BMW Group ประเทศไทย จัดกิจกรรม BMW Driving Experience 2016
นำสื่อมวลชนมุ่งหน้าสู่สนามปทุมธานี สปีดเวย์ เพื่อร่วมสัมผัสขุมพลังแห่งสมรรถนะ
อันแข็งแกร่งที่มาพร้อมดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว กับรถยนต์ BMW หลากรุ่น ไม่ว่าจะเป็น
BMW 118i M Sport, BMW 320d Luxury, BMW 320d Sport, BMW 525d M Sport
และ 330e M Sport ..

DVE-1003_OpeningBotkwam

ขึ้นจั่วหัวแปลกๆ เปล่าหรอกครับ นี่ไม่ใช่การขึ้นบทความสไตล์ผม แต่เป็นข้อความจาก
เอกสารของทาง PR ต่างหากล่ะ

แม้ว่าใจความของกิจกรรมวันนี้จะสามารถสรุปได้ใน 5 บรรทัดข้างต้น แต่อันที่จริง
ผมเลือกที่จะขับรถจากบ้านตรงไปยังสนามฯด้วยตัวเองเพื่อความสะดวก และแม้จะมี
รถ Plug-in Hybrid รุ่นล่าสุดอย่าง 330e มาร่วมงานด้วย แต่ก็มาให้ลองขับในโหมด
ไฟฟ้าเท่านั้น ทำให้ผมตัดสินใจแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อขอข้ามการทดสอบรถรุ่นนั้นแล้วใช้เวลา
ไปกับการลองอัดรถเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลในไลน์อัพของ BMW ณ ปัจจุบัน
ให้หนำใจไปเลยดีกว่า ดีเลย เพราะผมเองก็ไม่เคยลองขับรถบนสนามปทุมธานีนี้มาก่อน
ได้เปิดประสบการณ์ด้วยรถของ BMW ก็ดีเหมือนกัน

ที่ผ่านมาหลายทศวรรษ ชื่อเสียงของ BMW ไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราเพียงอย่างเดียว
แต่อยู่ที่การสร้างรถระดับพรีเมียมที่มีนิสัยวัยรุ่น ว่องไวและขับสนุก  ไม่ว่าBMW จะ
ทำรถขนาดตัวใหญ่หรือเล็กแค่ไหน หรือไม่ว่าจะเป็นรถประเภทใด ค่ายนี้เขามักจะใส่
ความสนุกในการขับเข้าไปในรถของพวกเขาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย
การตอบสนองของคันเร่ง เบรก เกียร์หรือแม้กระทั่งการพยายามรักษาประเพณี
“เครื่องวางหน้า/ขับหลัง/กระจายน้ำหนักหน้าหลัง 50:50” มานานแสนนาน
จนเพิ่งจะมีรถแพลทฟอร์มเครื่องวางขวางขับหน้าอย่างซีรีส์ 2 Active Tourer
และซีรีส์ 2 Gran Tourer ไปไม่นานมานี้ ซึ่ง 2 รุ่นหลังนี้แม้จะแหกประเพณี
ของค่ายมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า แต่จากที่ผมเคยลองขับ การจูนช่วงล่าง
และพวงมาลัยก็ยังติดนิสัยวัยรุ่นแข็งๆมาจาก MINI มากพอสมควร

DVE-1001

ผมเดินสำรวจกองรถทดสอบที่ทาง BMW Thailand จัดมาให้ ดูทรงแล้ววันนี้
ได้ลองหลายรุ่นแน่นอนเพราะเอารถทดสอบมามากกว่า 11 คัน ผมเล็งไว้แล้วล่ะ
ว่าวันนี้ยังไงก็ต้องลอง 118i เครื่องยนต์ 3 สูบตัวใหม่กับ 525d F10 ดีเซลให้ได้
รุ่นอื่นถ้าว่างค่อยว่ากัน!

จากนั้น พนักงานต้อนรับพาผมไปวัดความดันก่อนขับ วันนี้ความดันสูงกว่าปกติ
ไม่ใช่เพราะหน้าตาของคนวัด แต่เพราะผมเพิ่งตะเกียกตะกายขึ้นกะไดมา
มันก็เหนื่อยนะสิฮะ! จากนั้นก็ไปนั่งรวมกลุ่มกันในห้อง Briefing ซึ่งไม่นานนัก
คุณกฤษฎา อุตตโมทย์ หรือ คุณจอห์น ผู้อำนวยการ ฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ก็มากล่าวต้อนรับพวกเราพอเป็นพิธี ต่อจากนั้นก็
เป็นคิวทีม Instructor นำโดยพี่พีระพงษ์ กลั่นกรอง ก็อธิบายเส้นทางการขับในสนาม
และวิธีการขับแบบคร่าวๆ ให้พวกเรา (ซึ่งมีทั้งสื่อมวลชนและลูกค้าเจ้าประจำ
ที่ทาง BMW เชิญมา)

