอกันกับ X3 ที่ประกอบขายในประเทศไทยอยู่แล้ว (และขายไม่ค่อยจะดีนัก)
ดังนั้น ถ้านำเข้ามาทั้งคัน ราคาอาจจะสูงโดดขึ้นไปแตะแถวๆ 4 ล้านปลายๆ ถึง 5 ล้านบาท ต้นๆ
แม้จะยังห่างจากพี่ใหญ่ X5 xDrive 30d ถึง 1 ล้านบาท แต่เศรษฐีใจป้ำหลายคน อาจเพิ่มเงิน
ส่วนต่าง ปีนขึ้นไปเล่นรุ่นใหญ่กว่า แทนก็อาจเป็นได้

หรือถ้าจะสั่งมาประกอบขายในไทย ก็ต้องคิดให้ตกว่า จะเชือด X3 xDrive 20d ที่ใช้
เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ บล็อกเดียวกับ 320d และ 520d ทิ้งได้ลงจริงหรือ?

ข้ามมาดูแบรนด์ในเครือ เชื้อชาติอังกฤษ อย่าง MINI ปีนี้ ในตลาดโลก จะมีการเปิดตัว
MINI Crossman อันเป็นเวอร์ชัน Crossover SUV ของ รถเล็กผู้ครองโลกแฟชัน รุ่นนี้
หลังจากเผยโฉมเวอร์ชันต้นแบบที่เห็นอยู่นี้ มาตั้งแต่งาน Paris Motor Show เดือน
กันยายน 2008 คาดว่า จะยังคงใช้เครื่องยนต์ จาก Peugeot ทั้ง 1.4 ลิตร และ 1.6 ลิตร
120 แรงม้า จากใน MINI Cooper และ 175 แรงม้า จากรุ่น MINI Cooper S นำมา
เชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ อดใจรอกันอีกนิด แฟนมินิ กระเป๋าหนัก ทั้งหลาย
คงเตรียมได้เป็นเจ้าของกันในไม่ช้า

——————————————

BYD
แน่ใจแล้วเหรอว่าจะมาไทยในตอนนี้?

ตลาดรถยนต์เมืองไทย ยังคงความหอมหวนสำหรับ ผู้ผลิตรถยนต์จากเมืองจีน อยู่ไม่น้อย
ล่าสุด มีกระแสข่าวว่า BYD ผู้ผลิตรถยนต์ แบรนด์ท้องถิ่นที่ขายดีในลำดับต้นๆ กำลังคิด
จะมาเปิดตัว ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคมที่จะถึงนี้

BYD อาจจะเป็นชื่อใหม่ สำหรับวงการรถยนต์ แต่ว่า พวกเขา คือผู้ผลิตแบ็ตเตอรีโทรศัพท์
เคลื่อนที่ อันดับ 2 ของประเทศจีน ซึ่งเคยเป็นพาร์ทเนอร์ ร่วมกับ Nokia แต่ก็ขยันก่อเรื่อง
ให้กับยักษ์ค่ายมือถือรายนี้ได้หัวเสียอยู่เรื่อยๆ ในด้านคุณภาพที่เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้

ตำแหน่งอันดับ 2 นั้น ได้มาเมื่อปี 2003 อันเป็นปีแรกที่ BYD เริ่มก้าวเท้าสู่ธุรกิจรถยนต์!!
และการก้าวเข้าสู่ธุรกิจใหม่นี้ พวกเขาเล่นง่ายๆ ด้วยการนำเอา Toyota Corolla ALTIS
มาแปลงหน้าซะใหม่ แล้วจับแปลงท้าย เอาไฟท้ายของ Honda City รุ่นที่ 2 ใส่เข้าไปดื้อๆ
แล้วขายในชื่อ BYD F3 หรือว่า การนำ Honda Accord รุ่นที่แล้ว มาดัดแปลงด้านหน้าเสียใหม่
แล้วใส่พวงมาลัยของ Toyota Camry รุ่นปัจจุบันที่แปะตราตัวเองเข้าไป วางเครื่องยนต์
4G69 ของ Mitsubishi กลายเป็น BYD F6 ออกขายกันหน้าตาเฉย นี่ยังไม่นับการนำ
Toyota AYGO มาแปลงรายละเอียดนิดหน่อย ขายเป็น BYD F0 (Just Cool)
การนำ Toyota Corolla RUNX 5 ประตู ที่ตกรุ่นไปแล้ว ใส่บั้นท้ายของ Chevrolet
Optra Hatchback ขายในชื่อ BYD F3R จนถึงการยก Toyota Estima มาแปลง
ชิ้นส่วนด้านหน้า ขายเป็น BYD M6 อะไรจะจับแพะชนแกะได้บ้าระห่ำขนาดนี้?

ถ้าจะมีรถที่พวกเขาทำขึ้นมาเอง ก็คงจะมีแค่ มินิแวน 5 ที่นั่ง พลังไฟฟ้า e6
กับรถเปิดประทุนหลังคาแข็ง S8 ที่ไปเอา Renault Megane Cabriolet มาดัดแปลง
ใส่ไฟหน้าของ Mercedes-Benz C-Class W202 แปะเข้าไป ดื้อๆ และการนำ
F3 กับ F6 ไปใส่ขุมพลัง ไฮบริด ที่พวกเขาพยายามดัดแปลงด้วยตัวเองขายในชื่อ
F3 DM และ F6 DM ก็เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ การเปิดตลาดรถยนต์ในเมืองไทยของ BYD ไม่ใช่เรื่องหมูๆ เพราะ
นิสัยเสียของนักธุรกิจ ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ในยุคหลังปี 2000 เป็นต้นมา มักจะ
ไม่ค่อยสนใจ ในสิทธิทางปัญญาของผู้อื่น รังแต่คิดจะลอกแบบ เลียนแบบ
หยิบฉวยรถของค่ายอื่นๆ เขามา ดัดแปลงให้แตกต่างกันแบบ ทุเรศๆ และคนไทย
ไม่ได้นิยมใช้รถยนต์ ที่ไปลอกชาวบ้านเขามาดัดแปลงขาย ขนาดโลโก้ในตอนแรก
ก็ยังดูคล้ายโลโก้ของค่ายรถตราใบพัดแห่งเมืองมิวนิคอย่าง BMW กันเลยด้วยซ้ำ
และเพิ่งจะมาเปลี่ยนโลโก้ในปี 2009 ที่ผ่านมา ซึ่งก็คล้ายโลโก้ของ KIA อีกอยู่ดี
พวกเขาไม่ค่อยสนใจอะไรทั้งสิ้น นอกจากว่า ขายแล้ว ได้เงินมา ก็พอแล้ว

ดังนั้น สำหรับ BYD รอให้พวกเขา ทำรถออกมา อย่างดี ด้วยโนว์ฮาวของตัวเอง
อย่างแท้จริง ปรับปรุงคุณภาพในการผลิต การประกอบ และใส่ใจในรถที่ตนผลิตขาย
มากกว่าที่เป็นอยู่นี้เสียก่อน ค่อยนำเข้ามาขายในเมืองไทย ก็ยังไม่สาย อย่าเพิ่ง
ไปรีบร้อนเอามาขาย เดี๋ยวเจ๊งขึ้นมาแล้วจะหาว่าไม่เตือน!

——————————————

CHERY
ผลเชอรี่ ที่ยังไม่สุกงอม

นับจากการเปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทย ณ งาน Bangkok Internatinal Motor Show 2009
จนถึงวันนี้ เริ่มมีรถยนต์รุ่นเล็ก Chery QQ ผลผลิตอันน่าภาคภูมิใจ จากการไปลอกแบบ
Daewoo / Chevrolet Matiz เขามาเกือบทั้งคัน แล้วดัดแปลงให้แตกต่างกัน 7 จุด
ตามกฎหมายของจีน จนเจ้าของลิขสิทธิ์ ต้องแพ้คดี ที่ศาลจีน อย่างไม่สมควรจะเป็น
วิ่งเล่นบนถนนเมืองไทยกันบ้างแล้ว

แต่เรื่องนั้น คือ อดีต Chery เอง พยายามจะถีบตัวเอง ขึ้นมา เพื่อให้กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์
อันดับต้นๆของโลก แต่ก้าวอย่างที่ว่าหนะ ไม่ได้สวยหรูนัก เพราะแม้ว่า งานออกแบบของ
Chery จะเริ่มเข้าร่องเข้ารอย กันบ้างแล้ว แต่ คุณภาพในการผลิตชิ้นส่วน และงานประกอบ
ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเจริญเติบโต ของ Chery ในตลาดโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในตลาดที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของรถยนต์ มากเป็นลำดับต้นๆ อย่างประเทศไทย

แม้ความพยายาม ด้านการออกแบบรถ เป็นของตัวเอง ดูเหมือนน่าจะสดุดี กว่าสิ่งที่ BYD ทำอยู่
ทว่า หากยังคงปล่อยปละละเลยในเรื่องคุณภาพการประกอบ อยู่อย่างนี้ อนาคตของ Chery
ในเมืองไทย ก็คงจะสั้นอย่างที่ไม่ต้องไปโทษใครอื่นใด นอกจากบริษัทแม่ที่เมืองจีนนั่นแหละ!

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะถามว่า รุ่นไหน มีแนวโน้ม น่าจะนำเข้ามาทำตลาดต่อไป
ผมคงมองเห็นรุ่น A1 คันเล็ก และ A3 คอมแพกต์ ซีดาน ที่ดูดีมีชาติตระกูล
กว่าใครเพื่อนเขาทั้งหมด แม้ว่าชื่อรุ่น เหมือนจงใจไปพ้องกับ Audi ก็ตาม

——————————————

CHEVROLET
พ.ย. 2010 : CRUZE (PROJECT J300) เลื่อนจาก พ.ย.2009 1.6 1.8 e85 & 2.0 ดีเซล
มิ.ย. 2011 : NEW AVEO (PROJECT T300)
พ.ย. 2011 : NEW COLORADO (PROJECT GMI700)
ทุกโปรเจ๊กต์ DELAY กระจาย!!!!!

ผลสืบเนื่องจากการฉลองครบรอบ 100 ปีของจีเอ็ม ในปี 2008 กลับต้องตามมาด้วยฝันร้าย
ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ยักษ์อันดับหนึ่งของโลก ต้องประสบกับภาวะขาดทุนมหาศาล
จนต้องประกาศ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ตามกฎหมาย Chapter 11 นี่คือวิกฤติการณ์
ที่เลวร้ายที่สุด เท่าที่จีเอ็มเคยประสบมา และนั่นส่งผลกระทบถึงคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไมได้

ต้นปี 2009 ต่อเนื่องจากปลายปี 2008 โรงงาน จีเอ็มที่ระยอง ประกาศ พักสายการผลิต
นานถึง 2 เดือน สำหรับเพื่อระบายสต็อกที่เหลืออยู่ให้หมด มีลูกจ้างชั่วคราวในไลน์ผลิต
ที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ต้องออกจากงาน ตามโปรแกรมการจ้างออก ราวๆ 258 คน
แต่ลูกจ้างประจำ ยังคงรับเงินเดือน 75% ไปนอนผึ่งพุงตากพัดลมอยู่บ้านสบายๆ 2 เดือน
โดยสวัสดิการที่จำเป็นยังไม่ถูกตัดลงแต่อย่างใด เป็นความจริงที่ไม่เลวร้ายเท่ากับ
ที่ข่าวเศรษฐกิจทางทีวี เอาไปพูดออกอากาศ

แต่หลังจากนั้น ในช่วงกลางปี เมื่อ จีเอ็ม ต้องประกาศการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู
ตามกฎหมาย CHAPTER 11 สถานการณ์ตึงเครียด ก็บังเกิดกับคนของ จีเอ็ม ในทันที
ไหนจะจัดงานแถลงข่าว แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แถมยังต้องมัวคำนึงถึงตำแหน่งงานของตน
ว่าจะยังมีที่ยืนอยู่เหมือนเดิมอีกหรือไม่ แต่ในที่สุด ช่วงเวลาวิกฤติ ก็เริ่มคลี่คลายลง
การทำภาพยนตร์โฆษณาออกมา สร้างความเชื่อมั่น กับสาธารณชน ไปจนถึง
การจัดทำโครงการน้อยใหญ่มากมาย และแคมเปญ กระตุ้นตลาด ให้กับ
รถยนต์รุ่นต่างๆ คือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

และสุดท้าย กับการเปิดตัว AVEO 1.6 ลิตร ที่ยกเอาเครื่องยนต์ของ Optra 1.6
มาวาง เพื่อแก้ปัญหาภาพลักษณ์ด้านอัตราเร่งอันอืดอาดของรถรุ่น 1.4 ลิตร
เปิดตัวในงาน Motor Expo แต่ ไม่ค่อยมีใครเขียนถึง กระแสค่อนข้างเงียบสนิท

ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ก็คือ ที่ผ่านมา จีเอ็ม ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุน จาก
สื่อมวลชนสายรถยนต์ในบ้านเรา เท่าที่ควร เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่า
การที่ จีเอ็ม แยกฝ่ายที่ดูแลงบโฆษณา กับ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ออกจากกัน
คนส่งข่าวพีอาร์ ก็ส่งข่าวมาขออนุเคราะห์พื้นที่ลงกันเข้าไป สิ แต่คนตัดสินใจ
ลงโฆษณา ในอีกแผนก ก็แทบจะไม่สนใจช่วยเหลือสื่อมวลชนเหล่านั้น
ด้วยการซื้อพื้นที่ในสื่อมวลชนสายรถยนต์ทั่วไปกันเสียเลย เอาง่ายๆ คุณจะพบเห็น
งานโฆษณาของ Chevrolet ในสื่อมากมาย แต่ไม่ใช่ในหน้าหนังสือหรือ
รายการวิทยุที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ เท่าใดนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เลยทำให้
สื่อมวลชนสายรถยนต์ทั่วๆไป รู้สึกว่า ไม่อยากจะช่วยเหลืออะไรจีเอ็มกันอีก
และคนที่ทำงานด้านนี้ คนอื่นๆ ก็จะมองว่า สื่อเอง ก็ต้องกินต้องอยู่ได้ เหมือนกัน
 
(เรา Headlightmag.com ไม่ได้สนใจว่า ใครจะซื้อโฆษณากับเราหรือไม่
แต่ เรามองเห็นข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ เห็นว่าเรื่องนี้ตือปัญหาที่จีเอ็ม
ควรเร่งแก้ไข กับสื่อรายอื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกเรา ก่อนที่ความสัมพันธ์
กับสื่อมวลชนทั้งวงการ จะลดตต่ำลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ จึงมาบอกเล่า
ให้อ่านกันเพียงเท่านั้น เราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับใครทั้งสิ้น

และขอแนะนำว่า เอางบของคุณ ไปลงโฆษณากับสื่อเหล่านั้นเขาบ้าง
ยังไม่ต้องมาลงโฆษณาให้กับเรา เพราะเราไม่ได้เดือดร้อนอะไรขนาด
ที่พวกเขาประสบอยู่)

ส่วนถ้าจะถามว่า ปี 2010 นี้ จีเอ็ม เชฟโรเลต มีรถรุ่นใหม่คันไหน ที่ควรจะรอบ้าง
ก็คงจะต้อง เริ่มจาก Chevrolet CRUZE ใหม่ รหัสโครงการ J300 ซึ่งเป็นรุ่นเปลี่ยนโฉม
Full Modelchange ของรถยนต์คอมแพกต์ซีดานคันใหม่ ที่จะทำตลาดแทน Optra
มีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวขึ้น มุ่งเน้นเอาใจลูกค้าวัยรุ่นมากขึ้น แต่ยังต้องรักษากลุ่ม
ลูกค้าหนุ่มสาววัยทำงาน และครอบครัว ที่มองหารถยนต์นั่งที่เน้นความนุ่มสบาย
ไว้ใช้งาน รูปลักษณ์ภายนอก คล้ายคลึงกับรถยนต์หลายๆรุ่นของหลายค่าย
ที่ทำตลาดอยู่ตอนนี้

ทางเลือกเครื่องยนต์ของเวอร์ชันไทย จะเหมือนกับในตลาดโลกที่ยืนพื้นอยู่กับบล็อก
4 สูบ 1,600 ซีซี และ 1,800 ซีซี ที่ปรับปรุงให้รองรับการเติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ได้
ส่วนเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี ดีเซล จะมีในเวอร์ชันไทย ค่อนข้างแน่นอนแล้ว หลังการเปิดตัว
ในตลาดโลกมาได้ 1 ปีนิดหน่อย ล่าสุด ต่อให้สถานการณ์ด้านการเงินของจีเอ็มดีขึ้น แต่
กำหนดการเปิดตัวในเมืองไทย อาจจะยังคงต้องอยู่ที่ช่วงกลางปี 2010 เป็นอย่างเร็วที่สุด
และกว่าจะพร้อมขายกันได้ อาจต้องรอถึงปลายปี โดยจะยังคงขึ้นสายการผลิตที่
โรงงานระยอง ไม่ใช่มาเลเซียอย่างที่เคย ร่ำลือกันมาก่อนหน้านี้

จากนั้น จะตามติดด้วย เอวิโอ ใหม่ รหัสโครงการ T300 ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนโฉม
Full Modelchange ครั้งใหญ่ รายละเอียดด้านวิศวกรรม จะยังคงสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง
GAMMA สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ของทั้งกลุ่มจีเอ็มและเฟียต และคราวนี้คาดว่า
จะต้องยกระดับเครื่องยนต์ จาก 1.4 ลิตร ในตลาดยุโรป มาเป็น 1.5 ลิตร รุ่นใหม่
ที่มีพละกำลังดีกว่าเก่า รวมทั้งการออกแบบห้องโดยสาร ที่จะเอาใจกลุ่มลูกค้า ผู้ซื้อ
รถคันแรกในชีวิตมากยิ่งกว่ารุ่นปัจจุบัน กำหนดเปิดตัว จากเดิม ในช่วงเดือน
มิถุนายน 2010 อาจจะต้องเลื่อนออกไป อีก 9 เดือน หมายความว่า เร็วที่สุดที่
เราจะได้เห็น AVEO ใหม่ กันบนถนนเมืองไทย คือ กลางปี 2011

