เคยมีบ้างไหมครับ ครั้งหนึ่งในชีวิตของคุณที่พยายามอยากจะไขว่คว้าบางสิ่ง..พยายามมานานหลายชาติหลายกาลแล้วก็ไม่ได้สักที แต่ในขณะเดียวกัน บางสิ่งที่จะได้มา ก็กลับมาแบบไม่คาดฝัน?

นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม

ในช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา เจนเนอรัล มอเตอร์ส และ เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เชิญสื่อมวลชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมกว่า 20 ชีวิต ได้แก่ประเทศไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เพื่อร่วมทดสอบรถยนต์ไกลถึงประเทศออสเตรเลีย พร้อมทั้งยังได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนา ศูนย์การออกแบบรถยนต์ ร่วมถึงทดสอบรถหลายหลายรุ่น ทั้งที่มีจำหน่ายในบ้านเราและไม่มีจำหน่ายในบ้านเรา โดยแม่งานในครั้งนี้คือ GM HOLDEN AUSTRALIA

มันคือสิ่งที่ผมใฝ่ฝันอยากจะมานานแล้ว เคยอ่านบทความของพี่ J!MMY ตอนที่มาการโชว์โฉม Colorado ไมเนอร์เชนจ์แล้วพี่เขาได้ไปศูนย์ออกแบบของ GM HOLDEN ด้วย ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจู่ๆวันนึงจะได้มีโอกาสไป

แถมในโปรแกรมของผมยังเจ๋งตรงที่เราจะมีโอกาสได้ลองขับรถในทะเลทรายออสเตรเลีย และลองรถรุ่นพิเศษของ GM ที่บางรุ่น ผมก็ต้องเรียนตามตรงว่าโอกาสจะมาขายในไทยนั้นยากเหลือเกิน

GM หรือ General Motors หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกจากสหรัฐอเมริกา โดยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 110 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ.1908 ผู้ก่อตั้งคือ William C. Durant หลายๆคนอาจจะทราบแล้วว่า GM เป็นผู้ผลิตรถยนต์หลากหลายยี่ห้อ โดยทั้งเป็นผู้ผลิตเองและเป็นการรวมทุน เมื่อก่อนเคยมีค่ายในเครือมากกว่า 40 แบรนด์ แต่ในบัดนี้ รถยนต์ในเครือ GM จะมีเหลือ 6 แบรนด์หลักๆ เริ่มจาก CHEVROLET, BUICK, GMC, CADILLAC, HOLDEN, BAOJUN, WULING, FAW JIEFANG ในแต่ละแบรนด์ทำตลาดในรถแต่ละประเภทและแต่ละพื้นที่

ในประเทศไทย ทาง GM เลือกแบรนด์ CHEVROLET ดูแลโดยบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในการสู้ศึกรถยนต์บ้านเรา โดยเริ่มต้นด้วยรถ Zafira ที่เป็นรถของ Opel นำมารีแบรนด์ใหม่ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษและประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนที่จะตามมาด้วย Optra ที่อาศัยธีมการตลาดช่วงล่างสไตล์ยุโรป สร้างยอดขายได้ดีทั้งที่ตัวรถจริงคือ GM-DAT (Daewoo) ซึ่งคนไทยในยุคนั้นยังดูถูกรถเกาหลีอยู่ นับว่าเป็นการตลาดที่ประสบความสำเร็จจนทำให้ Optra เป็นรถที่สามารถพบเห็นได้ในทุกที่

ในช่วงหลังมานี้ ทางบริษัทเลือกทำตลาดกลุ่มรถกระบะ 1 ตัน โดยส่งรุ่น COLORADO รถประเภท PPV ด้วยรุ่น Trailblazer และรถSUV ด้วยรุ่น CAPTIVA ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการทำตลาดในประเทศไทย ถือว่าได้รับการยอมรับจากผู้ใช้รถในบ้านเราในระดับหนึ่ง ด้วยราคา สมรรถนะ และเทคโนโลยีตัวรถที่สมเหตุสมผล ทำให้ยังสามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดประเทศไทยได้

ผมเล่าประวัติของ CHEVROLET ในไทยย้อนหลังแบบสั้นๆก่อน ต่อจากนี้จะพาท่านผู้อ่านเดินทางไปกับผม แบบวันต่อวัน

DAY 1

การเดินทางในครั้งนี้ด้วยเครื่องบิน A350 ของการบินไทย เที่ยวบิน TG465 จากกรุงเทพมหานคร บินตรงสู่เมือง MELBOURNE ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ รัฐวิคตอเรีย เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศออสเตรเลีย รองจากนครซิดนีย์

ใช้เวลาเดินทางกว่า 9 ชั่วโมง มาถึงที่หมายเข้าเช็คอินที่โรงแรม Novotel Melbourne South Wharf อยู่ริมแม่น้ำยาร์รา เดินชมวิวเมือง ที่พักใกล้ศูนย์การค้าแต่ปิด 6 โมงเย็น วันแรกเลยเป็นการพักผ่อน ขอเดินเล่นชมเมืองก่อนที่จะลุยกันจริงวันพรุ่งนี้

DAY 2

ตื่นแต่เช้า เติมพลังกับอาหารเช้าที่โรงแรม พร้อมเดินทางต่อโดยรถบัส ระยะทางจากโรงแรมที่พักถึงจุดหมายแห่งแรกประมาณ 95 กิโลเมตร ผ่านการจราจรอันคับคั่งในช่วง 8 โมงเช้ากลางเมือง Melbourne

เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง สู่สนามทดสอบรถ Lang Lang GM Holden Proving Ground

โดยสนาม Lang Lang GM Holden Proving Ground ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1957 เป็นศูนย์วิจัย ทดสอบและพัฒนารถยนต์แห่งแรกในประเทศออสเตรเลีย มีพื้นที่สนามขนาด 2,200 เอเคอร์ (5,566 ไร่) มีเส้นทางทดสอบรถในรูปแบบต่างๆ ระยะทางรวมกว่า 44 กิโลเมตร โดยสนามทดสอบแห่งนี้เป็นแหล่งรวบรวมความลับ เพราะมีรถหลายรุ่น หลายแบรนด์ในเครือ General Motors นำมาทดสอบในสนามแห่งนี้เพื่อปรับจูนตัวรถ ความทนทานของรถยนต์  ทดสอบมลพิษและอัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมี วิศวกรและช่างเทคนิคกว่า 120 คน

โดยระหว่างทางมีการเตรียมพร้อม เพื่อป้องกันการความลับต่างๆ รั่วไหล เพราะมีรถใหม่ที่ยังไม่ได้เปิดตัวหลากหลายรุ่นอยู่ในสนามแห่งนี้ มือถือทุกเครื่องต้องปิดสติกเกอร์กล้องหน้าและกล้องหลัง เพื่อไม่ให้แอบถ่ายได้ ส่วนกล้องใหญ่ต้องฝากไว้ที่ป้อมยามหน้าทางเข้าสนาม

เมื่อไปถึงกลางสนามทดสอบ จะได้เห็นรถหลากหลายรุ่นในเครือ  General Motors จอดอวดโฉมต้อนรับสื่อมวลชนพร้อมให้ทดสอบ

