หลายๆคนคงรอดูภาพบรรยากาศงานเปิดตัว  รถยนต์ Hybrid ประกอบในประเทศไทย
รุ่นที่ 2 อย่าง Toyota Prius ใจจดจ่อ ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ จนถึงกลางดึกคืนวันที่ 17 นี้

การรอคอย สิ้นสุดลงแล้ว…รูปข้างล่างนี่ละครับ คือเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า
Prius เปิดตัวในไทยแล้ว อย่างเป็นทางการ…

เปล่านะ ผมไม่ได้หมายถึง เจ้าเปี๊ยกคันข้างบนนี้…
แต่ผมหมายถึง เจ้าคันใหญ่ สีขาวมุก บนเวที นั่นต่างหาก!…

เนี่ย อุตส่าห์ แอบซุกรถเล็ก Tomica คันนี้มาจากหัวเตียงที่บ้าน แอบตั้งใจเอาไว้ว่า
กะจะให้ Mr.Akihiko Otsuka , Chief Engineer โครงการพัฒนา Prius ผู้ซึ่งเราได้เจอกัน เมื่อ
3 สัปดาห์ ก่อน ในระหว่างการทดลองขับ Prius ในญี่ปุ่น ได้ช่วยโพสต์ ท่า ถ่ายรูป กับเจ้า
รถจิ๋วคันนี้นิดนึง…เอามาลงเว็บ Headlightmag.com ของเรา เป็น อีกอารมณ์หนึ่ง ที่แปลกตา

ปรากฎว่า จังหวะ ที่ไม่ยอมมาประเหมาะ ให้ผมสักเท่าใด ทำให้ Otsuka-san หายตัวไปอย่าง
รวดเร็ว หลังงานแถลงข่าว ผมก็เลยได้แต่..เอา เจ้า Prius Scale 1/64 มาถ่ายภาพคู่กับ รถคันจริง
อย่างที่เห็นอยู่เนี่ยแหละ แถมยังต้องรอจนกว่า ผู้คนจะเดินออกไปหมดเสียก่อนนะ ถึงจะได้ฤกษ์ถ่าย

มันแอบเป็น มุมมองประหลาดๆส่วนตัวเล็กน้อย ของผมเอง สำหรับนิสัย ชอบแอบทำเรื่องเล็กๆ
กุ๊กกิ๊กๆ ในงานระดับมหึมา ประมาณว่า เห็นงานใหญ่โต เป็นเรื่องเล็กๆ ไปเสียหมด นั่นเอง (อิอิ)

ขอเรียนให้ทราบกันตามตรงว่า ตั้งแต่ เห็น Toyota จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว รถยนต์ของตนมา
ตั้งแต่ปี 1999 งาน Prius นี้ ถือได้ว่า จัดได้ยิ่งใหญ่ และตื่นตาตื่นใจมากที่สุด เป็นครั้งที่ 2
รองจากการเปิดตัว Hilux VIGO เมื่อเดือนสิงหาคม 2004

แม้ว่าสถานที่ ในคราวนี้ จะยังคงเป็น ห้อง Plenary Hall ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อันเป็น
สถานที่ ที่ Toyota เคยใช้บริการมาตั้งแต่สมัยเปิดตัว Corolla AE-101 เมื่อ เดือนมีนาคม 1992
หรือจะเป็น Toyota Corona ST-191 ในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน (ครั้งนั้นมีถ่ายทอดสดทาง
ทีวีช่อง 3 ด้วยนี่นา) มาจนถึง Toyota Soluna ในวันที่ 31 มกราคม 1997 แต่ คราวนี้ Toyota ก็ยิ่ง
สร้างความตื่นตาตื่นใจในงานเปิดตัว Prius ได้อย่างที่คาดไม่ถึง

นอกเหนือจาก งานในช่วงหัวค่ำ 18.00 น. จะมีการแสดงคอนเสิร์ต จากศิลปินฝรั่งชื่อดัง อย่าง Lenka
ต่อเหน้าบรรดาแขกเหรื่อ และ Celebrities ทั้งหลาย กว่า 500 คนแล้ว การเปิดตัวในรอบสื่อมวลชน
ฃช่วงบ่าย ก็น่าตื่นตาตื่นใจ และคึกคักไม่แพ้กัน…

