ความพิเศษหรือไฮไลต์ในงาน Paris Motorshow 2014 ครั้งนี้คือการอวดศักดาความเป็นเจ้าบ้านของผู้ผลิตรถยนต์ค่าย
ฝรั่งเศส เพราะงานนี้ Renault, Citroen และ Peugeot ได้พยายามนำรถยนต์แนวคิดที่เกิดจากการพัฒนาให้มีอัตรา
สิ้นเปลืองต่ำอย่างมาก (จนค่ายรถเยอรมันหันมาค้อนขวับ) เพราะ 3 ผู้ผลิตจากฝรั่งเศสต้องการหมายมั่นปั้นมือเป็นผู้นำ
นวัตกรรมประหยัดน้ำมันดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอื่นในโลกตามข้อบังคับของรัฐบาลฝรั่งเศส

paris2014

โดยข้อบังคับของรัฐบาลฝรั่งเศสก็ตั้งกฏถือว่าโหดใช้ได้ คือผู้ผลิตจะต้องทำรถที่ประหยัดน้ำมันถึง 2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
ให้ได้ภายในปี 2020 นี่ก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 6 ปีเท่านั้นที่บริษัทรถทั้งหลายต้องเร่งพัฒนารถให้ผ่านมาตรฐานสุดโหดใน
ครั้งนี้ให้ได้

การตั้งข้อบังคับของรัฐบาลฝรั่งเศสครั้งนี้ก็ถือเป็นกลจักรหนึ่งที่ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมทั้งในฝรั่งเศสและระดับโลก เพราะ
ผู้ผลิตก็จำเป็นต้องร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเพื่อพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมชิ้นส่วนใหม่ที่เอื้อหนุนต่อการทำรถ
ประหยัดน้ำมันขนาดนี้

กลายเป็นงาน Paris Motorshow 2014 ก็ถือเป็นการประกาศศักดาความเป็นเจ้าถิ่นของค่ายรถฝรั่งเศสค่อนข้าง
สมบูรณ์แบบ ด้วยรถโปรโตไทป์ที่นำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่และนำไปใช้งานได้จริงในอนาคต ก็ทำให้กลบความน่าสนใจของรถ
ค่ายอื่นไปบ้างเล็กน้อย

บรรยากาศโดยรวมภายในงานก็จะมีรถยนต์หลากหลายแบบและตัวถังมาโชว์กันตั้งแต่รถสปอร์ต Hybrid จาก
Lamborghini จนถึงครอสโอเวอร์ที่ต้องเปิดตัวตามกระแสนิยมหลายรุ่น

Audi

บูธแรกที่เราจะต้องเจอะเจอก่อนเลยคือ Audi ที่งานนี้พวกเขาเล่นเปิดตัวรถตระกูล TT ตัวถังใหม่ถึง 2 รุ่น 2 รูปแบบ ทั้งใน
คราบรถต้นแบบอย่าง Audi TT Sportback Concept และ Audi TT Coupe คราวนี้เรามาดูเจ้า Audi TT Sportback
Concept กันก่อนดีกว่า

audi1

Audi TT Sportback จะเป็นการนำคุณค่าความเป็น TT อันทรงคุณค่าตลอดมา 20 ปีมาต่อยอดกลายเป็นรถกึ่งซีดานคู
เป้ แต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็น TT ด้วยแพคเกจตัวถังที่ดูสั้น, ตัวถังกว้าง, เส้นซุ้มโป่งล้อที่หนามาก, มีเส้นด้านข้างตัด
ผ่านอย่างเฉียบคม

เอกลักษณ์ที่ทำให้ Audi TT Sportback โดดเด่นกว่ารถซีดานคูเป้ทั่วไปคือกรอบบานกระจกที่มีมิติแบบเดียวกับรถคูเป้, มี
บั้นท้ายที่ดูลิ่มสั้นแต่เพรียวลม, เส้นสายเสา C ลากยาวพลิ้วจรดบั้นท้ายแบบไม่ขัดตา เมื่อมองจากด้านหน้าก็พบว่ามันมี
ความแตกต่างจาก Audi TT รุ่นดั้งเดิมในบางจุด อาทิ การใช้โคมไฟหน้าที่มีทรงเพรียวยาวกว่าที่มีหลอด LED กำลังสูง 4
ดวงมาพร้อมกับไฟส่องเลเซอร์ที่ทำงานเมื่อวิ่งความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป, บานเกล็ดกระจังหน้าที่ดูซับซ้อนกว่า,
มีรายละเอียดกันชนที่ดูสปอร์ตกว่า

audi2

Audi TT Sportback ถือเป็นกึ่งซีดานคูเป้เพราะมันฝากระโปรงท้ายสามารถยกขึ้นได้ทั้งบานคล้ายกับรถแนว Fastback
มีความยาวตัวถังแค่เพียง 4.47 เมตร (ยาวกว่า TT มาตรฐานถึง 29 เซนติเมตร) กว้าง 1.89 เมตร สูง 1.38 เมตร มีความ
ยาวฐานล้อ 2.63 เมตร

ภายในห้องโดยสารเดาไม่ยากเลยว่าแทบจะยกชิ้นส่วนภายในจาก Audi TT โฉมใหม่แทบทั้งกระบิ แต่ Audi ก็คือ Audi
เขาไม่ยอมมักง่ายที่จะเอาชิ้นส่วนมาใช้กันดื้อ ๆ แต่กลับดัดแปลงและติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยชนิดที่ว่ารถระดับพรีเมี่ยม
ค่ายอื่นอาจมีค้อน เพราะ Audi เล่นติดตั้งเทคโนโลยี Audi Virtual Cockpit หรือแผงมาตรวัดจอสีขนาด 12.3 นิ้วที่ทำ
หน้าที่แทนมาตรวัดแบบเข็มและจอแสดงผล MID

audi3

ขุมพลัง Audi TT Sportback Concept จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI ให้กำลัง 400 แรงม้า (BHP) ที่ 6,400
รอบต่อนาที แรงบิด 450 นิวตันเมตรที่ 2,400 – 6,000 รอบต่อนาที ถ้าวิ่งที่ 1,900 รอบต่อนาทีมันก็จะให้แรงบิดสูงถึง
300 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ Tiptronic S 7 จังหวะ มีอัตราสิ้นเปลืองสูงสุด 7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอ
เสีย CO2 ต่ำแค่เพียง 162 กรัมต่อกิโลเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.9 วินาที

ใน Press Release ไม่ได้ระบุว่ารถต้นแบบคันนี้จะถูกแปลงร่างให้กลายเป็นรถเวอร์ชันจริงได้เมื่อไร แต่เชื่อว่าคงน่าจะอีก
ไม่นานเกิน 1-2 ปีนี้แน่ ๆ

audi4

คันต่อมา Audi TT Roadster โฉมใหม่ ดีไซน์โดยรวมก็จะเหมือนกับ Audi TT Coupe ที่เพิ่งเปิดตัวไป หยก ๆ โดยมีจุด
ต่างเพียงแค่แนวหลังคาเท่านั้น ในด้านของมิติตัวถัง กลายเป็น Audi TT Roadsterโฉมใหม่ มีขนาดสั้นลงจากรุ่นที่แล้ว 2
มิลลิเมตร (ความยาวตัวถัง 4,177 มิลลิเมตร) แต่ถูกขยายระยะฐานล้อหน้า-หลังขึ้นอีก 37 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างอยู่ที่
1,832 มิลลิเมตร ในขณะที่ความสูงจะอยู่ที่ 1,355 มิลลิเมตร มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ 0.30 ที่ถือว่าดีที่สุดในบรรดา
รถเปิดประทุนทั้งหลาย

หลังคาของ Audi TT Roadster เป็นหลังคาผ้าใบที่เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าภายใน 10 วินาทีที่มีสีดำ, เทาไทเทเนียมและ
สีไจฟ์ให้เลือก โครงหลังคาทำจากวัสดุแมกนีเซียม, อลูมิเนียม, โลหะและพลาสติก มีน้ำหนักเพียงแค่ 39 กิโลกรัมและยัง
ถือว่าเบากว่ารุ่นเดิมถึง 3 กิโลกรัมทีเดียว

ระบบเก็บเสียงของ Audi TT Roadster ที่ได้รับการปรับปรุงให้เก็บอุณหภูมิถึงขีดสุดและซับเสียงที่ดีขึ้น จนทำให้เสียง
ภายในห้องโดยสารลดลง 6 เดซิเบลเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม

audi5

Audi TT Roadster ได้รับการพัฒนาขึ้นจากโครงสร้าง Audi Space Frame บนพื้นฐานชุดโครงสร้างพื้นตัวถังและงาน
วิศวกรรมร่วม MQB ที่เสริมความแข็งแกร่งด้วยโลหะทนต่อการบิดตัวสูงบริเวณด้านหน้าและพื้นห้องโดยสาร และในเมื่อ
ต้องเปลือยหลังคาแล้ว Audi ก็จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างตัวถังอื่น ๆ เพื่อให้ทนต่อการบิดตัวให้ใกล้เคียงกับรุ่นคูเป้มาก
ที่สุด ด้วยการเสริมอลูมิเนียมชั้นที่ 2 บริเวณเสา A

Audi TT Roadster โฉมใหม่จะมีขุมพลังเบนซิน TFSI ขนาด 2.0 ลิตรเดิม ที่ถูกจูนสมรรถนะใหม่ จนสามารถรีดกำลัง
ออกมาได้230 แรงม้า พร้อมแรงบิด 370 นิวตัน-เมตร และเครื่องยนต์ดีเซล TDI ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมกำลังสูงสุด 184
แรงม้าแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร

ในขณะที่ Audi TTS Roadster จะได้ใช้เครื่องยนต์เบนซิน TFSI ขนาด 2.0 ลิตรเช่นกัน แต่ปรับปรุงให้สามารถมีแรงม้าได้
สูงถึง 310 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ทั้ง Audi TT และ TTS จะมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์
อัตโนมัติคลัตช์คู่ S Tronic แบบ 6 จังหวะให้เลือกใช้

audi6

Audi A6 Minorchange ที่มาพร้อมกับการปรับโฉมให้กลายเป็นหนุ่มมาดหรูติดสปอร์ตกว่าเดิม ด้วยการออกแบบ
กระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยมพร้อมกันชนหน้าและหลังแบบใหม่ รวมทั้งออกแบบโคมไฟหน้าและไฟท้ายใหม่
ที่สำคัญคือการออกแบบรายละเอียดภายในโคมให้โฉบเฉี่ยวกว่าเดิม โดยสามารถเลือกติดตั้งเทคโนโลยีล้ำยุค
‘Matrix LED’ ที่ Audi กล่าวว่าช่วยส่องแสงสว่างและให้สัญญาณไฟได้ดีกว่า ส่วนภายในห้องโดยสารมีเพียงการ
ปรับปรุงรายละเอียดตกแต่งเพียงเล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้น ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่อยู่งานวิศวกรรมเครื่องยนต์ เพราะทั้งเครื่องยนต์เบนซิน TFSI และ
เครื่องยนต์ดีเซล TDI ถูกปรับปรุงใหม่ จนปล่อยก๊าซไอเสียได้น้อยและผ่านข้อกำหนด Euro 6 ได้หมด

เริ่มต้นด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ TFSI ขนาด 1.8 ลิตร ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ Audi A6 ที่มีขุมพลัง
ขนาดต่ำกว่า 2 ลิตร สามารถปล่อยก๊าซไอเสียได้ออกมาต่ำเพียง 133 กรัม/กม. และประหยัดเชื้อเพลิงต่ำ
เพียง 17.5 กม./ลิตร โดยยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขสมรรถนะออกมา

การเพิ่มตัวเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ทำให้ Audi ตัดสินใจยกเลิกขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตรทิ้งไป
โดยเหลือเพียงเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TDI ในตระกูล Ultra ให้กำลัง 150 แรงม้า โดยที่จิบน้ำมันเพียง 23.8 กม./ลิตร
และปล่อยก๊าฟไอเสียออกมาเพียง 109 กรัม/กม. ซึ่งในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลทั้งหมดจะถูกติดตั้งสปริงช่วงล่าง
ด้วยวัสดุใหม่ GFRP หรือ Glass Fiber-reinforced Polymer (วัสดุโพลิเมอร์ผสมใยแก้ว) เพื่อช่วยหั่นน้ำหนัก
ลง 4.4 กิโลกรัม อีกทั้งรถยนต์ในตระกูล Ultra ทั้งหมดจะได้ใช้เกียร์อัตโนมัติ S Tronic ลูกใหม่ที่เน้นความประหยัด
เป็นพิเศษ

audi7

นอกจากนี้ Audi ยังอัพเดทขุมพลังดีเซลบล็อกใหญ่ที่สุดใน A6 อย่างเครื่องยนต์แบบ V6 ขนาด 2.0 ลิตร TDI
ที่เพิ่มพละกำลังให้ใช้ 2 ระดับด้วยกัน คือ 218 และ 272 แรงม้า และยังมีเวอร์ชันเทอร์โบคู่ ให้กำลัง 320
และ 326 แรงม้า (ในรุ่น Competition ซึ่งสามารถรีดกำลังสูงสุดได้ถึง 346 แรงม้าในช่วงเวลาสั้นๆ)

ถ้ายังแรงไม่สะใจ ต้องหันไปคบกับ Audi S6 ซึ่งจะเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ
TFSI ให้กำลัง 450 แรงม้า สร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใน 4.4 วินาที และแรงกันสุดๆแบบท้อปออฟเดอะไลน์
ด้วย Audi RS6 ที่มีให้เลือกเพียงตัวถัง Avant เพียงตัวถังเดียว มีแรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 560 แรงม้า และสร้างอัตราเร่ง
0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.9 วินาทีเท่านั้น

2015 Audi A6 พร้อมออกจำหน่ายในเยอรมนีบ้านเกิด กันก่อน โดยเมืองไทยนั้นมีสิทธิ์อาจได้โอกาสเข้ามาจำหน่าย
เหมือนกันแต่น่าจะเป็นรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น

Bentley

bentley1

Bentley Mulsanne Speed รถซีดานสุดหรูที่ว่ากันว่ามันจะกลายเป็นรถ Hi-End ที่มีพลังแรงที่สุดในโลก เน้นหนักไปที่
การยกระดับสมรรถนะจากขุมพลังดั้งเดิม ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ V8 DOHC 6.75 ลิตร Twin Turbo ทั้ง ระบบแปรผันวาล์ว
และระบบควบคุมการทำงานของเทอร์โบให้สามารถรีดกำลังออกมาได้มากยิ่งขึ้น กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นไปเป็น 530 แรงม้า
(BHP) แรงบิดสูงสุด มหาศาลถึง 811 ฟุต-ปอนด์ (1,100 นิวตันเมตร / 112.09 กก.-ม.) ที่ 1,750 รอบ/นาที แรงขึ้นจาก รุ่น
ปกติ (505 แรงม้า (bhp) แรงบิด 752 ฟุต-ปอนด์) Bentley เคลมไว้ว่า จะประหยัดน้ำมันกว่าเดิม 13% และเครื่องยนต์
สามารถที่จะลดการทำงานของลูกสูบจาก 8 สูบลงเหลือ 4 สูบได้ เมื่อไม่ได้ใช้กำลังมาก เพื่อลดการเชื้อเพลิง สำหรับการ
ปล่อยก๊าซ CO2 นั้นอยู่ที่ 342 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งดีกว่า Mulsanne รุ่นปกติ ที่ทำได้ 393 กรัม/กิโลเมตร

ขุมพลังดังกล่าว ถูกจับชนกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ผ่านทางเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มี
การทำงานที่นุ่มนวลขึ้น อีกทั้งยังสามารถรองรับกับแรงบิดที่เพิ่มขึ้นของเครื่องยนต์ได้

bentley3

จุดที่น่าสนใจก็คือ การทำงานของระบบ S-Mode ใหม่ เทอร์โบจะมีการตอบสนองที่เร็วขึ้น เมื่อรอบเครื่องยนต์ทำงานอยู่
สูงกว่า 2.000 รอบ/นาที นอกจากนี้ การขับขี่ในโหมดสปอร์ตแบบใหม่นั้น จะไปเซ็ทให้ช่วงล่างระบบถุงลมให้ทำงานแข็ง
มากขึ้น รวมถึงยังปรับให้พวงมาลัยมีการตอบสนองและควบคุมที่แม่นยำกว่าเดิม

ด้วยความแรงที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ Mulsanne Speed สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาต่ำ
เพียง 4.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดถึง 304 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถือว่า อัตราเร่งดีกว่ารุ่นปกติ 0.2 วินาที แถมยังทำ
ความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 10 กม./ชม.

Citroen

เผลอเพียงไม่นาน ตระกูล DS ของค่าย Citroën ได้ถูกเปิดตัว(อีกครั้ง)ในฐานะไลน์รถยนต์พรีเมี่ยมมาเป็นเวลา
5 ปีแล้ว และได้เผยโฉมรถยนต์รุ่นต่างๆมาเรื่อยๆ จนถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้
คือความโดดเด่นของงานออกแบบในทุกๆรุ่น โดยเฉพาะในตระกูล DS ที่มักจะมีรายละเอียดงานออกแบบอันดึงดูดใจ
และบางครั้งก็ดูแหวกแนว แปลกตา

citroen1

คราวนี้ Citroën พร้อมแล้วที่จะประกาศเอกลักษณ์งานออกแบบยุคใหม่ของตระกูล DS ด้วยรถยนต์ต้นแบบคันล่าสุด
Citroën Divine DS Concept เตรียมโชว์ตัวครั้งแรกในงานแสดงรถยนต์ Paris Motor Show ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ในเดือนหน้านี้

แม้จะไม่มีประกาศออกมาว่ารถยนต์ต้นแบบคันนี้จะบอกใบ้รถยนต์รุ่นใดในอนาคตหรือเปล่า แต่ด้วยมิติตัวถัง
ความยาว 4.21 เมตร กว้าง 1.98 เมตร และสูง 1.35 เมตร และทรงแฮตช์แบก 5 ประตู ก็อดคิดไม่ได้ว่า
นี่อาจจะเป็นร่างทรงของ Citroën DS4 โฉมใหม่ ที่มีมิติตัวถังใกล้เคียงกัน และฉกำลังถึงเวลาผลัดโฉมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

citroen2

ตัวรถนั้นแตกต่างไปจากตระกูล DS ที่เคยเห็นกันชัดเจน ด้วยสัดส่วนของตัวรถและเส้นสายที่เน้นความเรียบง่าย
มากยิ่งขึ้น แต่เน้นหนักไปทางรายละเอียดย่อยของตัวรถ เช่น แผ่นหลังคาเล่นลายเรขาคณิต โคมไฟหน้าและไฟท้าย
ทรงเรียบง่าย แต่มีรายละเอียดในโคมไฟที่น่าติดตาม คล้ายอัญมนี ส่วนล้ออัลลอยใช้ขนาด 20 นิ้ว และออกแบบ
ให้ดูเหมือนก้านล้อนั้นลอยออกมาจากตัวล้อ เพิ่มมิติให้กับตัวรถ

ส่วนภายในตัวรถ เล่นความเรียบง่ายแต่เสริมด้วยรายละเอียดเช่นกัน ด้วยทรงของแผงแดชบอร์ดเป็นแผ่นโค้ง
ลาดเทรับพื้นที่โดยสาร แต่ตกแต่งรายละเอียดด้วยรูปทรงเรขาคณิตที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแพทเทิร์นโลโก้ DS
รวมการแสดงผลข้อมูลต่างๆอยู่ที่หน้าจอ HD Touch Drive ขนาด 10.4 นิ้ว บริเวณหลังพวงมาลัย ซึ่งทำหน้าที่
เป็นหน้าจอแสดงภาพกระจกมองหลังไปในตัว

เบาะนั่งถูกออกแบบให้หรูหราเป็นพิเศษด้วยแนวคิดการออกแบบ DS Watch Strap Design แรงบันดาลใจจาก
สายนาฬิกาหรู ถูกหุ้มด้วยวัสดุหนังแท้เนื้อดีแบบ Full-grain Aniline

citroen3

ขุมพลังเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่ารถยนต์รุ่นนี้เป็นร่างทรงของรถยนต์รุ่นใหม่ที่ใกล้ได้เปิดตัวทำตลาดจริง
เป็นเพราะเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร พร้อมเทอร์โบ THP ที่ถูกปรับจูนให้ผ่านข้อกำหนดด้านมลพิษ
Euro 6 แล้วเรียบร้อย เครื่องยนต์บล็อกนี้สร้างกำลังได้ 270 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 330 นิวตัน-เมตร
ระหว่าง 1,900-5,500 รตน. ปล่อยก๊าซไอเสีย CO2 ออกมาเพียง 145 กรัม/กิโลเมตร