ปิดท้ายกันด้วย ความคืบหน้าของโครงการ GMI 700 หรือรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน
ของรถกระบะ เชฟโรเลต โคโลราโด โดยประเทศที่จะเป็นฐานหลักในการพัฒนา
รถกระบะรุ่นใหม่นี้ จะย้ายไปอยู่ที่ ประเทศบราซิล โดยมีญี่ปุ่น กับ ไทย ยังเป็น
ประเทศพี่เลี้ยง อยู่ รายละเอียดของคันจริง ตอนนี้คืบหน้าไปในระดับหนึ่ง ว่า
จะใช้โครงสร้างตัวถังหลักร่วมกับ Isuzu D-Max เจเนอเรชันต่อไป (รหัส RT-50)
อยู่ แต่ชิ้นส่วนเปลือกตัวถังภายนอก จะปรับปรุงให้แตกต่างจากอีซูซุมากขึ้น
ส่วนเครื่องยนต์ จะสร้างขึ้น ณ ส่วนต่อขยายของโรงงาน จีเอ็มระยอง เป็นการ
ร่วมทุนกันระหว่างจีเอ็ม และ VM.MOTORI แห่งอิตาลี ที่จีเอ็มเข้าไปซื้อ
หุ้นใหญ่มาเมื่อปี 2007 ยืนยันแล้วว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ดีเซล ขนาด 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว คอมมอนเรล ซูเปอร์ชาร์จ 2,500 ซีซี และ 2,800 ซีซี โดย
ไม่จำเป็นต้องขยับไปถึง 3,000 ซีซี แต่อย่างใด การใช้เครื่องยนต์ใหม่นี้
จะทำให้รถกระบะใหม่ของเชฟวี แตกต่างจาก ฝาแฝดร่วมโครงการอย่างอีซูซุ
ซึ่งจะยืนหยัดกับเครื่องยนต์ 2,500 ซีซี และ 3,000 ซีซี ตามเดิม

แม้จะใช้โครงสร้างตัวถังร่วมกัน แต่ตัวรถของฝ่ายเชฟโรเลต จะมีความแตกต่างจาก
เวอร์ชันอีซูซุ มากกว่าปัจจุบัน ที่ดีแมกซ์ และโคโลราโด เป็นอยู่ เพราะการถอนหุ้น
ของจีเอ็มในส่วนที่ถือครองอยู่ในอีซูซุออกไปจนเกือบจะหมด ทำให้มีความ
เป็นไปได้สูงที่อนาคต ทั้งคู่อาจต้องแยกกันพัฒนารถกระบะของตนตามลำพัง ถึงกระนั้น
จีเอ็มก็รู้ดีว่า การปล่อยให้อีซูซุ ช่วยพัฒนาเครื่องยนต์และงานวิศวกรรมอื่นๆนั้น
จะช่วยให้จีเอ็มลดต้นทุนในการพัฒนาลงไปได้มาก ซึ่งในรุ่นปัจจุบันนั้น มีชิ้นส่วน
ที่แตกต่างกันเพียง 300 กว่าชิ้นเท่านั้น

แต่ด้วยปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้การก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องยนต์ ร่วมทุนกับ
V.M. MOTORI จากอิตาลี ที่เพิ่งวางศิลาฤกษ์กันไปเมื่อเดือนกันยายน 2008 ต้อง
เลื่อนออกไปอีก 1 ปี นั่นทำให้โครงการ GMI 700 จะถูกเลื่อนออกไปอีก 1 ปี
เพื่อไปเริ่มต้นขึ้นสายการผลิตจริง เดือนกรกฎาคม 2011 เป็นอย่างเร็วที่สุด และ
นอกจากนี้ จะมีเวอร์ชัน เอสยูวี ตามออกมาอีกด้วย โดยมีกำหนด ขึ้นสายการผลิต
เดือนกุมภาพันธ์ 2012

ด้านเอสยูวี รุ่น Captiva นั้น ก็เป็นอีกโครงการที่ได้รับผลกระทบ เพราะมีแผน
จะปรับโฉมใหม่ บิ๊กไมเนอร์เชนจ์ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ภายใต้รหัสโครงการ
C140 แต่เดิม มีกำหนดเปิดตัวราวๆ ปี 2010 ทว่าตอนนี้ เจอโรคเลื่อนไปเรียบร้อยแล้ว
เลยยังไม่แน่ชัดว่า จะย้ายไปเปิดตัวเมื่อใด หรือจะลากขายโฉมนี้ไปเรื่อยๆ ก่อน?

——————————————

CITROEN
ตัวอื่น ตัดใจ แต่ DS3 ยังคุยกันอยู่

ปีที่ผ่านมา แบรนด์ซีตรองออกจะยิ่งเงียบเหงาหนักกว่าเดิม  การนำเอา
C6 3.0 HDi เข้ามาทำตลาดด้วยราคา 5.7-6.2 ล้านกว่าบาท รวมทั้ง รถตู้ LCV
รุ่น JUMPER นำเข้ามาทำตลาด ทั้งรุ่นพื้นฐาน 1.59 ล้านบาท และรุ่น
ตกแต่งเป็นพิเศษสุดหรู ราคาแค่ 2.7 ล้านบาท หวังท้าประกบกับ
โฟล์กสวาเกน คาราเวลล์ และฮุนได H-1 อวดโฉมในมอเตอร์เอ็กซ์โป
คือสิ่งเดียวที่ยังยืนยันอยู่ว่า ซีตรอง ยังคงไม่ตายไปจากเมืองไทยของเรา

เพราะในปี 2009 นั้น ซีตรอง ตั้งเป้าว่าจะนำ มินิแวนสุดสวย หลังคากระจก
C4 Picasso และรุ่นเปลี่ยนโฉมโมเดลเชนจ์ทั้งคัน ของซีดานระดับนักบริหาร
C5 ใหม่ เข้ามาเปิดตัวในบ้านเราได้ซักที หลังจากเจอโรคเลื่อนไปตลอด
ทั้งปีที่ผ่านมา แต่สุดท้าย ก็ยังคง เงียบสนิทตลอดทั้งปี เหมือนเช่นเคย

พอมาปี 2010 ผู้จำหน่ายในบ้านเรา พยายามเจรจาอยู่ว่า อยากได้ DS3
คอมแพกต์แฮตช์แบ็กสุดหรูล้ำอลังการ เข้ามายั่วบรรดา Fashionista
หรือกลุ่มผู้รักแฟชัน ในบ้านเรา กับเขาบ้าง  ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า
เวอร์ชันไทยจะใช้เครื่องยนต์ขนาดไหน แรงเท่าใด อุปกรณ์มีอะไรบ้าง
และที่สำคัญ คือยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะมาเมื่อไหร่ หรือ เข้ามาได้หรือไม่

เหตุผลเดียว ที่ยังไม่มีความชัดเจนออกมา ก็เพราะ รถรุ่นแรกที่จะออกจำหน่าย
ยังไม่มีเกียร์อัตโนมัติออกมาให้เลือกในตอนนี้….

——————————————

FERRARI / MASERATI
458 Italia มาแน่ๆ
แต่ GranCabrio เปิดประทุน 4 ที่นั่ง ยังไม่ชัวร์

ความเคลื่อนไหวสำคัญที่สุดของ แบรนด์รถหรูม้าลำพอง จากอิตาลี เมื่อปีที่แล้ว ก็คือการแต่งตั้ง
ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย รายใหม่ ที่ชื่อ คาวาลิโน มอเตอร์ อันเป็นธุรกิจ
ในกลุ่มของ ตระกูลภิรมย์ภักดี หรือ สิงห์ คอร์ปอเรชัน นั่นเอง นั่นทำให้ บนโชว์รูม
ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เราจึงได้เห็นรถสปอร์ตรุ่น California จอดอวดโฉมอย่าง
เรียบร้อยในที่สุด

ปี 2010 นี้ เราคงต้องดูกันต่อไปว่า รถสปอร์ตรุ่นล่าสุด 458 Italia ซึ่งเป็นรุ่นเปลี่ยนโฉม
แบบ Full Modelchange ของ ตระกูล 430 Scuderia ที่เพิ่งเปิดผ้าคลุมไปอย่างเป็นทางการ
ใน Frankfurt Motor Show กันยายนที่ผ่านมา วางเครื่องยนต์ V8 ทำมุม 90 องศา 4,499 ซีซี
570 แรงม้า (PS) ที่ 9,000 รอบ/นาที แรบิดสูงสุด ถึง 540 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที
พร้อมเกียร์ Dual Clutch 7 จังหวะ แบบ F1 จะถูกส่งลงเรือมาถึงเมืองไทยได้ ในช่วงใดของปีนี้

ด้าน แบรนด์น้อง อย่าง มาเซราติ นั้น ในที่สุด Gran Turismo อันเป็น เวอร์ชันคูเป้ ของ
Quattroporte ก็โผล่เข้ามาในบ้านเราจนได้ ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา แถมมีลูกค้าอุดหนุนไปแล้วด้วย
แต่ถ้าจะถามว่าปีนี้ มีอะไรใหม่ คำตอบก็คือ คงต้องรอลุ้น ดูว่า Gran Cabrio เวอร์ชันเปิดประทุน
ของ Gran Turismo จะถูกส่งเข้ามาในไทยหรือไม่?

——————————————

FORD
2010 :  All New FIESTA (Project Code : B299)  
           เครื่อง 1.6 ลิตร 120 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ Dualclutch
           เลื่อนไปเป็น มิถุนายน 2010
2011  : All New RANGER (Project Code : T6) โชว์กลางปี แต่ขายปลายปี?
            ESCAPE LAST Minorchange
2012 :  All New FOCUS , EVEREST Full Modelchange, ESCAPE FADE-OUT
2013 : ?

ถึงบริษัทแม่ ในสหรัฐอเมริกา จะสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งสำคัญ
เมื่อปีที่ผ่านมาได้ แต่ก็เล่นเอาสะบักสะบอมไปไม่น้อย เมื่อแลกกับการปล่อย
แบรนด์ดีๆ อย่าง Jaguar และ land Rover ให้หลุดไปอยู่ในมือของ Tata Motors
พร้อมับการปลดแอก Mazda ด้วยการขายหุ้น คืนฝั่งญี่ปุ่นเขาไป และล่าสุด
ก่อนสิ้นปี ตกลงกับ ผู้ผลิตรถชาวจีนจอมลอกเลียนแบบอย่าง Geely ได้แล้วว่า
จะขายกิจการ Volvo สวีเดน ให้อย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ในเมืองไทย ดูท่าว่า
จะเลวร้ายไม่แพ้สำนักงานใหญ่ที่ Dearborn มลรัฐมิชิแกน กันเลยทีเดียว

Ford ประเดิมปี 2009 ด้วยการเปิดตัว RANGER Minorchange ใหม่ เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2009
แต่ตลอดทั้งปี ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของฟอร์ด ในตลาดกระบะ ดีขึ้นมาเลยสักนิด ขณะที่
ตลาดรถเก๋งนั้น โชคยังดี ที่ได้ Focus TDCi Minorchange พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
DualClutch ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ Motor Expo 2008 พร้อมกับรุ่นไมเนอร์เชนจ์ของโฟกัส รุ่นอื่นๆ
ประคับประคองยอดขายไปได้ แบบที่เกือบต้องใช้เครื่องช่วยหายใจกันเลยทีเดียว

อีกทั้งปีที่ผ่านมา ฟอร์ด ยังไม่อาจเดินเครื่องบุกตลาดรถยนต์ Sub-Compact ได้เต็มที่
เหมือนคู่หูเก่าอย่าง Mazda ที่ตัดหน้า เปิดเกมบุกทำคะแนนไปก่อน ด้วย Mazda 2
ทำให้เพื่อนซี้ร่วมแพล็ตฟอร์มอย่าง Fiesta ใหม่ ทำได้แค่เพียงปล่อยข่าวไปเรื่อยๆ
ว่าจะพร้อมคลอดจากโรงงาน AAT ที่ระยอง บนสายการผลิตเดียวกับ Mazda 2
และจะเริ่มทำตลาดในปี 2010 แต่จะวางเครื่องยนต์ที่ต่างออกไปจาก Mazda 2
โดยเป็นเครื่อยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร ไดเร็คท์อินเจ็กชัน พร้อมกับระบบ
แปรผันวาล์ว ที่หัวแคมชาฟท์ Ti-VCT คาดว่าจะมีกำลังสูงถึง 120 แรงม้า (PS)

ข่าวล่าสุด อัพเดทกันสดๆ แจ้งว่า กำหนดเปิดตัว อาจต้องเลื่อนยาว ไปไกลถึงเดือน
มิถุนายน 2010 เหตุผลมีเพียงข้อเดียวคือ รอเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ DualClutch
ที่จะต้องส่งมาจากยุโรป  มาถึงเมืองไทย เสียก่อน จึงจะเริ่มประกอบ ฟิเอสต้า ทั้ง
แฮตช์แบ็ก 5 ประตู และ ซีดาน 4 ประตู พร้อมสีตัวถังพิเศษ สำหรับตลาดอาเซียน
โดยเฉพาะ ขายพร้อมกันได้ไม่เร็วและไม่ช้าไปกว่านี้อีกแล้ว ราคา ไม่ต้องเดาให้
มากความ กางราคาคู่แข่งในตลาด Sub-Compact B-Segment ทั้งหลาย ก็จะพบว่า
ราคา อยู่ในช่วง 5 แสน – 7 แสนบาท ฟิเอสต้าใหม่ ก็จะมีราคาในช่วงเดียวกันนี้นั่นละ
ไม่หนีไปไหนไกลหรอก

สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดของ ฟิเอสต้า คือ แผนโปรโมท ในช่วงเปิดตัว จะต้องร้อนแรง
ให้ได้เทียบเท่า หรือยิ่งกว่า Mazda 2 นั่นคือทางเดียวที่จะทำให้ ชื่อของฟอร์ด
กลับมาติดหูติดตาติดปากคนไทยอีกครั้ง แต่นั่นก็ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลอยู่
อีกทั้งยังต้องการคนที่เคยมีประสบการณ์ ในการเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่
มาช่วยเป็นกุนซือวางแผน ให้รัดกุม ซึ่งเท่าที่ดูแล้ว ฟอร์ดเองยังไม่พร้อมเท่าไหร่เลย

หลังจากนั้น ในช่วงปลายปี 2011 ก็จะถึงคิว การเปิดตัว รุ่นเปลี่ยนโฉม Modelchange
ให้กับ รถระบะ Ranger ใหม่ ที่เลื่อนเปิดตัวจากกำหนดการเดิม ในปีนี้ ออกไปอีก 1 ปี
และตอนนี้ กำลังพัฒนาอยู่ในรหัสโครงการ T6 ล่าสุด มีภาพรถต้นแบบชุดแรก ที่กำลัง
แล่นทดสอบทั้งในสหรัฐอเมริกา และในออสเตรเลีย หลุดออกสู่เว็บไซต์รถยนต์
ต่างประเทศกันบ้างแล้ว แม้จะยังไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริง เพราะใช้ชิ้นส่วนตัวถังของ
Mazda BT-50 มาแปะขึ้นรูปพรางตัวไปก่อนในชั้นต้น แต่ก็พอมองเห็นเค้าลางได้ว่า
รถรุ่นใหม่จะมีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมมาก ชนิดที่ ใหญ่กว่า Toyota Hilux VIGO
กว่ากันนิดนึง อีกทั้งยังมีบานแค็บเปิดได้ อันกลายเป็นเอกลักษณ์จากสองค่ายนี้
มาให้ได้ใช้กันแน่นอน รวมทั้งยังใช้เครื่องยนต์จากรุ่นเดิม แต่พัฒนาให้แรงยิ่งขึ้น
ประหยัดน้ำมันมากขึ้น แต่ปล่อยมลพิษน้อยลง ตามมาตรฐาน EURO-IV กว่าจะ
พร้อมเปิดตัว ต้องรอกันอีก 1 ปีกับอีก 9 เดือน และถึงตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่า
อาจจะไม่ใช้ชื่อรุ่นว่าเรนเจอร์อีกต่อไป

และหลังจากนั้น รุ่นเปลี่ยนโฉม Modelchange ของ Everest ใหม่ ก็จะเสริมทัพตามมา
อีกระลอก ในช่วงปี 2012 และคราวนี้ ภาระกิจสำคัญของฟอร์ดก็คือ ทำอย่างไร ให้
เอเวอร์เรสต์ สามารถปรับภาพลักษณ์ขึ้นมา ท้าชนกับทั้ง Toyota Fortuner และ
Mitsubishi Pajero Sport อย่างสมศักดิ์ศรีกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งที่ยังต้องใช้โครงสร้างวิ
ศวกรรมพื้นฐานต่างๆ ร่วมกับ เรนเจอร์ T6 นั่นเอง  

ต่อไป คือข่าวซึ่งไม่รู้ว่าจะดีหรือร้าย สำหรับคนที่ใช้ Ford Escape หรือมองหารถรุ่นนี้
กันอยู่ คุณมีเวลาอีกเพียง 2 ปี ที่จะหาซื้อ SUV เทคโนโลยีตกยุคจากปี 2001 ที่ยังคง
ปรับโฉมแต่งหน้าใหม่ มาจนถึงปัจจุบัน มาครอบครอง เพราะตามกำหนดการแล้ว
หลังการปรับโฉม Minorchange ใหญ่อีกครั้งสุดท้าย ราวๆ ปี 2011 Escpae จะค่อยๆ
ลดบทบาท ออกไปในปี 2012 โดยยังไม่แน่ชัดว่า จะมีตัวตายตัวแทนมาทำตลาดต่อหรือไม่