เพียงแต่ อย่าตกใจว่า ทำไมหน้างานเปิดตัว คนน้อยขนาดนี้ เพราะภาพนี้ ถ่ายตั้งแต่ 13.00 น.
ตอนที่ยังไม่มีใครมากันเท่าไหร่เลย (งานเริ่มลงทะเบียน 14.00 น.) หนะครับ

พอลงทะเบียน รับเอกสาร และ Catalogs เสร็จ ก็ต้องเดินเข้าประตูอุโมงสีฟ้า ซึ่งผนังด้านข้าง
ก็จะประดับไปด้วย ความเป็นมา แบบสั้นๆ ของ Prius แะความสำเร็จในตลาดโลก นับตั้งแต่
ปี 1997 เป็นต้นมา จนกระทั่ง มาถึงวันนี้ วันที่ Prius รุ่นใหม่ จะถูกนำมาขึ้นสายการผลิตในไทย
เป็นประเทศที่ 2 ของโลก หากนับเฉพาะ รถรุ่นล่าสุดนี้ (แต่ถือเป็นประเทศที่ 3 ในโลก ถ้านับรวม
Prius ทั้ง 3 รุ่น ที่ออกขายกันมา คือ ญี่ปุ่น จีน และไทย)

เดินผ่านประตูเข้ามา ก็จะพบกับ สารพัดจอ และลูกเล่น แสง สี เสียง ที่อลังการกว่าหลายๆครั้งที่ผ่านมา
รวมทั้ง การ Presentation ที่ชวนให้นึกถึง งานเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ๆ ของ Apple โดย มนุษย์อัจฉริยะ
จอมฉุนเฉียว ผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่มะเร็งตับ และความผิดพลาดเพียงนิดเดียวของลูกน้องตัวเอง
อย่าง Steve Job

Mr.Akihiko Otsuka , Chief Engineer โครงการพัฒนา Prius ที่บินมาร่วมงานเปิดตัวในเมืองไทย
ได้ในที่สุด กล่าวในระหว่างการนำเสนอ Presentation บนเวทีว่า “เราใช้เวลาในการพัฒนา Prius
รุ่นนี้ ยาวนานถึง 6 ปี และมันเป็น 6 ปีที่ เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่สุดท้าย วันนี้ ผมมีความ
ยินดีในการมาร่วมงานเปิดตัว Prius ในเมืองไทย”

มันเป็น 6 ปีที่แสนสาหัสสำหรับ Otsuka-san แน่ๆ ละ ก็ดูเป้าหมายในการพัฒนา Prius รุ่นนี้
จากบนจอ Presentation เอาแล้วกันนะครับ งานของเขา ไม่ใช่แค่การทำรถยนต์ Hybrid ที่ดีที่สุด
หากแต่ ยังถือเป็นการสร้างรถยนต์ Hybrid ที่ดีที่สุดในโลก ทั้งในด้านความประหยัดน้ำมัน และ
เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม โดยต้องมาพร้อมับความสนุกในการขับขี่อีกด้วยเนี่ยสิ…มันไม่ใช่
เรื่องง่ายๆ เลย

หลังผ่านพ้นช่วงเวลาที่ Otsuka-san บรรยายถึงจุดดี และจุดเด่นของ Prius จนครบเรียบร้อยแล้ว
ภาพยนตร์โฆษณา ก็ถูกฉายขึ้นบนจอ และการแสดง ก็เริ่มต้นขึ้น…ฉากหลังของเวที เปิดขึ้นมา
จะเจอ รถคันสีขาว จำลอง ขนาดเท่าคันจริง อย่างนี้….ขาวโพลนไปทั้งคัน