เมื่อนึกถึงความโดดเด่นทางด้านงานวิศวกรรมยานยนต์ในแถบยุโรป หลายคนจะต้องนึกถึงประเทศเยอรมนี จ้าวแห่งงาน
วิศวกรรมเครื่องจักรที่สามารถรีดประสิทธิภาพออกมาได้ดีเกือบจะที่สุดในโลก แต่เราเชื่อว่าในไม่ช้า เราจะได้เห็นผู้ผลิต
รถยนต์จากฝรั่งเศสที่กลายเป็นเจ้าแห่งการคิดค้นนวัตกรรมแห่งความประหยัดน้ำมันที่สามารถใช้งานจริงได้ในเร็ว ๆ นี้

citroen4 citroen5

นั่นเป็นเพราะ Citroen ได้ส่ง C4 Cactus AIRFLOW 2L Concept ที่ประหยัดน้ำมันสูงสุด 2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เห็น
หน้าตาบ้าน ๆ แบบนี้ก็อย่าเพิ่งคิดว่า Citroen ไม่ลงทุนทำอะไรกับตัวรถเลย เพราะ Citroen ปรับปรุงตัวรถให้ถูกต้องตาม
หลักอากาศพลศาสตร์เพิ่มขึ้นอีก 20% เริ่มจากต้องมาเปลี่ยนไปใช้ยางที่ลดแรงเสียดทาน ที่มีหน้าแคบและแก้มยางหนา,
เปลี่ยนวัสดุรอบคันให้เบาลงอีก 100 กิโลกรัม, ใช้เทคโนโลยี Hybrid Air ที่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม 30%

การกำเนิด Citroen C4 Cactus AIRFLOW 2L Concept ถือเป็นทดลองพัฒนาภายใต้โปรแกรม Plateforme de la
Filière หรือโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานและลดมลภาวะแบบสุด ๆ ที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ขับขี่ในฝรั่งเศส

Ferrari

Ferrari ได้เปิดตัว Ferrari 458 Speciale A ( ตัว A ย่อมาจาก Aperta ) ซึ่งถือเป็นรุ่นพิเศษ (Limited Edition) เพื่อ
เฉลิมฉลองความสำเร็จของสุดยอดรถสปอร์ต Ferrari 458 ที่มีการแตกตัวออกเป็นรถหลายรุ่นย่อยพอสมควรโดยผลิต
จำนวนจำกัดเพียงแค่ 499 คันเท่านั้น

ferrari1

Ferrari 458 Speciale A จะกลายเป็นรถแนว Spider ที่ทรงพลังมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ทำให้ผู้ขับขี่อิ่มเอมกับ
พละกำลังที่สุดยอดจากรถเปิดประทุนคันนี้ โครงสร้างหลังคาแบบพับเก็บได้ทำจากวัสดุอลูมิเนียมที่ใช้เวลาเปิด-ปิดแค่
เพียง 14 วินาทีเท่านั้น แถมยังช่วยทำให้มันมีน้ำหนักตัวหนักกว่า Ferrari 458 Speciale ตัวถังคูเป้แค่เพียงราว 50
กิโลกรัม

ferrari2

Ferrari 458 Speciale A จะติดตั้งเครื่องยนต์ V8 ไร้ระบบอัดอากาศใด ๆ ขนาด 4.5 ลิตร ให้กำลัง 605 แรงม้า (HP) ที่
9,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 540 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที ปล่อยไอเสีย CO2 ต่ำ(เมื่อเทียบกับเครื่อง V8
ด้วยกัน) เพียงแค่ 275 กรัมต่อกิโลเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในแค่ 3 วินาที!! และสามารถวิ่ง
Time Lap ที่สนาม Fiorano ได้ภายใน 1 นาที 23 วินาที สาเหตุที่ทำให้มันได้วิ่งเร็วขนาดนี้ก็เพราะ Ferrari ลงทุน
ออกแบบชิ้นส่วนตัวรถให้เหมาะสมตามหลักอากาศพลศาสตร์มากขึ้นจนกลายเป็น Ferrari Spider ที่มีการจัดการด้าน
อากาศพลศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่ Ferrari เคยมีมา

นอกจากนี้ยังเสริมความแข็งแกร่งของตัวถังด้วยการใช้วัสดุอลูมิเนียมเสริมในส่วนแชสซีส์ 10 จุดและติดตั้งระบบ Side
Slip Angle Control (SSC) เพื่อรับประกันความสนุกสนานในการขับขี่ได้ทุกสภาวะที่ผนวกมากับเสียงเครื่องยนต์ที่เร้า
อารมณ์ตามแบบฉบับ Ferrari

ferrari3

ภายในห้องโดยสารที่ถูกตกแต่งเป็นอย่างดีโดยไร้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งในสนาม ด้วยการใช้วัสดุน้ำหนักเบาหลายชิ้น
ที่ถูกออกแบบตามเอกลักษณ์ของ Ferrari โดยเฉพาะแผงแดชบอร์ด, แผงประตูและแผงกลางถูกผลิตจากคาร์บอนไฟ
เบอร์เนื้อผิวสีฟ้า รวมทั้งมีการออกแบบเบาะนั่งใหม่ที่ห่อหุ้มด้วยวัสดุ Alcantara ที่มีการตัดเย็บด้วยเทคนิคการเดินด้าย
ตัดและเทคนิค 3 มิติเข้าผสมผสานด้วยกัน

ใครที่รู้สึกว่า Ferrari 458 Speciale A มันใช่สำหรับคุณแล้วล่ะก็ เห็นทีต้องรีบจับจองเพราะว่ามันมีจำนวนเพียงแค่ 499
คันเท่านั้น

Fiat

ในที่สุด Fiat ก็ได้เปิดเผยโฉมครอสโอเวอร์คอมแพคท์สุดน่ารัก Fiat 500X ออกมาเสียทีหลังจากปล่อยให้สื่อมวลชนลงทุน
ไปทำข่าวในวันเปิดเผยโฉมแบบ Sneak Preview ล่วงหน้าเป็นปีกันเลยทีเดียว งานนี้ Fiat ลงทุนนำเสนอ Fiat 500X ให้
ลูกค้าเลือก 2 แบบ 2 สไตล์ตามรสนิยมชมชอบ

fiat1

สัญลักษณ์ตัว X ที่ต่อท้ายชื่อรุ่น 500X มันตัวอักษรที่บ่งบอกความเป็นตัวแทนของกลุ่มลูกค้า, เพศ, อายุ, ความต้องการ
และรสนิยม จึงเปรียบเสมือนว่า Fiat 500X สามารถเกาะกลุ่มลูกค้าวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่, รักในความงามและชื่นชอบ
ในบุคลิกภาพของตัวรถ

Fiat 500X มีบุคลิกภาพที่โดดเด่น, มีรายละเอียดอันหรูหราและตอบสนองความต้องการลูกค้าที่ใช้งานในเมือง ซึ่ง Fiat มี
500X ให้เลือกสองบุคลิก แบบแรก Metropolitan ดูสดใส, ปราดเปรียวเหมาะกับการใช้งานในเมือง และอีกเวอร์ชันหนึ่ง
ก็จะเป็นรถที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเป็นตำนานของ Fiat 500 แต่อยากได้รถที่ออกแนว off road ดูลุย
อเนกประสงค์ได้

fiat2

มิติตัวถังมีความยาวถึง 4.25 เมตร กว้าง 1.8 เมตร และสูง 1.61 เมตร สำหรับเครื่องยนต์ก็มีให้เลือกเครื่องยนต์ขนาด 1.4
ลิตร Turbo Multi-Air II ให้กำลัง 140 แรงม้า (สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ), เครื่องยนต์ 1.6
ลิตร MultiJet II 120 แรงม้า (สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ), เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร MultiJet II
140 แรงม้า (สำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ)

หลังจากนั้น Fiat ก็จะเปิดตัวรุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร E-TorQ 170 แรงม้า (ขับเคลื่อนสี่ล้อและเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ),
เครื่อง 1.4 ลิตร MultiAir II 170 แรงม้า (ขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ) และเครื่องแรงสุดต้องนี่เลยเครื่อง 2.4
ลิตร Tigershark 184 แรงม้า (ขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ)

fiat3

ในอนาคตก็จะมีรุ่นเครื่อง 1.4 ลิตร Turbo Multi-Air II 140 แรงม้าจะถูกติดตั้งลงในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อที่มาพร้อมกับเกียร์
อัตโนมัติคลัทช์คู่ 140 แรงม้า

สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลมาในรุ่น 1.3 ลิตร Turbo II 95 แรงม้ามาพร้อมกับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะและขับเคลื่อนล้อหน้า
และเครื่องดีเซล 2.0 ลิตร MultiJet 140 แรงม้า สำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ

สำหรับจุดเด่นของเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะก็คือรองรับช่วงกำลังได้มาก, การขับขี่นุ่มนวล, มาพร้อมกับ Shift-on-the-fly
ที่สามารถใช้โหมดเปลี่ยนเกียร์เหมือนเกียร์ธรรมดาได้

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อมีระบบตัดกำลังการถ่ายทอดที่เพลาหลังชั่วคราว เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดอัตราการ
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

Fiat 500X มีกำหนดทำตลาดทั่วโลกมากกว่า 100 ประเทศรวมถึงสหรัฐอเมริกา และมีความเป็นไปได้ว่าจะพิจารณาการ
ทำตลาดในประเทศออสเตรเลียอีกด้วย

Ford

Ford ค่ายรถยนต์จากสหรัฐอเมริกา เผยโฉม Ford S-MAX เจเนอเรชั่นที่ 2 ออกมาแล้ว ยังคงเน้นความโอ่อ่า
สำหรับครอบครัว แต่เพิ่มความปราดเปรียว สร้างความแตกต่างจากบรรดาคู่แข่งในตลาด