นอกจากนี้ ยังต้องรอดูการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของ คอมแพกต์ซีดาน แฮตช์แบ็ก ระดับ
C-Segment ยอดนิยม อย่าง Ford Focus ที่มีกำหนด เผยโฉมรุ่นใหม่ทั้งคัน ทั่วโลก
ราวปี 2011 คาดกันว่า น่าจะเข้ามาขายในเมืองไทย อย่างช้าที่สุด ราวๆ ปี 2012

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ ฟอร์ด ประเทศไทย ยังต้องเดินหน้าลุยงานกันต่อไป ก็คือ
การเดินหน้าปรับปรุงความเชื่อมั่นในบริการหลังการขาย ซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง
ภาพลักษณ์ของแบรนด์ ที่ดี อันจะตามมาด้วยยอดขายที่กระเตื้องกว่านี้ โดยอาจจะต้อง
อัดแคมเปญพิเศษต่างๆ ช่วยอยู่บ้าง

สำหรับอีโคคาร์นั้น นโยบายยังเหมือนเดิม ทางฟอร์ดและมาสด้า มองแล้วว่า
เป็นโครงการที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ตั้งเป้ายอดผลิตปีละ 1 แสนคัน
จะขายให้ใครที่ไหนกัน? ไม่เหมือนกับ กลุ่มซับ-คอมแพกต์ ที่นอกจาก
จะโดนใจลูกค้าชาวไทยมากกว่าแล้ว ยังสามารถส่งขายในตลาดต่างประเทศ
ได้ง่ายกว่า นั่นคือเหตุผลที่ ฟอร์ดและมาสด้า ไม่เล่นด้วยกับโครงการอีโคคาร์
แน่นอน อย่างน้อยก็ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้านี้

——————————————


GEELY
ดีแล้วละที่ยังไม่เริ่มขาย

นี่ก็เป็นอีกค่ายรถยนต์จากจีน ที่ตอนแรก กลุ่มยนตรกิจเดิม ประกาศว่าจะเริ่มทำตลาด
ในเมืองไทย แต่ไปๆ มาๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มส่งมอบรถให้ลูกค้าได้แต่อ่างใด
แม้เวลาจะผ่านพ้นไปแล้วถึง 1 ปีเต็ม หลังจากนำมาเปิดตัวครั้งแรก ใน Motor Expo
ปี 2008 ก็ตามที

ตลอดปี 2009 ที่ผ่านมา มีผู้พบเห็น GEELY CK ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งระดับ Sub-Compact
ซีดาน วางเครื่องยนต์ ที่ดัดแปลงจากรหัส 5A-FE ของ Toyota มาดัดแปลง วางอยู่ใน
ตัวรถซึ่งมีคุณภาพย้ำแย่กว่าพอสมควร กำลังแล่นทดสอบเก็บข้อมูลอยู่ จากนั้น
ทุกอย่างก็ดูจะเงียบหายไป ซึ่งมองในอีกมุม ก็ดีแล้วที่ยังไม่เริ่มทำตลาดอย่างจริงจัง

เพราะขนาดแค่โลโก้ของบริษัท ก็เป็นการเอา สัญลักษณ์ วงกลม ที่ล้อมกรอบใบพัด
ของ BMW ผนวกกับโลโก้ ของรถยนต์อเมริกัน Plymouth ที่เลิกทำตลาดไปแล้ว
มารวมไว้ด้วยกันอย่างง่ายๆ ตามประสาคนจีนแผ่นดินใหญ่ ก็แสดงให้เห็นถึง
วิธีคิดอันชาญฉลาด (แต่ดูเหมือนมักง่าย) ของบริษัทต้นสังกัด ในแผ่นดินใหญ่ อย่างชัดเจน

รอไว้ให้ บริษัทแม่ในจีน ทำรถที่ดีกว่านี้ มีคุณภาพกว่านี้ และแข่งขันได้ในตลาดโลก
มากกว่านี้เสียก่อน ค่อยสั่งเข้ามาขายกันอีกที น่าจะเป็นผลดีกับทุกผ่ายมากกว่า
——————————————

HONDA
2010 : JAZZ & CITY & Accord MINOR CHANGE
2011 : Jazz HYBRID CBU มาก่อน + ALL NEW CIVIC (PROJECT 2HC) มาปลายปี
2012 : ECO Car (Project Code : 2CV)

หลังจากปล่อยระเบิด หลายลูกถล่มใส่ตลาดรถยนต์เมืองไทยในช่วงปี 2008 พอมาปี 2009
Honda ก็เริ่มเก็บกวาดยอดขาย อย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ที่มีการเจริญเติบโต
เกินหน้าเกินตาค่ายอื่นอย่างน่าอิจฉาที่สุด เพราะในขณะที่ชาวบ้านเขาต้องปรับลดกำลัง
การผลิตกันแต่ปัญหาของฮอนด้า กลับกลายเป็นว่า ผลิตไม่พอต่อความต้องการ ยอดจอง
ยังคงยาวเฟื้อยต่อเนื่องกันอยู่ดี จึงมีเพียงการกระตุ้นตลาด ด้วยการจับรถทุกรุ่น มาทาสีขาว
และเติมออพชัน กับชุดแต่ง Modulo เข้าไป ตั้งชื่อว่า Wise Edition ขายหมดเกลี้ยง
ในเวลาไม่ถึง 1-2 เดือน

จากนั้นพอถึงช่วง ปลายปี ก็เริ่มส่ง Civic Nanochange ด้วยสีน้ำเงินแบบใหม่
มายั่วยวนใจลูกค้า ที่กำลังชั่งใจว่า จะซื้อดีหรือไม่ เพราะปัญหาเครื่องยนต์
ในรุ่น 1.8 ที่ดังต๊อกๆ ก็ยังคงเป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วสังคมอินเตอร์เน็ต

ส่วน มินิแวน 7 ที่นั่ง รุ่น FREED ที่หลายคนรอคอย พอเปิดราคาออกมา
คนที่เคยรอ ก็พากันส่ายหัว แล้วเลิกสนใจรถรุ่นนี้กันไปเลย เพราะมันแพง
เกินเหตุ กดต้นทุนลงต่ำไปไม่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว  ทำให้กระแสความต้องการ
หดหายไปเพียงชั่วข้ามคืน

ขณะเดียวกัน ในงาน Motor Expo ฮอนด้า ก็ปรับโฉม CR-V Minorchange ออกมา
แบบไม่ต้องรอข้ามมาถึงปี 2010 อย่างที่คาดกันไว้ เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ 2.4 ลิตร ขับล้อหน้า
และปรับเปลี่ยนลายกระจังหน้า กับเบาะหลังแบบใหม่ ที่มีคนคอนเฟิร์มแล้วว่า
นั่งนุ่มกว่ารุ่นก่อน เยอะอยู่

ปีนี้ จึงเป็นปีที่ คาดกันว่า ฮอนด้า น่าจะอาศัยช่วงเวลาที่ยังได้เปรียบในตลาดรถยนต์นั่ง
ทะยอยเปิดตัวรุ่นปรับโฉม Minorchange ตามกำหนดเวลา เดิมๆ ต่อเนื่องกันทั้งปี
ให้กับ Jazz และ Accord ตามกระแสตลาดโลก

จากนั้น ในช่วงต้นปี 2011 เราอาจจะได้เห็น Jazz HYBRID ถูกส่งเข้ามาทำตลาดใน
เมืองไทย เพราะ ฮอนด้าเอง ก็ซุ่มทดสอบ และเก็บข้อมูลการใช้งานรถยนต์ไฮบริด
ในเมืองไทยกันมาหลายปีแล้ว คาดกันว่า เมื่อใดที่สำนักงานใหญ่ในญี่ปุ่น พร้อมเปิดตัว
ฮอนด้า ออโตโมบิลล์ ประเทศไทย ก็คงพร้อมจะสั่งเข้าสำเร็จรูปทั้งคันมาขายก่อน
ในระยะแรก จากนั้น จึงค่อยเตรียมขึ้นสายการผลิตในบ้านเรา เป็นลำดับถัดไป
และนั่นจะทำให้ ฮอนด้า กลายเป็นผู้ผลิตรายแรกในเมืองไทย ที่ผลิตรถยนต์ไฮบริด
ในพิกัดตัวถังระดับ Sub-Compact B-Segment ออกสู่ตลาดในบ้านเรา

ส่วนใครที่ถามไถ่ว่า เมื่อไหร่ ซีวิค จะเปลี่ยนโฉม Modelchange คำตอบก็คือ ไม่ต้องรอ
ยังซื้อรุ่นปัจจุบันมาใช้ได้เลย เพราะตอนนี้ ซีวิครุ่นใหม่ รหัสโครงการ 2HC ยังอยู่ใน
ระหว่างการพัฒนา โดยมีเป้าหมายจะต้องลดขนาดตัวรถให้สั้นลง และแคบลงกว่าเดิม
เล็กน้อย ถือเผ็นการ Down-sizing ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักในวงการรถยนต์ กว่าที่
เราจะได้เห็นความเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง คงต้องรอกันจนถึง ปลายปี 2010 ถึงจะเริ่มเห็น
เค้าโครงหน้าตาของรถคันจริง ในเวอร์ชันแล่นทดสอบพรางตัว เพราะกว่าจะเปิดตัว
ในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และไทย เหลื่อมล้ำกันนั้น จะอยู่ในช่วงตั้งแต่ กันยายน
ถึง พฤศจิกายน 2011 ดังนั้น ใครจะรอ ก็รอไป แต่ถ้าไม่รอ ก็ซื้อหามาขับกันได้อีก 2 ปี

ส่วนปี 2012 จะเป็นปีที่มีการอวดโฉม รถยนต์ ECO Car ที่ฮอนด้า ซุ่มเตรียมงานมานานมาก
รถเล็ก รหัสโครงการัฒนา 2CV คันนี้ จะเป็น โครงการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็ก A-segment
ระดับโลกยุคใหม่ ที่มีขนาดเล็กกว่า แจ้ส โดยรูปแบบ ของตัวรถจะเป็นแบบแฮตช์แบ็ก 5 ประตู
วางเครื่องยนต์ บล็อก 3 สูบ 1,200 – 1,300 ซีซี น้ำหนักเบา มีกำลังประมาณไม่เกิน 90 แรงม้า (PS)
ขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะเป็นพื้นฐาน ส่วนเกียร์อัตโนมัติ เป็นแบบ 4 จังหวะ
พร้อมอุปกรณ์ความปลอดภัยจะไปโผล่ในรุ่นท็อป ซึ่งอย่างน้อยๆ ต้องมีถุงลมนิรภัยมาให้ 1 ลูก
ฝั่งคนขับมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และมีกำหนดจะส่งขึ้นโชว์รูมได้ภายใน ช่วงปี 2012
แม้จะไม่ฉับไวเท่านิสสัน แต่ก็ถือว่าเร็วทันใจกว่าผู้ผลิตรายอื่นๆ โดยเฉพาะคู่รักคู่แค้น
อย่างโตโยต้า ซึ่งต้องรอกันจนถึง 2014 !!

——————————————

HYUNDAI
2010 : TUSCON เจอกัน ครึ่งแรกของปี
            i10 จะมาเมื่อไหร่?
            GENESIS Coupe พวงมาลัยขวาตั้งไลน์เมื่อไหร่ มาไทยทันที!
            SONATA ใหม่ รอไปเถอะ ยังไม่มาง่ายๆ หรอก

2 ปีมาแล้ว ที่ฮุนได มอเตอร์ ประเทศไทย ในเครือของ SOJITSU เทรดดิง คัมพานี
รายใหญ่จากญี่ปุ่น ที่มักเป็นพาร์ตเนอร์คู่หูรายสำคัญของฮุนไดทั่วโลก ลุยตลาดรถยนต์
บ้านเรา ด้วยรถตู้ H-1 กันอย่างต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมา ก็เพิ่มรุ่นตกแต่งพิเศษ สีขาว ฉลองครบ
2 ปีในไทย พร้อมกับยอมรับว่า ที่ผ่านมาหนะ ไม่ง่ายเลย ในการสร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่
จากเดิมที่เคยติดลบในใจคนไทย เพราะผู้จำหน่ายรายเก่า ให้ฟื้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน รถรุ่นแรกๆ ที่สั่งเข้ามาพร้อมกัน ก็ทะยอยขายจนเกลี้ยงสต็อกไปหมดแล้ว
ทั้ง Sonata รุ่นเดิม ที่ระบายสต็อก ด้วยราคากระชากจิต 8 แสนบาท ปลายๆ ในรุ่น 2.0 ลิตร
ยังไม่นับรุ่นติดก๊าซ CNG ไปจนถึงรุ่น Coupe ที่ขายหมดแล้ว และจะไม่มีการสั่งเข้ามาอีก
เช่นเดียวกับ Santa Fe ที่มีลูกค้าซื้อไปไม่กี่คัน เพราะเป็นรถนำเข้า ทั้งที่แต่เดิม เตรียมแผน
ประกอบในประเทศ แต่ต้องพับไปอย่างน่าเสียดาย แล้วไหนจะมี รถบรรทุกเล็ก H-100
ที่ยังไม่บูมอย่างที่คิด เพราะไม่อาจทุ่มโฆษณาได้เต็มที่ เนื่องจากไม่อยากให้คนไทย
เข้าใจผิดว่า เป็นแบรนด์รถตู้ รถบรรทุก ไปเสียดื้อๆ

แต่ใครที่อยากได้ SUV จากฮุนได ใจเย็นกันอีกนิด เพราะตอนนี้ ฮุนได กำลังเจรจากับ
บริษัทแม่ในเกาหลีใต้ เพื่อจะสั่งนำเข้า ทูซอน (Tucson) รุ่นใหม่ล่าสุด Full Modelchange
หรือ รหัสรุ่น Hyundai FX เข้ามาเปิดตลาด ให้ทันภายในช่วงครึ่งแรกของ ปีนี้ เร็วที่สุด
ก็คงหนีไม่พ้นงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2010

นอกจากนี้ ยังจะมี i10 ฝาแฝดร่วมโครงสร้างตัวถังกับ Kia Picanto ซึ่งยังอยู่ในระหว่าง
การพิจารณาว่าจะสั่งนำเข้ามาจากประเทศใด เพื่อให้เคาะราคาขายได้ถูกในระดับ
3-4 แสนบาทเศษๆ

สิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไป ก็คือ การเตรียมสั่ง GENESIS รุ่น Coupe หนึ่งในรถรุ่น
สำคัญสำหรับบุกตลาดอเมริกาเหนือของฮุนได และประสบความสำเร็จอย่างดี
จากการถูกสื่อมวลชนที่นั่น นำไปเปรียบเทียบ กับ BMW ซีรีส์ 3 คูเป้ และ
Nissan Skyline Coupe / Infiniti G37 Coupe กันเลยทีเดียว หากมีการเปิด
ไลน์ผลิตพวงมาลัยขวา เมื่อไหร่ ตลาดเมืองไทย เจอกันในแทบจะทันที
เพียงแต่ว่า หากจะนำเข้ามา ควรเป็นรุ่น 2.0 Turbo ที่มาพร้อมค่าตัว ไม่แรงเกินไป
ลูกค้ารออุดหนุนกันอยู่เพียบ ถ้าราคาไม่เกิน 2.4 ล้านบาท เพราะรุ่น V6 3.7 ลิตร
300 แรงม้า นั้น ราคา น่าจะกระชากกระเป๋าไปหยุดอยู่เฉียด 3 ล้านบาทปลายๆ
ซึ่งน่าจะขายได้เพียงแค่ไม่กี่คันเท่านั้น

อีกรุ่นหนึ่งซึ่งต้องรอดูกันต่อไป คือ Sonata ใหม่ล่าสุด Full Modelchange ที่ดูจะยัง
ไม่มีวี่แววมาเปิดตัวในไทยกันเลย ก็ไม่รู้ว่า สำนักงานใหญ่ที่เกาหลีใต้ คิดอะไร
ชักช้ายืดยาดอืดอาดกันนักหนา จะบุกแต่ตลาดอเมริกา โดยไม่หันมามองตลาดอื่น
กันบ้างเลยหรือยังไง? รถที่น่าจะขายดีแบบนี้ รีบเปิดไลน์พวงมาลัยขวา
ส่งมาทำตลาดในไทยกันให้เร็วๆได้แล้ว ตั้งราคาดีๆ รับรองงานนี้ เจ้าตลาด D-Segment
ทั้ง Toyota Camry Nissan Teana และ Honda Accord อาจต้องหาผ้าห่มมาคลายหนาว
ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว!

—————————————–
ISUZU
2010 : Last NANOCHANGE of  D-MAX
2011 : THE NEXT D-MAX “PROJECT Code : RT-50 ” เลื่อนจาก 2010
2012 : ALL NEW RT50 SUV ( MU-7 REPLACEMENT)

การประคับประคองตลาดต่อไป ในช่วงครึ่งแรกของปี ตามด้วยการสร้างความฮือฮา
ให้กับตลาดด้วยการเปิดตัว D-Max และ MU-7 Super Platinum ที่มาพร้อมระบบ
นำทาง GPS Navigation System อันเป็นความร่วมมือระหว่าง Garmin กับ KENWOOD
ในชื่อ i-Genie ถือเป็นการสร้างความฮือฮา ชนิดที่คู่แข่งรายอื่น ได้แต่นั่งอ้าปากหวอ
ดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า อีซูซุ จะกลายเป็นผู้ผลิตรายแรกในไทย
ที่ติดตั้งระบบนำทาง ให้กับรถกระบะของตน ไม่เว้นแม้แต่รุ่น Space Cab 2WD
อันเป็นรุ่นยอดนิยมของตลาดต่างจังหวัด

ปี 2010 ยังเป็นปีที่ อีซูซุ จะต้องเข็นยอดขายกันอย่างเหนื่อยอ่อนต่อไป
อีกสักพักหนึ่ง ด้วยการเพิ่มรุ่นพิเศษ หรือรุ่นกระตุ้นตลาดอีกสักรุ่น ก่อน
การมาถึงของ รุ่นเปลี่ยนโฉมโมเดลเชนจ์ สำหรับ D-Max รหัสโครงการ
RT50 เพราะมิเช่นนั้น การลากทำตลาดดีแมกซ์รุ่นปัจจุบัน โดยไม่มีการ
ปรับปรุงอะไรเลย ในปีนี้ อาจจะถึงขั้นทรุดจนเข่าอ่อนได้ง่ายๆ แต่ถ้า
ยังคิดไม่ออกว่าจะใช้ชื่ออะไรนั้น

ผมขอเสนอ ชื่อ Hyper Platinum สักหน่อยเป็นไงครับ?