สนาม Lang Lang GM Holden Proving Ground เป็นสนามทดสอบที่ออกแบบเพื่อการทดสอบรถในหลายรูปแบบ ที่เป็นจุดเด่นคือ Circular Track หรือสนามวงกลมใช้ในการทดสอบความเร็วสูงสุด ความยาวต่อ 1 รอบ 4.7 กิโลเมตร ถนนจะแบ่งเป็นสามเลน และถนนจะเอียงขึ้นตามลำดับ ตามความเร็วที่ใช้ในการทดสอบ

มี Track ระยะทาง 4 กิโลเมตร ลักษณะคล้ายสนามแข่ง ที่ทางตรงยาว โค้งและเนิน และเส้นทางเพื่อทดสอบรถยนต์ Off Road เป็นทางเข้าป่า มีบ่อโคลน บ่อน้ำ และเนินสูงบนทางดิน

การที่มีพื้นที่สนามเปิดโล่งจึง Lang Lang จึงมีสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆ วัลลาบี้ กวาง งู วอมแบต ตัวตุ่น รวมถึงจิงโจ้ ดังนั้นในการขับขี่ในสนามนี้ต้องระมัดระวังสัตว์เหล่านี้ และที่ย้ำอีกครั้งก่อนจบการบรรยายคือห้ามปิด ESC (Electronic Stability Control) โดยเด็ดขาด!!!

หลังจากฟังการบรรยายเรียบร้อยแล้วก็แบ่งกลุ่มเพื่อทดสอบ โดยแบ่งตามแต่และประเทศ แต่เพราะการมีนักข่าวหลายท่าน และจำนวนรถจำกัดมาก ผมจึงได้ไปร่วมกับกลุ่มผู้สื่อข่าวเวียดนามในการทดสอบครั้งนี้

Section แรกคือการทดสอบระบบ 4X4 บนถนน Off Road โดยรถที่นำมาทดสอบคือ Holden Colorado 2.8L 4X4 ตัวเดียวกับที่ขายในบ้านเราในนาม CHEVROLET Colorado แต่ของบ้านเมืองออสซี่นี่เขาใช้เครื่องยนต์ 2.8 ลิตรตัวแรงที่เราคิดถึง ในขณะที่บ้านเราจะเหลือแค่รุ่น 2.5 ลิตร

เริ่มทดสอบขับออกไปจากลานกว้างก็มุ่งหน้าเข้าป่าทันที

แค่เพียงเลี้ยวออกมาก็เห็นตัววัลลาบี้สามสี่ตัวใกล้ๆ ถนน น่ารักคล้ายจิงโจ้แต่ตัวเล็กกว่า จากนั้นยังไม่ทันได้เห็นสัตว์ชนิดอื่นใด ก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ป่า โดยเส้นทางทดสอบของเรา จะเป็นทางดิน หินกรวด พร้อมหลุมขนาดใหญ่ และบ่อน้ำ Instructor ขับให้ดู 1 รอบจากนั้นก็ถึงตาผมและเพื่อนสื่อมวลชนชาวเวียดนามได้โชว์ฝีมือ

ทางทดสอบเต็มไปด้วยหลุมสลับกันไปซ้ายขวา  ในบางช่วงเป็นร่องหิน และหลุมโคลน Instructor แนะนำให้ใช้โหมดขับเคลื่อน 4X4 ในโหมด 4H เราประคองรถให้เคลื่อนไปโดยเลี้ยงคันเร่งช้าๆ และต่อเนื่อง ไม่พยายามถอนคันเร่งโดยไม่จำเป็น แรงบิดจากเครื่องส่งผ่านไปที่ล้ออย่างไม่มีปัญหา

รถเคลื่อนตัวผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น บนเนินสลับที่ทำให้ล้อซ้ายและขวามีการยกลอย ระบบ TCS (Traction Control System) เข้าช่วยจัดสรรกำลังไปแต่ละล้อได้อย่างเหมาะสม ทำให้รถผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เจอทางลงน้ำสูงระดับ 60 เซนติเมตร ก็ผ่านไปได้สบายๆ

จากนั้น ก็ตามด้วยเนินดินสูง ชันแบบขึ้นไปแล้วมองไม่เห็นทาง พอจะถึงยอดต้องเติมกำลังเพิ่มส่งตัวรถให้ผ่านไปได้ ต่อด้วยลงเนินสูงเปิดระบบ  HDC (Hill Descent Control) ช่วยแล้วปล่อยรถไหลมาตรงๆ โดยเพียงคุมให้อยู่ในเกียร์ต่ำ การจัดการเบรกจะเข้ามาควบคุมความเร็วทันที เสียงคล้ายกับระบบ ABS (Anti-lock Braking System) ทำงาน ครบรอบแล้วยังพอเหลือเวลา Instructor ใจดีบอกไปขับเล่นอีกคนละรอบ สนุกสนานกันไปแบบเลอะๆ หน่อย

อาจจะบอกว่าพวกเราเก็บกดก็ได้เพราะปกติเวลาอยู่บ้านเราเมืองเรา หาโอกาสได้ลองแบบนี้ยากนัก

เสร็จจากทางเลอะแล้ว ก็ไปต่อทางเรียบกันที่ Section 2

โดย session นี้จะได้ทั้งลองขับรถและได้ลองนั่ง รถที่ได้ลองขับจะมีสองรุ่น ได้แก่ Holden Commodore VXR ตัวแรง และกระบะแต่งพิเศษจาก  HSV (Holden Special Vehicles) Corolado Sport CAT+ และพิเศษสุดจะได้ลองนั่ง รถแข่ง Holden Colorado SuperUte จากทีม 2018 UTE Team 18 AC Delco Racing

ว่าแล้วก็ได้เวลาขึ้นรถ ได้ลองขับรถตัวแรงของวันนี้ น่าเสียดายที่ไม่ได้มาจำหน่ายในบ้านเรา นั่นคือ Holden Commodore VXR !!!

แอบมาดูสเปคกันก่อนดีกว่า

นี่ล่ะครับ สายพันธุ์ล่าสุดของ Holden Commodore รถที่เขาว่ากันว่ามีความเป็นออสเตรเลียนมากเท่าจิงโจ้กับเวจีไมท์ (อันเป็นสิ่งที่หน้าตาคล้ายแยมแต่รสชาติไม่ได้สร้างมาเพื่อคนไทย) แต่เดิมนั้น Commodore จะมีพื้นฐานเป็นรถขับหลังตัวยาวใหญ่ เน้นการใช้งานที่ทนทาน และมีการตกแต่งหลายรูปแบบ ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ตั้งแต่รถคันโต แต่กระจกมือหมุน ล้อฝาครอบ ไปจนถึงเวอร์ชั่นหรูอย่าง Calais หรือ Berlina ที่มีเบาะหนังกับลายไม้ และตัวแรงอย่างพวก S, SS หรือ HSV

