โครงการรถยนต์นั่งราคาต่ำมากแค่ 2,500-3,000 ดอลลาร์สำหรับตลาดอินเดียน่าจะเป็นตลาดที่กำลังมาแรงในไม่ช้าเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนอินเดีย โดยมีผู้บุกเบิกตลาดรายแรกคือ Tata Nano เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มกราคา 2551 ในงาน Auto Expo India 2008 สร้างความฮือฮาทั่ววงการ

Tata เปิดเผยว่าเป็นรถที่บรรจงพัฒนานานกว่า 3 ปีลดต้นทุนทุกขั้นตอนตั้งแต่งานพัฒนาวิศวกรรมเบื้องต้นจนถึงระดับอุตสาหกรรมจนจดสิทธิบัตรมากกว่า 20 สิทธิบัตร ถึงจะมีปัญหาติดขัดตลอดมาแต่ถือว่าผ่านไปด้วยดีพร้อมจะเปิดตัวพร้อมจองอย่างเป็นทางการวันที่ 23 มีนาคมนี้แล้ว จังหวะและโอกาสยังถือว่ายังดีอยู่มากสอดคล้องกับความต้องการรถขนาดเล็กที่ขยายตัวขึ้นและที่สำคัญไม่มีคู่แข่งเลย แต่ก็ใช่ว่าเส้นทางนี้จะไร้คู่แข่งตลอดกาล

เส้นบรรจบกันระหว่าง Renault-Nissan และ Bajaj ค่ายรถจักรยานยนต์ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของอินเดียที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ร่วมงานกันมาก่อนในชีวิตกลับตกลงปลงใจทำรถร่วมกันบนความต้องการที่ขนานกันก็คือ การสร้างรถยนต์นั่งขนาดเล็กราคาต่ำ 2,500 ดอลลาร์ สำหรับบุกตลาดอินเดียและตลาดเกิดใหม่หรือประเทศกำลังพัฒนาที่ยังมีช่องว่างในตลาดรถราคาต่ำมากเป็นโครงการที่ดูจะโกลบอลกว่า Tata ไม่น้อย

หลายคนต้องแปลกใจมากว่าทำไม Bajaj เป็นค่ายรถจักรยานยนต์ถึงหันมาทำรถ 4 ล้อบ้างก็เพราะ Bajaj มองเห็นโอกาสเดียวกับ Tata ที่ประชากรส่วนใหญ่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะหลักของครอบครัวแต่ส่วนใหญ่ขนาดครอบครัวของอินเดียมีขนาด 4 คนขึ้นไปไม่มีกำลังซื้อรถยนต์นั่งแม้แต่รุ่นที่ราคาต่ำที่สุดอย่าง Suzuki 800 หากมีรถราคาต่ำกว่านี้ประชากรส่วนใหญ่ก็น่าจะมีกำลังซื้อและเป็นการต่อยอดจากรถจักรยานยนต์ไปสู่รถยนต์ได้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตครอบครัว

เคล็ดลับการลดต้นทุนของ Bajaj คือนำเทคโนโลยีจากรถจักรยานยนต์ซึ่งมีประสิทธิภาพดีและต้นทุนต่ำมาต่อยอดไปสู่การพัฒนารถที่ใหญ่ขึ้นอีก เราเห็นผลงานที่น่าทึ่งเมื่อ Bajaj โชว์ Lite Concept รถต้นแบบราคาต่ำที่ออกแบบได้ดูดีกว่าที่คิดทั้งภายนอกและภายใน แต่การบุกลุยเสี่ยงในตลาดที่ตนเองไม่ถนัดถือเป็นความกล้าบ้าบิ่นอย่างมากของ Rajiv  Bajaj ประธานคนปัจจุบันซึ่งมีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากก็พร้อมหาพันธมิตรที่พร้อมใจพัฒนารถคันนี้ไปด้วยกันอันเป็นโอกาสอันดีที่ค่ายรถยักษ์ใหญ่จาก 2 ขั้วโลกมาบรรจบกัน

Renault-Nissan ต้องการบุกตลาดประเทศกำลังพัฒนาให้ได้มากที่สุดตามความต้องการตลาดปัจจุบัน จึงต้องหารถที่เป็นเรือธงรุ่นใหม่เพื่อดันยอดขายแบบก้าวกระโดดหลังจากส่ง Logan ราคา 7,000 ดอลลาร์ ประสบความสำเร็จล้นหลาม จึงมองเห็นช่องว่างของรถราคาประหยัดราคาต่ำกว่า 7,000 ดอลลาร์ที่อนาคตคาดสดใสมากประกอบกันทั้งคู่เบนเข็มลงทุนในตลาดอินเดียแล้วค้นพบว่าอาณาจักรแห่งนี้เหมาะสมที่สุดกับการเป็นฐานพัฒนารถราคาต่ำคันนี้และกวาดยอดขายเป็นหลักได้แน่นอน