ด้านโครงการ RT-50 ยังคงปิดเป็นความลับ และดูจะไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติมใดๆ
มากไปกว่าการที่อีซูซุ จะยังพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่นี้ต่อไป โดยอาศัยความร่วมมือ
จาก GM เช่นเคย แต่คงจะลดการพึ่งพากันให้น้อยลง หลังจากที่ จีเอ็ม ถอนหุ้น
ออกจากอีซซุไปมากแล้ว ดังนั้น ฐานการพัฒนาหลัก จึงยังคงอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
และไทย เบื้องต้นนั้น RT50 จะใช้โครงสร้างวิศวกรรมร่วมกับ รถกระบะรุ่นใหม่
ของเชฟโรเลต จากโครงการ GMI700 แต่ปรับปรุงจุดด้อยต่างๆ ให้มากที่สุด
เท่าที่จะทำได้ อีกทั้งยังต้องเพิ่ม บานแค็บเปิดได้ ตามเสียงเรียกร้องของลูกค้า
ขณะที่เครื่องยนต์ จะถูกปรับปรุงใหม่ บนพื้นฐานของเครื่องยนต์เดิมตระกูล
Ddi i-TEQ ที่ออกขายกันอยู่แล้ว ทั้ง 2,500 และ 3,000 ซีซี

กำหนดคลอดอย่างเป็นทางการนั้น เดิมที จะเริ่มขึ้นสายการผลิตจริง SOP
(START ON PRODUCTION) ในเดือนมกราคม 2010 แต่ด้วยเหตุที่ โครงการนี้
ถูกเลื่อนออกไป ทำให้ กำหนดการเปิดตัว ของ RT-50 น่าจะอยู่ที่ไตรมาสสุดท้าย
ของปี 2011 แต่ที่แน่ๆ อีซูซุ จะเปิดตัวก่อนหน้าเวอร์ชันฝาแฝด รุ่นเปลี่ยนโฉม
Full Modelchange ของ  Chevrolet Colorado รหัสโครงการ GMI 700 แน่นอน

ส่วนเวอร์ชันเอสยูวี หรือรุ่นเปลี่ยนโฉมของ MU-7 นั้น จะถูกสร้างขึ้นบน
โครงสร้างพื้นฐานของ D-Max ใหม่ RT-50 ตามกำหนดการเดิม ถูกวางไว้
ให้ขึ้นสายการผลิตจริง ในเดือนมกราคม 2011 เห็นท่ามีอันต้องเลื่อนออกไป
กลายเป็นช่วงต้นปี 2012 แทน

—————————————–

JAGUAR
พี่ใหญ่ XJ น่าจะมา พร้อมราคาไกลเกินเอื้อม

การถูกซื้อกิจการจากอ้อมอกของฟอร์ด ผู้ร้อนเงิน ไปอยู่ในเครือของ ทาทา มอเตอร์
ร่วมกับแลนด์โรเวอร์ คือข่าวใหญ่ของแจกัวร์ ในต่างแดน มาตั้งแต่ปี 2008 ต่อเนื่อง
ถึง 2009 แต่สำหรับเมืองไทย หลังการเปิดตัว XF ซีดานใหม่ กลางสยามพารากอน
เมื่อปี 2008 ซึ่งมีเศรษฐีให้ความสนใจ ซาลูนสุดหรูราคาล้ำจินตนาการ คือว่ากันที่
6.2 ล้านบาทขึ้นไป แต่ใช้วัสดุในห้องโดยสาร เกรดเดียวกับ วอลโว S80 อดีต
เพื่อนพ้องร่วมสำนัก ยังพอมีอยู่บ้าง

จนกระทั่ง ปี 2009 AAS ในฐานะผู้นำเข้ายนตรกรรมระดับพรีเมียม ก็ได้นำเข้า
เวอร์ชันดุเดือด XF ในรหัส XF-R เข้ามาเรียบร้อยแล้ว ด้วยราคา 13 ล้านบาทปลายๆ
เกือบแตะ 14 ล้านบาท ส่วน XF เอง ก็ขายออกไปได้หลายคันอยู่

ปี 2010 ทาง AAS น่าจะอยู่ในระหว่าง เตรียมสั่งรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันของ XJ
รถยนต์ซีดานรุ่น Flagship ที่ปฏิวัติแนวทางการออกแบบของ ยนตรกรรมสัญชาติ
อังกฤษกันไปเลย ด้วยราคาที่คาดว่า น่าจะมี เกินกว่า 10 ล้านบาท ขึ้นไปไกลโขอยู่
 
——————————————

KIA / NAZA
SOUL & CERATO / FORTE
2 ตัวนี้ จับตาดูดีๆ

ปีที่ผ่านมา ยนตรกิจเกีย เงียบเป็นเป่าสาก หากไม่ได้อานิสงค์ จากยอดขาย ที่พอรับได้
ของ Naza Forza ซึ่งยนตรกิจอ้างว่า เป็นรถยนต์มาเลเซีย ทั้งที่แท้จริง เป็นรถยนต์จากจีน
ยี่ห้อ ฮาเฟ่ย โลโบ้ ราคาเริ่มต้น 389,000 บาท ที่เริ่มปล่อยรถให้ลูกค้าไปแล้ว ก็คงไม่มีอะไร
ให้ตื่นเต้นกันเลย นอกจากทำตลาด Grand Carnival ใหม่ SUV รุ่น Sorento สต็อกเก่า
รถบรรทุกเล็ก K2700 และ เจ้าตัวเล็ก ชื่อทะลึ่ง Picanto ราคา 4 แสนบาทกลางๆ กันไปเรื่อยๆ

แต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เกีย ปล่อยข่าวว่า กำลังอยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อม เพื่อจะนำ
SOULS Crossover SUV ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างอย่างโดดเด่น และเป็นรถแฟชันจ๋าๆ คันแรก
ของชาวเกาหลีใต้ กับ คอมแพกต์ซีดาน รุ่น Forte หรือที่ทำตลาดทั่วโลกในชื่อ Cerato เครื่องยนต์
1.6 และ 2.0 ลิตร ซึ่งดูคันจริงแล้ว น่าเป็นเจ้าของอย่างมาก เพราะเวอร์ชันตลาดโลกนั้น ออพชัน
ที่อัดเข้ามาให้ แน่นเอี๊ยด จนไม่รู้จะเติมใส่อะไรเข้าไปได้อีก

ตอนนี้เราได้แต่รอดูว่า การเจรจากับบริษัทแม่ในเกาหลีใต้จะเป็นอย่างไร แล้วรถรุ่นไหน
จะถูกสั่งเข้ามาขายก่อนกัน อีกทั้งการบริการหลังการขาย จะยังปรับปรุงเพื่อรองรับการมาถึง
ของรถรุ่นนี้ ได้ดีแค่ไหน?

และถ้าจะถามว่า ควรจะใช้ชื่อไหนในไทย ความเห็นของ Headlightmag.com
ขอให้เป็นชื่อ Cerato จะเหมาะที่สุด

——————————————

LAMBORGHINI
LP 550-2 Valentino Balboni

ค่ายกระทิงดุ ภายใต้การทำตลาดของ NICHE CAR ยังคงมียอดขายได้แบบเรื่อยเปื่อย
สบายๆ จะว่าไปแล้ว ทั้ง Murcialago กับ Gallado แทบจะทุกรุ่น ก็ถูกนำเข้ามาสนอง
ความต้องการของนักเลงรถระดับเสรษฐีมีเงินเป็นโกดัง กันเกือบหมดแล้ว แม้แต่รุ่น
LP670-4 SV ราคา 39 ล้านบาท ก็มีผู้จับจองเป็นเจ้าของไปเรียบร้อยแล้ว  

ปีนี้ มีวี่แววว่า เราอาจจะได้เห็น  Lamborghini Gallardo LP 550-2 Valentino Balboni
ซึ่งสร้างขึ้น เพื่อเป็นเกียรติ และตามความต้องการของ นักขับทดสอบประจำบริษัท
ชื่อเดียวกับชื่อรุ่นรถ ซึ่งทำงานที่นี่มาตั้งแต่ปี 1968 จะว่าไป มีไม่บ่อยครั้งหรอก
ที่บริษัทรถยนต์จะให้เกีรติกับพนักงานของตนเอง มากมายขนาดนี้ วางเครื่องยนต์ V10
5,204 ซีซี 550 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 55.02 กก.-ม. และขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ ถือเป็นแลมโบฯ เพียงไม่กี่รุ่น ที่ใช้ระบบ ขับเคลื่อนล้อหลัง รถรุ่นนี้ เพิ่งเปิดตัว
สู่ตลาดโลกไปหมาดๆ กันบนถนนเมืองไทย หากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน เดี๋ยวสักพัก
ก็คงจะมีเศรษฐีไทยใจรักสนุกสักคน เดินเข้าไปสั่งออร์เดอร์กับทางนิชคาร์ แน่ๆ

——————————————

LAND ROVER
2009 : Disco IV & New Range Sport แอบมากันอย่างเงียบๆ
2010 : Freelander FaceLifted

หลังจาก แลนด์โรเวอร์ อังกฤษ ประกาศ ยุติบทบาทของ แลนด์โรเวอร์ ไทยแลนด์ ไป
จนทำให้เกิดปัญหาคาราคาซังวุ่นวาย พอล่วงเข้าช่วงกลางปี 2008 กัวว่า มอเตอร์ ก็เข้ามา
สวมสิทธิ์การทำตลาดของ แลนด์โรเวอร์ ไทยแลนด์ไป พร้อมกับตั้งเป้าจะดูแลการทำตลาด
ของ เอสยูวีค่ายนี้ อีกกว่า 26 ประเทศ ขณะเดียวกัน บริษัทแม่ในอังกฤษ ก็โดนเจ้าของเดิม
คือ Ford ขายกิจการแพ็คคู่ร่วมกับ Jaguar ให้กับ Tata Motor จากแดนภารตะไปในช่วง
เดือนมีนาคม 2008

พอล่วงเข้า 2009 ความเคลื่อนไหว ก็เงียบหายดุจเข้ากลีบเมฆ มีเพียงการแต่งตั้ง บริติช มอเตอร์
ดีลเลอร์ที่มีประสบการณ์ค้ารถจากต่างประเทศ มาดูแลการทำตลาดในไทย แทนกัวว่า จะลงมือเอง
เสียที ส่วนการบริการหลังการขาย ทางกัวว่า กับบริติช มอเตอร์ จะช่วยกันรับผิดชอบ ทุกรุ่น ทุกคัน
ที่มีวิ่งเล่นอยู่ในเมืองไทย ดังนั้น ช่วงงาน Motor Expo ก่อนสิ้นปีที่ผ่านมา เราจึงเห็น แลนด์โรเวอร์
กลับมาออกบูธจัดแสดง Discovery IV และ Range Rover Sport Minorchange ใหม่ล่าสุดจากยุโรป
ซึ่งมีการปรับปรุงรายละเอียดชิ้นส่วนต่างๆ เยอะมาก มาขายในราคาใหม่ ที่แพงกว่าเก่า เพราะงานนี้
เขาตั้งใจว่า จะขอจ่ายภาษีให้ประเทศชาติเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่เลี่ยงภาษีเหมือนค่ายอื่นๆ  

แต่ในปี 2010 นั้น ดูเหมือนจะยังไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นชิ้นเป็นอันนัก มีเพียงการรอคอย Freelander
Minorchange ที่จะต้องถึงเวลาเปิดตัวในตลาดโลก ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ว่า จะมีตกมาถึงเมืองไทย
กันสักกี่คัน ลำพัง รุ่นปัจจุบัน ก็ขายกันที่ 3.99 ล้านบาท และยากจะหาคนมาอุดหนุนด้วยอยู่แล้ว

——————————————

LOTUS (By Niche Cars)
EVORA Automatic

จั่วหัวอย่างกับชื่อของ มอเตอร์ไซค์ เกียร์อัตโนมัติ ซะอย่างนั้น แต่อันที่จริงแล้ว มันคือ เวอร์ชัน
เกียร์อัตโนมัติ ของรถสปอร์ตรุ่นล่าสุด จากค่ายดอกบัวอังกฤษ ที่ นิชคาร์ส เป็นผู้สั่งเข้ามาจำหน่าย
อย่างเป็นทางการ ณ ขณะนี้

EVORA เปิดตัวในไทยไปแล้ว เมื่อ 18 พฤษภาคม 2009 แต่ การส่งมอบน่าจะเริ่มต้นได้เมื่อช่วง
เดือนธันวาคมที่ผ่านมา และยังเป็นรถรุ่นเกียร์ธรรมดาล้วนๆ แต่ถ้าใครอยากได้รุ่นเกียร์อัตโนมัติ
ไว้ขับเท่ๆ เป็นหลัก เตรียมรอพบ รุ่นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ที่ออกจะน่าตกใจซักหน่อย เพราะว่า
โลตัสอังกฤษ เล่นง่ายมาก ด้วยการ ยกเอาเกียร์ของ Toyota Camry V6 3.5 ลิตร ในบ้านเรา สวมแหมะ
ใส่เข้าด้วยกันเสร็จสรรพ!

ทีนี้ก็หวานหมูอู่ซ่อมรถไทยกันแน่ๆ แต่เศรษฐีเงินหนา อาจส่ายหัว เพราะว่า เกียร์ลูกนี้ ปกติ Toyota
ขายในศูนย์อะไหล่ของตน ลูกละประมาณ 250,000 บาท ฟังดูเหมือนลดเกรด ทอนศักด์ศรี แต่ถ้าคิดให้ดีๆ
งานนี้ ถือว่ากำไรคนซื้อใช้ เพราะถ้าเกียร์พังเมื่อไหร่ เดินถามไถ่ในเซียงกงกันได้ไม่น่ายากเย็น
คาดว่ารถรุ่นนี้ จะมีกำหนดเข้าเมืองไทย ในช่วงใดช่วงหนึ่งของปี 2010

——————————————

MAZDA   
2010 : Mazda 2 Sedan ปลายมกราคม และ Mazda 3 “LAST Nanochange”
2011 : Mazda 3 Next Gen. Made in Thailand & All new BT-50 (Project Code : T6 )

การเปิดตัว Mazda 2 เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา กลายเป็นปรากฎการณ์
ครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 50 กว่าปี ของ มาสด้าในเมืองไทย เพราะเป็นการทุ่มโฆษณา
เปิดตัวรถรุ่นใหม่ของค่ายซามูไร เลือดฮิโรชิมา ที่บ้าระห่ำที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
และทุกกิจกรรมที่ทำลงไป ทุกสื่อที่รถคันนี้ปรากฎตัว พร้อมกับพรีเซ็นเตอร์ ดังระดับ
ทุกค่ายอิจฉา อย่าง เป้ อารักษ์ ล้วนได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเยี่ยม จนทำให้
เพียงเปิดตัว 15 วัน ยอดขายก็แซง Toyota Yaris 1 ในเจ้าตลาด ไปยืนบนแท่น
อันดับ 2 ของตลาด B-segment Sub-Compact Hatchback เรียบร้อยแล้ว เป็นรองแค่
Honda Jazz เท่านั้น!! ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือ แม่ทัพหญิง พี่ซู สุรีย์ทิพย์ ละอองทอง
และทีมงาน ที่ทำงานร่วมกับนายใหญ่ จอห์น เรย์ ได้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนใน
วงการรถยนต์ว่า เธอคนนี้แหละ “คนจริง ของจริง”

ขณะเดียวกัน ปีที่ผ่านมา มาสด้ายังไม่ทิ้งตลาดกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว
รุ่นปรับโฉม Minorchange ของรถสปอร์ตเปิดประทุน MX-5 การกระตุ้นตลาด
รถกระบะ ให้คึกคัก ด้วย BT-50 Nano Change ที่ปรับงานออกแบบใหม่ และเพิ่ม
สีตัวถังใหม่ ให้สวยสะดุดตายิ่งขึ้น ก็ยังพอช่วยให้ยอดขายของรถกระบะมาสด้า
แซงพ้นจากการเป็นหางแถวมาไกลพอสมควร ส่วน Mazda 3 ก็ยังเพิ่มรุ่น
พิเศษ Life & Play รักษาระดับยอดขายไว้เรื่อยๆ แถมยังมีรายการหยอดท้ายช่วง
ปลายปี ส่ง Mazda CX-9 Crossover SUV 7 ที่นั่ง เข้ามาหยั่งเชิงเศรษฐีเมืองไทย
ด้วยราคาปาเข้าไป 3.6 ล้านบาท อวดโฉมใน Motor Expo ร่วมกับ Mazda 2 นั่นละ

แต่ยังก่อน แผนกระแทกตลาด Sub-Compact B-Segment ยังไม่จบ เพราะทันที
ที่ ตัวถังแฮตช์แบ็กของ Mazda 2 เปิดตัวออกไป มาสด้า ก็รีบเตรียมแผน เปิดตัว
รุ่นซีดาน กันต่อเนื่องในทันที เพื่อให้ทันกำหนดเปิดตัว ปลายเดือนมกราคม 2010
ที่ใกล้จะมาถึง จับตาดูให้ดีว่า คราวนี้ มาสด้าจะกระตุกหนวด Toyota Vios
และ Honda City รวมทั้งเขี่ย Chevrolet Aveo 1.6 ให้พ้นสายตาลูกค้า  ด้วยวิธีใด