ต้องย้อนความกันก่อนว่า เดิมที Ford มี Galaxy ทำตลาดรถยนต์ครอบครัวตั้งแต่ปี 1996 ด้วยการจับมือ
ร่วมกันพัฒนากับ VW Group แต่เมื่อ Ford ต้องตัดสินใจพัฒนา Galaxy รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดในปี 2006
จึงได้ผุดฝาแฝด ’S-MAX’ ออกมา สร้างความแตกต่างด้วยความสปอร์ตพร้อมตัวถังและความสูงใต้ท้องรถ
ที่เตี้ยกว่า Galaxy

ford1 ford2

ในรุ่นเปลี่ยนโฉมนี้ Ford กลับนำร่องเปิดตัว S-MAX ออกมาก่อน โดยทำการพรีวิวให้ดูกันมาแล้วด้วยรถต้นแบบ
Ford S-MAX Concept ในงานแสดงรถยนต์ Geneva Motor Show ปีที่แล้ว ก่อนจะทำการเปิดตัวรุ่นจำหน่ายจริง
ในวันนี้

รูปลักษณ์ภายนอก ยังคงรักษาเอกลักษณ์งานออกแบบของ Ford ยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์
ทรงลิ่ม พร้อมกระจังหน้าหกเหลี่ยมคล้ายของค่าย Aston Martin พร้อมไฟหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูสุดเฉี่ยว
ที่ออกแบบให้มีรายละเอียดในโคมมากกว่าเดิม และเส้นสายด้านข้างเน้นคมสัน คล้ายกับ Ford Fusion/Mondeo
โฉมล่าสุด

ford3

จุดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้อยู่ที่ลูกเล่นสำหรับการใช้งาน เช่น ระบบพับเบาะแถว 2 และ 3 ด้วยไฟฟ้าเพิ่ม
ความสะดวกสบาย ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของรถยนต์ในระดับนี้ อีกทั้งยังใส่ระบบเปิดฝาท้ายด้วยการแกว่งเท้า
และติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้างแบบใหม่ซึ่งปกป้องไปถึงผู้โดยสารแถวที่ 3 สำหรับผู้ขับขี่นั้น จะได้พวงมาลัย
ปรับระดับ 4 ทิศทางด้วยไฟฟ้า และระบบนวดเย็นสำหรับเบาะโดยสารด้านหน้า

ส่วนขุมพลังนั้น ยังไม่มีรายละเอียดทั้งหมดออกมาในขณะนี้ แต่ที่แน่ๆ คือการนำเอาขุมพลังเบนซินใหม่แกะกล่อง
แบบ 4 สูบ พร้อมเทอร์โบ EcoBoost ขนาด 1.5 ลิตรมาใช้ ให้กำลัง 160 แรงม้า และขนาด 2.0 ลิตร
พร้อมม้า 240 ตัว

ford4

ด้านเครื่องยนต์ดีเซล ยังคงเริ่มต้นด้วยขนาด 2.0 ลิตร TDCI 120 แรงม้า เชื่อมต่อกำลังสู่ล้อคู่หน้าด้วยระบบ
เกียร์ธรรมดาเพียงแบบเดียว และยังมีขนาดกำลังที่แรงขึ้นมาอย่าง 150 และ 177 แรงม้า ที่จะสามารถมีทั้ง
ระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ PowerShift 6 จังหวะให้ใช้กัน

ford5

Ford C-Max Minorchange จะได้หน้าตาเอกลักษณ์ใหม่ที่ดูคล้ายกับ Aston Martin ที่นอกจากจะมีการปรับปรุง
รูปลักษณ์ภายนอกให้ดูสดใหม่แล้วงานนี้ Ford ก็ลงทุนปรับปรุงงานวิศวกรรมและฟีเจอร์ภายในรถใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย
มากขึ้นอีกด้วย

Stephen Odell รองประธานบริหาร Ford ยุโรป, ตะวันออกกลางและอาฟริกา กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า Ford C-MAX
เป็นรถที่มีชื่อเสียงในเรื่องของคุณงามความดีที่สมดุลกันดีระหว่างความประหยัดน้ำมัน, การตอบสนอง, การบังคับควบคุม
แบบสปอร์ตและความยืดหยุ่น รวมไปถึงเนื้อที่ห้องโดยสารที่กว้างขวาง

ปัจจุบัน Ford C-MAX มียอดขายสะสมนับตั้งแต่ปี 2003 จนถึงวันนี้มากกว่า 1.2 ล้านคันในยุโรปแล้ว

ดีไซน์ภายนอกของ Ford C-MAX จะสะท้อนออกแบบในรูปแบบ Ford Global Design Language ที่มาพร้อมกับสี
น้ำตาล Caribou และสีแดง Red Rushใหม่ ด้านหน้าก็จะมีลุคที่ดูเพรียว, แข็งแกร่ง แม้กระทั่งสิ่งเล็ก ๆ น้อยอย่างที่ฉีดน้ำ
กระจกหน้าก็ยังโดนซ่อนไว้ใต้ฝากระโปรงหน้าเพื่อให้ภาพรวมดูลื่นไหลไม่มีจุดสะดุด

ภายในห้องโดยสารมีการปรับปรุงเกือบขนานใหญ่และถือเป็นการปรับปรุงไปในสู่แห่งความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ถ้าสังเกตดี
ๆ จะพบว่ามันมีการปรับปรุงรายละเอียดปุ่มกดใช้งานต่าง ๆ ให้น้อยลงจนทำให้ใช้งานสะดวกขึ้น โดยเฉพาะแผงปุ่มปรับ
แอร์หรือปุ่มสั่งงานใต้หน้าจอสีที่ดูเป็นระเบียบขึ้น

ถ้าสังเกตดี ๆ Ford จะเปลี่ยนแผงคอนโซลกลางบริเวณเรือนเกียร์ที่ดูสุขุมนุ่มลึกกว่าแบบเดิม พร้อมกล่องเก็บของตรง
กลางผู้โดยสารตอนหน้าที่สามารถเลื่อนที่ท้าวแขนสำหรับใส่สิ่งของได้

การเก็บเสียงรบกวน, ความสั่นสะเทือนและความกระด้างก็ได้ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น เริ่มจากการใช้กระจกด้านข้างที่หนาขึ้น,,
กรุขอบซีลยางให้หนาขึ้นในบริเวณฝากระโปรงท้ายและกระจกบังลมหลัง ส่วนเครื่องยนต์ก็มีการติดตั้งแผ่นปกป้องความ
ร้อนที่สามารถซับเสียงเครื่องยนต์ได้ และในรุ่นเครื่องดีเซลก็จะใช้แผ่นที่ดูดซับเสียงให้ดียิ่งกว่า

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงฟลายวีลให้ลดการสั่นตัวเมื่อกำลังเครื่องตก, ออกแบบล้ออัลลอยลายใหม่เพื่อช่วยลดการ
สั่นสะเทือนแบบกังวาล

ford6

Ford C-MAX ได้ติดตั้งอุปกรณ์ที่ล้ำสมัยสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ได้แก่ ระบบช่วยถอยจอด Active Park Assist เพียง
แค่ผู้ขับขี่กดปุ่มถอยจอดกึ่งอัตโนมัติ แล้วก็บังคับแป้นคันเร่งและแป้นเหยียบเท่านั้น นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบช่วยจอด
Perpendicular Parking การถอยจอดเข้าในช่องจอดที่มี ultrasonic sensor 2 ตัวคอยตรวจจับวัตถุ

Auto City Stop เทคโนโลยีเดียวกับ Ford Focus ที่จำหน่ายในบ้านเราและทั่วโลก แต่ปรับปรุงให้มีช่วงกว้างในการ
ตรวจจับวัตถุและเบรคอัตโนมัติระหว่าง 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจนถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ระบบ Adaptive Cruise Control ระบบการตั้งค่าความเร็วการขับขี่คงที่ที่สามารถตรวจจับระยะห่างของรถคันหน้าให้ผู้
ขับขี่อัตโนมัติเพื่อรักษาระยะห่างไม่ให้ใกล้กับรถคันหน้ามากเกินไป แต่ถ้าระบบนี้ปิดเมื่อใดระบบตรวจจับระยะห่างรถคัน
หน้าก็ยังคงคอยทำงานเตือนผู้ขับขี่ให้ขับในระยะห่างที่เหมาะสม

Ford Sync2 ศูนย์รวมความสะดวกสบายด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วรองรับสั่งงานด้วยเสียงเพื่อสังการใช้งานแอร์,
ระบบนำทาง, เครื่องเสียง และยังมีฟังก์ชันเชื่อมต่อกับโทรศัพท์อีกด้วย ความพิเศษของ Sync2 คือการรองรับแผนที่ Here
Map สามารถแยกหน้าจอเพื่อแสดงผลที่น่าสนใจ

Sync2 อนุญาตให้คุณได้พูดคำสั่งสั้น ๆ เพื่อให้ระบบทำงานอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งพูดคำสั่ง I’m Hungry ระบบก็จะ
ประมวลรายชื่อร้านอาหารในท้องถิ่นเพื่อจะได้นำพาคุณไปสู่จุดหมายได้

การลดค่าไอเสียและการประหยัดน้ำมันเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับ Ford C-MAX นั่นจึงเป็นที่มาของการติดตั้งระบบ Auto
Start-Stop เป็นครั้งแรกในเครื่องยนต์ Ecoboost และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร จนทำให้ลดค่าไอเสีย CO2 ได้ถึง 20%

เริ่มจากเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร 120 แรงม้าที่มีค่าไอเสียต่ำกว่าเครื่องดีเซล 1.6 ลิตรเดิมประมาณ 6% และยังมี
เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร Ecoboost 100 แรงม้าและ 125 แรงม้าให้เลือก ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ก็มีการ
ปรับปรุงค่าไอเสียที่ดีขึ้น 20%

Honda

Honda ไม่ปล่อยให้แฟนพันธุ์แท้รอนานถึงขนาดรีบเผยโฉม New Honda CR-V Facelift พร้อมกันทั้งในยุโรป (ที่มาใน
ชื่อ CR-V prototype) และในตลาดอเมริกันที่พร้อมจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองตัวถังจะมีหน้าตาที่เหมือนกัน
แทบทุกประการ จะแตกต่างกันก็ตรงรายละเอียดล้ออัลลอยของ CR-V Prototype จะดูซิ่งสปอร์ตกว่าพอสมควร

honda1

รายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงไปของ Honda CR-V Facelift จะสังเกตได้จากไฟหน้าที่เปลี่ยนรูปทรงใหม่ดูเพรียวยาวที่มา
พร้อมกับ LED, กระจังหน้าได้รับอิทธิพลแนวคิดการออกแบบ Exciting H Design!!!, เปลี่ยนกันชนหน้าใหม่และมีการ
เปลี่ยนรายละเอียดบั้นท้ายใหม่ อาทิ แถมโครเมี่ยมฝากระโปรงท้าย, เปลี่ยนทรงกันชนท้ายใหม่, เปลี่ยนรายละเอียดไฟ
ท้ายใหม่