คาร์ลอส กอส์นเริ่มมองหาพันธมิตรตามนโยบายหลักของบริษัทเมื่อ Bajaj ต้องการทำรถลักษณะนี้เช่นกันทำให้ความร่วมมือเป็นไปอย่างราบรื่นตกลงศึกษาความเป็นไปได้นานหลายเดือนจนประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อกลางปีที่แล้วภายใต้โครงการ ULC หรือขยายความว่า Ultra Low Cost Car ก่อตั้งบริษัทใหม่เพื่อการพัฒนารถคันนี้ Bajaj ลงทุน 50% Renault และ Nissan ลงทุนฝ่ายละ 25%

 

Bajaj รับผิดชอบการพัฒนาพื้นตัวถัง,เครื่องยนต์และโรงงานแห่งใหม่ที่เมือง  Chakan ขณะที่ Renault-Nissan จะรับผิดชอบด้านงานออกแบบและงานวิศวกรรม กำหนดการรจำหน่ายต้นปี 2011 ในตลาดอินเดียพร้อมส่งออกในตลาดเกิดใหม่ได้แก่ ยุโรปตะวันตก,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้,จีน,รัสเซีย,บราซิล เป็นต้น ด้วยกำลังการผลิต 4 แสนคันต่อปี

พอเกิดเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจทำให้ Renault-Nissan ประเมินสถานการณ์ว่าอาจจะต้องเลื่อนโครงการนี้ราว 6 เดือน – 1 ปี และเมื่อเร็วๆนี้ Rajiv Bajaj ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีการเลื่อนแน่นอนด้วยเหตุผลว่าโครงการนี้เริ่มพัฒนาเป็นรูปเป็นร่างก่อนวิกฤติเศรษฐกิจเริ่มขึ้นเสียอีกแม้ว่าสเปคบางอย่างต้องทบทวนเพื่อปรับแก้บ้างแต่ก็ขอยืนยันว่าไม่เลื่อนแน่ คาดว่าพันธมิตรอีก 2 ฝ่ายน่าจะออกมาแถลงความชัดเจนถึงโครงการนี้ด้วยกันแน่นอนพิจารณาจากภาพรวมแล้วมองว่าหากเลื่อนจริงอย่างน้อยก็ขายออกมาในปี 2011 อยู่ดี

รายละเอียดเบื้องต้นรถราคาต่ำของ 3 พันธมิตรยังไม่เด่นชัดเป็นรูปธรรมนักแต่แผนการตลาดจะต้องออกแบบรถราคาต่ำไว้หลากหลายโมเดลได้แก่ รถเล็ก 5 ประตูราคา 2,500 ดอลลาร์จิบน้ำมันเพียง 30 กิโลเมตรต่อลิตรจนไปถึงรถมินิแวนราคาต่ำ 7-8 ที่นั่ง

หลายคนอาจลองย้อนถามกลับบ้างว่า ULC project เกี่ยวข้องกับประเทศไทยหรือเปล่า?
หากใครจำเหตุการณ์ที่คาร์ลอส กอส์น เยี่ยมเมืองไทยเมื่อกลางปี 2007 พร้อมเปิดเผยว่านิสสันประเทศไทยจะต้องมีรถ Popular Car ราคาต่ำประมาณ 3,000-5,000 ดอลลาร์เพื่อดึงยอดขายตลาดรถยนต์ให้เป็นที่นิยมให้ได้สอดคล้องกับโครงการรถต้นทุนต่ำที่ประกาศหลังจากนั้นไม่นานพอดีที่มีเป้าหมายส่งออกมายังภูมิภาคนี้อีกด้วย ราคาจำหน่ายหากผ่าน FTA ไทย-อินเดียหมวดยานยนต์สำเร็จรูปราคาจำหน่ายน่าจะอยู่ที่ 1-1.5 แสนบาท แต่หากนำเข้าโดยไม่ผ่าน FTA น่าจะต้องมีราคาระหว่าง 1.5 – 2.3 แสนบาทซึ่งถือเป็นรถที่ราคาถูกอยู่ดี
คาดว่าจะนำเข้ามาไทยหลังตลาดอินเดียเปิดตัวราว 4-6 เดือน