เมื่อเสร็จจากการฟังบรรยาย และถ่ายรูปหมู่ ทุกคนก็ขึ้นรถ นั่งไปคันละ 1 คน
สื่อสารและอธิบายโดยใช้วิทยุ ว.แดงในรถ โดยที่ทางทีมงานจะขับรถ 320d นำขบวน
วิ่งช้าๆเกาะกลุ่มกันไป เมื่อถึงสถานีต่างๆ ก็จะหยุดเพื่ออธิบายว่าสถานีนี้ ให้เรา
ทำอะไร และมีอะไรบ้างที่ต้องระวัง จากนั้นหัวหน้าทีมก็จะสาธิตการขับให้พวกเราดู

สถานีทดสอบประกอบด้วย 5 สถานี ซึ่งเขาก็มีวิธีเรียกชื่อตามแบบของเขา แต่ผม
จำชื่อเรียกไม่ได้ จึงขออนุญาตตั้งชื่อเองตามที่ได้ขับมาแล้วกันครับ

1. Slalom – หักซ้าย/ขวา หลบกรวย ซึ่งวางไม่ห่างกันมากนัก ใช้ความเร็วประมาณ
30-40 กม./ชม. เข้าจากซ้าย หักขวา-ซ้าย ทำอย่างนี้ 4 กรวย แล้วก็เข้าโค้งยาว
ก่อนมาเบรกรอคิวสถานีต่อไป

520dF10_01

2. Figure 8 – มีกรวยวางอยู่ 2 กระจุก แยกกัน เปิดตรงกลางให้วิ่งผ่านได้ เราจะ
เข้าจากทางซ้าย หักขวา แล้วก็เลี้ยวซ้ายวนกองกรวยกลับลำมา ตรงเข้าชาร์จ
กองกรวยอีกชุด แล้วหักขวายาว เมื่อมองจากบนท้องฟ้าจะเห็นรถเราวิ่งวน
เป็นรูปเลข 8 มันถึงชื่อ Figure 8 นั่นเอง

3. Skidpad และการเข้าโค้ง – ทางทีมเรียกว่า Handling Course ประกอบไปด้วย
การวิ่งวนเป็นวงกลมด้วยความเร็วระดับต่างๆ 30-50 กม./ชม. ดูว่ารถแสดงอาการ
หน้าดื้อหรือท้ายปัดอย่างไร และระบบควบคุมการทรงตัว DSC ทำงานอย่างไร
พอวน Skidpad เสร็จก็ให้วิ่งตีโค้งซ้ายเข้าช่องเล็กๆ เป็นโค้งขวาความเร็วต่ำ
ซึ่งจากช่วงนั้นมาจะสามารถเร่งความเร็วได้แตะ 80-90 กม./ชม. เพื่อลองทิ้ง
โค้งขวา จากนั้นเช็ดแบงก์ทางซ้ายขอบทาง แล้วยิงขวายาวอีกรอบ ก่อนเข้าโค้งซ้าย
และเตรียมหยุดรถที่สถานีต่อไป

4. อัตราเร่ง เบรก และการหักหลบซ้าย-ขวา – สถานีนี้เราจะทดสอบอัตราเร่ง
0-100 กม./ชม. จากนั้นให้คงความเร็วไว้ แล้วเบรกในระยะที่ทางทีมงานกำหนด
จากนั้นออกรถแล้วเข้าโค้งขวา  หักหลบด่านกั้นที่เป็นกรวยวางไว้ หลบไป-มา
เสร็จแล้วก็ทิ้งโค้งซ้าย เข้ามาเจอด่านลักษณะคล้ายเดิม (แต่ต้องหักหลบเร็วขึ้น
เพราะกรวยวางไว้ชิดกันมากกว่าเดิม)

DVE-1052 final

5. การหักหลบกะทันหัน- ด่านนี้ เราจะออกตัวจาก 0 เร่งไปถึง 50 จากนั้นที่
ปลายทางจะมี Instructor ไม่กลัวตายท่านหนึ่ง ยืนขวางหน้ารถอยู่ โดยที่
Instructor ผู้นั้นจะยกธงในมือซ้าย หรือมือขวา (แล้วแต่อารมณ์เขา) หากเขา
ยกธงด้านไหน เราก็ต้องเบรกและหักหลบไปทางนั้นให้ถูกต้อง ถ้าชนกรวย
พี่จี๊ดบอกว่าคิดกรวยละ 100 บาท (ถ้าชน Instructor สงสัยผมคงเข้าคุก)
หักหลบเสร็จก็วิ่งเข้าทางตามกรวย รอขับเข้าไปเริ่มสถานีที่ 1 อีกครั้ง หรือ
ใครอยากเปลี่ยนรถที่ขับ ก็เลี้ยวซ้ายจอดสลับรถคันอื่นขับได้ทันที

เมื่อทางทีมงานอธิบายจบ สนามก็เป็นของพวกเราแล้วล่ะครับ

ในช่วงแรกๆ ก็มีหลายคนใช้สนามร่วมกัน แต่เนื่องจากพี่พีระพงษ์บอกว่า
เรามีเวลาถึง 11.30 น. และผมเองก็เลือกที่จะไม่ไปลองขับ 330e อยู่แล้ว
(ขับแค่โหมดไฟฟ้า..เหงอะ..) ทำให้ผมสามารถเอารถคันเดิมลองวนได้
คันละ 3 รอบ มีแค่ 118i คันสุดท้ายนั่นแหละที่เวลากระชั้นชิด ได้ลองแค่
2 รอบสนาม