สำหรับเวอร์ชันยุโรปจะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร i-DTEC ใหม่ล่าสุดที่จะมาแทนที่เครื่องดีเซล 2.2 ลิตรด้วยกำลัง
160 แรงม้า (PS) แรงบิด 350 นิวตันเมตร ปล่อยค่าไอเสีย 130 กรัมต่อกิโลเมตรจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เมื่อเทียบ
กับเครื่องเดิมก็ถือว่ามันมีประสิทธิภาพดีขึ้น 11%

honda2

นอกจากนี้ Honda ยังจะนำรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 9 เกียร์ที่จะมีค่าไอเสีย CO2 ต่ำเพียงแค่ 135 กรัมต่อกิโลเมตร ดีขึ้นกว่า
เครื่องเดิมถึง 22%

สำหรับรุ่นขับเคลื่อนสองล้อก็จะมีเครื่องดีเซล 1.6 ลิตร i-DTEC 120 แรงม้า ที่ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ต่ำ 112 กรัมต่อ
กิโลเมตร และใครที่รักเครื่องเบนซินก็เลือกมีให้พร้อมด้วยเครื่อง 2.0 ลิตร i-VTEC มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนสองล้อและ
สี่ล้อ มีทั้งแบบเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ

honda3

Honda Civic EU Version ปรับโฉมความสดใหม่ด้วยด้านหน้าที่สะท้อนความสปอร์ตที่มากกว่ารุ่นปัจจุบัน แต่น่า
เสียดายว่ามันไม่ได้ใช้ธีม Exciting H Design!! อันเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของ Honda ยุคปัจจุบัน แต่อย่างน้อย ๆ มันก็ได้
อารมณ์สปอร์ตเพิ่มขึ้นจากชุดกระจังหน้าทรงเรียบง่ายขึ้นพร้อมไฟหน้าทรงใหม่ที่มาพร้อมกับ DRL นอกจากนี้ยังมีการ
เปลี่ยนกันชนหน้า, กันชนหลัง, สเกิร์ตรอบคัน, สปอยเลอร์ท้ายและไฟท้าย LED

ภายในห้องโดยสารก็มีการปรับปรุงรายละเอียดบางอย่าง อาทิ ลายเบาะผ้าใหม่, กรุขอบพนักพิงศีรษะใหม่, เปลี่ยน
รายละเอียดการตกแต่งแผงข้างประตู

นอกเหนือจาก Honda จะนำ Civic EU รุ่นปรับโฉมมาอวดโฉมแล้ว Honda ก็ขอเผยโฉม Civic Type-R Concept II รถ
ต้นแบบที่ต่อยอดมาจาก Honda Civic Type-R

honda4

Honda Civic Type-R Concept II จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน EarthDreams Technology 2.0 ลิตร i-VTEC ให้กำลัง
มากกว่า 280 แรงม้าจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ แรงชนิดที่ว่า Type-R เจเนเรชั่นก่อน ๆ ก็ยังเทียบไม่ติด!! รวมไปถึง
Civic, Accord และ NSX ที่ยังแรงสู้ตัวนี้ไม่ได้

แต่ใช่ว่าเครื่องตัวนี้สักแต่จะรีดเค้นพลังจนไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นใด เราจะบอกให้ว่าเครื่องตัวนี้รองรับมาตรฐานค่าไอเสีย
Euro6 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องขอบคุณเทอร์โบชาร์จที่ปรับจูนย่านกำลังต่ำให้มากขึ้น, ผนวกกับการรีดสมรรถนะในย่าน
รอบสูงจากเทคโนโลยี VTEC

นวัตกรรมใหม่ที่ทำให้ Honda Civic Type-R Concept II กลายเป็นรถพันธุ์แรงที่ตอบสนองความรู้สึกความเป็นรถ
Type-R ได้มากที่สุด ก็คือปุ่ม +R อยู่ข้างพวงมาลัย พอกดปุ่ม +R ผู้ขับขี่ก็ลิ้มรสประสบการณ์การขับขี่ที่ตื่นเต้นที่สุดได้
เครื่องยนต์จะตอบสนองเร้าใจขึ้นพร้อมแรงบิดที่มาแบบดุดัน, พวงมาลัยจะตอบสนองไวขึ้นที่ทำงานร่วมกับระบบ
Adaptive Damper ทั้ง 4 จุดเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุด

honda5

ระบบ Adaptive Damper พัฒนาขึ้นสำหรับ Honda Civic Type-R โดยเฉพาะ ระบบจะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อรองรับ
แรงตึงจากระบบกันสะเทือนล้อคู่หน้าและคู่หลัง ผลก็คือ Civic Type-R ก็จะเป็นรถที่มีการขับขี่ทางไกลสบาย
ขณะเดียวกันก็สามารถรองรับการขับขี่สมรรถนะสูงที่หนักแน่นและคล่องตัวได้เช่นกัน

Honda ยังพยายามคิดค้นวิธีการใหม่ในการคำนวณแกนบังคับเลี้ยวเพื่อให้กำลังจากเครื่องยนต์ 280+ แรงม้าเป็นไปได้
ตามใจสั่ง ด้วยการติดตั้งระบบกลไกเพื่อรองรับตัว kingpins เพื่อลดแรงยกบิดบังคับเลี้ยวและช่วยให้ผู้ขับขี่ขับขี่รถได้
อย่างเต็มที่

Honda Civic Type-R ถูกพัฒนาขึ้นและคิดค้นงานวิศวกรรมสำหรับการขับขี่แบบยุโรปโดยเฉพาะ ตัวรถจะถูกผลิตขึ้นที่
โรงงานสวินดอน สหราชอาณาจักร มีกำหนดส่งขึ้นโชว์รูมทั่วยุโรปในปี 2015

Infiniti

ถ้าใครเคยจำได้ว่า Infiniti เคยมีข่าวคิดจะทำรถระดับ Flagship ที่จะเอามาสู้กับ Mercedes-Benz S-Class โดยตรงได้
แล้วล่ะก็ เราก็เชื่อว่าเมื่อทุกคนมองเห็นภาพรถต้นแบบคันนี้แล้วก็น่าจะร้อง อ๋อ ได้เพราะเท่าที่จำความได้ว่า Infiniti
อยากจะทำรถที่สร้างความแตกต่างจาก S-Class ด้วยดีไซน์ที่เฉี่ยวล้ำกว่า แต่จะดูแตกต่างจากชาวบ้านแค่ไหนต้องมาดูกัน

infiniti1 infiniti2

ในที่สุด Infiniti ก็ได้เปิดเผยโฉม Infiniti Q80 Inspiration Concept รถต้นแบบระดับ Flagship ที่มีรูปลักษณ์แปลก
ตาเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นรถรูปทรง Fastback ที่ดูทั้งทั้งกล้าหาญและหรูหรา โดดเด่นออกมาจากฝูงชนจนกลายเป็น
ก้าวสำคัญที่ทำให้แบรนด์ Infiniti สามารถเข้ามาชกในกลุ่มอัครยานยนต์ขนาดใหญ่ได้ไม่ยากนัก

Infiniti Q80 Inspiration Concept มีความยาวตัวถัง 5,052 มิลลิเมตร มีความยาวฐานล้อ 3,103 มิลลิเมตร มีความ
กว้าง 2,077 มิลลิเมตร และมีความสูง 1,350 มิลลิเมตรพร้อมล้อขนาด 22 นิ้ว

Alfonso Albaisa ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่ง Executive Design Director ได้เปิดเผยว่า พวกเขาอยากให้ Infiniti Q80
Inspiration Concept เป็นรถที่ให้ความรู้สึกลืมเลือนไม่ได้เมื่อได้สัมผัสประสบการณ์บางสิ่ง, ดีไซน์บางอย่างและแรง
ดึงดูดบางอย่างเมื่อได้ลองครั้งแรก

infiniti3

จุดเด่นของงานออกแบบรถต้นแบบคันนี้ก็คือการไร้กระจกมองข้างที่จะไม่ทำให้มีจุดสะดุดสายตา, แผ่นหลังคารูปทรงหยด
น้ำทำจากกระจกอคูสติกน้ำหนักเบา งานออกแบบโดยรวมจะเป็นการผลักดันรูปแบบการออกแบบที่เป็นได้มากกว่ารถ 4
ประตูทรงสวยงามทั่วไป ภายในห้องโดยสารโอบล้อมไปด้วยสไตล์และบรรยากาศอันเป็นส่วนตัว

รถคันนี้มันมาพร้อมช่วงล่างล้ำสมัยที่ทั้งเบาและแข็งแกร่งประกอบใช้กระจกอคูสติกรอบคันก็ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
สามารถประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด

Kia

ถึงแม้ว่าปีนี้ Kia จะไม่ได้ขนรถยนต์รุ่นใหม่ซิง ๆ มาอวดโฉมในงาน Paris Motorshow 2014 นี้ (เพราะ Kia Sorento
โฉมใหม่ก็ดันไปเปิดตัวในเกาหลีใต้ก่อนยุโรป แต่ก็ใช่ว่า Kia จะนิ่งดูดายปล่อยให้คู่แข่งเปิดตัวรถรุ่นใหม่แต่เพียงผู้เดียว
Kia จึงต้องขนรถที่มีขายอยู่ในปัจจุบันมาปรับโฉมใหม่เพื่อเรียกความสดสักระลอกหนึ่งก่อน

kia1

เริ่มจากการปรับโฉมของ Kia Rio รถซับคอมแพคท์ที่มีจำหน่ายในบ้านเราด้วยที่มองเผิน ๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันปรับโฉม
ตรงส่วนไหนบ้าง? ถ้าเพ่งด้วยสายตาอันแหลมคมก็พบว่ามันก็แอบมีการเปลี่ยนช่องดักลมกันชนหน้าบริเวณซ้าย-ขวา ที่มี
รายละเอียดดูซับซ้อนขึ้น, อัพเดทกระจังหน้าและเปลี่ยนกันชนท้ายใหม่

kia2

ภายในห้องโดยสารก็เพิ่มโทนสว่างด้วยโครเมี่ยมรอบกรอบช่องแอร์, เปลี่ยนรายละเอียดแผงแดชบอร์ดกลางบริเวณปุ่ม
ปรับเครื่องเสียง นอกจากนี้ยังติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่เร่งสปีดการประมวลผลและการคำนวณระยะทางให้เร็วขึ้น
รองรับวิทยุ DAB และระบบนำทางวิดีโอ-เสียงแบบใหม่

