ครับ งานนี้ Toyota เอา โฬม มาล่อจริงๆ โฬมที่ว่า ก็คือ พระเอกจากค่ายวิก 3 ที่ชื่อ โฬม นั่นเอง
คราวนี้ มารับบท เป็น พรีเซ็นเตอร์ ให้กับ Toyota Corolla ALTIS รุ่นปรับโฉม Minorchange
ที่เพิ่งเปิดตัวกันไปสดๆร้อนๆ เมื่อวานนี้ (5 สิงหาคม 2010) ณ โรงแรม พลาซา แอทธินี ถนนวิทยุ

คุณผู้อ่านคงจะคุ้นหูคุ้นตากับชื่อ Toyota Corolla มาตั้งแต่เด็กกันแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังใหม่ต่อเรื่องรถยนต์
คงต้องเล่าสู่กันฟังเอาไว้เป็นพื้นฐานก่อนว่า Toyota Corolla นั้น ออกสู่ตลาดครั้งแรก ทั้งในญี่ปุ่น และไทย
เมื่อปี 1966 (รุ่น KE10) จากนั้น รุ่นที่ 2 ก็ตามเข้ามาในปี 1970 (รุ่น KE20 KE25) 2 รุ่นแรก เป็นรถนำเข้าจาก
ญี่ปุ่น พอมาเป็นรุ่นที่ 3 รหัสรุ่น KE30 KE35 Toyota ก็เห็นแนวโน้มแล้วละว่าจะขายดี เลยสั่งขึ้นสายการผลิต
ที่โรงงาน Toyota สำโรง ในปี 1974

Corolla ถือเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญที่สุดอีกรุ่นหนึ่งของ Toyota ทั่วโลก รวมทั้งเมืองไทย เพราะเป็นรถยนต์
ยอดนิยม ตัวทำเงิน ซึ่งขายดีที่สุด ตลอดระยะเวลา 44 ปี ในตลาด Toyota มียอดขายสะสม Corolla ใน
เมืองไทย มากถึง 520,000 คัน และมียอดขายสะสมทั่วโลกมากถึง 36 ล้านคัน!!!! กลายเป็นหนึ่งใน
รถยนต์ขายดีที่สุดของโลกตลอดกาล เป็นรองก็แค่ Ford Model-T และ Volkswagen Beetle เท่านั้น!

รุ่นปัจจุบัน ของ Corolla เป็นรุ่นที่ 10 เปิดตัวในเมืองไทยครั้งแรก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2008
แม้จะมียอดขายอยู่ในเกณฑ์ดี และเป็หนึ่งในผู้นำตลาด แต่ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า Honda Civic
รุ่น FD ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2005 ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะการออกแบบที่ล้ำสมัย
โดนใจผู้บริโภคอย่างมาก และทำเอา Toyota ญี่ปุ่นเอง ก็ถึงขั้นต้องปรับงานออกแบบของ Corolla
ที่ยังไม่เสร็จกันใหม่เลยทีเดียว

หลังเปิดตัวออกขาย ทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด คือ ยอดขายภาพรวม แม้ว่าจะยังเป็นอันดับหนึ่งในตลาด
กลุ่ม C-Segment (Compact Car 1,600 – 2,000 ซีซี) ก็ตาม แต่ถ้าหักยอดขาย Corolla LIMO อันเป็นรถรุ่น
หั่นออพชัน เพื่อเน้นทำตลาดในกลุ่ม ผู้ประกอบการ Taxi ยอดขายจะเท่าๆกัน หรือน้อยกว่า Honda Civic
อยู่ดี มิใยที่ Toyota พยายามกระตุ้นตลาด ด้วยรุ่น เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เพิ่มรุ่น
ติดตั้งก๊าซธรรมชาติ CNG แต่ยอดขาย ก็ยังทำได้ดีขึ้นแค่ส่วนหนึ่ง นั่นจึงทำให้ Toyota ร้อนรนทนไม่ไหว
อีกต่อไปแล้ว ถึงได้ต้องหาทางปรับโฉม Minorchange กัน “อย่างมโหฬาร” กว่า Corolla Minorchange
แทบทุกรุ่นที่ผ่านๆมา