Commodore ในสมัยก่อนมักแชร์แพลทฟอร์มกับ Opel ขนาดใหญ่ เช่นบอดี้ VN, VP, VR ที่ใช้แพลทฟอร์มของ Opel Senator หรือต่อมากับตัวถัง VT, VY ที่ใช้ร่วมกับ Opel Omega ในปัจจุบัน Holden Commodore ตัวถัง ZB ก็แชร์โครงสร้างพื้นฐานกับ Opel/Vauxhall Insignia เป็นรถที่อยู่ในกลุ่ม D-Segment แต่เพื่อทำให้รถดูสปอร์ตและเอาใจวัยรุ่น ตัวรถจึงมีหน้ายาว ตูดสั้น 5 ประตูสไตล์ Liftback

คนออสเตรเลียชอบบอกว่า รถรุ่นนี้ไม่ใช่ Real Commodore เพราะไม่ได้พัฒนาบนแพลทฟอร์มเครื่องวางตามยาวขับหลังแบบออสซี่ทำเอง..แต่อันที่จริงเกือบทุกตัวถังของ Commodore ที่ผ่านมาก็คือตัวถังจากรถของ Opel นี่ล่ะครับ แต่สิ่งหนึ่งที่หายไปแน่ก็คือเครื่องยนต์ V8 ซึ่งตายจากรถรุ่นนี้ไปแล้วอย่างถาวร

Commodore ZB มีขนาดตัวถัง ยาว 4,897 มิลลิเมตร กว้าง 1,852 มิลลิเมตร สูง 1,455 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,829 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า / หลัง 1,596 และ 1,599 มิลลิเมตร  ระยะห่างจากพื้นถนนถึงพื้นใต้ท้องรถ (Ground Clearance) อยู่ที่ 105 มิลลิเมตร (ในรุ่น VXR ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นซิ่งที่เราจะได้ขับกัน)

น้ำหนักรถเปล่า 1,737 กิโลกรัม ถังน้ำมันความจุ 61 ลิตร

เครื่องยนต์รหัส LGX เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3,649 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก   95 x 85.8 มิลิเมตร กำลังอัด 11.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบตรงสู่ห้องเผาไหม้ Direct Injection ระบบวาล์วแปรผัน VVT รอบเครื่องยนต์สูงสุด7200 RPM

กำลังสูงสุด 315 แรงม้า (PS) ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 381 นิวตัน-เมตร ที่ 5,200 รอบ/นาที ส่งกำลังลงพื้นแบบ Adaptive All-Wheel Drive ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะอัตราทด

อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

  • อัตราทด เกียร์ 1……4.69
  • อัตราทด เกียร์ 2……3.31
  • อัตราทด เกียร์ 3……3.01
  • อัตราทด เกียร์ 4……2.45
  • อัตราทด เกียร์ 5……1.92
  • อัตราทด เกียร์ 6……1.45
  • อัตราทด เกียร์ 7……1.00
  • อัตราทด เกียร์ 8……0.75
  • อัตราทด เกียร์ 9……0.62
  • เกียร์ถอยหลัง………..2.96
  • อัตราทดเฟืองท้าย…2.89

ตัวเลขอัตราเร่ง 0-100  กิโลเมตร/ชั่วโมง 6.2 วินาที  อัตราเร่งแซง 60–110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.1 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 9.3 ลิตร/100 กิโลเมตร มาตรฐานไอเสีย EURO5 ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 215กรัม/กิโลเมตร ใช้น้ำมันออกเทน 91

ระบบบังคับเลี้ยว Electric Power Steering (EPS) รัศมีวงเลี้ยว 11.14 เมตร

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบอิสระ Hiper-Strut ส่วนด้านหลัง เป็นแบบอิสระ 5 link สามารถปรับโหมดการขับขี่ของทั้งช่วงล่าง ระบบบังคับเลี้ยว เกียร์ รวมถึงเสียงเครื่องยนต์ได้ด้วยระบบ FlexRide Adaptive

ด้วยความแรงระดับสามร้อยกว่าแรงม้า ชุดห้ามล้อจึงต้องพิเศษ โดยชุดเบรกคู่หน้าจาก Brembo  ล้อขนาด20″ ลายสวยสีเข้ม พร้อมยางขนาด 245/35R20 ดูจากสเปคคร่าวๆ แล้วจะต่างกับตัว เครื่องเบนซิน 2.0 Turbo และ เครื่องดีเซล 2.0 Turbo ทั้งช่วงล่าง ระบบเบรก และเกียร์ เพื่อรองรับความแรงจากเครื่อง V6 ในระดับสามร้อยกว่าแรงม้า

มาต่อที่การขับขี่

การทดสอบเจ้า Holden Commodore(ZB) VXR ในครั้งนี้จะได้ทดสอบในลานกว้าง โดยใช้การขับแบบMotorkhana แบบวนลูป มีการวางกรวยให้ได้ทดสอบแบบสลาลอม, หักเลี้ยวกระทันหัน และยูเทิร์นด้วยความเร็ว ไป-กลับ 1รอบ

Instructor เรียกขึ้นรถนั่งประจำที่รัดเข็มขัด กดปุ่ม VXR Mode พร้อมกระแทกคันเร่งออกไปด้วยความแรงเล่นเอากระชากหลังติดเบาะ ผ่านไป 1 รอบ ไป-กลับด้วยความรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นตาผมได้ทดสอบกันบ้าง

ทุกอย่างพร้อม สัญญาณยกนิ้วโป้งจากผู้ดูแลสนาม ก็ไม่พลาดที่จะกระแทกเท้าขวาไปที่คันแรงจนสุด เสียงเครื่องยนต์แบบ N/A หวานดังเข้ามาในรถสะใจ อึดใจเดียวก็เจอกับกรวยในการขับแบบสลาลม น้ำหนักพวงมาลัยตึงมือ และบังคับเลี้ยวได้ดั่งใจ ไวและคม เบาะนั่งทรงสปอร์ตบล็อกลำตัวได้เป็นอย่างดี โดยไม่อึดอัด

ทำให้การหักเลี้ยวหลบกรวยดูเป็นเรื่องง่าย ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อทำงานได้อย่างดี ช่วยส่งกำลังลงล้อหลังแล้วยังควบคุมรถไปได้อย่างที่คิด ไม่มีอาการท้ายออกให้เสียวหลัง เลี้ยงความเร็วจนถึงช่วงหักเลี้ยวกระทันหัน ตัวรถมีอาการโคลงน้อยกว่าที่คิด ถ้าเทียบกับขนาดรถ คุมตัวรถหักหลบได้อย่างไม่มีปัญหา

จากนั้นก็สลาลมกันอีกรอบต่อด้วยการยูเทิร์น กดกันเต็มเท้ารถก็ยังไม่มีอาการตกใจ วนกลับมาขากลับเลยลองเพิ่มความเร็วอีก เสียงยางเริ่มมีแว่วเข้ามาในรถให้ตื่นเต้น แต่ก็ผ่านกลับมาที่จุดเริ่มต้นได้อย่างไม่มีปัญหา ไม่มีกรวยล้ม Instructor ปรบมือให้ รู้สึกดีจริงๆ

ส่วนเบาะหลังแอบไปลองนั่งแล้วสบายพอสมควร แต่ยังไม่กว้างขวางเท่ารถ D-Segment ที่จำหน่ายในบ้านเรา มีช่องแอร์ตอนหลังเย็นสบายทั่วถึง

เปลี่ยนมือกับผู้สื่อข่าวชาวเวียดนามกันจนครบรอบ Instructor บอกเวลายังเหลือให้อีกคนละรอบ ก็สนุกกันไป เพิ่มความเร็วมากขึ้น กล้ามากขึ้น บ้ากันมากขึ้น เป็นอันว่ากรวยล้มกันสนุกสนานรอบนี้

ลงจากรถ Commodore VXR ได้ไม่นานก็มีรถใหม่มาจอดรอทันที นี่คือรถเด่นอีกสองคันในงานวันนี้ โดยเริ่มจากรถ Holden Colorado SuperUte จากทีม 2018 UTE Team 18 AC Delco Racing โดยคันนี้เราจะได้นั่ง ผู้ขับคือTomas Gasperak นักขับมืออาชีพที่มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น!!!