ส่วนช่วงครึ่งหลังของปี พี่ใหญ่อย่าง Mazda 3 ยังต้องมีการแต่งศิลป์ประทินโฉม
กันอีกสักครั้งหนึ่ง ในระดับที่เรียกกันเล่นๆว่า Nanochange คือ ไม่เปลี่ยนอะไร
มากมายนัก เอาแค่รักษาระดับยอดขายไว้ ให้ลดลงตามอายุตลาดที่ใกล้จะหมด
ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในระหว่างรอการมาถึงของ Mazda 3 Full Modelchange
ที่จะย้ายไล์ประกอบจากฟิลิปปินส์ กลับมาอยู่ในโรงงาน AAT ที่ระยอง กันตามเดิม
ซะที และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้การเปิดตัวล่าช้าไปกว่าที่ควรจะเป็นถึง 2 ปี
คาดว่าคราวนี้ อาจจะมีรุ่น “ปรับอุปกรณ์” ให้เหมาะสมกับเมืองไทย มาทำตลาดกัน
ภายในช่วงต้นปี 2011 เป็นอย่างช้าที่สุด


จากนั้น ช่วงปลายปี 2011 จะถึงคิวของ รถกระบะ จากโครงการ T6 Project ที่พัฒนา
ร่วมกับฟอร์ด แต่ในเวอร์ชันของมาสด้านั้น จะมีรูปลักษณ์ภายนอก แตกต่างออกไป
และพลิกโฉมไปจากรถรุ่นปัจจุบัน อย่างสิ้นเชิง มาในแนว Stylish Pickup โดยเฉพาะ
ด้านหน้าของรถ ที่ว่ากันว่า จะคล้ายกับ รถแข่งต้นแบบ Furai ที่อวดโฉมบน
เวทีมอเตอร์โชว์ทั่วโลกมาแล้ว เมื่อ 2 ปีก่อน โดยยังคงวางเครื่องยนต์ ดีเซล คอมมอนเรล
เทอร์โบ 2.5 และ 3.0 ลิตรเช่นเดิม และคราวนี้ จะออกแบบมาเพื่อรองรับการบรรทุก
ได้เยอะกว่ารถรุ่นก่อน ก็แน่ละ โครงสร้างตัวถังคราวนี้ ถูกขยายใหญ่พอกันกับ Toyota Vigo
ในทุกมิติกันเลยนี่นา

——————————————

Mercedes-Benz
2010 : NEW E-CLASS CKD Made in Thailand
           New S-CLASS MINOR CHANGE
           New Line-up of the “BLUE Efficiency Engine”
           SLS AMG

การเข้ามาของคุณ อเล็กซ์ เพาฟ์เลอร์ นายใหญ่คนใหม่ของ Mercedes-Benz Thailand
ช่วยพลิกภาพของค่ายยนตรกรรมหรูจาก ชตุทการ์ท เยอรมัน ให้มีชีวิตชีวา และใกล้ชิด
กับทั้งพนักงานของตน และลูกค้าคนไทยมากขึ้น (จนถึงกับโดนลูกค้าตีความเจตนาผิดๆ
ยกอีเมล์ส่วนตัว ไปโพสต์ด่ากลาง pantip.com อย่างที่ไม่สมควรโดนเลย) เป็นความ
เคลื่อนไหวสำคัญในช่วงต้นปี 2009

และนับจากนั้นมา ตั้งแต่ Bangkok Motor Show ค่ายดาวสามแฉก ก็เริ่มทะยอย
ปล่อยรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ทั้ง E-Class Coupe ที่เปิดตัวในไทย ณ
งานดังกล่าว นำเข้าทั้งคัน 8 ล้านบาทเศษ พร้อมกับ C200 รุ่น Basic ตามด้วย
ช่วงเดือนตุลาคม กับ C220 CDI และส่งท้ายปีนี้ ต้นเดือนพฤศจิกายน ด้วย E-Class
W212 ใหม่ ที่รอความพร้อมของเครื่องยนต์ สำหรับเวอร์ชันไทยอยู่นานจนเกือบ
จะครบ 1 ปี หลังเผยโฉมครั้งแรก จนผู้ค้ารายย่อย เกรย์มาร์เก็ต ตัดสินใจ เปิดศึก
ตัดหน้าชิงความได้เปรียบกันเอง ว่าใครนำรถเข้ามาขายก่อนกัน และนั่นทำให้
สำนักงานใหญ่ที่ตึกรัจนากร ต้องร่อนเอกสารชี้แจงด่วนว่า เครื่องยนต์รถรุ่น
นำเข้ามากันเองเป็นรุ่น Euro IV หรือ V ซึ่งอาจมีปัญหากับคุณภาพน้ำมัน
ในเมืองไทย ที่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น

ในเมื่อปีที่แล้ว ชาว Mercedes-Benz ต้องปวดหัวกับ E-Class ใหม่ ตลอดทั้งปี
ปี 2010 ก็อย่าหวังว่าจะเลิกปวดหัวกันง่ายๆ เพราะจะต้องส่งรุ่นประกอบในประเทศ
จากโรงงานของ ธนบุรีประกอบรถยนต์ ออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

นอกจากนี้ ยังจะมีแผนเปิดตัว SLS Gullwing AMG สปอร์ต หลังคาปีกนก
ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถรุ่น 300 SL Gullwing อันโด่งดัง ในยุค 1950
กลางงาน Bangkok Motor Show พร้อมๆกับ S-Class Minorchange ที่สมควร
แก่เวลาจะทำตลาดในบ้านเราได้แล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น ปี 2010 จะยังเป็นปีที่ Mercedes-Benz เตรียมปรับไลน์
เครื่องยนต์ของรถที่ทำตลาดในบ้านเราทั้งหมด เข้าสู่ยุค BLUE Efficiency
อันเป็นเครื่องยนต์ยุคใหม่ ที่ให้พลังแรง แต่ปล่อยมลพิษต่ำลงไปมาก
ในระดับ Euro-IV หรือ V กันเสียที

สรุปว่า จับตาดูค่ายดาวสามแฉกในปีนี้ ให้ดี เพราะนับว่าจะเป็นปีแห่งการ
ต่อยอด สู่อนาคตในปีถัดไปหลังจากนั้น
——————————————

MITSUBISHI
2010 :  Lancer EX WHITE PEARL Edition และ Triton รุ่นพิเศษกระตุ้นตลาด (ทั้งปี)
2011 : SUB-COMPACT B-Segment  หรือ ECO CAR มีนาคมนี้ รู้ผล

2009 แทนที่จะเป็นปีที่ Lancer EX หรือเจ้าหน้าฉลาม น้องใหม่ จะฉุดให้มิตซูบิชิ
ตื่นจากฝันลมๆแล้งๆ แต่สุดท้าย ก็กลายเป็นปีที่ งูเหลือมเขมือบวัว ของเรา ยังคง
ต้องนอนซม รอดูเพื่อนฝูงเขากอบโกยกันอย่างสนุกสนานต่อไป เพราะดูเหมือนว่า
วัวที่งูเหลือมชื่อมิตซูบิชิ เขมือบเข้าไปนั้น เป็นพันธ์ “อเมริกัน บราห์มัน” เปรียบ
ได้กับปัญหาภายในองค์กร ที่ดูเหมือนว่าจะเยอะแยะมิใช่เล่น

เพราะหลังการเปิดตัว เมื่อ 15 กันยายน 2009 ที่ผ่านมา ปริมาณรถที่ปล่อยออกสู่ตลาด
มีไม่มาก และไม่ฮือฮาอย่างที่ควรจะเป็น แถมยอดจองในงาน Motor Expo ก็อยู่ในระดับ
300 กว่าคัน พอกันกับ Pajero Sport ซึ่งขายดีติดลมไปเรียบร้อยแล้ว และรายหลังนั้น
คาดว่าคงจะนิ่ง อยู่ในระดับนี้ต่อไปอีกนาน แถมกลับกลายเป็นว่า Lancer CNG ที่ยังค
งลากผลิตอยู่ แม้ว่า EX จะเปิดตัวไปแล้วนั้น มียอดขายเรื่อยๆ สบายๆ เดือนละ 2-300 คัน
ได้อยู่อย่างไม่น่าเชื่อ!! ยังไม่นับกับยอดขายของ รถกระบะไทรทัน ที่นับวันดูจะ
ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ


เปิดปีใหม่มานี้ การบ้านชิ้นสำคัญที่ มิตซูบิชิ ต้องทำ และดูเหมือนว่ากำลังซุ่มทำกันอยู่
คือ การกอบกู้กระแสของ แลนเซอร์หน้าฉลาม ให้เริ่มฮิตติดลมบนมากกว่าที่เป็นอยู่
ในทุกวิถีทาง นอกจากแคมเปญโฆษณาชุดใหม่ ที่ควรจะรีบเข็นกันออกมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว
รุ่นพิเศษที่กั๊กกันไว้ทำไมก็ไม่รู้ อย่าง รุ่นสีพิเศษ Lancer EX WHITE PEARL Edition
ก็จะต้องรีบปล่อยออกมาขึ้นโชว์รูมกันได้ภายในช่วงต้นเดือน มีนาคม ที่จะถึงนี้กันซะที
แล้วต้องเลิกสร้างความสับสน ในการโฆษณา เพราะถ้าคิดจะขายรุ่นล่าง กับสาวออฟฟิศ
ตอนนี้ ถ้าจะคิดใหม่ ก็ยังทันอยู่นะ

ไม่เพียงเท่านั้น มิตซูบิชิ ยังต้องเร่งสร้างยอดขาย จาก รถกระบะดีไซน์ล้ำ (เกิน) อย่าง
Triton ไม่ให้ตกต่ำไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเห็นได้ชัดแล้วว่า การปรับโฉม Minorchange
แบบ ปล่อยออกมาทีละขยัก นั้น ไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรเลย แถมรังแต่จะสร้างความสับสน
ให้ลูกค้า ได้งุนงงเล่นกันมากกว่า ดังนั้น สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ คือการเตรียม
ปรับโฉมขนานใหญ่ Big-Minorchange ให้กับ ไทรทัน ซึ่งควรจะเกิดขึ้น อย่างเร็วที่สุด
ในช่วง เดือนสิงหาคมนี้ และอย่างช้าที่สุด คือ มีนาคม 2011

ด้านโครงการใหม่ๆ นั้น ยังอยู่ในสภาพลูกผีลูกคนอยู่ กว่าจะรู้แจ้งแจ่มชัดว่า มิตซูบิชิ
จะทำรถยนต์ขนาดเล็กกว่า แลนเซอร์ รุ่นใหม่ ที่ยังไม่เคยมีขายมาก่อน ในขนาดตัวถัง
ประเภทใด ระหว่าง ECO CAR ไปเลย ตามที่ยื่นขอรับสิทธิพิเศษจาก BOI ไปแล้ว หรือ
หันมาเล่นกับตลาด B-Segment 1.5 ลิตรเต็มตัว ในตลาดเมืองไทยกันต่อไป ก็คงต้องรอ
ไปถึง เดือนมีนาคม 2010 ถึงจะมีการเคาะออกมาเรียบร้อยได้ (เคลื่อนไหวได้ช้า
สมกับเป็น “งูเหลือมเขมือบวัว”  กันจริงๆ)

——————————————
NISSAN
2010 :  MARCH ใหม่ ครั้งแรกในโลก / NAVARA MINORCHANGE
           Vannette NV200 & ALL NEW URVAN แท็คทีมคู่ เดือน พ.ย.
2011 : MARCH BASED SEDAN & QASANA
2012 : LEAF!! & THE NEXT TIIDA X12C  
2013 : New Compact Sedan (TIIDA LATIO Replacement)

ปี 2009 ถือเป็นปีแห่งการเริ่มต้นสู่วันเวลาฟ้าใหม่ที่นิสสันรอคอย แม้จะไม่ได้ถล่มเปิดตัวรถรุ่นใหม่
ออกสู่ตลาดมากมายอย่างที่คิดเอาไว้ แต่การเริ่มต้นปีที่แล้วด้วย Teana Full Modelchange รหัสรุ่น J32
รหัสโครงการ L42F เมื่อ ช่วงกลางเดือนมีนาคม ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง เกินความคาดหมาย
จนถึงขั้นทำให้ยอดขายของ เทียนา แซงเจ้าตลาดอย่าง Toyota Camry ขึ้นไปได้เป็นผลสำเร็จครั้งแรก
ในรอบหลายปี จะว่าไปแล้ว ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะ โตโยต้าเอง ก็ลดกำลังการผลิตของ แคมรี ลง
เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเปิดตัว Camry HYBRID ในช่วงเดือนสิงหาคม และนั่นทำให้ ลูกค้า
เทความสนใจมายังเทียนา เยอะกว่าที่คาดคิดไว้นิดหน่อย (ก่อนที่จะโดน Camry HYBRID
ทวงแชมป์คืนไปเป็นผลสำเร็จ หลังเดือนกันยายนเป็นต้นมา)

นอกจากนั้น ก็ยังมีรุ่นกระตุ้นตลาด ภายในสีดำ เปิดตัวออกมาพร้อมกันในช่วงงาน Motor Expo
พร้อมกับ TIIDA Nismo 5 ประตู รุ่นตกแต่งพิเศษ (แต่ใส่ล้อ 15 นิ้วเหมือนเดิม?) ไปจนถึง
Navara Calibre ขับสองยกสูง รุ่นเกียร์อัตโนมัติ สีขาว  ทั้งหมดนี้ เปิดตัวพร้อมๆกันกับ
การกลับมาทำตลาดอีกครั้งของ X-Trail รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange จากโรงงาน
ของนิสสัน ในอินโดนีเซีย ที่ยกมาแค่รุ่น ขับล้อหน้า วางเครื่อง 2.0 ลิตร แถมเชื่อมเกียร์ CVT
ยกชุดมาจาก เทียนา 2.0 ในบ้านเราเป๊ะ รวมทั้ง ยังมีการประกาศทำตลาด รถสปอร์ต 370Z นำเข้า
สำเร็จรูปทั้งคันจากญี่ปุ่น ครบทั้งเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ ชนิดที่ไม่ต้องรอให้
ผู้นำเข้ารายย่อยเก็บกวาดยอดขายแต่เพียงลำพังกันอีกต่อไป


แต่ไฮไลต์สำคัญของนิสสัน ในปี 2010 คือการเตรียมเปิดตัว รถยนต์ ECO Car คันแรก
ที่ได้รับสิทธิพิเศษส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และทั้งที่ตัวรถยนต์ เป็นแบบแฮตช์แบ็ก
ที่มีขนาดตัวถัง ใหญ่อยู่ในกลุ่ม Sub-Comapct B-Segment เหมือน Toyta Yaris คันนี้  

ฟังดูแล้ว งงใช่ไหมครับ? ไม่ต้องสงสัยไปเลย อ่านดีๆ เพราะในเมื่อ โจทย์ ของ
ECO Car นั้น ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีการจำกัดขนาดตัวถัง ดังนั้น ใครจะทำตัวถังรถ
ให้ใหญ่แค่ไหน หรือเล็กอย่างไร ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น ต่อให้นำรถยนต์ขนาดเท่า
Toyota Yaris มาเป็นพื้นฐาน ถ้าใส่เครื่องยนต์เบนซินไม่เกิน 1.2 ลิตรเข้าไป หรือ
ดีเซลไม่เกิน 1.4 ลิตร เข้าไป และสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในระดับ
20 กิโลเมตร/ ลิตร (ทดสอบที่ความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เพียงเท่านี้ รถคันนั้น
ก็จะถือเป็นรถ ECO Car ได้แล้ว

และ นิสสัน กำลังจะทำแบบนั้น ด้วยการนำ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange
ของ Nissan March หรือ Micra รถยนต์ Sub-compact Hatchback รุ่นดังในญี่ปุ่น และยุโรป
กลับมาทำตลาดในบ้านเราอีกครั้ง นับตั้งแต่ปี 1986-1987 แถมคราวนี้ ไทยยังได้รับเกียรติ
ให้เป็นประเทศแรกในโลก ที่จะได้เปิดตัวมาร์ช เจเนอเรชันที่ 4 รุ่นใหม่ล่าสุดเป็น
ครั้งแรกในโลก ก่อนตลาดญี่ปุ่น เสียด้วยซ้ำ!!