เครื่องยนต์กลไกมีให้เลือกตั้งแต่ 75 แรงม้าจนถึง 109 แรงม้า มีให้เลือกเกียร์ธรรมดา 5-6 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติ 4
จังหวะ ทุกเครื่องยนต์มาพร้อมกับระบบ ISG เจเนเรชั่นที่สองที่พ่วงกับระบบสตาร์ท-ดับเครื่องอัตโนมัติ, ระบบควบคุมตัว
กำเนิดไฟฟ้าสลับ, อัพเกรดมอเตอร์สตาร์ทเตอร์และเปลี่ยนไปใช้ยางที่ความต้านทานต่ำ

kia3

คันต่อมา Kia Venga Minorchange ที่เปลี่ยนแปลงจากมินิแวน 5 ที่นั่งหน้าตาจืดให้กลายเป็นรถพ่อบ้านที่มีหน้าตา
กระชุ่มกระชวยเล็กน้อย โดยมีความเปลี่ยนแปลงที่มีการปรับขนาดกระจังหน้าใหญ่ขึ้นพร้อมทั้งย้ายตำแหน่งโลโก้เหนือ
กระจัง, เปลี่ยนกันชนหน้าให้ดูสปอร์ต, ติดตั้ง DRL LED ในขณะที่บั้นท้ายก็เพิ่มแถบโครเมี่ยมเหนือป้ายทะเบียน, ไฟท้าย
LED และเปลี่ยนล้ออัลลอยเป็นขนาด 17 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารก็จะเปลี่ยนบรรยากาศโดยการใช้วัสดุสีอ่อนเพิ่มขึ้น, มีออพชั่นเสริมจำพวก ระบบอุ่นพวงมาลัย,
หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วที่ประมวลผลรวดเร็วขึ้น

kia4 kia5

Kia Venga Minorchange จะมีเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร และ 1.6 ลิตรทั้งเบนซินและดีเซล ให้กำลังตั้งแต่ 77 – 122
แรงม้า (PS) ให้เลือก ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหน้าผ่านเกียร์ธรรมดา 5-6 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ทุกเครื่องติดตั้ง
ระบบ idle stop ในชื่อ ISG ทำให้ผ่านค่าไอเสีย Euro5 และมีการปล่อยค่าไอเสีย CO2 ต่ำสุดเพียงแค่

Kia Venga Minorchange เตรียมวางจำหน่ายทั่วยุโรปตั้งแต่ต้นปี 2015 เป็นต้นไป

และสุดท้าย Kia ขอเปิดตัว Optima T-Hybrid มีจุดขายเป็น Turbo Hybrid ตามชื่อของมันที่จับคู่เครื่องยนต์ดีเซล 1.7
ลิตรจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่เก็บประจุแบตเตอรี่ตะกั่ว-คาร์บอนขนาด 48 โวลต์ อย่าเพิ่งแปลกใจว่าทำไมใช้
แบตเตอรี่แบบนี้อยู่ก็เพราะรถคันนี้มันเป็น Mild Hybrid นั่นเอง ไม่ใช่พวก Full Hybrid อย่างที่รถหลายรุ่นขายในไทย

เหตุผลสำคัญที่ยังใช้แบตเตอรี่แบบตะกั่ว-คาร์บอนก็เพราะว่ามันเป็นแบตเตอรี่ที่ไม่มีปัญหาเรื่องการระบายความร้อน, เข้า
กระบวนการรีไซเคิลก็ง่ายกว่า

kia6

Kia Optima T-Hybrid ติดตั้งเจเนเรเตอร์สตาร์ทเตอร์แทนที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับทั่วไป นั่นหมายความว่าหาก
เครื่องยนต์ติดอีกครั้งมันก็แทบจะไม่มีเสียงและการสั่นสะเทือนเลย

นอกจากนี้ Kia ยังลงทุนเปลี่ยนไปใช้ซูเปอร์ชาร์จไฟฟ้าให้แก่เครื่องยนต์ดีเซล CRDI แทนที่เทอร์โบดั้งเดิม เพื่อช่วยเพิ่ม
กำลังและแรงบิดในทุกย่านความเร็ว โดยเฉพาะช่วยฉุดพละกำลังในรอบเครื่องต่ำ

อย่างไรก็ตาม Kia ยังไม่เปิดเผยว่ามันจะประหยัดน้ำมันเท่าไร เพราะมันยังเป็นรถ Show Car อยู่แต่ Kia ยืนยันแล้วว่า
จะต้องประหยัดกว่าและแรงกว่ารุ่นมาตรฐานราว 15-20 %

ในอนาคต Kia จะเตรียมเปิดตัวรถยนต์ Mild Hybrid เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ลูกค้าที่ต้องการรถที่ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
และค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า (รถที่ Kia ขายอยู่ในปัจจุบัน) โดยไม่ต้องกังวลว่าจะสูญเสียความเป็นรถยนต์คุณภาพจาก Kia
เพื่อให้ผู้ขับขี่มีความสุข, ขับขี่สะดวกสบายและรับรู้ได้ถึงคุณภาพสูง

ก็กลายเป็นว่า Kia สามารถพัฒนาจุดด้อยของ Mild Hybrid ให้กลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้หลายคนอยากจะซื้อหากันจนได้

Lamborghini

lambo1 lambo2

เราเชื่อว่าบูธ Lamborghini น่าจะกลายเป็นบูธที่หลายคนจับตามากที่สุดก็เพราะในงานนี้ Lamborghini ได้เปิดตัว
Asterion LPI 910-4 ที่พกพาความพิเศษสุดยอดด้วยความเป็นรถสปอร์ตขุมพลัง Hybrid ด้วยเครื่องยนต์แบบ V10 5.2
ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศก็ปั่นกำลังถึง 600 แรงม้า เมื่อจับคู่มอเตอร์ไฟฟ้าถึง 3 ตัวที่ให้กำลัง 300 แรงม้า จนมีกำลังรวม
ทั้งหมดถึง 910 แรงม้า แค่ฟังก็ขนลุกแล้วเมื่อยิ่งได้รู้ว่ามันมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในประมาณ 3 วินาที
พวกเราก็ยิ่งขนลุกซู่เข้าไปใหญ่

lambo3

ความเร็วสูงสุดของมันก็ทำได้ที่ 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเชื่อหรือไม่เห็นมันแรงมากขนาดนี้ มันกลับปล่อยค่าไอเสีย
CO2 ต่ำเพียงแค่ 50 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น ต่ำชนิดอีโคคาร์ในไทยบ้านเราอายม้วนจนสมควรตายเลยทีเดียว นอกจากนี้
มันยังประหยัดน้ำมันถึง 4.12 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรหรือประมาณ 24 กิโลเมตรต่อลิตร!!!

Mitsubishi

ในที่สุด Mitsubishi ก็ได้เผยโฉม Mitsubishi Outlander PHEV Concept-S ฟังเผิน ๆ นึกว่ารถต้นแบบที่จะต้องมี
หน้าตาล้ำ ๆ แต่ที่ความจริงมันกลับตาลปัตรกัน เพราะรถต้นแบบที่เห็นนี้คือรถต้นแบบโปรโตไทป์ของ Mitsubishi
Outlander PHEV เวอร์ชัน Big Minorchange และถือเป็นรถคันแรกที่ได้ใช้ New Design Language อันเป็น
เอกลักษณ์ใหม่ที่จะถ่ายลงในรถยนต์ Mitsubishi ทุกรุ่น

mitsubishi1

Mitsubishi Outlander PHEV Concept-S ถือเป็นการเลาะศัลยกรรมใบหน้าใหม่ทั้งหมดยิ่งกว่าไปดาราบินไป
ศัลยกรรมที่เกาหลีเสียอีก เพราะมันไม่มีส่วนใดคล้ายกับของเดิมเลยแม้แต่น้อย โดยความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอยู่ตรงที่
การออกแบบชุดกระจังหน้าใหม่กึ่ง 3 มิติลากเส้นยาวต่อเนื่องจรดไฟหน้า, มีการลากเส้นแนวโครเมี่ยมจากขอบล่างไฟหน้า
ยาวลงกันชนหน้าจนทำให้ภาพรวมของด้านหน้ามีรูปทรงแบบ X-Shape Face

mitsubishi2

ส่วนภายในห้องโดยสารไม่ได้ถึงกับพลิกโฉมอะไรมากเพราะยังคงใช้แผงแดชบอร์ดเดิมอยู่ แต่มีการเปลี่ยนแผงเรือนเกียร์
ให้รู้สึกดูหรูหราขึ้นมาก ๆ , มีการเปลี่ยนวัสดุ/การตัดเย็บเบาะนั่งและแผงข้างประตูจนทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปบ้าง และมี
การเปลี่ยนทรงพวงมาลัยใหม่ที่ดูทันสมัยขึ้น

สำหรับขุมพลังของ Mitsubishi Outlander PHEV Concept-S จะยังคงใช้ขุมพลังร่วมกับ Mitsubishi Outlander
PHEV มาตรฐานด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว จนให้กำลัง 200
แรงม้า (BHP)

Nissan

หลังมีภาพหลุดแบบวับๆแวมๆออกมา ในรอบสื่อมวลชนของงานแสดงรถยนต์ Paris Motor Show 2014 วันนี้
Nissan พร้อมเปิดผ้าคลุมเผยโฉม Nissan Pulsar Nismo Concept ออกมา โชว์ความดุต่อเนื่องกับการเปิดตัว
Nissan Pulsar ที่นิสสันหมายมั่นปั้นมือให้กลายเป็นคอมแพคท์แฮตช์แบกตัวฉกาจ ไว้ต่อกรกับเจ้าตลาดในยุโรป

nissan1

Nissan Pulsar Nismo Concept ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อโชว์ศักยภาพด้านงานออกแบบและวิศวกรรม ที่ถูกต่อยอด
ให้ไปได้ไกลกว่ารุ่นปกติ และอาจมีสิทธิ์ได้ผลิตขายจริงในฐานะเวอร์ชันสูงสุดของตระกูล Pulsar รูปลักษณ์ภายนอก
โดดเด่นด้วยสีตัวถัง สีเทา Satin ตัดกับการตกแต่ง ลิ้นกันชนหน้า-หลัง ในโทนสีแดง