จุดขายสำคัญของ Corolla ALTIS Minorchange ในครั้งนี้ หลักๆแล้วมีอยู่ด้วยกัน 5 ประการ เริ่มจาก
การปรับรูปโฉมด้านหน้ารถ ซึ่งโดนลูกค้าตำหนิ ถึงความไม่สวย ของรุ่นก่อน คราวนี้ กระจังหน้า
และเปลือกกันชนหน้า ถูกออกแบบให้แตกต่างกัน 3 ลักษณะ

หากเป็นรุ่น 1.6 ลิตร ทั้ง รุ่น J และ LIMO CNG จะเป็นกระจังหน้า แบบ 2 แถบนอน ออกแบบให้ดูคล้ายกับ
กระจังหน้าของ Toyota Camry รุ่นปัจจุบัน ถ้าเป็นรุ่น 1.6 E ขึ้นไป รวมทั้งรุ่น 1.8 ลิตร จะคาดแถมโครเมียม
เพิ่มเข้ามาให้ ทั้ง 2 แถว และถ้าเป็นรุ่น 2.0 ลิตร กระจังหน้าจะเปลี่ยนเป็น ลายตาข่าย พร้อมแถบคาดกลางสีดำ
ดูสปอร์ตเข้มจ้น ยิ่งขึ้น ชุดไฟหน้า ถูกปรับปรุงใหม่ ให้มีแนวขอบด้านล่าง สอดรับ และแอบมีมุมย้อยเล็กๆ
ทุกรุ่นเป็นแบบ ฮาโลเจนธรรมดา ยกเว้นรุ่น 2.0 V และ V Navi ที่จะใช้ไฟหน้าแบบ HID พร้อม โครมรมดำ
แบบ Smoked Chrome (ปรับระดับโดยอัตโนมัติ) พร้อมระบบเปิด-ปิด ไฟหน้า อัตโนมัติ ไฟตัดหมอกหน้า
มีให้เฉพาะรุ่น 2.0 ลิตรเท่านั้น ติดตั้งฝังในเบ้ายึดไฟตัดหมอก ที่ออกแบบมาให้ดูคล้ายกับ ใน Toyota Prius
เจเนอเรชัน 3 ที่ใกล้จะเปิดตัวในไทยเข้ามาทุกทีแล้ว

มือจับประตูด้านข้างสีเดียวกับตัวรถทุกรุ่น ส่วนคิ้วกันกระแทกก็เป็นสีเดียวกับตัวรถเช่นกัน กระนั้น ตั้งแต่
รุ่น 1.6 E ขึ้นไป จะมีแถบโครเมียม ฝังในคิ้วมาให้ด้วย พร้อมับจะมีสเกิร์ต ด้านข้าง เสริมมาให้ครบถ้วน
เสร็จสรรพ ล้ออัลลอย ในรุ่น 1.6 ลิตรทุกรุ่น จนถึง 1.8 E จะเปนล้ออัลลอย 15 นิ้ว ลาย 7 ก้าน พร้อมยาง
ขนาด 195/65 R15 ส่วนในรุ่น 1.8 G และ 2.0 ลิตรทุกรุ่น จะใช้ล้ออัลลอยลายใหม่ 5 ก้าน สปอร์ต ขนาด
16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 205/55 R16

กระจกมองข้างของทุกรุ่น Toyota ใจป้ำ ให้มาเป็นสีเดียวกับตัวรถ แถมยังมีไฟเลี้ยวในตัวทุกคัน และ
ปรับตำแหน่งด้วยสวิชต์ไฟฟ้าทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น LIMO อย่างไรก็ตาม รุ่น 1.6 J และ LIMO ยังต้องใช้วิธี
พับเก็บด้วยมือ ขณะที่รุ่นอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ เป็นแบบ พับด้วยสวิชต์ไฟฟ้ากันหมดแล้ว

 

ส่วนภายในห้องโดยสาร มีการปรับปรุง เช่นเดียวกัน ทั้งแผงคอนโซลลายใหม่ ชุดเครื่องเสียง เพิ่ม
ช่องเสียบ AUX มาให้ เฉพาะรุ่น 1.6 E ขึ้นไปทุกรุ่น พวงมาลัยใหม่ แบบ 3 ก้าน สไตล์ สปอร์ต
เฉือนด้านล่างออกไป เหมือนพบได้ในพวงมาลัยของ Volkswagen Golf GTi ,กับ Scirocco ไปจนถึง
Audi RS4 และ Lamboghini Gallardo มีสวิชต์ Multi Function ควบคุมชุดเครื่องเสียง และจอแสดงข้อมูล
การขับขี่ (เฉพาะรุ่น 2.0 ลิตร ทุกรุ่น) บนชุดมาตรวัด เรืองแสง Optitron (เฉพาะ รุ่น 1.8 G และ 2.0 ลิตร ทุกรุ่น)