และเมื่อถึงวันนี้ หลายฝ่ายที่เคยสับสน ว่า นี่คือการจับมาร์ช รุ่นปัจจุบัน มาย่อร่างให้เล็กลง
หรือ DOWN-SIZING หรือเปล่านั้น บัดนี้ ถึงเวลาตาสว่างได้แล้ว เพราะงานนี้ นิสสัน
เลือกจะพัฒนามาร์ชใหม่ภายใต้รหัสโครงการ X02A ให้เข้ากับพิกัด ECO Car โดยสร้าง
ตัวถังให้มีขนาดใหญ่กว่า มาร์ชรุ่นปัจจุบัน ซึ่งทำตลาดในญี่ปุ่น นิดเดียว และมีการดัดแปลง
เส้นสายตัวถังให้ดูกลมกลืนและร่วมสมัย เน้นเอาใจลูกค้าสุภาพสตรีมากยิ่งขึ้นกว่ารถยนต์
ขนาดเล็กรุ่นอื่นใดของนิสสัน ช่วงก่อนหน้านี้

การกลับมาคราวนี้ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่นิสสันตั้งใจจะแก้ปัญหาที่มีอยู่ในตลาด
รถยนต์ขนาดเล็ก ด้วยการผลักดันให้ มาร์ช กลายเป็น GLOBAL PRODUCT อย่างแท้จริง
ในทั่วโลก โดยไทยจะถูกยกระดับความสำคัญในฐานะเป็นโรงงานหลัก MOTHER PLANT
สำหรับการผลิตรถเล็กรุ่นใหม่นี้ ไปยังตลาดอื่นๆทั่วโลก ถือเป็นแผนของนิสสัน ที่หวังจะ
ปูทางตลาดรถยนต์ ECO CAR ในไทย

แม้ตัวถังจะใหญ่โต เท่ากับ Toyota Yaris แต่จุดขายสำคัญ ของ March ใหม่ จะอยู่ที่
ความกว้างสบายของห้องโดยสาร ขนาดที่ คนตัวใหญ่ 2 คน นั่งบนเบาะหน้า และเบาะหลัง
พร้อมกัน 2 คนได้สบายๆ โดยไม่มีใครอึดอัดเลย แถมยังมีฟังก์ชันจุกจิก เอาใจคุณผู้หญิง
ที่ต้องการรถเล็กไว้ขับใช้งานในเมืองโดยเฉพาะ

เครื่องยนต์สำหรับเวอร์ชันไทย จะเป็นบล็อก 3 สูบ 1,200 ซีซี  คาดว่าจะมีกำลังอยู่ในระดับ
70-80 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด น่าจะป้วนเปี้ยนระหว่าง 100 – 110 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน
ล้อหน้า ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ CVT อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันญี่ปุ่น
จะยังโชคดี ได้ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ 12 วาล์ว 1,200 ซีซี เทอร์โบ กันอีกด้วย
ที่น่าเศร้านิดหน่อยก็คือ เครื่องยนต์ทั้ง 2 จะถูกผลิตขึ้นในเมืองไทย แต่เวอร์ชัน เทอร์โบ
อาจจะไม่สามารถส่งขายในเมืองไทยได้ เนื่องจาก ไม่ผ่านข้อจำกัด ECO Car และหาก
จะขายกันจริงๆ ต้องตีความเป็นรถยนต์นั่งขนาดปกติ ที่ไม่ได้รับการส่งเสริมด้านภาษี
ซึ่งจะทำให้ราคาทะลุไปจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งใจไว้ อย่างมาก

กำหนดขึ้นสายการผลิตและเปิดตัวในเมืองไทย อยู่ในช่วงเดือนมีนาคม 2010 ถือเป็น
รถยนต์รุ่นสำคัญ ที่น่าจับตาที่สุดของปีนี้ อย่างไรก็ตาม มีข่าวแว่วมาว่า ในช่วงแรก
อาจจะมีเฉพาะ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ออกมาก่อน เพราะต้องรอความพร้อมในการ
ผลิตเกียร์อัตโนมัติ CVT อีกนิด จึงจะพร้อมส่งมอบในอีก 1-2 เดือนให้หลัง
ซึ่งหากปล่อยไว้เช่นนี้ อาจเสียโอกาสในการขายไปได้เยอะมาก และอาจ
ทำให้สร้างกระแสได้ช้าไปกว่าที่ควรเป็น

หลังจากนั้น ช่วงกลางปีไปแล้ว น่าจะมีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ครั้งใหญ่ ให้กับ
รถกระบะ NAVARA งานนี้ ไม่เพียงแต่จะปรับกระจังหน้า ให้คล้ายคลึงกับ
กระจังหน้าของเอสยูวีรุ่น Pathfinder Minorchange ปี 2008 แล้ว ยังต้องดูกันต่อไปว่า
จะมีการอัพเกรดสมรรถนะของเครื่องยนต์ YD25DDTi รุ่นท็อป 174 แรงม้าให้
มีเรี่ยวแรงในช่วงออกตัว เพิ่มขึ้นอีกจากเดิมอีกหรือไม่

เดือนพฤศจิกายน นิสสัน จะกลับมาบุกตลาดรถตู้ เพื่อการพาณิชย์ อีกครั้ง คราวนี้
จะแท็คทีม บุกพร้อมกันเป็นคู่ ทั้ง Nissan Vannette NV200 รถตู้ไซส์กลาง ที่เปิดตัว
ในญี่ปุ่นไปแล้ว เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา กับ Nissan New Urvan รุ่นเปลี่ยนโฉม
Full Modelchange  ที่คราวนี้ หมายจะแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจาก Toyota Hiace
และ Commuter มาให้ได้ กำหนเปิดตัวในญี่ปุ่น จะเกิดขึ้นช่วงกลางปีนี้ และน่าจะ
มาถึงเมืองไทย พร้อมกับ NV200 คือช่วงเดือนพฤศจิกายน 2010

จากนั้น เว้นช่วงไปจนถึง ปลายปี 2010 ถึงต้นปี 2011 เวอร์ชันซีดาน 4 ประตู ของ March
รหัสโครงการ L02B จะคลอดตามออกมา โดยยังคงสับสนกันอยู่ว่า จะใช้เครื่องยนต์
ที่ใหญ่กว่า ในพิกัดขนาด 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร หรือยังจะยืนหยัดกับเครื่องยนต์
1.2 ลิตร จาก รุ่น 5 ประตู แต่อย่างไรเสีย ภาระกิจหลักของ March Sedan คือ ต้องออกมา
ประกบทั้ง Mazda 2 Sedan และ Ford Fiesta Sedan แล้วไหนยังจะต้องประกบกับ
คู่แข่งตัวพ่อในตลาด ทั้ง Toyota Vios Honda City ไปจนถึง Chevrolet Aveo อีกด้วย
นับว่าเป็นศึกหนักไม่น้อยเลย

รวมทั้ง Qasana Compact Crossover SUV คันขนาดเล็ก ในฐานะ รุ่นน้องของ Qashqai
ที่ใช้เครื่องยนต์ระดับ 1.6 ลิตร และจะขึ้นสายการประกอบ ในอินโดนีเซีย เพื่อจะ
ส่งมาขายเมืองไทย ในช่วงปลายปี 2011 – 2012  ว่ากันว่า คันจริงจะถอดแบบมาจาก
เวอร์ชันต้นแบบ ชนิดเกือบไม่ผิดเพี้ยน และรถคันนี้ น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
เพราะถือเป็นการเปิดตลาดกลุ่มใหม่ในเมืองไทย คือ ครอสโอเวอร์ SUV 1.6 ลิตร
ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ส่วนความเคลื่อนไหวที่ไกลห่างออกไป และยังสามารถเลื่อนเข้าออกได้อยู่ คือ
รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ของ TIIDA ที่คาดว่าน่าจะมีความกว้างมากขึ้น
เครื่องยนต์มีกำลังแรงขึ้น แต่ประหยัด และเป็นพิษต่อโลกน้อยลง กว่าจะพร้อมเปิดตัว
ปาเข้าไป ปี 2012

อีกคันหนึ่ง ที่ค่อนข้างเป็นไปได้สูงมากว่า น่าจะมาบ้านเรา คือ รถไฟฟ้า LEAF
ที่เพิ่งจะเผยโฉม สู่สายตาชาวโลก ไปในปีที่ผ่านมานี้เอง รถคันนี้ แล่นด้วย
พลังงานไฟฟ้าล้วนๆ จากแบ็ตเตอรี ลิเธียม ไอออน แล่นได้ระยะทางสูงสุด
160 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง และทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขนาดตัวถัง ให้นึกถึง TIIDA 5 ประตู ที่ขยายให้ยาวกว่านิดนึง และเตี้ยกว่า
นิดหน่อย และกว้างกว่าอีกเล็กน้อย มีกำหนดจะเปิดตัวในเมืองไทย น่าจะ
อยู่ในช่วงปี 2012 ซึ่งเท่ากับว่า จะทำให้ นิสสัน กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์
รายแรกในไทย ที่สั่งเอารถไฟฟ้าทั้งคัน โดยไม่ใช้เครื่องยนต์สันดาปช่วยขับเคลื่อน
มาทำตลาดในบ้านเรา อย่างแท้จริง!!

และสุดท้าย แต่ยังไม่ท้ายที่สุด รถยนต์ Cmpact Sedan รุ่นใหม่ ที่จะต้องจับเอา
TIIDA LATIO  รวมทั้ง Sentra สำหรับอเมริกาเหนือ และ Bluebird SYLPHY
 มารวบเข้าด้วยกัน กลายเป็นซีดานรุ่นใหม่ เหลือเพียงคันเดียว ซึ่งรายละเอียด
ต่างๆ ยังไม่ลงตัวเท่าที่ควร เพราะกว่าที่รถรุ่นนี้จะคลอด ต้องรอไปไกลถึงปี 2013

——————————————

PEUGEOT
RCZ สัก 3.5 ล้านคุณจะซื้อไหม

หลังจากต้องปรับตัวเองจากรถยนต์ยุโรปสำหรับลูกค้าทั่วไป จนกลายเป็นรถยนต์ระดับ
พรีเมียม รองรับกลุ่มลูกค้าแนวไฮโซ ที่ชอบของแปลก ไปเรียบร้อย ทั้งจากความไม่คุ้มค่า
ต่อการลงทุนขึ้นสายการประกอบในประเทศ เพราะยอดขายน้อย ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่อง
มาจาก บริการหลังการขายที่ไม่ได้ใจลูกค้า แถมอะไหล่ยังแพง อย่างไรก็ตาม เปอโยต์
ก็ยังพอจะมียอดขายจาก 407 และ 207CC เข้ามาให้ชื่นใจกันได้บ้างเล็กน้อย แม้จะเพิ่ง
เปิดตัว 308 Turbo และ 308CC กันไปในปีนี้ และยังพอมีลูกค้าอุดหนุนกันไปบ้าง

ในปีนี้ รอดูรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุด RCZ ที่คาดว่าจะถูกสั่งเข้ามาขายในระดับราคา
ประมาณ 3.5 ล้านบาท คาดกันว่าน่าจะถูกกว่า Audi TT ประมาณ 1 ล้านบาท ถ้าเป็นไปได้  
และรถคันนี้น่าจะช่วยสร้างสีสันให้กับแบรนด์เปอโยต์ในไทยขึ้นมาได้บ้าง เพาะดีไซน์
ภายนอกที่สวยเฉียบแบบนี้ ไม่เคยมีมาในรถค่ายสิงห์เมืองน้ำหอม มานานแล้ว

——————————————

PORSCHE
Boxster Spider และ Panamera V6 อุดตลาดล่าง

AAS ผู้นำเข้ารถสปอร์ตชั้นดีจากเยอรมัน ขยันสร้างทำตลาดปอร์เช่ กัน อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การนำเข้า
911 Minorchange เมื่อปลายปี 2008 ต่อเนื่องด้วย Panamera สปอร์ตซาลูนรุ่นแรกในประวัติศาสตร์
ของปอร์เช่ ยังไม่นับรุ่น Boxster และ Cayman Minorchange ที่เจาะตลาดวัยรุ่นไฮโซอยากขับรถสนุกๆ

ในปีใหม่นี้ Boxster Spider ขุมพลัง 6 สูบเรียง 3.4 ลิตร น่าจะเรียกลูกค้ากระเป๋าหนักที่รักในความแรง
แบบท้าสายลม รวมทั้ง รุ่นย่อมเยาว์ของ สปอร์ตซาลูน Panamera ที่วางเครื่องยนต์ V6 ซึ่งจะช่วย
เข้ามาอุดช่องว่างในใจลูกค้า ที่อยากได้รถรุ่นนี้ ในราคาที่ย่อมเยากว่า ไม่น่ายาก ขอเพียงมีออพชัน
ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็เพียงพอ

——————————————
PROTON
SAGA จะมาไหม?

ผู้ผลิตจากแดนเสือเหลือง อันมีพรมแดนเชื่อมติดกับเมืองไทย ฉวยจังหวะที่ Honda
ไม่อาจสร้างกระแส มินิแวนรุ่น Freed ให้ดังเปรี้ยงได้อย่างที่คิด ส่ง Exora
มินิแวนรุ่นล่าสุดของตน ที่เพิ่งเปิดตัวสู่ตลาดมาเลเซีย กลางปีที่ผ่านมา บุกตลาด
รถยนต์บ้านเรา ด้วยราคารุ่นท็อปที่ถูกเพียง 729,000 บาท และพอจะได้รับยอดจอง
จากลูกค้าในงาน Motor Expo อยู่บ้าง พอกันกับเสียงก่นด่า จากลูกค้าหลายราย
ที่เริ่มพบว่า อะไหล่ของรถรุ่น Savvy เริ่มจะแพงเกินเหตุ ถึงขนาดลงทุน เดินทาง
ไปซื้ออะไหล่กันเอาเอง ยังประเทศมาเลเซีย ก็มีมาแล้ว

ปีนี้ นอกจาก โปรตอน จะต้องมองดูลู่ทางในการนำเข้า ซีดานคันเล็ก รุ่น Saga
หรือถ้าพูดอีกที ก็คือ Savvy เวอร์ชัน ซีดาน แต่ วางเครื่องยนต์ CAMPRO 4 สูบ
1,300 ซีซี 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 120 นิวตันเมตร ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่
18 มกราคม 2008 และประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยยอดจองถึง 23,000 คัน
และต้องคอยคิวยาวกันนานถึง 5 เดือน ในช่วงเปิดตัว เข้ามาทำตลาดในบ้านเราแล้ว

อีกสิ่งหนึ่งที่พระนครยนตรการ ผู้จำหน่ายโปรตอนในเมืองไทย สมควรทำมากที่สุด
ในระยะสั้นอย่างนี้ คือการเอาใจใส่ กับบริการหลังการขาย และราคาอะไหล่ รวมทั้ง
เข้าถึงใจของลูกค้า ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะนี่คือรากฐานสำคัญของการทำตลาด
รถยนต์ในเมืองไทย มิเช่นนั้นแล้ว หากยังปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างนี้ ตอนจบ
อาจจะมาถึงเร็ว และอาจจะไม่สวยงามอย่างที่คิด ก็เป็นได้

——————————————–

ROLLS-ROYCE
ใครอยากเลี้ยงผี เตรียมสั่งซื้อได้เลย

ผีที่ว่า ไม่ได้หมายถึง ผีกระสือ ผีกระหัง หรือ เด็กผี อะไรทั้งสิ้น
เรากำลังหมายถึง Rolls-Royce GHOST รุ่นล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ
ในงาน Frankfurt Motor Show ที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้ ถ้าใครอยากได้
ก็คงต้องติดต่อผู้จำหน่ายในบ้านเรากันได้เลย เพราะรถแบบนี้
ไม่มีหรอกครับ งานเปิดตัวหนะ แล้วก็อย่าลืมทำประวัติของคุณให้ใสสะอาด ด้วยนะครับ

เพราะซื้อรถยี่ห้อนี้ มีสอบเช็คประวัติเก่าๆ ทุกราย!

——————————————–
SSANGYONG
ขายของเก่าไปเรื่อยๆ?

นี่ก็เป็นอีกรายที่ยังไม่มีแนวโน้มจะสั่งรถยนต์รุ่นใหม่ๆเข้ามา อย่าว่าอย่างนั้นเลย
ขนาดบริษัทแม่ในเกาหลีใต้เอง ยังต้องเข้าสู่กระบวนการพิทักษ์ทรัพย์ เพื่อให้ หลุดพ้น
จากการล้มละลาย จนลูกจ้างในโรงงานต้องออกมาก่อหวอดประท้วงวุ่นวานไปเลย

ดังนั้น สิ่งที่ ซางยอง ทำอยู่ คือ เน้นการบริการหลังการขายเป็นหลัก และปล่อยให้
โชคชะตา ของรถยนต์รุ่นใหม่เหล่านั้น ขึ้นอยู่กับตลาดโลกและบริษัทแม่ในเกาหลี
ซึ่งก็ยังไม่มีใครรู้ว่า จะประคองกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ได้นานสักแค่ไหน?

——————————————–

SUBARU
NEW LEGACY 2.5GT & OUTBACK 2.5 ลิตร
IMPREZA Minorchange?

ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ และวิกฤติราคาน้ำมันไปบ้าง
แต่เอาเข้าจริง ยอดขายของ ซูบารุในการดูแลของ มอเตอร์ อิมเมจ ในเครือ
ตันจงกรุ๊ป จากสิงค์โปร์ ยังคงไม่กระเทือนมากอย่างที่คิด เพราะมีลูกค้าหลั่งไหล
เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยยอดขายหลักมาจาก Impreza ใหม่ แฮตช์แบ็ก 5 ประตู ทั้งรุ่น
1.5 1.6 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร WRX  ซึ่งโดนใจผู้หญิงมากขึ้นกว่ารถรุ่นก่อน
ขณะที่รุ่นอื่นๆ อย่าง Forester Modelchange ที่ตั้งราคาได้กระชากจิต 1.69 ล้านบาท
ในรุ่น 2,000 ซีซี ไม่มีเทอร์โบ พวงงมาลัยไฟฟ้า เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
ก็ยังขายได้เรื่อยๆ จากกลุ่มลูกค้าที่เบื่อ Honda CR-V เต็มทน หลายราย
ไม่เว้นแม้แต่ อิมเพรสซา WRX STi ที่ขายไปได้แล้วถึง 5 คัน

ส่วนรถใหม่ในปีที่ผ่านมา นอกจาก Impreza ANESIS เวอร์ชัน 4 ประตู
ของ อิมเพรสซา ที่หาความงามจากบั้นท้ายรถไม่เจอ ก็ดูจะมีแต่
Legacy 2.0 ลิตร ใหม่ล่าสุด เกาะติดตลาดญี่ปุ่น เปิดตัวในไทย
ทิ้งช่วงกันแค่ ครึ่งปีเท่านั้นเอง เราก็ได้สัมผัสคันจริงกันไปแล้ว
ในส่วน “Review By  J!MMY ที่ Headlightmag.com” ว่ามีบุคลิก
ประมาณ “ป้าอ้วน (จอมประหยัดผิดหูผิดตา)” เปิดตัวควบคู่กับ
การนำนักขับ Stunt ชื่อ Russ Swift มาโชว์ลีลาการขับพาดโผน
ใน Motor Expo ครั้งที่ผ่านมา

ปี 2010 นี้ มอเตอร์ อิมเมจ เล็งจะนำเข้า Legacy 2.5 GT เครื่องยนต์
4 สูบนอน Boxer 16 วาล์ว 2.5 ลิตร Turbo มาเอาใจ ชายวัยกลางคน
ที่อยากได้รถขับสุภาพ ดูมีมาด แต่เกรี้ยวกราดได้ทุกเมื่อ รวมทั้ง
ยังมีรุ่น Outback 2.5 ลิตร สำหรับคนที่รักการเดินทางไกลในต่างจังหวัด
ด้วยรถสเตชันแวกอนแบบยกสูงนิดหน่อย ทั้ง 2 รุ่นนี้ จะมาถึงท่าเรือ
เมืองไทย ในช่วงเดือนเมษายนนี้ เป็นต้นไป
 
แต่ถ้าใครที่คิดจะซื้อ อิมเพรสซา แล้วละก็ รอดูรุ่นปรับโฉม
ไมเนอร์เชนจ์ สักหน่อยก็ดี โดยเฉพาะรุ่น WRX ซึ่งจะ
มีสมรรถนะ กระโดดไปไกลจากรุ่นปัจจุบันเป็นอันมาก
ควบคู่ไปกับป้ายราคา ที่อาจพาให้หัวใจสลายไปได้ไม่ยากเย็น

——————————————–

SUZUKI  
2010 : SX4 จะมาหรือไม่?
2011 : ถ่ายอำนาจ สู่ SAMT เต็มตัว
2012 : ECO CAR PROJECT 9,500 ล้านบาท มาแน่ มี.ค 2012
อาาจะดีลกับ VW ขายควบคู่ พะ 2 แบรนด์??