มาดูกันเลยดีกว่าว่าแต่ละคันมีบุคลิกที่แตกต่างอย่างไรเมื่อต้องเจอกับด่าน
ต่างๆที่ทางทีมงานจัดไว้ให้

DVE-1035

320d Luxury
ราคา-2,799,000 บาท
เครื่องยนต์- B47D20A 4 สูบ 16 วาล์ว 1,995 ซี.ซี. 190 แรงม้า (PS)
ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที
ขนาดยาว/กว้าง/สูง (มม.) –4,633×1,811×1,429
น้ำหนักรถ –1,525 กิโลกรัม

ถือว่าโชคดีที่ได้เริ่มต้นด้วยรถที่เปรียบเสมือนลูกคนกลางของบ้าน ทั้งขนาด น้ำหนัก
และพละกำลังก็อยู่ในช่วงกึ่งกลางของรถทดสอบทั้งหมดด้วย นานมาแล้วเราเคยรับ
รถซีรีส์ 3 ตระกูล F30 มาทดสอบกันครบทุกรุ่น แต่ในวันนี้มันถูกไมเนอร์เชนจ์ (LCI)
พร้อมกับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้ตระกูล B-Series (B47) แล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ไปบ้างหรือไม่

พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ServoTronic ยังทำงานได้ดีเหมือนเคย มีน้ำหนักหน่วงมือ
กำลังดีและมีความไวที่พอเหมาะ ผ่านด่าน Slalom โดยใช้ความเร็ว 30 กม./ชม.ได้
และหมุนพวงมาลัยเกิน 180 องศามานิดหน่อยเท่านั้น ไม่แน่ใจว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า
แต่คิดว่าช่วงล่างของ 320d LCI มีความหนึบขึ้นกว่ารถล็อตแรกนิดหน่อย ยังไม่ถึงกับ
สปอร์ตแต่พอให้ความมั่นใจสำหรับคนชอบเล่นโค้งได้ ถ้าเพิ่มความเร็วเป็น 40 ก็ยัง
สามารถผ่านกรวยได้แต่ต้องสาวพวงมาลัยกันเป็นลิง ตัวรถยังไม่หลุดจากการควบคุม
และยางหน้ากว้างแค่ 225 มม. สามารถรับน้ำหนักและแรงเหวี่ยงของรถได้ดีพอควร

ในการลองวิ่ง Skidpad วนรอบเล็กแบบพยายามชิดกรวย ผมทำความเร็วได้ประมาณ
30 กม./ชม. รถจะมีอาการหน้าดื้อออกบางๆ แต่ถ้าแกล้งหักพวงมาลัยเพิ่มเร็วๆ
ระบบ DSC จะสั่งจับเบรกล้อหน้าวงในโค้งพร้อมกับลดกำลังเครื่อง ทำให้ความเร็ว
ร่วงหล่นไปบ้างแต่หน้ารถจะหันได้ถูกทางเกือบเป๊ะ..โดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรกับเท้าขวา
นะครับ ผมคาคันเร่งไว้ 40-50% ตลอดแต่ที่รถมันไม่แหกไปไหนต่อไหนเพราะ DSC
มันคุมทุกอย่างไว้ในมือมันแล้ว..ไม่สนุก แต่ปลอดภัยแน่นอน ส่วนการเข้าโค้งที่
ใช้ความเร็วสูงขึ้นนั้น ไม่มีปัญหาครับ ตัวรถยวบไม่มากแถมถ้าบริหารแรงเบรกด้วยเท้า
ดีๆ (ไม่ใช่เหยียบแบบ On/Off) จะสามารถขับแบบพุ่งเข้าโค้งเร็วๆแล้วเบรกตอนหัก
พวงมาลัยอยู่ได้สบาย บางคนอาจจะบอกว่าบ้า แต่ถ้าไม่ขับบ้าๆเราก็ไม่มีวันรู้หรอก
ว่าตัวรถและระบบของมันสามารถช่วยเราในสถานการณ์จริงได้ดีไหน

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ผมลองจับเวลา 3 ครั้ง ได้ออกมา 9.4-9.6 วินาที
ซึ่งแม้น้ำหนักตัวผมจะพอๆกับน้ำหนักตามเกณฑ์ทดสอบของ J!MMY แต่
กระทำในช่วงเวลากลางวันที่อากาศร้อนกว่า นิสัยเครื่องยนต์ยังเหมือนเดิม
คือออกแบบหนืดหน่อยๆ พอติดบูสท์ปุ๊บก็ดึงหลังติดเบาะ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่
สมัย 320d E90 ตัวแรกแล้ว ส่วนเรื่องเบรกก็หายห่วง ระยะแป้นเบรกสั้น แต่มีน้ำหนัก
ต้านเท้ากำลังดี ระยะฟรีไม่มาก อยากเบรกแรงเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเท้าเรา