จากนั้น ตลอด เกือบๆ 10 นาที ในการแสดงชุดนี้ ภาพด้านหลังก็จะเคลื่อนไหวไปด้วย ขณะที่
บนตัวรถ มีการเล่นแส และภาพกราฟฟิก เต็มไปหมด ตระการตามาก

สิ่งที่ถือว่าค่อนข้างเจ๋งเลยก็คือ ล้อรถ ซึ่งดูเหมือนจะหมุนได้ แต่เปล่าเลย เขาถ่ายทำมา
ประกบฉายยิงเข้าไปยังตัวรถอีกทีหนึ่ง ดูๆแล้ว คิดว่างานนี้ Toyota น่าจะลงทุนกับ
โชว์ชุดนี้ หลายล้านบาทอยู่

พอจบการแสดงผุ๊บ รถคันสีขาวมุข คันนี้ ก็แล่นมาจากด้านหลังเวทีฝั่งขวา
มาจอดแสดงเอาไว้เฉยๆ ให้ถ่ายรูปกัน แน่นอน คนมุงถ่ายรูปกันเยอะอยู่

ถ้ายังขืนรอถ่ายภาพรถคันสีขาวมุก บนเวทีก็คงมีหวังรอกัอีกนาน
เดินออกมาหน้างาน เห็น Prius สีขาว อีกคันหนึ่ง จอดอยู่หน้าทางเข้างาน
ก็เลยอาศัยใช้ถ่ายรูป รายละเอียดภายในมาให้คุณๆได้อ่านกันนั่นเอง

ความแตกต่างระหว่างรุ่นมาตรฐาน กับรุ่น Top หากมองจากภายนอก ให้ดูที่
ไฟหน้า ถ้าเป็นแบบ ฮาโลเจน ไม่มีระบบปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไม่มี
ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และกระจกด้านข้าง คู่หน้า แบบลดการเกาะตัว
ของหยดน้ำ Hydrophilic และไม่มี ระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้า ทั้งหมดนี้ แสดงว่า
รถ Prius คันนั้นคือรุ่นมาตรฐาน เพราะ รุ่น Top จะต้องมีข้าวของเหล่านี้มาให้ครบ

ล้อเป็นแบบ อัลลอย ขนาด 15 นิ้ว และมีฝาครอบอีกชิ้นหนึ่งมาให้ ไม่ใช่ล้อเหล็ก
ออกแบบมาเพื่อเน้นการลดน้ำหนัก และการจัดการด้านอากาศพลศาสตร์ โดยเฉพาะ
สวมด้วยยางขนาด 195/65 R15 ซ่งในรถล็อตแรก ยังเป็นยาง Goodyear Excellence
ที่ผมคุ้นเคยดี เพราะมันเคยเป็นยางระจำรถ Honda City ใหม่ ล็อต 2 นั่นเอง

เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะพบว่า เบาะนั่ง ในรุ่นท็อป หุ้มหนัง ซึ่งเป็นหนังแบบเดียวกัน
กับ เวอร์ชันญ่ปุ่น ที่ผมเคยทดลองขับไปก่อนหน้านี้ เป๊ะ ดังนั้น สบายใจได้ไปเปลาะหนึ่ง
พลาสติกท่ใช้ในการทำแผงหน้าปัด กับแผงประตูนั้น สามารถผ่านกระบวนการ Recycle ได้
ที่สำคัญ ยังถูกกัดลายขึ้นรูป เป็ลายเปลือกไม้อีกด้วย ซึ่งเทคโนโลยีการกัดลายแบบนี้ ยังคง
ต้องเป็นญี่ปุ่นเท่านั้น ถึงจะทำได้ นอกจากนี้ยังมี ที่วางแขน เลื่อนเข้า-ออก ได้อีกด้วย

เปิดประตูคู่หลังออกมา ก็ยังคงพบเบาะนั่งด้านหลังที่ยังคงนั่งสบาย (ถ้าตัวสูงไม่เกิน 170 เซ็นติเมตร)
และแผงประตูคู่หลังที่ยังไม่สามารถวางข้อศอกลงไปได้สะดวกนักอยู่ดี ในรุ่นมาตรฐานจะใช้ผ้าหุ้มเบาะ
Suede ลายพิเศษ เหมือนกับเวอร์ชันญี่ปุ่น