ในที่สุด ความเคลื่อนไหวของ การทำตลาด รถเล็กชั้นดี จากเมือง Hamamatsu ก็เริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว
เมื่อสิทธิ์ในการทำตลาดของกลุ่มสยามอินเตอร์ฯ หรือกลุ่มพรประภา กำลังจะหมดลงในปี 2010 นี้
บริษัทแม่ในญี่ปุ่นเอง ก็เล็งกันว่า อยากจะบุกตลาดรถยนต์นั่งอย่างจริงจังเสียที เลยไต่ถามกับ
ITOCHU บริษัท Trading Company ระดับ Top 5 ของญี่ปุ่น ว่าให้มาหาพาร์ตเนอร์ร่วมงานกันในไทย
ผลก็คือ มาคุยกับทาง บริษัทสี TOA ที่อยากจะเริ่มรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์บ้างแล้ว มาจับมือกันตั้ง
ดีลเลอร์รายใหม่ iTOA ขณะเดียวกัน ทางญี่ปุ่น ก็ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมารองรับในชื่อ Suzuki
Automobile MANUFACTURING Thailand (SAMT) เพื่อเตรียมก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์
ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช ซึ่งถ้าทุกอย่างดำเนินไปอย่างลงตัวเช่นนี้ ในอนาคต ก็น่าจะ
มีความเป็นไปได้ในการร่วมงานกันระหว่าง SAMT กับ iTOA ที่ลึกซึ้งและแน่นแฟ้นยิ่งกว่านี้

ขณะเดียวกัน Grand Vitara APV และ Carry ยังต้องอยู่ภายใต้การทำตลาดของกลุ่ม
สยามอินเตอร์ฯ ตามเดิมต่อไป จนกว่า จะหมดสัญญาลงในช่วงสิ้นปี 2010 รถทั้ง 3 รุ่น
จึงจะถูกโอนย้ายมาให้ทาง SAMT กับ iTOA ดูแลกันต่อไป  โดยยังน่าจะนำเข้ามา
จากฐานการผลิตในอินโดนีเซียเช่นเดิม

นั่นทำให้ภาพอนาคตของ ซูซูกิ ในไทยชัดเจนยิ่งขึ้นว่า คราวนี้ ญี่ปุ่นจะเริ่มเอาจริงเอาจัง
กันเสียที หลังจากที่ปล่อยปละละเลยกันมานาน การเริ่มต้นเปิดตัว Swift กันอีกครั้ง
ในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา ด้วยรถที่นำเข้าจากอินโดนีเซีย ขายคันละ 599,000 – 649,000 บาท
ก็ช่วยจุดพลุให้กระแสความนิยมรถรุ่นนี้ เริ่มกลับมาอีกครั้ง หลังจากหายเงียบไปนาน

สิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไปคือ แผนต่อไปที่ ซูซูกิ คิดเอาไว้ว่าอยากจะส่ง Crossover
Compact Hatchback รุ่น SX4 เข้ามาขายในบ้านเรา เพื่อเพิ่มการรับรู้ของตลาด
ในระยะยาว ถึงการมีตัวตนอยู่ของแบรนด์นี้ ว่า ท้ายที่สุดแล้ว จะเอาเข้ามาหรือไม่
และอย่างไร

แต่กับโครงการ ECO CAR ยังคงลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เช่นเดิม เพราะแม้จะมีการยื่นขอรบ
สิทธิพิเศษการลงทุนจาก BOI รวมทั้งประกาศแผนลงทุนกว่า 9,500 ล้านบาท และเริ่มวางศิลาฤกษ์
ตอกเสาเข็ม โรงงานแห่งใหม่ ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช จังหวัดระยองไปแล้ว ก็ยังเต็มไปด้วย
ความคลุมเครือ ว่ารถยนต์รุ่นใดกันแน่ที่ซูซูกิ จะเอาเข้ามาประกอบขาย บางกระแสข่าว บอกว่าเป็น
Swift เจเนอเรชันต่อไป ซึ่งมีกำหนดคลอดในช่วง ปี 2010 ที่จะถึงนี้ แต่ดูแล้ว ก็ยังไม่แน่ชัดว่า
จะเป็นไปตามนั้นได้จริง

ยิ่งเมื่อตอนนี้ Volkswagen เข้าซื้อหุ้นส่วนน้อยของ ซูซูกิ ด้วยแล้ว แถมทั้งคู่ยังประกาศ
ความเป็นไปได้ ในการร่วมกันสร้างรถยนต์ขนาดเล็ก เพื่อตลาดใหม่ ที่ตนยังไม่เคย
เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองมาก่อน ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูน่าฉงน และส่อแววว่า มีความเป็นไปได้
ที่ ซูซูกิ อาจจะประกอบรถเล็กรุ่นใหม่ของตน แล้วพะแบรนด์ ทั้งของตนเอง และของ
โฟล์กสวาเกน  ร่วมกันแท็คทีมทำตลาดทั่วโลก ด้วยก็อาจเป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม ซูซูกิ ออกมาประกาศ ย้ำชัดแน่นอนแล้วว่า ECO Car ของ ซูซูกิ พร้อมจะ
เปิดสายการผลิตได้อย่างแน่นอน ในเดือนมีนาคม 2012

——————————————–

TATA MOTORS
2010 : Commercial Brand?
แล้ว NANO กับ ECO CAR? จะเอาไงเนี่ย?

การประกาศบุกตลาดในเมืองไทยเต็มตัวเป็นครั้งแรก ณ งาน Bangkok Motor Show
เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2008 คือจุดเริ่มต้นของ ทาทา ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าจะเตรียมงานกันมาก่อนหน้านั้นถึง 2 ปีด้วยกัน แต่ ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
ดูเหมือนว่า ทาทาเอง ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ในการพัฒนารถยนต์ ที่ถูกรสนิยมของคนไทย

เพราะรถกระบะ ซีนอน ที่ออกมาในช่วงแรกๆนั้น แม้จะมีจุดเด่นอยู่ที่เครื่องยนต์ DICOR
2,200 ซีซี แต่ให้กำลังสูงถึง 140 แรงม้า และมีระบบกันสะเทือนที่ทำได้ดีเมื่อเทืยบกับคู่แข่ง
แต่ด้วยมีปัญหามากมายนานับประการ ทั้งจากชิ้นส่วนในการประกอบของตัววรถเอง และ
ความไว้เนื้อเชื่อใจในผู้จำหน่าย กับบริการหลังการขาย ทำให้ การเริ่มต้นของ ทาทา
ยังไม่สู้ดีนัก แม้ในช่วงปลายปี จะกระตุ้นตลาดอีกครั้ง ด้วย เวอร์ชัน ติดตั้งระบบก๊าซ CNG
มาให้จากโรงงาน และเติมก๊าซได้อย่างเดียว ด้วยเครื่องยนต์ DICOR 2,100 ซีซี ลดกำลังลงเหลือ
115 แรงม้า รวมทั้ง ออกรถบรรทุกเล็กอย่าง ทาทา เอซ (ACE ในงาน มอเตอร์เอ็กซ์โป
แล้วก็ตาม แต่สถานการณ์ ก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก ขณะเดียวกันบริษัทแม่ในอินเดีย ก็เจอมรสุม
การประท้วง จนทำให้ ราทัน ทาทา นายใหญ่ ประกาศย้ายฐานการผลิต ทาทา นาโน รถคันจิ๋ว
แต่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีขั้นเทพ 20 กว่าสิทธิบัตร ของตน ไปไว้ในเมืองอื่น เพื่อยุติปัญหา
ความรุนแรง

ปี 2009 ที่ผ่านมา นอกจากจะเปิดตัว รถบรรทุกขนาด 1 ตัน ทาทา เอซ (ACE) ที่จะเอามา
ประกบกับ เกีย K2700 และ ฮุนได H-100 แล้ว ทาทา ก็แทบไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่อื่นใดอีกเลย

ความเคลื่อนไหวที่เด่นชัดสุด คือการนำ Tata Nano รถเล็กสุดฮือฮา กับ 37 สิทธิบัตรนวัตกรรม
มาอวดโฉมในงาน Motor Expo ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กระนั้น ก็ยังมีคำถามว่า รถรุ่นนี้
จะเอาเข้ามาผลิตขายในบ้านเรา ตามโครงการ ECO Car หรือเปล่า? เพราะ ทาทา เองก็ยื่นขอ
รับสิทธิพิเศษ ส่งเสริมการลงทุน รถยนต์ประเภทนี้ไปกับทางรัฐบาลแล้ว ที่ผ่านมา มีคำถาม
หยั่งกระแสกันในอินเตอร์เน็ตอยู่เรื่อยๆว่า ถ้านำ Tata Nano Europa อันเป็นเวอร์ชันส่งขาย
ยุโรป ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงกว่าเวอร์ชันอินเดียแท้ๆ มีถุงลมนิรภัยมาให้ฝั่งคนขับ
แต่เป็นดรัมเบรกทั้ง 4 ล้อ ขายในราคา 220,000 บาท คนไทยจะรับได้หรือไม่ ผลตอบกลับที่ได้
ส่วนใหญ่ก็คือ รถคันนี้ไม่ควรมีราคาเกิน 2 แสนบาท และอย่างน้อย ควรมีดิสก์เบรกหน้า
ได้แล้ว ไม่ใช่ดรัมเบรก 4 ล้อ ดังนั้น ประเด็นนี้ จึงยังคาราคาซังกันต่อไปน่าจะอีกอย่างน้อย 1 ปี

อย่างไรก็ตาม อีกกระแสข่าวฝั่งอื่น ต่างมองว่า ทาทา อาจจะกำลังซุ่มพัฒนารถยนต์ขนาดเล็ก
รุ่นใหม่ๆ ที่จะต้องเตรียมบุกตลาดโลก และหวังจะใช้เมืองไทย เป็นฐานการผลิตรถรุ่นใหม่
ซึ่งคาดว่าจะมีขนาดอยู่ในกลุ่ม ไม่เกิน Sub-Compact B-Segment ก่อนหน้านี้ มีเพียงข่าวที่ว่า
จะนำรถรุ่น Indica กับ Indico เครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เข้ามาประกอบขาย ในเมืองไทย
แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ในประเด็นดังกล่าวออกมาชัดเจนเท่าใดนัก

มีเพียงแค่ การประกาศตัวแล้วว่า ในช่วงต่อจากนี้ จะพยายามเน้นวางจุดขายตัวเองเป็น
Commercial Vehicle Brand หรือเป็นแบนด์ที่มุ่งเน้นเจาะตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ เป็นหลัก
จะสำเร็จลุล่วงไปได้แค่ไหนอย่างไร จะสนุกสนาน ไม่แพ้ หนังอินเดีย ที่แดนซ์ข้ามภูเขา
กันสนั่นทุ่ง หรือไม่ ยังต้องติดตามชมกันต่อไปอีกนาน

——————————————

TOYOTA / LEXUS
2010 : VIOS MINOR CHANGE , YARIS Nanochange & VIGO Nanochange
2011 : PRIUS & PRIUS Plug-in HYBRID, NEW HILUX VIGO BIG-Minorchange
2012 : ALL NEW CAMRY , NEW VIOS 
2013 : ALL NEW Corolla ALTIS
2014 : ALL NEW HILUX (Project Code : IMV2) , ECO CAR?

Take a Closer Look to ETHIOS

ปี 2009 เป็นปีที่ Toyota ประเมินผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เอาไว้มากกว่าที่เป็นจริง
ทำให้ ในช่วงต้นปี ทีมงานที่สำโรง ต้องง่วนอยู่กับการปรับตัวภายในองค์กร ตั้งแต่การยกเลิก
การเช่าพื้นที่ ตึกออลซีซัน ไป 1 ชั้น ปลดลูกจ้างชั่วคราวในไลน์ผลิตออกไปเยอะ (ก่อนจะ
เริ่มรับกลับเข้ามาใหม่ ช่วงกลางปีเป็นต้นมา) จนสถานการณ์เริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี

รถที่ยังพอจะขายดีที่สุดในกลุ่มของตนเองอยู่ ตลอดปีนี้ ก็มีแค่ Toyota Vios ที่ยังไงๆ
Honda City ใหม่ก็โค่นไม่ลง ด้วย 2 เหตุผลหลักคือ กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถไปใช้ขับทำงาน
หรือรถประจำบริษัท ซึ่งไม่สนใจคุณงามความดีของรถ นอกจากความทนไม้ทนมือ
กับอีกกลุ่มคือ รอคิวจองของ City ที่ยาวนาน 3 เดือนไม่ไหว แค่นั้นเลย

ต่อมาคือ Toyota Fortuner ที่ยังขายได้เรื่อย ครองอันดับ 1 ในกลุ่ม Pick-up Based SUV
ได้ตลอด ชนิดที่ใครมากัดมาตอด ก็ฟันหักไปก่อน เพราะเนื้อเขาเหนียว กระดูกเขาดีจริงๆ

และอีกรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทะลาย คือ Camry HYBRID อันเป็นผลมาจาก
การเตรียมแผนเปิดตัวสร้างกระแสต่อเนื่อง ตั้งแต่รถยังไม่เปิดตัว ถึง 3 เดือน ปูพรมการรับรู้
ให้ผู้บริโภคเข้าใจ ในเทคโนโลยีอันล้ำหน้า และการเตรียมพร้อมด้านบริการหลังการขาย
และความตั้งใจครั้งแรกในการประกอบรถยนต์ไฮบริดในเมืองไทย ผลลัพธ์ที่ออกมา ก็คือ
ยอดขายทะลุเป้า จากเดิมที่ตั้งไว้เดือนละ 1,000 คัน ตอนนี้ ไปทางไหนก็เจอแต่ แคมรี ไฮบริด
เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดจริงๆ งานนี้ ได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่องสมความตั้งใจ เล่นเอา
แคมรี 2.0 ยอดขายหดหาย เข้าขั้นหงอยเหงาไปเยอะ จนต้องออกรุ่น 2.0 Extremo
ในช่วงกลางเดือนตุลาคม กระตุ้นยอดกันสักหน่อย

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีรุ่นขายดี ก็ต้องมีรุ่นขายกันเหนื่อย Toyota Yaris Minorchange
คือรถรุ่นแรกที่อยู่ในข่ายนี้ แม้จะพยายามกระตุ้นยอดด้วยการปรับโฉมไป เมื่อมีนาคม
ที่ผ่านมา จัดงานเปิดตัวหน้าเซ็นทรัลเวิล์ด แต่ด้วยเหตุที่ เปลี่ยนหน้าตาได้ไม่เยอะ
ไปกว่าเวอร์ชันญี่ปุ่นที่ขายกันล่วงหน้าไปก่อนไทย ทำให้รักษายอดขายได้เต็มที่สุด
คือเดือนละ 800-900 คัน ซึ่งน้อยมากจนทำให้ Mazda 2 ที่ทำแคมเปญเปิดตัวรุนแรงกว่า
เบียดขึ้นนำได้ในเวลาเพียงแค่ 15 วันแรกที่ออกสู่ตลาด! เป็นความล้มเหลว ที่ไม่ต้องไป
โทษใคร นอกเหนือจากความสดใหม่ของตัวรถ และการออกแบบภายใน ที่ยังไม่ดีพอ

ส่วน Hilux VIGO 2.5 VN Turbo Prerunner ที่ชูคติว่า แรงเท่า 3 พัน แต่จิบแค่ 2 พัน 5  
ต้องเปิดตัวออกมาในช่วงขาลงของตลาดรถกระบะ อีกทั้งยังเป็นผลต่อเนื่องมาจากการ
ปรับโฉม Minorchange เมื่อเดือนกันยายน 2008 ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ ยังไม่รู้สึกว่า ต่อให้
มีบานแค็บเปิดได้ แต่ภาพรวม ตัวรถก็ไม่ได้ดูแปลกใหม่มากมายอย่างที่ควรเป็น ผลก็คือ
ยอดขาย ยังพอไปได้เรื่อยๆ แต่ไม่หวือหวามากมายเท่ากับช่วงแรกๆที่วีโก้เปิดตัวในบ้านเรา

ยังไม่นับกับการสั่งนำเข้ารถตู้อัลฟาร์ด เข้ามาทำตลาดแทนเกรย์มาร์เก็ตเสียเอง แต่ตั้งราคาไว้
ดุเดือดไปหน่อย 3.39 – 4 ล้านบาทต้นๆ เพราะใช้เครื่องยนต์ V6 3,500 ซีซี บล็อกเดียวกับ
Camry V6 แต่ปรับตัวเลขแรงม้าให้ลดลงมา จนผ่านป 1 ปี ต้องหารุ่น 2.4 ลิตร อัดออพชัน
สั่งเข้ามาลุยกันต่ออีกรอบ เพื่อแก้จุดด้อยเดิม ในเรื่องความคุ้มค่าในสายตาลูกค้ามีฐานะดี
 