เบาะหนังชิ้นกลาง เจาะรูแบบ สปอร์ต เฉพาะรุ่น 1.6 G ขึ้นไป 1.8 และ 2.0 ลิตรทุกรุ่น) ส่วนรุ่นล่าง เปลี่ยน
ลายผ้าเบาะใหม่ ให้ดูดีขึ้น รุ่น 1.8 G ขึ้นไป จะมี ที่วางแขนเบาะหลังพับเก็บได้มาให้ ส่วนการตกแต่ง
ภายใน 1.6 J และ LIMO เป็นสีเทา รุ่น 1.6 E และ E CNG เป็นสีเบจ เบาะผ้า ตั้งแต่รุ่น 1.6 G ขึ้นมา
จะเป็นเบาะหนัง ตกแต่งแผงประตู ด้วยสีเงิน รุ่น 2.0 ลิตร ตกแต่งภายในด้วยสีดำ ใช้ลายไม้พลาสติกแบบด้าน
ที่ดูดี มีสไตล์ขึ้นมาก อย่างน่าชื่นชม

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็ยังคงมีให้เหมือนเดิมทุกประการ ทั้งพวงมาลัยปรับระดับ สูง -ต่ำ และ
ระยะใกล้ – ห่างจากผู้ขับขี่ คราวนี้มีมาให้ครบทุกรุ่น มีระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control เฉพาะ
รุ่น 2.0 V และ V Navi มีระบบนำทาง Navigation System พร้อมระบบต่อเชื่อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ แบบ
Bluetooth และกล้องมองหลัง ช่วยกะระยะขณะถอยหลังเข้าจอด ให้ เฉพาะรุ่น 2.0 V Navi ตัวท็อป เท่านั้น
แถมในรุ่น 2.0 V และ V Navi ยังมีม่านบังแดดหลังมาให้อีกต่างหาก

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ของ Altis ใหม่ อยู่ที่ เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังที่เปลี่ยนมาใช้ของใหม่ เกือบทั้งหมด
โดยในรุ่น 2.0 ลิตร เป็นเครื่องยนต์ จากรุ่นเดิม รหัส 3ZR-FE บล็อก 4 สูบ เรียง DOHC 16 วาล์ว 1,987 ซีซี
พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-I และระบบ ACIS (Acoustic Control Induction System) ซึ่งปรับเปลี่ยน
ความยาวท่อไอดีให้เหมาะสมกับการทำงานของเครื่องยนต์ เพื่อสร้างกำลัง และแรงบิด อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในทุกรอบความเร็วตั้งแต่รอบความเร็วต่ำจนถึงรอบความเร็วสูง กำลังสูงสุด 145 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 187 นิวตัน-เมตร (19.05 กก.-ม.) ที่ 3,600 รอบต่อนาที

แต่ ในรุ่น 1.8 ลิตร กับ 1.6 ลิตร เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ ตระกูล ZR ที่มาพร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-i
ซึ่งเป็นระบบแปรผันวาล์ว ที่หัวแคมชาฟต์ ทั้งฝั่งไอดี และไอเสีย กันแล้วเสียที ทั้งรหัส 2ZR-FE บล็อก 4 สูบเรียง
DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี Dual VVT-I พร้อมระบบ ACIS แรงขึ้นเป็น 140 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร (17.62 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที

และ เครื่องยนต์ใหม่ รหัส 1ZR-FE บล็อก 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,598 ซีซี  Dual VVT-i แรงสะใจขึ้นเป็น
122 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 154 นิวตัน-เมตร (15.69 กก.-ม.) ที่ 5,200 รอบ/นาที