แม้จะไม่มีเครื่องเล่น DVD พร้อมจอมอนิเตอร์ และระบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System
มาให้แต่อย่างใด ทว่า ไฮไลต์ ของอุปกรณ์สำคัญๆ ของ Prius เวอร์ชันไทย นั้น มีตั้งแต่ ระบบแสดง
ความเร็วของรถ บนกระจก HUD Head up Display ซึ่งสารภาพเลยว่า ผมเองยังแปลกใจ ว่า Toyota
กล้าใส่มาให้ลูกค้าคนไทยด้วยเลยหรือ แถมยังมีมาให้ครบทั้ง 2 รุ่น เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกต่างหาก
พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS (Electronics Power Steering)
เป็นแบบ 4 ก้าน หุ้มหนังมาให้ทั้ง 2 รุ่น พร้อมสวิชต์ ควบคุมการทำงานของทั้ง เครื่องปรับอากาศ
ชุดเครื่องเสียง และระบบ Bluetooth แสดงผลบนชุดมาตรวัดดิจิตอล แบบ Optitron พร้อมจอแสดง
ข้อมูล Advance Multi Informtation System ที่ติดตั้งอยู่ตรงกลางด้านบนสุดของแผงหน้าปัด มีกุญแจ
ระบบ Keyless Smart Entry และระบบติดเครื่องยนต์แบบ Push Start รวมทั้งยังมีระบบควบคุม
ความเร็วคงที่ Crise Control และเซ็นเซอร์ใบปัดน้ำฝน Rain-Sensor มาให้ อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมี ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง ม่านลมนิรภัย ทั้ง 2 ฝั่ง และที่เด็ดไปกว่านั้นคือ ถุงลมนิรภัย
สำหรับหัวเข่าคนขับ รวมเป็น แอร์แบ็ก 7 ใบรวด เยอะสุดในบรรดารถยนต์ประกอบในประเทศ ที่มี
ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ลงมา มีระบบควบคุมเสถียรภาพ VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC Traction
Control ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD พร้อมระบบ
นำพลังงานจากการเบรก กลับมาใช้เป็นกระแสไฟฟ้าใหม่อีกรอบ Re-Generative Brake

ทั้งหมดนี้ มาในราคา ที่ถือว่า พอจะคบหากันได้อยู่ ไม่แพงเวอร์ และไม่ถูกเกินไป รุ่นมาตรฐาน
เริ่มต้นที่ 1,190,000 บาท ส่วนรุ่น Top 1,260,000 บาท ถ้าต้องการสีขาวมุก ก็ต้องเพิ่มอีก 10,000 บาท

สำหรับผมแล้ว ราคาที่เปิดมานี้ ถือได้ว่า ตรงกับใจที่ผมคาดการณ์เอาไว้ เพราะอย่างน้อย ควรจะ
เปิดราคาเริ่มต้นรุ่นล่างสุด ให้ไม่ให้เกิน 1.2 ล้านบาท เพื่อที่จะเรียกกระแสความสนใจจากผู้คน
ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่ง Toyota มองว่า น่าจะเป็น กลุ่มผู้บริโภค หัวสมัยใหม่ล้วนๆ

ที่แน่ๆ ถ้าคุณคิดว่า ราคาที่ Toyota เปิดมานี้ มันแพงไปหน่อยแล้วละก็…โปรด อ่าน ดูตาราง
เปรียบเทียบอุปกรณ์มาตรฐาน ของรถทั้ง รุ่น Standard Grade และ Top Grade ข้างล่างนี้
กันเสียก่อน

รายละเอียดด้านวิศวกรรมต่างๆ ขอเก็บเอาไว้ก่อน เพราะตั้งใจว่า จะเขียนให้อ่านกัน
เต็มเหยียด ใน Full Review ซึ่งก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้ติดต่อยืมรถมาทำรีวิวกันเมื่อไหร่