ถามจริง ตอนอายุเท่านี้พวกท่านทำอะไรกันอยู่

Holden Colorado โมดิฟายเต็มสูบทั้งเครื่องยนต์และช่วงล่าง เพื่อใช้ในการแข่งรถกระบะทางเรียบ ECB SuperUtes Series สเปคคร่าวๆ เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.8 ลิตร พ่วงกล่อง Motec ปรับจูนจนได้กำลังสูงสุด 340 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 678 นิวตัน-เมตร จำกัดไว้ตามกติกาต่างๆที่กำหนดไว้สำหรับการแข่ง

เกียร์ Tremec / TR-6060 ระบบเบรกจาก Brembo ทั้งชุด คู่หน้า 6 Pot แบบ Mono block Caliper จานเบรกขนาด 380 มิลิเมตร เบรกคู่หน้า 4 Pot แบบ Mono block Caliper จานเบรกขนาด 313 มิลิเมตร

ช่วงล่างจาก SupaShock ทั้งโช้คและสปริง ส่วนช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบคอยล์สปริง ใช้ล้อขนาด 20″ พร้อมยาง 265/50R20 น้ำหนักตัวรถ 1,800 กิโลกรัม

เดินชมรถอยู่ไม่นานเจ้าหน้าที่สนามก็ยื่นหมวกกันน็อค พร้อมพาไปที่ตัวรถทันที โรลบาร์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของรถแข่งทำให้การขึ้นลงรถค่อนข้างลำบาก เจ้าหน้าที่รีบมาจัดระเบียบเข็มขัดนิรภัยแบบ 4 จุด ดึงจนแน่นเกือบหายใจไม่ออก หันหน้าไปเจอน้องคนขับยิ้มให้จับมือทักทาย

พร้อมแอบบอกไปว่า “นี้เป็นครั้งแรกของเราที่ได้นั่งรถแข่ง” น้องตอบกลับมาทันทีว่า “แล้วพี่จะชอบ!!!”

พูดไม่ทันขาดคำน้องTomas ก็เข้าเกียร์พร้อมออกตัวทันที เสียงล้อลากกกกกกก พร้อมวิ่งออกไปที่สนามทดสอบที่เป็นรูปแบบแทร็กสนามแข่ง มีทางตรงให้ใช้ความเร็วสูง แล้วโค้งกว้าง โค้งแคบครบทุกรูปแบบ

ผมไม่รู้ว่ารถวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่ รู้แต่มีแรงจีที่ดันให้เราหลังติดเบาะอยู่ตลอดเวลา ตามองไปที่หน้าปัดหน้ารถมีบอกเฉพาะรอบเครื่องยนต์ วิ่งทางตรงกดเต็มที่ เข้าโค้งน้องก็สับเกียร์ลง พร้อมสาดโค้งด้วยความเร็วสูงมาก และช่วงล่างรถก็ดีมากเช่นกัน ด้วยความเร็วขนาดนั้น แรงเหวี่ยงที่มีมากมายแต่ตัวรถไม่ได้เอียงหรือโคลงให้น่ากลัว

รอบสนามมีระยะทาง 4 กิโลเมตร เหมือนผ่านไปในพริบตาเดียว ก็ครบรอบ ไม่มีความน่ากลัว มีแต่ความสนุกกับแรงจีและสะใจกับความเร็วที่เป็นเราคงไม่กล้าทำขนาดนั้น

มาต่อกันที่รถสีแดงเด่นจอดรออยู่ข้างๆ คือรถ HSV Corolado Sport CAT+ กระบะ Colorado ที่ได้รับการปรับแต่งพิเศษจาก HSV (Holden Special Vehicles) ทั้งรูปร่างหน้าตาและสมรรถนะในการขับขี่

Colorado Sport CAT+ เป็นรถกระบะ 4 ประตู มีตัวถัง ยาว 5,345 มิลลิเมตร กว้าง 1,933 มิลลิเมตร สูง 1,826 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,095 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นถนนถึงพื้นใต้ท้องรถ (Ground Clearance) อยู่ที่ 251 มิลลิเมตรน้ำหนักรถเปล่า 2,274 กิโลกรัม ถังน้ำมันความจุ 76 ลิตร

เครื่องยนต์รหัส XLDE28 Duramax ดีเซลคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่น 4 สูบเทอร์โบ  DOHC 16 วาล์ว 2,776 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก   94 x 100 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.5 : 1 กำลังสูงสุด 200 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที หรือพูดง่ายก็คือ ใช้เครื่องตัวเดียวกันกับ Colorado 2.8 Duramax II ที่เป็นตำนานกระบะเดือดจากโรงงานในบ้านเราก่อนที่จะเลิกขายไปนั่นล่ะครับ

ส่งกำลังลงพื้นแบบ Part time 4WD พร้อมระบบปรับการขับเคลื่อนจากสองล้อหลังเป็นสี่ล้อ Electronic select shift on the fly  ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะอัตราทด

อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

อัตราทด เกียร์ 1……4.06

อัตราทด เกียร์ 2……2.37

อัตราทด เกียร์ 3……1.55

อัตราทด เกียร์ 4……1.16

อัตราทด เกียร์ 5……0.85

อัตราทด เกียร์ 6……0.67

เกียร์ถอยหลัง………..3.20

อัตราทดเฟืองท้าย…3.42

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบอิสระ ปีกนกสองชั้น พร้อมคอยล์สปริงและโช้คอัพมีซับแทงค์จาก SupaShock วิดีโอ  ส่วนด้านหลังแบบแหนมซ้อนแผ่นพร้อมชุดกันโคลงหลังแบบ de-coupling โดยชุดกันโคลงนี้จะทำงานเมื่ออยู่ในโหมดการขับเคลื่อนแบบ 2H กับ 4H ลดการโคลงตัวของตัวรถเพื่อให้การขับขี่ด้วยความเร็วได้อย่างมั่นใจ

แต่เมื่อใช้รถบนถนนในแบบ Off-Road ที่ต้องใช้ 4 L เหล็กกันโคลงล้อซ้ายและล้อขวาจะแยกการทำงานกันอย่างอิสระ เพื่อเพิ่มความสามารถในขับขี่แบบ Off-Road ให้ดียิ่งขึ้น พร้อมเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป (LSD)

ชุดเบรกคู่หน้าจาก APracing แบบ 4 pot จานเบรกแบบเซาะร่อง ขนาด 362 มิลิเมตร เบรกหลังแบบดรัมเบรกขนาด 295 มิลิเมตร ล้อสีดำด้านขนาด 18″ ใส่กับยาง ZEON LTZ PRO ALL-TERRAIN SPORTS ขนาด 285/60R18