ถ้ามองว่านี่คือรถพรีเมียมหนัก 1.5 ตัน ยาง 225 มม. ที่ช่วงล่างปานกลาง
ไม่แข็งเกินไป นุ่มพอให้ผู้ใหญ่นั่งได้ ก็ถือว่ามันทำได้ดีอย่างที่ควรจะเป็นแต่
ถ้าคุณคิดว่าเครื่อง B47 จะแรงกว่าตัวที่แล้ว ผมว่ามันไม่ค่อยต่างหรอกครับ

DVE-1031

520d M Sport
ราคา- 3,599,000 บาท
เครื่องยนต์- B47D20A 4 สูบ 16 วาล์ว 1,995 ซี.ซี. 190 แรงม้า (PS)
ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที
ขนาดยาว/กว้าง/สูง (มม.) –4,907×1,860×1,462
น้ำหนักรถ – 1,705 กิโลกรัม

คุณอาจจะหลบเมียไปเที่ยวยามราตรีกับเพื่อนได้ แต่คุณหลบเลี่ยงกฎของฟิสิกส์
ไม่มีวันพ้น 520d บอดี้ F10 นี้ก็เช่นกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้เราเคยขับรถบอดี้ F10
มาหลายคันและยกย่องให้มันเป็นซาลูนยาวเฉียด 5 เมตรที่ช่วงล่างนิ่ง แน่น หนึบ
เมื่อขับบนถนนเปิดและใช้ความเร็วสูง (แล้วเราก็บ่นว่าซีรีส์ 3 F30 ช่วงล่าง
สเป็คมาตรฐานไม่ดีเท่า F10) แต่พอมาอยู่ในสนามปิดและต้องเจอกับการหัก
เปลี่ยนทิศทางแบบกระชั้นชิด แม้ว่า 520d รุ่น M Sport นี่จะได้ยางหน้า 245 มม.
และยางหลังใหญ่ประชดซูเปอร์คาร์ขนาด 275 มม. แต่น้ำหนัก 1.7 ตันทำให้การวิ่ง
Slalom ค่อนข้างอุ้ยอ้าย ถ้าวิ่งไม่เกิน 35 กม./ชม. มันก็ดีพอๆกับ 320d นั่นล่ะ
แต่พอเพิ่มความเร็วเป็น 40..มีอยู่รอบนึงผมพลาดหักเข้าทางไม่ทัน เพราะหน้ารถ
ออกอาการอันเดอร์สเตียร์ไปแบบบานๆ ต้องตัดสินใจเบรกแล้วหลบข้ามกรวย
อันนั้นไปเลย (พี่จี๊ดบอกกรวยละ 100 วันนั้นผมเหลือเงินอยู่ 150 เดี๋ยวไม่พอค่า
ทางด่วนกลับบ้าน)

ในด่านอื่นๆ เรื่องราวก็ไม่ต่างกันครับ ถ้าพยายามใช้ความเร็วให้มากเท่าที่ผมใช้
กับเจ้า 320d จะพบว่า 520d หน้ารถจะเบนออกนอกแนวที่ตั้งใจวิ่งไว้มากกว่า
หรือถึงแม้หน้าไม่บาน การเข้าโค้งที่ความเร็วเท่าๆกันเสียงยางจาก 520d ก็ดังยาว
ต่อเนื่องกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ต้องเข้าใจว่าทั้งขนาดและน้ำหนักของรถมัน
ต่างกันมาก ถ้าเทียบไปก็เหมือนเราจับเสือโคร่งให้มาไล่ปล้ำเสือปลาในกรงเล็กๆ
แต่ทั้งนี้ หากเป็นช่วงที่โค้งเปิดกว้างและสามารถใช้ความเร็วได้สูง 520d กลับ
สามารถรักษาสมดุลย์ได้อย่างดี หักเลี้ยวเท่าไหร่ท้ายก็กวาดตามหน้ารถไป
โค้งมุมฉากกว้างข้างหลังๆของสนามปทุมธานีนั่นแหละตัวอย่าง ผมใส่ได้เร็ว
เท่าๆกับ 320d แถมแปลกตรงที่ 520d กวาดท้ายตามหน้ารถได้มากกว่า..คงเพราะ
ฐานล้อกับบอดี้ที่ยาวแล้วก็น้ำหนักนั่นล่ะที่เหวี่ยงตัวรถออกได้อย่างเป็นธรรมชาติ

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ลองจับโดยใช้ทั้งโหมด Comfort และ Sport ได้ค่า
ออกมา 9.6-9.8 วินาที ลอง 3 ครั้ง รอบที่เปลี่ยนเกียร์อยู่ประมาณ 4200-4300
เท่ากัน และที่ตลกคือในโหมด Sport เกียร์ 1 กลับจะสับขึ้น 2 ที่รอบต่ำกว่าโหมด
Comfort นิดนึงด้วยซ้ำแต่อัตราเร่งไม่ได้ด้อยลงแต่ประการใด

เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรแบบเดียวกับ 320d ให้พลังดีมาก ขนาดว่า 520d หนักกว่า
กัน180 กิโลกรัมแถมล้อและยางก็โตกว่ามาก แต่ไม่ได้ทำให้รถมันช้าลงมากอย่างที่คิด
พอบูสท์มาเต็มก็ดึงหลังติดเบาะเท่าๆกับ 320d เกียร์ทำงานได้ดี ไวต่อการกดคันเร่ง
อ่านใจคนขับได้ดีเหมือนกัน เกียร์ 8 จังหวะของ ZF รุ่นนี้ไม่ทำให้ผมผิดหวัง
AIMG_3950

525d M Sport
ราคา- 3,999,000 บาท
เครื่องยนต์- N47D20D 4 สูบ 16 วาล์ว 1,995 ซี.ซี. 218 แรงม้า (PS)
ที่ 4,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตรที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที
ขนาดยาว/กว้าง/สูง (มม.) – 4,907×1,860×1,462
น้ำหนักรถ –1,730 กิโลกรัม

เครื่องยนต์คนละตัวกันกับ 520d มีออพชั่นต่างๆเพิ่มเติมมามากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่
สิ่งที่จะช่วยให้มันขับได้ดีขึ้นมากขนาดนั้น น้ำหนักตัวรถก็ต่างจาก 520d แค่
25 กิโลกรัม ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกใจถ้าเวลาวิ่ง Slalom ก็จะให้ความรู้สึกเหมือน
กันกับ 520d แต่อาจจะเป็นเพราะสภาพยางของ 525d คันนี้พร้อมลุยมากกว่า
ทำให้ผมสามารถเข้ากรวยด้วยสปีดเท่ากับ 320d แล้วยังไม่หลุด..แค่เหนื่อย
เพราะรถมันยาว กว้าง ใหญ่ ต้องสาวพวงมาลัยเหนื่อยและยังมีอาการหน้าดื้อ
โผล่มาให้เห็นบ้าง แต่เช่นเดียวกับ 520d คือแค่ลดความเร็วลงมานิดหน่อย
มันจะหักเลี้ยวได้อย่างปกติ

ในด่าน Skidpad พวงมาลัยของรถซีรีส์ 5 ทั้ง 2 คันจะแสดงนิสัยคล้ายๆกัน
กล่าวคือน้ำหนักตอนทิ้งโค้งเข้าจังหวะแรกจะหน่วงมือดีอยู่ และในขณะที่
กำลังวิ่งวนเป็นวงกลมนั้นพวงมาลัยก็จะตึงมือขึ้นพอสมควร บางจังหวะมีแรง
ถีบกลับเบาๆเลยด้วยซ้ำ แต่พอถึงจุดที่ใกล้จะเกินขีดจำกัดของยางน้ำหนัก
พวงมาลัยจะเปลี่ยนจากตึงมือกลายเป็นเบาโหวงทันทีทั้งๆที่รถก็ยังไม่ได้แถ
ออกนอกแนววิ่งมากขนาดนั้น ถ้าเป็น 320d การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักของ
พวงมาลัยจะแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า ใกล้เคียงรถที่ใช้
พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮดรอลิกสมัยก่อนมากกว่า (แม้ว่ามันจะยังมีฟีลแบบ
ไฟฟ้าๆให้เราทราบได้ก็เถอะ)

บางคนอาจจะสงสัย ว่าใน 525d M Sport ที่มีโหมด Sport + ที่ปิด DSC
เหลือไว้แค่ DTC (Traction Control) จะเป็นอย่างไร..ผมก็คิดไว้ว่ามันน่าจะ
มันส์กว่า สนุกกว่า กวาดท้ายออกเยอะกว่า ควันน่าจะคลุ้ง แต่เอาเข้าจริง
ในการขับแบบสนามที่แคบๆ มันออกจะฝันร้ายเสียมากกว่าครับ คันเร่งไว
และเกียร์ก็ไว เวลาต้องการถ่ายพลังแบบค่อยๆปลดปล่อยเป็นขั้น ต้องเกร็ง
เท้ากันสุดๆ กดลึกนิดเดียวรถจะพุ่ง แล้ว Traction Control ก็สั่งตอน
กำลังไว้อยู่ดี แทนที่จะได้โดนัทสวยๆกลายเป็นหน้ารถบานหนักกว่าเก่า
จนผมต้องเบรกไม่ให้ชนกรวย แทบจะหยุดรถไปเลย สรุปว่าถ้าจะเล่น Sport+
ก็ต้องตั้งใจคุมรถจริงๆ เท้าต้องละเอียดละออ มือกับเท้าต้องประสานกัน
ดีเยี่ยม รถถึงจะไปได้ไว้ แต่ถ้าคิดจะอัดเอามันส์แบบไม่เครียด ใช้แค่ Sport
ก็พอครับ