เพื่อความมั่นใจของลูกค้า งานนี้ Toyota เอาใจกันสุดๆ เกินหน้าเกินตารถรุ่นอื่นในค่ายไปเลย
ทั้งการรับประกัน แบ็ตเตอรีของระบบขับเคลื่อน นาน 5 ปี เหมือน Camry Hybrid ส่วนตัวรถทั้งคัน
ยังรับประกัน 3 ปี 100,000 กิโลเมตร ตามเดิม รวมทั้งเตรียมความพร้อม ช่างในศูนย์บริการทั่วประเทศ
ให้รับมือกับปัญหาของรถ และระบบขับเคลื่อนได้อย่างชำนิชำนาญ แถม Prius ยังจะเป็นรถยนต์
Toyota รุ่นแรก ที่ เมื่อลูกค้าจองเสร็จปุ๊บ สามารถติดตามต่อเนื่องได้เลยว่า รถจะพร้อมส่งมอบได้
ภายในวันและเวลาใด! ถือเป็นรุ่นนำร่องขอ Toyota ในบ้านเรากันเลยทีเดียว!

สิ่งเดียวเท่านั้นจริงๆที่ผมคิดว่า ไม่ค่อยเข้าท่า ก็เห็นจะเป็น สโลแกน No one else เนี่ยแหละ
โอเค รู้ว่า Prius คือ รถยนต์ Hybrid ในพิกัดตัวถังระดับ C-Segment เพียงรายเดียวในตลาด
และแถมยังวาง ตำแหน่งทางการตลาด คั่นกลาง ระหว่าง รถยนต์นั่ง กลุ่ม Compact C-Segment
แบบทั่วๆไป กับ รถยนต์นั่งขนาดกลาง D-Segment ถือเป็น หนึ่งเดียวในตลาด

แต่การตั้งสโลแกนแบบนี้ ค่อนข้างจะเสี่ยงต่อการ ถูกล้อ ในโลก อินเตอร์เน็ต อย่างสุดยิ่งยวด!
เชื่อสิ เดี๋ยวจะต้องมี บรรดาจอมเหน็บแนมหลังคีย์บอร์ดทั้งหลาย อาจจะต่อเติมสโลแกน
ให้เป็นที่หวาดเสียวหัวใจ คน Toyota เล่นๆ ได้ว่า No one else (to buy one)…

hahahahaha (^0^)

เอาน่า ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เป้าหมาย 700 – 1,000 คัน/เดือน หนะ ง่ายๆ และกล้วยๆมาก
เชื่อเถอะว่า ยังไง Prius ก็จะมี คนซื้ออย่างแน่นอน และน่าจะเยอะใช้ได้เลยซะด้วย
เพราะตอนนี้ กระแสจากผู้คนรอบข้างที่คิดจะซื้อรถ ต่างพากันหยุดเพื่อรอดู Prius ด้วยทั้งนั้น

ใครที่อยากจะทดลองขับ ในช่วงแรกหลังเปิดตัวนี้ ไปลองกันได้ที่งาน Motor Expo
ระหว่างวันที่ 1 – 12 ธันวาคมนี้ ณ Challenger Hall IMPACT เมืองทองธานี ส่วนงาน
เปิดตัวตามผู้จำหน่ายทั้ง 320 โชว์รูมนั้น จะมีขึ้นในวันที่ 18-19 ธันวาคม เพราะว่า
รถคันผลิตขายจริง จะมีกำหนดการ Line-off Ceremony น่าจะอยู่ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้

แต่ถ้ายังไม่รีบ และอยากรู้ว่าสมรรถนะของ Prius เวอร์ชันไทย จะเป็นอย่างไร..
อดใจรอดูการนำเสนอ ในรูปแบบ Full Review ของ Headlightmag.com ได้ น่าจะ
ราวๆ เดือนธันวาคม หรือเดือนมกราคม 2011

หรือไม่ก็ลองคลิกอ่านบทความ Exclusive First Impressin จากญี่ปุ่นได้ ที่นี่

————————————-///————————————–