อย่างไรก็ตาม ในรุ่น 1.6 ลิตร CNG และ LIMO จะยังคงใช้เครื่องยนต์ตัวเดิม รหัส 3ZZ-FE บล็อก 4 สูบเรียง
DOHC 16 วาล์ว VVT-i  1,598 ซีซี กำลังสูงสุด 109 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตัน-เมตร
(14.7 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที ซึ่งถูกดัดแปลงให้เตือมน้ำมันเบนซินก็ได้ หรือจะเติมก๊าซ CNG ก็ได้ ใช้ระบบ
หัวฉีด อีเล็กโทรนิกส์ ควบคุมด้วยกล่องสมองกล มีลิ้นกันกลับ หรือ Check Valve 2 จุด พร้อมสวิชต์ เลือกสถาน
การขับขี่ ว่าจะใช้น้ำมัน หรือก๊าซ ติดตั้งเสร็จสรรพจากโรงงาน Toyota โดยตรง

และอีกเทคโนโลยีล่าสุด ที่ชาวบ้านเขาใช้กันมานานแล้ว แต่ Toyota เพิ่งจะนำมาใช้กับ Corolla ALTIS เป็นคันแรก
ในประวัติศาสตร์ของ Toyota เมืองไทย ก็คือ เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i “ล็อกอัตราทด ตามตำแหน่งพูเลย์ได้ 7 จังหวะ”
(ไม่ใช่ และไม่ควรเรียกว่า 7 Speed)  ซึ่งแน่นอนว่า เน้นการเปลี่ยนเกียร์ ที่นุ่มนวล และ รักษารอบเครื่องยนต์
ให้อยู่ในรอบต่ำเอาไว้ได้ แม้ในการขับขี่ความเร็วเดินทาง ถ้าขับประหยัดๆ หน่อย ไฟ ECO ก็จะสว่างขึ้นบนชุดมาตรวัด
และช่วงที่ประหยัดสุด เท่าที่ Toyota พยายามสื่อสาร ในภาพยนตร์โฆษณา คือ ระดับ ไม่เกิน 2,000 รอบ/นาที

Toyota เองบอกว่า เทคโนโลยี เกียร์ CVT อันที่จริง เป็นของบริษัท บอร์ดอน ในเนเธอร์แลนด์ แต่ในปัจจุบันนี้
สิทธิบัตร ที่พวกเขาจด ไม่ครอบคลุม ในเวลาปัจจุบันแล้ว Toyota นำเทคโนโลยีนี้มาพัฒนาต่อ และทดสอบ
ความทดทาน จนมั่นใจแล้วว่า ควรจะนำออกสู่ตลาดเมืองไทย อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไมได้ว่า การที่คู่แข่ง
เลือกใช้เกียร์ CVT เป็นผลทำให้ Toyota ต้องนำเกียร์ระบบนี้ เข้ามาใช้ในบ้านเราด้วย แต่อย่างไรก็ตาม
Toyota เอง ก็มี Toyota Motor Hokkaido เป็นโรงงานผลิตเกียร์ อยู่แล้ว ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีเกียร์
CVT ให้ทนทาน จึงเป็นสิ่งที่ ทีมวิศวกร ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เกียร์ลูกนี้ มีความพยายามลดการ
สูญเสียกำลังในระบบขับเคลื่อน และลดแรงเสียดทานในระบบลง 5 – 10 % ซึ่งทำให้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
จากการทดสอบของ Toyota เองนั้น ในรุ่น 1.6 ลิตร ทำได้ 14 กิโลเมตร/ลิตร รุ่น 1.8 ลิตร ทำได้ 15 กิโลเมตร/ลิตร
และรุ่น 2.0 ลิตร ทำได้ 14 กิโลเมตร/ลิตร และแน่นอน ชัดเจนจากในรูปว่า มี Torque Converter ในระบบด้วย

เกียร์ลูกใหม่นี้ จะถูกติดตั้งใน รุ่นกียร์อัตโนมัติ ทุกรุ่น ยกเว้น 1.6 E และ E CNG ที่ยังใช้เครื่องยนต์เดิม
ซึ่งยังต้องใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ลูกเดิมต่อไปด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ที่สร้างเซอร์ไพรส์ ไม่แพ้กัน คือ มีการนำเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ มาติดตั้งในรถรุ่น 1.6 J อีกด้วย นับเป็น
รถยนต์ระดับ Compact C-Segment รุ่นแรกในไทย ที่มีเกยร์ธรรมดา 6 จังหวะ ให้ลูกค้าเลือกใช้ แม้ว่าจะเป็น
เกียร์่ที่มีลักษณะการเข้าเกียร์ เหมือนรถยุโรป คือต้องยกวงแหวนที่คันเกียร์ขึ้น เพื่อเข้าเกียร์ R ผลักไปทางซ้าย
แล้วดันขึ้นบน ในตำแหน่งใกล้กับเกียร์ 1