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. คือจุดเด่นของ 525d เขา..เป็นคันเดียวในวันนี้
ที่เร่งแตะ 100 ได้ภายในไม่เกิน 9 วิ (ผมจับเวลามา 3 รอบ มี 8.9 วินาที
2 รอบ และ 9.3 วินาทีโผล่มาแบบงงๆอีก 1 รอบ) ลักษณะการแสดงกำลัง
ของเครื่องยนต์ ถ้าว่ากันที่รอบไม่เกิน 3,500 มันก็เหมือนเอา 520d มา
Copy และ Paste เลย แต่สังเกตได้ว่าเครื่องของ 525d จะรอบจัดกว่า ยิ่งลาก
ยิ่งมา และเกียร์ของ 525d จะลากรอบเครื่องไปถึง 4,600-4,700 อย่างเนียน
ในขณะที่รถเครื่อง B47 อีก 2 รุ่นจะเปลี่ยนที่ 4,300

ผมชอบคาแร็คเตอร์และพลังของเครื่องยนต์ตัวนี้ แต่ใจจริงหลังจากลองเสร็จ
ผมกลับคิดถึงเครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตรดีเซลเทอร์โบใน 525d F10 ล็อตแรกๆ
มากกว่า ไอ้เจ้านั่นดึงดี และพุ่งราวกับปล่อยหมาบางแก้วไปไล่ขโมยเลยทีเดียว

 

DVE-1041 final

118i M Sport
ราคา- 2,099,000 บาท
เครื่องยนต์-B38B15A 3 สูบ 12 วาล์ว 1,499 ซี.ซี. 136 แรงม้า (PS)
ที่ 4,500-6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตรที่ 1,250-4,000 รอบต่อนาที
ขนาดยาว/กว้าง/สูง (มม.) – 4,329×1,765×1,440
น้ำหนักรถ – 1,395 กิโลกรัม

นี่คือรถที่สร้างความประหลาดใจให้ผมมากที่สุดในวันนี้ ซึ่งมีทั้งแง่ที่ดีและไม่ดี
ผมเคยขับ 116i รุ่นที่ใช้เครื่อง 4 สูบ 1.6 ลิตรมาก่อนแล้ว และได้อ่านสเป็คเรื่องแรงม้า
แรงบิดและน้ำหนักของตัวรถ รวมถึงฟังจากที่รุ่นพี่ (หรือถ้าให้ถูกน่าจะเป็นรุ่นน้า) ใน
วงการสื่อมวลชนรถยนต์เขาเล่าให้ฟังว่ามันไม่เหมือนกันนะ แม้ว่าบนกระดาษมัน
น่าจะดูคล้ายกันมากก็ตาม

น้ำหนักที่เบากว่าพวกรุ่นพี่ซาลูนอยู่โข ตัวก็สั้นป้อม แถมยังใส่ยางเส้นอ้วน ด้านหน้า
ขนาด 225/40/18 ด้านหลัง 245/35/18 ผมเดาไว้ว่าตัวรถน่าจะให้บุคลิกโกคาร์ท
ที่มีอาการหน้าหนักนิดและกวาดท้ายออกได้ก็ต่อเมื่อกดคันเร่งหนักๆแบบ 116i แต่
เอาเข้าจริงมันก็มีส่วนต่างกัน ด่าน Slalom ผมควบ 118i ผ่านได้อย่างสบายเหลือเชื่อ
ใช้ความเร็ว 40-45 กม./ชม. ก็วิ่งหลบกรวยได้แบบไม่เหนื่อยมือเหนื่อยใจ หลุดจาก
Slalom มาเป็นโค้งซ้ายยาวๆ ผมลองกดคันเร่งให้หนักขึ้นอีกนิด ซึ่งใน 320d กับ
520d กดคันเร่งขนาดนี้รถจะวิ่งไปตามปกติ แต่ใน 118i ปรากฏว่าท้ายออกแบบเบาๆ
หน้ารถหันเข้าวงในของโค้งมากกว่าแบบชัดเจน

ในการวิ่งแบบ Figure 8 ตัวรถที่เล็กกว่าทำให้สามารถใช้ความเร็วในการวิ่งวนกรวย
ได้สูงกว่ารุ่นพี่ (รถเบาและยางไม่เล็กเลยเกาะดี ถ้าไม่มีการตบคันเร่ง) แต่ที่ด่าน
Skidpad นั้นเมื่อวนชุดกรวยด้วยความเร็วเกิน 40 ขึ้นไป ระบบ DSC ก็จะเข้ามาจัดการ
กับทั้งคันเร่งและเบรก เหมือนกับพวกรุ่นพี่นั่นล่ะครับ แต่สิ่งที่ 118i เหนือกว่าพวก
รุ่นพี่คือเรื่องน้ำหนักของพวงมาลัย ซึ่งจะมีแรงขืนตามความแรงของการเข้าโค้ง
ในระดับที่ดี และพอใกล้ถึงจุดที่ยางจะหมดแรงยึดเกาะ น้ำหนักจะเริ่มเบาลงแบบ
ที่ช่วยให้เราสามารถอ่านอาการยึดเกาะของล้อหน้าได้ทัน ไม่ใช่เวลาหนักก็หนัก
เวลาเริ่มใกล้หมดแรงเกาะก็เบาโหวงไปในทันทีแบบซีรีส์ 5 F10 ส่วนการเข้าโค้ง
แบบที่ใช้ความเร็ว 80-90 ขึ้นมานั้น ตัวรถนิ่ง อาการยวบตัวถังน้อยกว่า 320d
แต่ถ้าตบคันเร่งลงไป อาการท้ายออกจะชัดเจนกว่า 320d และ 520d