ระบบบังคับเลี้ยว Electric Power Steering (EPS) รัศมีวงเลี้ยว 13.6 เมตร

ที่ดูโดดเด่นสำหรับเจ้า HSV Corolado Sport CAT+ น่าจะเป็นชุดแต่งต่างๆ  ใช้สีดำเป็นตัวตัดทำให้ดูโดดเด่น ฝากระโปรงหน้ามีพลาสติกสีแปะด้านบนดูดุดัน กระจังหน้าลายแปลกพร้อมโลโก้สีดำรูปหมวกกันน็อคคู่กับสิงห์ซึ่งเป็นโลโก้ของสำนักแต่ง HSV

กันชนหน้าสีเงินขนาดใหญ่พร้อมคู่ขอลากดูโดดเด่น ไฟตัดหมอกแบบ LED ด้านข้างเพิ่มโป่งล้อขนาดใหญ่สีดำ พร้อมสติ๊กเกอร์ SPORTS CAT ส่วนด้านหลังมีฝาปิดกระบะท้ายเปิดได้แต่ไม่สามารถเปิดยกทั้งหมด ติดด้วยแถบพลาสติกสีดำพร้อมคำว่า COLORADO

ตัวรถในรุ่นนี้จะยกสูงขึ้นกว่าตัว Holden Colorado ปกติอยู่ 36 มิลิเมตร ทำให้รถดูบึกบึนพอตัว

กระโดดขึ้นไปบนรถเตรียมขับ สำรวจดูภายในไม่แตกต่างจากตัวกระบะ Colorado ทั่วไป จะมีแค่ตัวเบาะกับคอนโซลหน้ารถที่มีหนังกลับเข้ามาตกแต่ง ตัวเบาะเวลานั่งแล้วไม่ลื่น พร้อมปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางในคู่หน้า

สักพัก Instructor ส่งสัญญาณให้ไปได้ ออกตัวไปทันที เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 200 แรงม้าที่เราคิดถึงก็ทำงานได้อย่างคุ้นเคย 2,000 รอบเมื่อไหร่ เรี่ยวแรงก็มาอย่างต่อเนื่อง ที่ชอบสุดคือเกียร์ที่ลื่นไหล เปลี่ยนได้อย่างนุ่มนวล

เราต้องขับแทร็กเดียวกับเจ้ารถแข่ง ดังนั้นรอให้เค้าซิ่งไปก่อนแล้วเราค่อยออกตามหลัง เหยียบให้มิด ทางตรงยาวๆ อัตราเร่งน่าพอใจ แต่ช่วงล่างที่พอจับความรู้สึกได้จะมีความเฟิร์มกว่าในตัวปกติ ที่จะติดนุ่มมากกว่า

เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงพอสมควร Instructor ไม่ห้ามก็จัดไป ดูลายยางบนแทร็ก แล้วก็ขับตาม การเข้าโค้งตัวรถมีความมั่นใจ ด้วยตัวรถกระบะที่น้ำหนักส่วนใหญ่อยู่ด้านหน้า อาจจะต้องยกความดีความชอบให้กับคอยล์สปริงและโช้คอัพมีซับแทงค์จากSupaShock พอพ้นโค้งมาแล้วตัวรถก็กลับมานิ่งไม่วอกแวก

บนพื้นถนนที่ไม่เรียบมีแรงสะเทือนสะท้านขึ้นมาอยู่ให้รู้สึก พวงมาลัยไฟฟ้าน้ำหนักตึงมือกำลังดี พวงมาลัยไม่คมจนเกร็ง วิ่งตรงๆ ได้อย่างผ่อนคลาย ขับสบายๆ ช่วงล่างเฟิร์ม เบรกนุ่มนวลหัวไม่ทิ่ม ขับง่ายสบายๆ

ครบ 1 รอบเข้าลานจอด ถึงเวลาพักเที่ยง หลังจากสนุกสนานจนเหงื่อออกมือจนชุ่ม ก็ได้เวลาผ่อนคลาย

Section 3 สุดท้ายของวันนี้……. นั่งรถชม GM Holden Proving Ground แล้วเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนารถในเครือ General Motors โดยรถที่พากลุ่มสื่อมวลชนไปคือ Cadilac CT6 Sedan 2018 สีแดงคันสวย กับกระบะอเมริกาคันใหญ่ GMC Canyon Denali

ไม่คิดมากกระโดดขึ้น Cadilac ทันที แต่ไม่ได้ขับ เป็นทีมงานวิศวกรที่ทำงานในสนามแห่งนี้พาไปชมศูนย์วิจัยและพัฒนา โดยงานหลักๆ จะเป็นการวิจัยเรื่องการปล่อยมลพิษของรถยนต์ โดยมีเครื่องมือในการวัดผลและวิเคราะห์ไอเสีย  โดยไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงห้องห้องปฏิบัติการตรวจวัดมลพิษมูลค่า 8.7 ล้านดอลล่าร์ออสเตรเลีย เพื่อรองรับมาตรฐานไอเสียที่สูงขึ้นในอนาคต

เข้าไปในตัวอาคาร ภายในเห็นรถติดสติกเกอร์ลายพรางตาจอดเรียงลายหลายคัน หลายแบบ หลายแบรนด์ เห็นแล้วตื่นตาตื่นใจ

โดยส่วนแรกที่เข้าชมจะเป็นการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยจะใช้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการพิเศษที่ทำให้มีอัตราการระเหยต่ำ เพื่อให้ผลวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้อย่างเม่นยำ โดยมีเครื่อง Dynamometer และมีค่ามาตรฐานในการชี้วัดให้ รถเร่งตามที่กำหนดโดยควบคุมผ่านห้องควบคุม

เมื่อรถทดสอบอัตราบริโภคน้ำมันแล้ว ไอเสียที่ได้จะผ่านแผ่นกรองเพื่อนำมาทดสอบค่ามลพิษ โดยเครื่องมือตัววัดนำเข้าจากประเทศเยอรมันนี ยิ่งมาตรฐานไอเสียยิ่งสูงเท่าไหร่ เครื่องมือในห้องปฎิบัติการต้องละเอียดขึ้นเท่านั้น อุปกรณ์มีชื่อเล่นที่ตั้งโดยวิศวกรที่นี่เรียกกันว่า Fish Tank (ตู้ปลา..แน่นอนว่าคนละตู้กับของ BNK48) เป็นตู้กระจกขนาดใหญ่แบบปิด อากาศภายนอกไม่สามารถเข้าได้ ภายในควบคุมโดยแขนหุ่นยนต์ในการแยกแผ่นกรองและตรวจสอบค่าไอเสียต่างๆ

รถยนต์ที่ผ่านการทดสอบแล้วจะเข้าไปในห้องควบคุมอุณหภูมิ โดยจำลองสภาพอากาศเย็นจัดจนติดลบ และร้อนจัด สลับกันไปมาและจะมีเซ็นเซอร์ต่างๆ ตรวจสอบว่าวัสดุในตัวรถเมื่อเจอสภาพอากาศต่างๆ แล้ว จะไม่ปล่อยสารที่ไม่พึงประสงค์ออกมาภายในรถตามมาตรฐาน พร้อมทดสอบเครื่องยนต์ว่ายังสามารถทำงานได้ปกติหรือไม่