ระบบกันสะเทือนของทุกรุ่น ด้านหน้า ยังคงเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัต ด้านหลัง เป็นแบบทอร์ชัน บีม
มีเหล็กกันโคลงมาให้ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ในรุ่น CNG มีการปรับปรุง ค่าความแข็งของสปริงกันใหม่
เพื่อรองรับการติดตั้ง ถังก๊าซ ขนาด 75 กิโลกรัม ไว้ด้านหลังรถ ไม่ให้บั้นท้าย ยุบตัว จนหน้ารถเชิดหราขึ้นมา
ระบบห้ามล้อ เป็นแบบดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ คู่หน้า มีรูระบายความร้อน และเพิ่มระบบป้องกันล้อล็อก ABS
กับระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกในภาวะฉุกเฉิน Brake Assist มาให้
ตั้งแต่รุ่น 1.6 E ขึ้นไป และคราวนี้ ใครซื้อรุ่น 1.8 ตัวท็อป ไปก่อนหน้านี้ ควรจะดีใจได้ เพราะ รุ่น 1.8 ลิตร
Minorchange ตัดระบบ ควบคุมเสถียรภาพ VSC และระบบ Traction Control ออกไป เหลือไว้ให้มีแค่
เฉพาะรุ่น 2.0 V และ V Navi เท่านั้น!

ด้านความปลอดภัย มากันเกือบครบ ทั้ง โครงงสร้างตัวถัง GOA ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เบาะหนัง มีพนักศีรษะ
แบบ WIL (Whiplash Injury Lessening) มีสัญญาณเตือน Back Sonar เฉพาะรุ่น 2.0 G และ 2.0 V
(แต่แปลกที่ตัวท็อป V Navi กลับไม่มี เฮ้อออ!) มีเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด ครบทั้ง 5 ตำแหน่งเบาะนั่ง
ตั้งแต่รุ่น 1.6 G ขึ้นไป เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าจะเป็นแบบ ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ Pre-tensioner
& Load Limiter มีสัญญาณกันขโมย TDS และระบบกุญแจ Immobilizer มาให้ ครบทุกรุ่น ยกเว้น 1.6 J
เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ

 

 

Toyota สั่งอัด Corolla ALTIS ใหม่ ให้มีทางเลือกมากถึง 12 รุ่นย่อน เลือกกันจนตาแฉะ ทั้งคนซื้อและคนขาย
กันไปข้างนึงเลยทีเดียว เรามาดู รายละเอียด การตกแต่ง และราคา ของแต่ละรุ่นย่อย กันดีกว่า

– Toyota Corolla Altis CNG 5MT• 744,000 บาท
– Toyota Corolla Altis CNG 5MT Color Key • 756,000 บาท
– Toyota Corolla Altis 1.6 J 6MT • 751,000 บาท
– Toyota Corolla Altis 1.6 J CVT • 779,000 บาท
– Toyota Corolla Altis 1.6 E CVT • 799,000 บาท
– Toyota Corolla Altis 1.6 G CVT • 834,000 บาท
– Toyota Corolla Altis 1.6 E CNG 4AT• 854,000 บาท
– Toyota Corolla Altis 1.8 E CVT • 864,000 บาท
– Toyota Corolla Altis 1.8 G A/T • 919,000 บาท
– Toyota Corolla Altis 2.0 G A/T • 969,000 บาท
– Toyota Corolla Altis 2.0 V A/T • 1,054,000 บาท
– Toyota Corolla Altis 2.0 V Navi • 1,194,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีการเลือกใช้บริการ คุณโฬม พระเอกละครช่อง 3 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในภาพยนตร์โฆษณาอีกด้วย

หลังจากนี้ การเปิดตัวรอบประชาชนทั่วไป อย่างเป็นทางการ จะมีขึ้น ในงาน Life Beyond Definition ณ บริเวณ Sky Hall
ศูนย์การค้า Central ลาดพร้าว วันที่ 14-15 สิงหาคม 2553 และที่โชว์รูม Toyota 311 แห่งทั่วประเทศ

——————————///———————————