น้ำหนักพวงมาลัย รวมถึงความไวของหน้ารถ รู้สึกได้ว่าต่างจาก 116i ทั้งที่มัน
ก็ต่างกันแค่เครื่องและวัสดุน้ำหนักเบาแค่บางจุด ใน 116i มันเหมือนกับ “หน้าหนึบ-
ท้ายไว” และ 118i นั้น “หน้าไว-ท้ายไว” ตรงนี้ก็คงแล้วแต่คนชอบแต่ผมชอบ
116i ตรงที่มันให้ความรู้สึกนิ่งแน่นกว่าเท่านั้นเองครับ

ช่วงทดสอบอัตราเร่ง ตรงนี้ล่ะที่ผิดหวังหน่อยๆ เพราะเราคาดหวังไว้ว่าเครื่องยนต์
เทอร์โบของ BMW มักจะแรงกว่าม้าที่เห็นบนสเป็ค แถมยังมีเกียร์ 8 จังหวะที่ทด
เกียร์ต้นจัดใช้ได้ แต่ในวันทดสอบที่อากาศร้อนนี้ 118i กลายเป็นแมวเลยเมื่อเทียบ
กับเสือปลาอย่าง 320d หรือเสือโคร่งอย่าง 525d บางคนบอกว่าเครื่อง 3 สูบ
จะไปเอาอะไรมาก ผมก็เถียงกลับว่าแล้วไง? 3 สูบแล้วมันพันห้าหรือเปล่าล่ะ
มีเทอร์โบหรือเปล่าล่ะ ตัวเลขในสเป็คดูเหมือนแรงบิดมาเร็วมากและอยู่นานมาก
แต่ของจริง มันก็รอรอบอย่างที่เครื่อง 1.5 เทอร์โบเป็น แต่หลัง 2,500 ไปจนถึง
4,500 รอบต่อนาที แรงดึงมาดี ดีเหมือนรถเครื่อง 2.0 ลิตร แต่พอรอบเกิน 5,000
ไปจนถึง 6,000 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนเกียร์ เครื่องยนต์กลับดูหนืด รอบกวาดไม่ไว
ถ้าเป็น 116i เครื่อง 4 สูบตัวเก่า เข็มจะกวาดจาก 5 ไป 6,000 เร็วลื่นกว่านี้

ท้ายสุด อัตราเร่ง 0-100 ลองจับมา 2 รอบ ก็ได้ 11.34 กับ 11.52 วินาที
ถามว่าอืดมั้ย มันก็ไม่ใช่ แต่จำได้ว่า 116i แม้จะขับตอนกลางวันก็ยังได้เลข
ออกมาสวยกว่านี้ ยิ่งดูนิสัยช่วงล่างและพวงมาลัยกับเบรกที่สั่งได้ตามใจ
รถคันนี้น่าจะเหมาะกับพลังเครื่อง 2.0 ลิตรเบนซิน 184 แรงม้ามากกว่า
มันจะเป็นรถแฮทช์แบ็คขับหลังที่ขับสนุกทั้งทางตรงและทางโค้งได้มากกว่านี้

แต่ถ้าคุณอยากได้ BMW ขับหลังราคาไม่เกิน 2.1 ล้าน ผมคิดว่าคุณคงไม่มี
ทางเลือกอื่นนอกจากซื้อเจ้ารถรุ่นนี้ เพราะเจนเนอเรชั่นถัดไป ซีรีส์ 1 จะเปลี่ยน
ไปใช้แพลทฟอร์มเครื่องวางขวางขับหน้าแทน

DVE-1047

บทสรุปจากการทดลองขับ

320d Luxury – เครื่องยนต์นิสัยคล้ายเครื่องเดิมมาก เกียร์ดีเหมือนเดิม
ช่วงล่างนุ่มหนึบ หักเลี้ยวได้คล่อง พลังเครื่องยนต์เพียงพอสำหรับประเทศเรา

520d M Sport – เหมือนรถเกาะ แต่ก็เกาะเฉพาะโค้งยาวๆ ถ้าเป็นโค้งแคบ
ความเร็วต่ำจะยวบ ควบคุมยากกว่า 320d แต่เครื่องยนต์เซอร์ไพรส์มากที่
แม้ว่ารถจะหนักแต่ก็ยังเร่งได้ดีโดยไม่ต้องกดคันเร่งมาก

525d M Sport – ประสิทธิภาพหลายอย่างเหมือน 520d แพงขึ้นอีก 400,000 บาท
แต่ได้เครื่องยนต์ที่รอบจัดกว่า ลากลื่นกว่า เร็วและดึงสนุกขึ้น มีอุปกรณ์
อำนวยความสะดวกมากขึ้น