และท้ายสุด คือ Innova รุ่นตกแต่งพิเศษ ที่ได้อานิสงค์ จากการที่ลูกค้าบางส่วน ตัดใจจาก
Honda FREED แล้วหันมามอง มินิแวน บนโครงสร้างของ Vigo กันอีกครั้ง และ Corolla
ALTIS Advance CNG เกียร์อัตโนมัติ ทั้งคู่คลอดออกมา ในงาน Motor Expo ซึ่งเอาเข้าจริง
ก็ถือว่า ไม่ทันกับสถานการณ์ของตลาดเท่าที่ควร เพราะกระแสความต้องการรถยนต์ติดก๊าซ
จากโรงงานนั้น ไม่ได้หวือหวา เท่ากับช่วงที่ราคาน้ำมันแพงบรรลัยอีกแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นการดี
ที่ออกรถรุ่นนี้ ในตอนนี้ เพราะไม่มีใครรู้ว่า อนาคตราคาน้ำมันจะผันผวนมากน้อยแค่ไหน
แถมยังออกมา ตีกัน Chevrolet Optra CNG และ Mitsubishi Lancer CNG (JT) ให้อยู่ในใจ
ลูกค้าประเภทที่มองหาแต่ความคุ้มค่าจนขึ้นสมอง ได้อีกด้วย

ช่วงครึ่งแรกของปีใหม่ 2010 นี้  ถึงเวลาแล้วที่ โตโยต้า จะต้องจัดการกับตลาด B-Segment
ซึ่งอยู่ในภาวะล่อแหลม ให้ดีขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่ ทั้งการเตรียมปรับโฉม Minorchange
ให้กับ Vios ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ และอย่าคาดหวังว่าจะเปลี่ยนแปลง
ไปเยอะกว่าหน้าตาของรุ่น BELTA ที่ขายกันอยู่ในญี่ปุ่น ขณะเดียวกัน โตโยต้า อาจจะ
ต้องเตรียมกระตุ้นตลาด Yaris กันอีกรอบ ไม่ว่าจะคิดถอดใจกับการเตรียมแผนนำรุ่นต่อไป
ของแฮตช์แบ็กรุ่นนี้ เข้ามาขายอีกครั้งหรือไม่ก็ตาม

นอกจากนี้ เราควรจับตาดู การเปิดตัวของ Toyota Ethios ในอินเดีย เป็นแห่งแรก
ในโลก ซึ่งมีแนวโน้มว่า ซีดานเล็กคันนี้ อาจมีความเกี่ยวพันกับการทำตลาดในเมืองไทย
ซึ่งยังต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของรถรุ่นนี้ กันต่อไป

อีกทั้งยังจะต้องมีแผนปรับโฉม Minorchange ให้กับ Corolla ALTIS เพราะนี่จะครบ
วาระการทำตลาดกันแล้ว ถ้ายังปล่อยเอาไว้ต่อไป ยอดขายก็คงจะเป็นเบอร์ 2 รองจาก
Civic กันต่อไป (หากไม่นับรวมยอดขายจากตลาดรถ TAXI) คราวนี้ รูปโฉมของ
รุ่นไมเนอร์เชนจ์นั้น จะมีเปลือกกันชนหน้า ที่มีงานออกแบบ เปลี่ยนไป โดย
จะมีช่องติดตั้งไฟตัดหมอกข้าง มาในแนวตั้งตรง คล้ายกับใน Prius รุ่นล่าสุด  
กำหนดการเปิดตัว ยังไม่แน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้

นอกจากนี้ โตโยต้า ยังคิดจะนำ รุ่นใหม่ล่าสุดของ รถยนต์ไฮบริดสุดฮิต Toyota Prius
เจเนอเรชัน 3 เข้ามาประกอบขายในเมืองไทย ช่วง ปลายปี 2010 – 2011 ด้วยราคาที่คาดว่า
จะอยู่ในระดับ พอกัน หรือต่ำกว่า Camry HYBRID นิดเดียว โดยในช่วงแรก จะเป็นรุ่น
มาตรฐาน และหลังจากนั้น อีกน่าจะราวๆ ไม่เกิน 6 เดือน รุ่น Plug-in HYBRID
เสียบชาร์จได้กับปลั๊กไฟในบ้าน ก็จะออกสู่ตลาดตามมาเป็นก๊อกสอง

ขณะเดียวกัน ปี 2011 ยังเป็นปีที่ โตโยต้า จะต้องปรับโฉมครั้งใหญ่ Big-Minorchange
ให้กับ Hilux VIGO กันอีกครั้ง และคราวนี้ โจทย์ก็คือ จะต้องเปลี่ยนหน้าตาให้สดใหม่
ฉีกไปจากรถรุ่นเดิม แต่ ต้องใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ร่วมกับรถรุ่นเดิม ให้มากที่สุด ปรับปรุง
คุณภาพชิ้นส่วนต่างๆ ให้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ยังต้องคงไว้ซึ่งการลดต้นทุนอย่างหนักที่สุด
เท่าที่จะทำได้ ตามสไตล์ของโตโยต้า เช่นเคย

จากนั้น ในปี 2012 จะถึงเวลาของการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ให้กับ Camry ใหม่ โดยเวอร์ชัน
ตลาดโลก จะแยกเป็น 2 หน้าตา เหมือนปัจจุบัน และเปิดตัวในปี 2011 ว่ากันว่า รูปลักษณ์ภายนอก
จะปรับให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่า และสวยงามไม่แพ้รุ่นปัจจุบัน คราวนี้ มาครบทีม รวมทั้งขุมพลัง
HYBRID ที่จะปรับปรุงใหม่ไปอีกขั้น

จากนั้น ในปี 2013 Corolla ALTIS รุ่นต่อไป ก็จะต้องพร้อมออกสู่ตลาดกัน
ตามหลังจากที่เวอร์ชันญี่ปุ่น น่าจะเปิดตัวในปี 2012 (ปล่อยให้ Honda ออก
Civic รุ่นต่อไป ก่อน ในปี 2011 กันอีกครั้ง) รายละเอียดของเวอร์ชันไทย
ยังห่างไกลจากบทสรุปเหลือเกิน

ส่วนการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ของ รถกระบะ Hilux ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นในปี 2014 นั้น
ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของโครงการ โดยใข้นิคเนมเรียกกันเล่นๆเป็นการภายในว่า IMV2
และในเมื่อยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นโครงการ ดังนั้น ความเคลื่อนไหวต่างๆ จึงยังไม่มีออกมา
ในตอนนี้ คาดว่าเราจะเริ่มได้รับรู้ข้อมูลคร่าวๆ กันตั้งแต่ราวๆ ต้นปี 2012-2013 แต่ที่แน่ๆ
เครื่องยนต์จะยังอยูในพิกัด ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,500 และ 3,000 ซีซี เทอร์โบ
พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ รวมทั้งมีบานแค็บเปิดได้ แต่จะแก้ไขปรับปรุงสมรรถนะ
และการทรงตัวให้ดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป
อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า จะไม่ใช้ชื่อ Vigo ต่อไป ซึ่งดูจะเป็นธรรมเนียม
ของค่ายนี้ ทุกครั้งที่เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับรถกระบะของตนอยู่แล้ว

ด้านโครงการอีโคคาร์ ผู้บริหารของโตโยต้า ออกมาประกาศเลื่อนการลงทุนออกไปเป็น
ปี 2012 นั้น ส่อแววว่าอาจมีเลื่อนไปไกลกันอีกรอบ และคราวนี้ อาจเลื่อนนานกันจนถึง
2014 เพราะโตโยต้า บอกออกมาแล้วว่า “ไม่รีบ”

ความจริงแล้ว ก็มิใช่เรื่องแปลกใจแต่อย่างใด เพราะแผนดั้งเดิมนั้น โตโยต้า วางกำหนด
เปิดตัวเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า น่าจะอยู่ที่ปี 2012 อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเศรษฐกิจโลก
ที่ผันผวน รวมทั้งยังไม่มีตลาดต่างประเทศรองรับการส่งออกที่มากพอ ทำให้สถานการณ์
ของโตโยต้า จึงแตกต่างจากนิสสัน ฮอนด้า และซูซูกิกันไปเลย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้
โตโยต้าเองดูเหมือนจะไม่ได้เตรียมความพร้อมต่อการเข้าร่วมขอรับสิทธิพิเศษ ECO Car
ตั้งแต่แรก ทำให้ในตอนนี้ หากจะพัฒนา ECO Car กันต่อไป โตโยต้า ยังคงจะต้องพึ่งพา
การสร้างรถรุ่นนี้ ร่วมกับ บริษัทลูกในเครืออย่างไดฮัทสุ อยู่ดี เพราะโตโยต้า ไม่ถนัดทำ
รถเล็กเท่ากับไดฮัทสุ ดังนั้น โอกาสที่โครงการนี้จะถูกเลื่อนไปไกลถึงปี 2014 ก็ไม่ใช่
เรื่องน่าอัศจรรย์นัก

ส่วน แบรนด์รถยนต์หรู เล็กซัส นั้น  ปีที่ผ่านมา เพิ่งเปิดตัว RX350 และ RX400 HYBRID
ในช่วงต้นปี 2009 ตามติดตลาดโลกแทบจะในทันที จากนั้น ก็เพิ่งจะออกข่าวว่านำ LS460
Minorchange และ LS600 HYBRID มาเปิดตลาดในเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2 เดือนก่อน
ดังนั้นในปีนี้ มาลองดูกันว่า IS250C ที่ตอนแรกบอกว่าจะมา แต่ก็ยังไม่มานั้น จะพร้อม
ทำตลาดกันอย่างจริงจังในปีนี้ ได้หรือไม่?
 
——————————————–

VOLVO
2010 : C30 Minorchange & C70 Minorchange
2011 : All New S60 ความหวังครั้งสำคัญ
V70 ถอดใจไปแล้ว….?

ปี 2009 พอล สโตรค์ ลาจากไป และพี่ตุ้ม ฉันทนา วัฒนารมย์ ขึ้นกุมบังเหียน
วอลโว คาร์ส ประเทศไทย แทน ทำให้ค่ายรถยนต์หรูจากแดนไวกิ้ง
มีความเคลื่อนไหวในตลาดอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยภาวะตลาดรถหรู
หดตัวต่อเนื่องจากปี 2007 เป็นต้นมา ยังทำให้ ยอดขายอยู่ในระดับแค่
เลี้ยงตัวเองพอให้รอดแบบไม่สะบักสะบอมนัก  

ปีที่ผ่านมา ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การเปิดตัว XC60 ในช่วงกลางปี ตามหลังจากที่
งดเข้าร่วมงาน Bangkok Motor Show เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เพราะต้อง
เก็บงบเอาไว้ใช้สอยอย่างประหยัด จนถึง การสั่งนำเข้า S40 / V50 ที่หลายคน
รอคอยกันมานาน จากโรงงานในมาเลเซีย เคาะราคาถูกสนั่นทุ่ง 1.799 ล้านบาท
โดยยังคงมุ่งเน้นรถยนต์พลังงานทางเลือก E85 และ ดีเซล B5 ต่อไป ควบคู่กับ
การแอบดัมพ์ราคาขายรถหลายรุ่น ตามงานต่างๆ จนกระชากใจลูกค้าไปได้
เยอะมาก! เพราะถูกยิ่งกว่าราคาช่วงเปิดตัว แบบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้

ปี 2010 ยังเป็นอีกปีที่ Volvo ยังจะต้องประคองตัวต่อไป ด้วยการนำ C30 และ
C70 Minorchange มาเสริมทัพ เอาใจลูกค้าผู้อยากได้ความแปลกแต่ปลอดภัย
โดยที่ยังจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า S60 ใหม่ ที่จะเปิดผ้าคลุมกันในงาน 2010
เจนีวา มอเตอร์โชว์ นั้น จะพร้อมสั่งเข้ามาประกอบในประเทศได้ ในปี 2011 หรือไม่?

ส่วน V70 ที่เราคาดหมายกันว่า น่าจะเปิดตัวกันในปี 2008-2009 เอาเข้าจริงแล้ว
วอลโวเหมือนจะถอดใจไปแล้ว ทั้งที่ตัวรถ สามารถใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ร่วมกับ S80
ได้ทั้งครึ่งคันหน้า เพราะดูท่าตลาดจะไปไม่รุ่งอย่างที่คิด

——————————————–

VOLKSWAGEN GROUP
VW/Audi/SKODA/SEAT

Touareg ใหม่ ราคาถูกกว่า X5
Audi A8 ต้องรอฐานล้อยาว

ระหว่างที่บริษัทแม่ ยังไม่มาทำตลาดเอง ไทยยานยนต์ ในฐานะ ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ
ก็ยังคงเดินหน้า สั่งเปิดตัว GOLF Mk-V Scirocco Passat CC และ Tiguan รวมทั้ง Golf GTi TSI
เข้ามาเอาใจลูกค้า ที่มีเงินและ อัดอั้นเก็บกดกับความอยากเป็นเจ้าของ โฟล์กรุ่นใหม่ๆเหล่านี้
มานานแล้ว การลงทุนจัดบูธ อย่างสวยสดงดงามที่สุด เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของ
โฟล์กสวาเกนในเมืองไทย ณ งาน Bangkok International Motor Show มีนาคม 2009 นั้น
คือเครื่องยืนยันว่า ชื่อของแบรนด์รถยนต์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของเยอรมัน จะยัง
ยืนหยัดอยู่ในไทยได้แน่ ในช่วง 3-4 ปีนับจากนี้

ปี 2010 นี้ ก็คงจะมีแต่การ สั่งนำเข้า Toureg SUV รุ่นใหญ่ เข้ามาอย่างจริงจังเสียที
หลังจากปล่อยให้ ผู้ค้ารายย่อย ทะยอยสั่งเข้ามาขายไปหลายคันแล้ว โดยตั้งเป้าว่า
จะพยายามทำราคาขายปลีกให้ถูกกว่า BMW X5 ให้ได้

ส่วน ฝั่ง Audi นั้น A8 ใหม่เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลก ไปหมาดๆ ช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
แต่กว่าจะเข้ามาขายในเมืองไทยได้ คงต้องรอให้รุ่น Long Wheelbase หรือฐานล้อยาว
พร้อมขึ้นสายการผลิตกันเสียก่อนระหว่างนี้ ก็คงจะยืนพื้นขายรุ่นเดิมๆ ในสต็อกไปให้หมด
ไม่ว่าจะเป็น A4 ใหม่ A6 ใหม่ คูเป้รุ่น A5 รถสปอร์ตขายดีรุ่น TT และ Premium Compact SUV
รุ่นฮิตเหลือเชื่อ อย่าง Q5

ที่น่าแปลกใจก็คือ SKODA แต่เดิม เคยเป็นแบรนด์ที่ล้มหายตายจากไปแล้ว แต่ในงาน Motor Expo
ก็ยังมีการสั่งนำเข้ารถรุ่นใหม่ มาเปิดตลาดต่อเนื่อง ด้วยรุ่น Fabia รถเล็ก ดีไซน์เฉียบ คล้าย
Suzuki Swift ราวกับจงใจ เปิดตัวด้วยราคาแรงใช้ได้ 1.6 ล้านบาท รวมทั้ง Octavia รุ่นใหม่
ที่ซุ่มเงียบเข้ามาขายในบ้านเรากันอีกครั้ง คงต้องดูกันต่อไปว่า คราวนี้ สโกดา จะยังมีพื้นที่ยืน
อยู่ในตลาดเมืองไทย ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน?

อย่างไรก็ตามข่าวลือว่า บริษัทแม่ โฟล์กสวาเกน จะพร้อมกลับมาบุกตลาดเมืองไทยในช่วงต้นปี
ก็ยังคงเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แม้ว่าทิศทางการยอมรับของผู้บริโภคสำหรับโฟล์กสวาเกนนั้น
ยังถือว่าสดใสอยู่ เมื่อเทืยบกับรถยุโรปค่ายอื่นๆ ขาดเพียงแต่ว่า ทุกวันนี้ ที่ความเชื่อมั่นในแบรนด์นี้
ลดน้อยถอยลงไป เพราะผู้บริโภคเจอประสบการณ์ไม่ดีจากการดูแลหลังการขายของผู้จำหน่าย
รายเดิม นั่นเอง ดังนั้น สิ่งที่ควรจะทำ คือ สร้างความเชื่อมั่นในการบริการ การวินิจฉัยปัญหา
และทำราคาอะไหล่ให้ถูกลงกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ใช่ว่าน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ ลิตรละ 800 บาทมาอย่างไร
ก็เป็นไปอย่างนั้น

ส่วน แผนเดิมที่เคยยื่นขอสนับสนุนการลงทุนกับ BOI ในโครงการ ECO CAR นั้น ดูเหมือน
ทุกอย่างก็ยังคงเงียบสงัด ตลอดปีที่ผ่านมา ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เพราะด้วยต้นทุนการผลิตของโฟล์ก
ที่สูงกว่ารถญี่ปุ่นอยู่มาก อีกทั้งยังต้องลงทุนสร้างโรงงานขนาดใหญ่โตแห่งใหม่
ทำให้ราคาขายปลีกต่อคันอาจสู้รถญี่ปุ่นไม่ได้ ดังนั้นโฟล์กฯ ต้องใคร่ครวญคิดให้ดี

——————————————–///————————————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ลิขวิทธิ์ภาพถ่ายต่างประเทศ ของ บริษัทผู้ผลิต
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน
www.headlightmag.com
1 มกราคม 2010

Copyright (c) 2009 Text and Pictures (Some of Pictures from the Manufacturer)
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish
in www.Headlightmag.com
January 1st,2010

แสดความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่