ดูครบจนจบนั่งรถ Cadilac คันเดิมกลับไปลานกว้าง เพื่อรวมกลุ่ม และก็มีเซอร์ไพรส์จากทีม Instructor คือการได้ลองนั่งรถบนสนามทดสอบรูปวงกลม ผมและพี่ๆ สื่อมวลชนไม่รอช้าวิ่งขึ้น Holden Commodore VXR ในทันที

โดยสนามวงกลมนี้จะแบ่งเป็นสามเลน แต่ละเลนจะมีองศาเอียงแตกต่างกันเพื่อเหมาะสมในแต่ช่วงความเร็ว พอรถออกตัว Instructor ก็กดเต็มหลังติดเบาะความเร็วขึ้นไปที่ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมเปลี่ยนเลนไปเลนที่สาม ที่มีความลาดเอียงมากสุด พร้อมกับปล่อยมือโชว์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสนามวงกลมที่กว้างพอ และมีพื้นถนนที่ลาดเอียงพอ ด้วยความเร็วที่เหมาะสมรถจะวิ่งเหมือนเป็นเส้นตรง สามารถปล่อยมือขับได้อย่างสบาย Faster Faster ! เสียงยุจากหลังรถก็ดัง Instructor ก็จัดให้กดจนมิดไมล์ เลขสุดท้ายที่เห็นบนหน้าปัดอยู่ที่ 235 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนที่จะค่อยๆ ลดความเร็วและกลับเข้าไปที่ลานกว้าง เป็นการจบฉากของวันนี้

แล้วเราก็เตรียมกลับที่พัก หมดไปอีก1 วัน เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ

Day 3

วันนี้ต้องเตรียมเก็บของเพื่อบินไปอีกเมือง เตรียมอำลา MELBOURNE เป็นเมืองที่น่ารักจริงๆ เดี๋ยวไว้มีโอกาสจะกลับมาใหม่ แต่ก่อนจะบินในช่วงบ่ายมีอีกหนึ่งที่หมายที่ต้องแวะไปเยี่ยมเยือน ขึ้นรถบัสนั่งไปประมาณ 15 นาทีก็มาถึง สำนักงานใหญ่ GM Holden (พอร์ต เมลเบิร์น)

เรามาที่นี่ เพื่อเยี่ยมชม GM Australia Design Studio

ในช่วงแรก เราขึ้นไปในตัวอาคารเข้าไปในห้องประชุมก่อนเพื่อฟังคำบรรยาย ถึงความเป็นมาของแบรนด์ Holden และงานใน GM Australia Design Studio โดย Mr.Richard Ferlazzo ตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการออกแบบ จีเอ็ม ออสเตรเลีย

GM Australia Design Studio เป็นสำนักออกแบบที่มีความสำคัญของ GM ณ ที่แห่งนี้ พวกเขาสามารถสร้างรถต้นแบบแบบ 3D ได้และยังได้ฝากผลงานการออกแบบรถหลายๆ รุ่นให้หลากหลายแบรนด์ในเครือ GM รวมถึง Colorado และ Trailblazer รุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่ขายอยู่ในบ้านเราขณะนี้

และที่แห่งนี้ยังออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งตัวรถเพื่อให้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย และยังมีหน่วยงานในการวิจัยเทคโนโลยีในอนาคต เช่นระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เพื่อเป็นพื้นฐานไปสู่การสร้างระบบ Autonomous drive ในอนาคตอันใกล้

ฟังคำบรรยายเสร็จแล้วก็ได้เวลาไปดูของจริง โดยเริ่มจากแผนกการร่างแบบ จะมีรูปสิ่งของต่างๆ สีต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการออกแบบตัวรถ รวมถึงเลือกสี มีแบบทั้งรถใหม่ที่ยังไม่เปิดตัว และรถที่รอMinor Change แอบเห็นรถเด็ดๆ หลายคัน แต่เป็นความลับสุดยอด โดนยึดมือถือ ฝากกระเป๋าตามระเบียบ

แผนกต่อมาเป็นการขึ้นรูป ปั้นดินเหนียวด้วยมือตามแบบร่างในสเกลเล็ก เพื่อเป็นการให้เห็นเค้าโครงตัวรถเพื่อใช้ในการปรับแต่ง จากนั้นก็เป็นการขึ้นรูปในขนาดจริงด้วยดินเหนียว มีการใช้หุ่นยนต์ในการขึ้นโครงแล้วใช้ฝีมือคนในการปรับแต่งรายละเอียด ในห้องนี้จะมีแผนกที่เลือกวัสดุต่างๆ ที่จะนำมาใช้ภายในรถรุ่นนั้นๆ

มีทั้งหนัง มีทั้งผิวสัมผัสของวัสดุต่างๆ ทั้งไม้ โลหะ  พลาสติก หลากหลายแบบ จากนี้ก็จะมี เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการสร้างภาพจำลองและได้เห็นกันจริงๆ โดยใช้แว่น VR ซึ่งจะมีสองชุด ชุดแรกจะเป็นการจำลองภายในตัวรถ เพื่อใส่แว่นแล้วจะเสมือนอยู่ในตัวรถ สามารถเลือกตำแหน่งนั่งได้ และสามารถดูทัศนวิสัยโดยรอบในแต่ละตำแหน่งที่นั่งได้

ในส่วนที่สองคือรอบๆ ตัวรถ สามารถเห็นตัวรถได้รอบคัน เปลี่ยนสีรถได้ และเดินชมรอบๆ ตัวรถ เดินดูจนครบ Mr.Richard Ferlazzo ก็พาเดินชมรถต้นแบบต่างๆ ที่เคยออกแบบจากที่นี่ รวมถึงรถที่เค้าเป็นคนออกแบบด้วย ผลงานที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นคันนี้ Holden Efijy Concept ที่สวยแบบเหนือกาลเวลาจริงๆ

ได้เวลาต้องไปขึ้นเครื่องบิน รอบนี้เดินทางโดยสายการบิน Virgin Australia เที่ยวบิน VA0233 จากเมืองMELBOURNE สู่เมือง ADELAIDE ด้วยเครื่องบิน Boeing 737-800 ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 25 นาที ก็ถึงที่หมาย

เมือง ADELAIDE เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของรัฐในเซาท์ออสเตรเลีย และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของออสเตรเลีย เดินทางต่อไปยังที่พัก โดยคืนนี้พักที่ Hilton Adelaide พร้อมรับประทานอาหารที่โรงแรม ของเด่นที่นี้สเต็กเนื้อ Angus Australia เป็นการปิดท้ายวันที่อิ่มเต็มท้อง

แต่จะอิ่มแล้วนอนเพลินก็ไม่ได้ เพราะอันที่จริง Adelaide เป็นแค่จุดแวะพักของเราก่อนไปต่อที่เมืองอื่น

 