ตัวกันชนหน้าถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด เน้นความดุดันและช่องดักอากาศที่ใหญ่ขึ้น ในขณะที่ด้านท้ายออกแบบ
กันชนหลังให้มีครีบรีดอากาศ พร้อมติดตั้งท่อไอเสียคู่กลางชายล่างกันชน สวมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วลายใหม่
ติดตั้งสปอยเลอร์หลังแบบคาร์บอนไฟเบอร์ รวมถึงขยายซุ้มล้อเล็กน้อย

ส่วนภายในห้องโดยสาร เอากลิ่นอายของคอกพิทรถแข่งในสนามมาใช้ ด้วยการตกแต่งในโทนสีแดงเป็นหลัก
เปลี่ยนเบาะนั่งให้เป็นสไตล์รถแข่ง หุ้มด้วยหนังแท้อัลคันทารา เปลี่ยนมาใช้พวงมาลัยสปอร์ต 3 ก้าน วงเดียวกันกับ
Nissan 370Z/Juke และแป้นคันเร่ง-เบรก แบบอัลลอย ทรงสปอร์ต

nissan2

ดุกันทั้งภายนอกและภายในแบบนี้ แต่น่าแปลกใจที่ในเอกสารข่าวของ Nissan เอง กลับไม่มีการพูดถึงตัวเลขสมรรถนะ
ของเครื่องยนต์เลย! ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่ารถต้นแบบคันนี้อาจมีกำลังพุ่งสูงถึง 280 แรงม้า แต่เบื้องต้น นิสสันกลับกล่าว
เพียงว่า Pulsar Nismo Concept ถูกปรับปรุงช่วงล่างใหม่ให้เป็นแบบสปอร์ต ด้วยการใช้สปริงและโช้กอัพชุดใหม่
เพื่อให้อารมณ์การขับขี่ในแบบ ‘Nismo’ อย่างแท้จริง

มีความเป็นไปได้สูงมากว่ารถต้นแบบคันนี้ ถูกส่งมาพรีวิวกันก่อน และจะออกจำหน่ายในยุโรปช่วงปีหน้า งานนี้
Nissan เอาจริงแน่ ด้วยการเพิ่ม Pulsar รุ่น 190 แรงม้าไปประกบ Ford Focus ST/Volkswagen Golf GTi
และรุ่น Nismo นี้ ไว้ชนกับ Volkswagen Golf R/Ford Focus RS/RenaultSport Megane ฯลฯ อย่างแน่นอน

Peugeot

Peugeot Quartz Concept ถือเป็นรถต้นแบบวิสัยทัศน์ที่เป็นความพยายามมองทิศทางสไตล์รถครอสโอเวอร์ที่มีดีไซน์
น่าตื่นเต้นและพกพานวัตกรรมวัสดุและที่สำคัญยังพ่วงด้วยขุมพลัง Hybrid เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์การขับขี่
อย่างพรีเมี่ยมที่แท้จริง

peugeot1

Maxime Picat ซีอีโอประจำแบรนด์ Peugeot กล่าวว่า รถต้นแบบ Exalt และ Quatz คือการแสดงวิสัยทัศน์ของรถ
ระดับพรีเมี่ยม Peugeot มีความตั้งใจว่าจะสร้างรถยนต์สุดพิเศษไปสู่ถึงมือลูกค้าผ่านงานออกแบบที่โดดเด่น, มีนวัตกรรม
วัสดุและความรู้สึกที่เหนือชั้น

ความแข็งแกร่ง, พลังและสไตล์สปอร์ตคือคำนิยามดีไซน์ของ Peugeot Quartz Concept ที่รวมเอานิยามของรถแบบเอส
ยูวีเข้ากับภายในห้องโดยสารแบบซีดาน ตัวรถมีระยะโอเวอร์แฮงค์สั้น มีความยาวตัวถัง 4.5 เมตร กว้าง 2.06 เมตร ดูสง่า
งามด้วยฝากระโปรงหน้าที่ดูยาว จุดที่โดดเด่นมากที่สุดคือแนวหลังคาที่เชื่อมต่อไปยังสปอยเลอร์ท้ายคู่ที่มีไว้เพื่อให้ถูกต้อง
ตามหลักอากาศพลศาสตร์ สีตัวถังก็มีการพ่นสองเฉดสีได้แก่ สีเทาแร่ธาตุและสีแดงสด ลายล้ออัลลอยทำจากวัสดุผสมที่มี
ลายช่วยให้ลมระบายความร้อนเบรคได้ดี

รถต้นแบบคันนี้ถูกสร้างขึ้นบนชุดโครงสร้างพื้นตัวถัง EMP2 ที่ทำให้ยืดหยุ่นในการขยับเสา B ร่นถอยหลังเพื่อติดตั้งบาน
ประตูขากรรไกรได้ ภายในห้องโดยสารก็ใช้วัสดุหลายชนิด อาทิ เช่น แผงคอนโซลกลางก็ทำจากวัสดุน้ำหนักเบาเหมือน
แม็กม่าที่เย็นตัวอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นครั้งแรกที่มีพื้นผิวรถถักทอดิจิตอล เป็นนวัตกรรมที่สามารถสร้างชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนได้ ใช้วัสดุได้คุ้มค่า
โดยไม่มีของเหลือทิ้ง วัสดุที่นำมาทอทำจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ที่ได้จากกระบวนการีไซเคิลขวดน้ำ

peugeot2

เพิ่มประสบการณ์ขับขี่ด้วย i-Cockpit รวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ภายใต้เพียงปลายนิ้วสัมผัส สามารถแสดงผลต่าง ๆ, เปลี่ยน
โหมดการขับและเปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องสละมือจากพวงมาลัย และยังมีหน้าจอ Head Up Display ขนาดใหญ่
แสดงผลผ่านวัสดุโพลีคาร์บอเนต

ขุมพลังก็ไหว้วานเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร ให้กำลัง 270 แรงม้า (รวมกำลังทั้งหมดกว่า 500 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 330
นิวตันเมตรที่พัฒนาโดย Peugeot Sport จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ล้อคู่หน้าส่งกำลัง
ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 85 กิโลวัตต์ ส่วนล้อคู่หลังก็ได้รับกำลังมาจากมอเตอร์ไฟฟ้า 85 กิโลวัตต์อีกตัวหนึ่ง

มีโหมดการขับเคลื่อน 3 แบบ ได้แก่ โหมด ZEV หรือโหมดด้วยพลังงานไฟฟ้าที่มีระยะทางวิ่งสูงสุด 50 กิโลเมตร, โหมด
Road ใช้กำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าอย่างเต็มที่และโหมด Race จะใช้กำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์
ไฟฟ้าสองตัวพร้อมกัน

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแมคเฟอสันสตรัท ด้านหลังแบบมัลติอาร์มพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าแบบออนบอร์ด แถมยังมี
ระบบปรับช่วงล่างให้ยกตัวขึ้นจากความสูงพื้นถนนระหว่าง 300-350 มิลลิเมตร

รถต้นแบบคันนี้ไม่ได้กำหนดว่าจะนำไปสร้างเป็นคันจริงเมื่อไร แต่คาดว่าน่าจะเป็นแนวคิดใหม่ในการประยุกต์งาน
ออกแบบและเทคโนโลยีมาใช้กับรถคันจริงมากขึ้น

Renault

เห็นดูเงียบ ๆ แบบนี้กลับกลายเป็นว่าบูธ Renault ก็แอบซ่อนของดีที่มาเรียกกระแสความสนใจได้อย่างเริ่มจาก All New
Renault Espace ที่มีดีไซน์ไม่แตกต่างจากรถต้นแบบ Renault Initiale Paris concept มากนัก ก็เรียกว่าคันจริงมัน
แทบจะโขกจากต้นแบบเป็นคันเดียวกันเลย

renault1

สัดส่วนตัวถังจะดูแปลกตากว่ามินิแวนทั่ว ๆ ไปรวมไปถึงแปลกตากว่ารถแนวครอสโอเวอร์ทั่วไป เพราะ Renault พยายาม
ผสมผสานแนวคิดระหว่างรถมินิแวนกับเอสยูวีให้รวมเป็นเนื้อเดียวกันอย่างลงตัว

renault2 renault3

Renault Espace โฉมใหม่ยังคงจุดเด่นที่ Espace เคยมีมาตลอด 30 ปี นั่นก็คือมีเนื้อที่ห้องโดยสารโปร่งตา,
สะดวกสบาย, อุปกรณ์ภายในห้องโดยสารจัดเป็นชุดสัดส่วน พร้อมกับออกแบบภายในห้องโดยสารที่เป็นมิตรและคอนโซล
กลางแบบลอยได้

renault4

Renault Eolab Concept สุดยอดแห่งรถประหยัดน้ำมัน อันเป็นผลจากการทุ่มแรงพัฒนาไปที่ 3 จุดใหญ่ของตัวรถ ได้แก่
การพยายามหั่นน้ำหนักตัวรถลงให้ได้มากที่สุดออกแบบตัวรถให้ลู่ลมมากที่สุด และใช้ขุมพลังที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุด

ด้านรูปลักษณ์ของตัวรถ ทีมออกแบบของ Renault ได้ใช้รูปทรงแฮตช์แบกในการพัฒนา แต่ออกแบบรายละเอียด
ในหลายๆจุดเน้นให้รีดกระแสลมได้ดีเป็นพิเศษ เช่น เสา A-Pillar แบบโปร่ง ติดตั้งลิ้นสปอยเลอร์หน้าแบบกางออก
อัตโนมัติ ติดแต่งครีบรีดอากาศหลังซุ้มล้อหลังที่กางออกมาโดยอัตโนมัติเช่นกัน ติดตั้งล้ออัลลอยเปิด-ปิดช่องอากาศ
อัตโนมัติ ระบบช่วงล่างปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ รวมถึงช่องเดินอากาศบริเวณซุ้มล้อหน้า และบริเวณเสา
C-Pillar ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำมากเพียง 0.235 เท่านั้น

renault5

ส่วนงานวิศวกรรมตัวถัง Renault ได้คิดค้นการใช้วัสดุที่แตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป และผสมผสานวัสดุหลากหลาย
รูปแบบ เพื่อช่วยลดน้ำหนักมากที่สุด เช่น การใช้วัสดุคอมโพสิท เหล็กกล้า และอะลุมิเนียมสำหรับตัวถัง ใช้วัสดุ
แมกนีเซียมสำหรับแผ่นหลังคา กระจกบังลมหน้าบางพิเศษ และเปลี่ยนวัสดุภายในห้องโดยสารให้เบาพิเศษ
จนทำให้ภาพรวมของ Renault Eolab Concept มีน้ำหนักเบากว่า Renault Clio รุ่นปัจจุบัน ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน
ถึง 400 กิโลกรัมเลยทีเดียว

ขุมพลังที่เลือกใช้ เป็นขุมพลังลูกผสม Z.E. Hybrid (Zero Emission Hybrid) ผสานเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบเรียง
ขนาด 1 ลิตร เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ขนาดกำลัง 6.7 kWh และระบบเกียร์ไร้คลัทช์เพื่อลดแรงเสียดทาน

ตัวเครื่องยนต์นั้น สามารถสร้างกำลังได้ 75 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 95 นิวตัน-เมตร ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้า ดูจะเป็น
แม่งานหลักในการขับเคลื่อนมากกว่า ด้วยกำลัง 68 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร ผนวกกำลังกัน
จนสามารถสร้างความประหยัดได้ถึง 100 กม./ลิตร (ครับ อ่านไม่ผิด) สามารถแล่นด้วยพลังไฟฟ้าอย่างเดียวได้
ไกล 60 กิโลเมตร

Toyota

toyota1 toyota2

ความพยายามของ Toyota ยุคนี้คือการพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงงานออกแบบเพื่อสลัดภาพอันน่าเบื่อทิ้งไปให้ได้ และ
หนึ่งในนั้นก็คือการเผยโฉมรถต้นแบบ Toyota C-HR Concept ที่มาในรูปลักษณ์ครอสโอเวอร์สไตล์คูเป้เพรียวสปอร์ต 3
ประตู ที่มีบุคลิกแบบรถลุยไปในตัว มันมาพร้อมกับ New Design Language ที่ดูกล้าหาญชาญชัย มีความคล่องตัวที่
ผสมผสานกับความสนุกในการขับขี่จากขุมพลัง Hybrid

toyota3

Toyota เผยแค่ว่า C-HR Concept ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังใหม่, เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด มีความยาว 4,350 มิลลิเมตร,
กว้าง 1,850 มิลลิเมตร สูง 1,500 มิลลิเมตร ที่สำคัญมันมาพร้อมกับขุมพลัง Hybrid ที่ให้ความประหยัด

Toyota ยังเผยอีกว่ารถต้นแบบคันนี้จะเป็นหนึ่งในครอสโอเวอร์รูปแบบหนึ่งที่ Toyota เตรียมนำเข้าสู่ตลาด

Volkswagen

และแล้วก็เป็นไปตามข่าวลือจริงๆ กับการพัฒนาเวอร์ชันสมรรถนะสูงของ Volkswagen XL1 รถรักษ์โลก
จากค่ายรถเพื่อประชาชน โดยถูกเปิดตัวออกมาแล้วในนาม Volkswagen XL Sport ณ งานแสดงรถยนต์
Paris Motor Show 2014 ที่เพิ่งเปิดรอบสื่อมวลชนไปหมาดๆ ชูความโดดเด่นด้วยขุมพลังจาก Ducati
แบรนด์มอเตอร์ไซค์ชื่อดังในเครือ Volkswagen Group

vw1

การเปิดตัวครั้งนี้ ส่งให้ Volkswagen XL Sport กลายเป็นรถยนต์พลัง 2 สูบที่แรงที่สุดในโลกไปในทันที
เพราะตัวงานวิศวกรรมของ Volkswagen XL1 ที่ใช้เป็นพื้นฐานในการพัฒนา ไม่เอื้อต่อการติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่
ทำให้สร้างความท้าทายแก่ Volkswagen ในการทำให้ XL1 มีสมรรถนะที่สูงกว่าเดิม และการเลือกขุมพลังรอบจัด
จาก Ducati เป็นทางออกที่ลงตัวและแปลกใหม่มากที่สุด

ขุมพลังดังกล่าว เป็นเครื่องยนต์ 2 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร ที่ถูกพัฒนาให้มีกำลังสูงถึง 197 แรงม้า พร้อมรอบสูงสุด
จัดถึง 11,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่แบบ 7 จังหวะ สร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้
ภายในระยะเวลา 5.7 วินาที

vw2 vw3

ส่วนหนึ่งที่ทำให้รถยนต์กำลังเกือบ 200 แรงม้า ทำตัวเลขได้เร็วขนาดนี้ เป็นเพราะการออกแบบของตัวรถที่
มีความลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำเพียง 0.258 และมีน้ำหนักเบาเพียง 890 กิโลกรัมเท่านั้น
จากการออกแบบเน้นความลู่ลมเป็นพิเศษ และการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง ที่ให้ความแกร่งแต่น้ำหนักเบา
ไม่ว่าจะเป็น ไทเทเนี่ยมในชิ้นส่วนช่วงล่าง แม็กนีเซียมอัลลอยในหลายๆจุด รวมไปถึงคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับ
โครงสร้างตัวถัง

รูปลักษณ์ภายนอกดุดันขึ้นจากการออกแบบชุดแอโรพาร์ทใหม่รอบคัน เสริมด้วยสีน้ำเงินเฉดพิเศษ ใกล้เคียงกับ
ตระกูล R ของ Volkswagen และเปลี่ยนล้อเป็นแบบแม็กนีเซียมอัลลอย ขนาด 18 นิ้ว

vw4

เรายังไม่ทันหายตื่นเต้นและฮือฮากับ All New Volkswagen Passat ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่เท่าไร ล่าสุด Volkswagen
ก็เล่นจัดเต็มกันอีกแล้วด้วยการเผยโฉม Volkswagen Passat GTE เวอร์ชัน Plug-in Hybrid ที่
Volkswagen ได้พยายามทดลองทำในสิ่งใหม่ ๆ มาก่อนแล้วใน XL1 และ Golf GTE จนน่าจะทำให้ Passat GTE
กลายเป็นรถที่โดดเด่นในชั่วพริบตาแน่นอน

Volkswagen Passat GTE มีจุดแตกต่างจาก All New Passat รุ่นล่าสุดตรงที่การเพิ่มแถบสีฟ้าเรืองแสงบริเวณกระจัง
หน้า, มีการปรับปรุงรายละเอียดช่องดักลมซ้าย-ขวาด้านหน้าให้เป็นรูป C-Shape และล้ออัลลอยใหญ่ขึ้น ส่วนภายในห้อง
โดยสารก็เพิ่มไฟตกแต่งบรรยากาศ, ดีไซน์หัวเกียร์ใหม่และบุวัสดุหนังบริเวณด้านล่างของพวงมาลัย

ขุมพลังของ Volkswagen Passat GTE จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร TSI 156 แรงม้า (HP) ที่เชื่อมต่อกับ
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 115 แรงม้า (HP) แรงบิด 400 นิวตันเมตร จนให้กำลังรวม 218 แรงม้า (HP) ส่งกำลังผ่านเกียร์
อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ

vw5

พวกเรายังไม่ทันหายตื่นเต้นและฮือฮากับ All New Volkswagen Passat ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่เท่าไร วันนี้ Volkswagen
ก็เล่นจัดเต็มกันอีกแล้วด้วยการเผยโฉมและเผยสเปคของ Volkswagen Passat GTE เวอร์ชัน Plug-in Hybrid ที่
Volkswagen ได้พยายามทดลองทำในสิ่งใหม่ ๆ มาก่อนแล้วใน XL1 และ Golf GTE จนน่าจะทำให้ Passat GTE
กลายเป็นรถที่โดดเด่นในชั่วพริบตาแน่นอน

Volkswagen Passat GTE มีจุดแตกต่างจาก All New Passat รุ่นล่าสุดตรงที่การเพิ่มแถบสีฟ้าเรืองแสงบริเวณกระจัง
หน้า, มีการปรับปรุงรายละเอียดช่องดักลมซ้าย-ขวาด้านหน้าให้เป็นรูป C-Shape และล้ออัลลอยใหญ่ขึ้น ส่วนภายในห้อง
โดยสารก็เพิ่มไฟตกแต่งบรรยากาศ, ดีไซน์หัวเกียร์ใหม่และบุวัสดุหนังบริเวณด้านล่างของพวงมาลัย

ขุมพลังของ Volkswagen Passat GTE จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร TSI 156 แรงม้า (HP) ที่เชื่อมต่อกับ
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 115 แรงม้า (HP) แรงบิด 400 นิวตันเมตร จนให้กำลังรวม 218 แรงม้า (HP) ส่งกำลังผ่านเกียร์
อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ

vw6

Volkswagen Golf Alltrack จะเป็นรถอเนกประสงค์ที่ออกมาอุดช่องว่างตลาดระหว่าง Golf Estate และ Tiguan หรือ
สำหรับผู้ที่รักความอเนกประสงค์แต่ไม่ต้องการรถที่ยกสูงมากและมีราคาที่คุ้มค่า ส่วนความแตกต่างที่เห็นได้ชัดก็คือ
Volkswagen Golf Alltrack จะยกความสูงตัวถังอีก 20 มิลลิเมตร นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนกันชนและติดสเกิร์ตกัน
กระแทกรอบคัน ยังไม่พอยังสวมล้อขนาดใหญ่และติดตั้งแร๊คหลังคาเอาใจผู้ที่ชื่นชอบการเดินทาง

Volkswagen Golf Alltrack จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 4 บล็อก ทุกเครื่องจะติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4Motion ที่มา
พร้อมกับ Differential Lock ไฟฟ้าด้านหน้า เริ่มจากเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร TSI 177 แรงม้า (BHP) ทำอัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.8 วินาที

————————————