118i M Sport – แอบหวังว่ามันจะเร็วกว่านี้..หรือไม่งั้นก็รอชุดแต่งมา
เสริมพลังสักหน่อย แต่พวงมาลัย ช่วงล่าง ความคล่องตัวของรถ สุดยอด!
เป็นรถที่ไม่แรงทางตรง แต่สนุกในโค้ง คล่องกว่าพวกรุ่นพี่มาก

แต่ในภาพรวมของรถทุกรุ่น BMW “ขับหลัง” ยุคใหม่ๆ ยังคงความสนุกในการขับ
เอาไว้ได้ดีเมื่อเทียบกับรถที่มีระดับทางการตลาดหรือราคาใกล้เคียงกัน เครื่องยนต์
เทอร์โบของ BMW ให้แรงบิดดี สร้างความมันส์ในการขับขี่ได้ทั้งๆที่ตัวเลขแรงม้า
ไม่ได้สูงมากมายอะไร (ยกเว้น 118i ที่ผมอยากได้ม้ามากกว่านี้ ต่อให้ใครจะท้วงว่า
ไม่มีใครเขาซื้อรถ BMW เครื่องพันห้าแล้วมาห่วงเรื่องอัตราเร่งหรอก)

BMW เป็นค่ายที่เซ็ตพวงมาลัยมาได้ค่อนข้างดี เรียกได้ว่าน้อยมากที่จะต้องแก้
ไม่ไวเกินไป ไม่อืดเกินไป ไม่เบาเกินไป แต่การขับในสนามปิดแบบนี้ทำให้ผมได้
ข้อมูลใหม่ๆ อย่างเช่นประสิทธิภาพของช่วงล่าง ซึ่งเวลาขับบนถนนด้วยความเร็วสูง
ผมรู้สึกว่ารถใหญ่อย่างซีรีส์ 5 F10 ขับแล้วนิ่งแน่น มันใจ เข้าออกโค้งก็ทำได้ดี
แต่พอเป็นโค้งแคบความเร็วต่ำ รถเล็กๆเบาๆแต่ยางโตอย่าง 118i ที่เสียเปรียบในเรื่อง
พละกำลังกลับทำความเร็วได้ดี รักษาความเร็วในโค้งและสลาลอมได้ดีกว่า
แถมยังสามารถกวาดท้ายออกได้มากกว่าเมื่อตบคันเร่งลงไป ทั้งๆที่ตัวรถสั้น ไม่มีท้าย

อีกประการหนึ่งคือการทำงานของระบบช่วยควบคุมการทรงตัวอย่าง DSC ซึ่งช่วย
ทำให้รถขับเคลื่อนล้อหลังที่แรงบิดสูง กลายเป็นรถที่สามารถ “ขับแบบวัยรุ่นบ้าๆ”
แล้วยังให้ความปลอดภัย มันไม่ใช่ระบบที่ทำให้รถวิ่งทำเวลาในสนามแล้วช้าลงนะครับ
DSC ยุคใหม่ของ BMW ล้ำหน้ากว่าเมื่อก่อน ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็ปิดลิ้นคันเร่ง มันรู้
ว่าเมื่อไหร่ต้องหรี่ลิ้น เมื่อไหร่ต้องสั่งจับเบรกข้างไหน พูดง่ายๆคือเปิด DSC ไว้ ผมกลับ
กล้าที่จะใส่เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงกว่าปกติ ประคองพวงมาลัยให้ดี แล้วรถจะพาเรา
ผ่านโค้งไปอย่างปลอดภัย..แต่สำหรับคนที่ชอบเล่นอะไรแผลงๆ หรือชอบความสนุก
คุณสามารถปิดการทำงานของระบบได้ (แต่ปิดจริงๆได้แค่ 50% ครับ ระบบยังแอบ
ทำงานช่วยคุณอยู่อย่างลับๆ) แล้วก็จะสนุกไปกับรถขับหลัง ใช้คันเร่งคุมการเลี้ยว
ของรถได้ กวาดท้ายเล่นขำขำ เบิร์นยางเอาฮาได้ในแบบที่รถขับเคลื่อนล้อหน้า
ไม่สามารถให้คุณได้

นี่ล่ะคือสิ่งที่พวกเราชอบรถขับหลัง และเป็นสาเหตุที่ทำให้ BMW พันธุ์แรงๆขับหลัง
ยังได้รับความนิยมอยู่ทุกวันนี้

DVE-1059

 


ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
คุณกฤษฎา อุตตโมทย์
BMW Group (Thailand) Co.,ltd
เอื้อเฟื้อเชิญร่วมการขับทดสอบในครั้งนี้


 

Pan Paitoonpong

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ เป็นของผู้เขียน และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายเป็นของ
ผู้เขียน และ BMW Group Thailand โดยช่างภาพจากทาง BMW

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
6 มิถุนายน 2016

Copyright (c) 2016 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
June 6th,2016


 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!