Day 4

พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดีต้องตื่นกันแต่เช้าเพื่อเตรียมที่จะบินต่อไปอีกเมือง เก็บของขึ้นรถไปสนามบิน บินต่อด้วยสายการบิน REX Regional Express เป็นสายการบินภายในประเทศเที่ยวบิน ZL4412 จากเมือง ADELAIDE สู่เมือง Coober Pedy ด้วยเครื่องบิน Saab 340

ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เครื่องบิน Saab 340 เป็นเครื่องใบพัดขนาด 34 ที่นั่ง ที่รู้สึกแปลกดีคงเป็นแถวหลังสุดที่นั่งเรียงกัน 4 ที่นั่งเหมือนรถบัส บนเครื่องมีบริการน้ำดื่มและขนม นั่งไปครึ่งชั่วโมงเครื่องก็ลง ไอ้ผมก็ตกใจทำไมถึงเร็วจัง

เฉลย..เขาแวะจอดที่เมือง Port Augusta เพื่อส่งผู้โดยสารและรับผู้โดยสารเพิ่ม ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเครื่องก็พร้อมบินต่อ  ใช้เวลาบนท้องฟ้าไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงที่หมายที่เมือง Coober Pedy

Coober Pedy เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ตอนกลางของรัฐในเซาท์ออสเตรเลีย มีประชากรเพียงสามพันกว่าคนเท่านั้น พื้นที่บริเวณนี้โดดเด่นด้วยสภาพภูมิอากาศแบบทะเลทราย ภูมิประเทศกึ่งทะเลทรายพื้นที่ดินสีแดงที่ราบสุดลูกหูลูกตา ไม่มีอะไรทั้งนั้น แม้แต่ต้นไม้ยังไม่มีให้เห็นเท่าไหร่นัก สมเป็นเมือง  OutBack แห่งประเทศนี้จริงๆ

หลังจากรับกระเป๋าและเตรียมออกเดินทาง ด้วยขบวนรถ Holden Colorado 2.8L 4X4 หลากหลายสี พร้อมใส่ชุดแต่งต่างๆ ที่พร้อมจัดจำหน่ายจริง ได้มาตรฐานและผ่านการทดสอบทั้งความปลอดภัยและความคงทน ทั้งกันชน ไฟแต่ง โรลบาร์และแผ่นปิดท้ายกระบะ หลากหลายแบบประเทศนี้คนส่วนใหญ่ที่ซื้อรถประเภทนี้นิยมเปลี่ยนกันชนเหล็กเพราะว่าต้องการเสียหายของตัวรถจากการชนสัตว์ป่า และยังมี Holden Trailblazer 2.8L 4X4

ผมแอบส่องตัวรถไม่ต่างกับ Chevlolet Colorado 2.5L 4X4 ในบ้านเรา แต่ที่เห็นความแตกต่างแอร์แบ็ก ที่ให้มามากกว่าบ้านเรา เพราะของเวอร์ชั่นออสเตรเลียนี้มีมา 7 ลูกรอบคัน

ขึ้นรถเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง ที่หมายแรกคือพื้นที่อนุรักษ์ Breakaways

เราขับออกจากสนามบิน Coober Pedy ไปประมาณ 30 กิโลเมตร ในประเทศออสเตรเลีย ใช้รถพวงมาลัยขวาเหมือนในประเทศไทย สื่อมวลชนไทยขับได้เลยไม่มีปัญหา แต่ด้วยกฎจราจรที่เคร่งครัด จึงต้องตามคนนำเป็นหลัก วิ่งไปบนถนนดำอยู่สักพัก เสียงจาก Instructor บอกให้ปรับระบบขับเคลื่อนจาก 2H ให้เป็น 4H แล้วก็เลี้ยวเข้าถนนฝุ่นลูกรังทันที วิ่งฝุ่นตลบจนมองคนนำไม่เห็น เลยต้องทิ้งช่วงจากรถคันนี้เพื่อให้เห็นทางและลดความเสี่ยงจากหินดีดมาที่กระจกบังลมหน้า ผ่านไปอีกไม่นานก็ถึงที่หมาย

พื้นที่อนุรักษ์ Breakaways โดยเป็นพื้นที่ดินรกร้างระยะทางราวๆ 5 กิโลเมตร อุดมไปด้วยพืชไม้นานาพรรณสีสันสดใสผุดขึ้น และมีสัตว์ต่างๆ อยู่บริเวณนี้ อีกทั้งมีหน้าผา หุบเขา และที่ราบ เราขับขึ้นไปจอดบนยอดเนินวิวแบบ 360 องศา พร้อมการต้อนรับจากทีมงานทั้งเต็นท์บังแดด และพื้นที่สำหรับรับประทานอาหารกลางวัน

รับฟังการบรรยายจากเจ้าหน้าที่อุทยาน ผมได้รู้ว่า บริเวณนี้จะอยู่ติดกับรั้วกันหมา Dingo ที่ยาวสุดในโลก  (Dingo Fence) Dingo คืออะไร? หน้าตามันคล้ายหมาวัดบ้านเรานี่แหละครับ แต่ตัวมันโตกว่า และจัดเป็นหมาป่าชนิดหนึ่ง รั้วนี้จะติดตั้งไว้พร้อมมีเจ้าหน้าที่ดูแล เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

ขับไปต่อประมาณ 10 นาทีก็ถึงแนวรั้ว Dingo Fence ที่ยาวสุดลูกหูลูกตา โดยรั้วนี้ทำขึ้นเพื่อป้องกันหมา Dingo ซึ่งมuความดุร้ายและทำร้ายสัตว์เลี้ยงและยังเป็นพาหะของโรคระบาดที่มาจากสัตว์ป่ามาติดสัตว์เลี้ยง รั้วสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1880 ทอดตัวจากดินเเดนที่เเห้งเเล้ง Jimbour มาถึงพื้นที่ราบ Nullarbor เดิมทีรั้วดั้งเดิมนั้นมีความยาวถึง 8,614 กิโลเมตร

แต่ปัจจุบันได้ลดระยะทางของรั้วลงเหลือประมาณ 5,614 กิโลเมตร เนื่องจากค่าบำรุงรักษาที่มากเกิน จึงย่นระยะทางที่ไม่จำเป็นออกไป แต่แค่นี้ก็ไกลมากแล้วครับ ลองคิดถึงรั้วที่ยาวจนลากเส้นจากประเทศไทยไปถึงญี่ปุ่นได้ดูสิครับ

แดดแรง ลมแรง ฝุ่นกระจาย ได้เวลาขึ้นรถและไปต่อ โดยจะกลับเข้าโรงแรมเพื่อผักผ่อนก่อนมีกิจกรรมต่อในช่วงเย็น โดยสองคืนนี้เราพักที่ Desert Cave Hotel

ขับเข้าไปในตัวเมือง บ้านเรือนจะดูเตี้ยๆ ไม่มีเป็นบ้านหลัง เพราะคนส่วนใหญ่มีอาชีพขุดเหมืองโอปอลดังนั้นจึงสร้างที่พักอยู่ในเหมืองที่ขุดลงไปในใต้ดิน หรือเรียกกันว่า Dugout เป็นคำที่ใช้เรียกที่อยู่ใต้ดินที่เกิดจากการขุด

ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ และชื่อเมือง Coober Pedy ก็เป็นชื่อที่เลียนเสียงมาจากภาษาพื้นเมืองว่า Kupa Piti ที่แปลว่าคนขาวที่อยู่ในรู  โรงแรมที่เราพักก็เช่นกัน โดยผนังห้องจะเป็นดินที่มีลวดลาย ทาด้วยแล็กเกอร์มัน เพื่อป้องกันผิวดินหลุดร่วงลงมา

ข้างนอกอากาศร้อน แต่ภายในห้องเย็นแบบไม่ต้องเปิดแอร์ เย็นสบายอย่างน่าแปลกใจ จึงหายสงสัยว่าทำไมต้องอยู่ในดินกัน

ถึงเวลานัดหมาย พร้อมออกเดินทางต่อกับกิจกรรมในเย็นนี้ เปลี่ยนรถ เปลี่ยนคนขับ ขับตาม Instructor เช่นเดิม เพราะถ้าไม่ตามกลับไม่ถูกแน่นอน มองไปทางไหนก็เหมือนกันไปหมด ทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา เพียง 10นาทีก็เลี้ยวเข้าไปในเหมืองโอปอลแห่งหนึ่งเป็นลานกว้างพร้อมมีเนินสูง ให้เราได้ทดสอบสมรรถนะของตัวรถ ทางเป็นฝุ่นและหินกรวด เนินดินสูงทั้งขึ้นและลง ขับวนกันเป็นลูป และสลับคนขับเพื่อได้ทดสอบกันทุกคน เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร ให้แรงบิดที่มหาศาล ตัวรถขับผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา ระบบขับเครื่อง 4 ล้อ พร้อม TCS (Traction Control System) และ HDC (Hill Descent Control)

ทำงานเสริมกันช่วยให้ผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้อย่างง่ายดาย ขับกันครบทุกคนก็ได้เวลากลับที่พักพร้อมฟังคำบรรยายสำหรับวันพรุ่งนี้

ฟังคำบรรยายก่อนจะรับประทานอาหารเย็นในคืนนี้โดย Mr.Sean Poppitt (ชอน พอพพิท) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสาร จีเอ็ม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคุณชอนเดินทางมากับเราจากกรุงเทพฯ  ร่วมทริปมากับเราด้วยความเป็นกันเอง โดยในวันพรุ่งนี้จะเป็นการขับยาวไปเมืองบนเส้นทาง Outback แบบจริงจัง

หลังจากจบการบรรยายก็พร้อมรับประทานอาหารเย็นและเด็ดสุดของอาหารมื้อนี้คือสเต็กเนื้อจิงโจ้!!! อร่อยกว่าที่คิด จิ้มน้ำจิ้มแจ่วยิ่งอร่อย ^^ เที่ยวไปบอกใครว่ากินจิงโจ้ คนไทยคงด่าว่าโหดร้ายทารุณ แต่ถ้าคุณได้มาลองของจริงสักครั้ง จะลืมทุกอย่างที่คนอื่นพูดครับ

Day 5

ตื่นแต่เช้าเช่นเดิม รอบนี้ผมขับมือแรก ได้รถ Holden Colorado 2.8L 4X4 โดยตะลุยไปบนทางฝุ่น จุดหมายปลายทางใช้ระยะทางไป-กลับกว่า 400 กิโลเมตร

ช่วงล่าง Colorado 2.8L 4X4 ให้ความนุ่มนวลดีเวลาขับทางเรียบ แต่แรงสะท้านเข้ามาในตัวรถบ้างเวลาเจอถนนที่ขรุขระ ถนนที่เราขับผ่านจะเป็นถนนดิน บางช่วงจะเป็นถนนลูกคลื่นจากรอยล้อตีนตะขาบ โดยตลอดทางจะมีป้ายเตือน ถนนลาดเอียง,ถนนเป็นร่อง,ถนนเป็นแอ่ง ตลอดเส้นทาง

Instructor ขับนำด้วยความเร็วเฉลี่ยอยู่ประมาณ 120-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฝ่นตลบอบอวล หินดีดกระเด็นจากคันหน้า ฝากรอยแผลไว้บนกระจกบังลมหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ

การขับรถด้วยความเร็วสูงบนทางฝุ่นเป็นอะไรที่ยาก เนื่องจากต้องมีสมาธิตลอดเวลา เมื่อเจอถนนที่เป็นเนินหรือแอ่ง ยางกับพื้นถนนจะไม่ได้ยึดกันเหมือนถนนลาดยางปกติ และทำให้ตัวรถไถลลื่น คนขับต้องรีบแก้อาการให้ตัวรถ โดยการยกคันเร่ง แก้ทิศทางรถแล้วค่อยๆ เติมคันเร่งช่วยให้รถกับมาวิ่งตรงตามปกติ

และต้องไม่ลืมด้วยว่ารถที่เราขับ เป็นรถสเป็คโรงงานที่ไม่ได้ปรับแต่งมาพร้อมโช้คอัพราคาหลายแสน (อุ๊บ)

บางจังหวะเป็นแอ่งแล้วต่อด้วยเนินสูงบนทางโค้ง พอจะชะลอความเร็วขึ้นเนินกลายเป็นทำให้รถเสียหลัก รีบปล่อยเบรกหักคืนพวงมาลัยเติมคันเร่ง เล่นเอาเหวอเหมือนกัน สภาพถนนถือว่าโหดจริงๆ การขับขี่ตลอด 1 ชั่วโมงเล่นเอาเหงื่อท่วมมือเลยทีเดียว

ถึงที่พักจุดแรก เปลี่ยนคนขับ พร้อมเดินทางต่อ ที่หมายแรกที่เราจะหยุดพักก็คือ ทะเลทราย Painted Desert พื้นที่รกร้างสลับด้วยแนวเขาโดดเด่นด้วยสีสันของชั้นหินหลากหลายเหมือนภาพวาด เกิดจากการทับถมของชั้นผิวใต้ทะเล เนื่องจากบริเวณนี้เคยเป็นมหาสมุทรมาก่อน

พักถ่ายรูป ยืดเส้นยืดสายพร้อมไปต่อ เปลี่ยนรถ เปลี่ยนคนขับแล้ว จุดหมายต่อไปคือเมือง Oodnadatta

ที่จอดพักคือที่ The Pink Roadhouse ร้านค้ากลางเมือง Oodnadatta ที่เป็นศูนย์รวมทั้งร้านค้า ปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร และที่ทำการไปรษณีย์ ร้านเป็นอาคารไม้สีชมพูโดดเด่น จอดรถถ่ายรูปพร้อมเติมพลังร่างกายด้วย

ของดีของดังของเมืองนี้คือ Oodnadatta Burger

Burger เนื้อชิ้นใหญ่หลากหลายชั้น ทั้งผักกาด ชิ้นเนื้อเบอร์เกอร์ ไข่ดาว สับปะรด เบคอน และบีทรูท เสิร์ฟคู่กับมันฝรั่งทอดชิ้นใหญ่ โรยด้วยผง chicken salt เป็นอะไรที่เด็ดมาก เค็ม หวาน เปรี้ยว มัน ครบทุกรส

อิ่มกันแล้วได้เวลาเดินทางกลับ ลุยฝุ่นคลุกดินคลุกหินอีก 200 กิโลเมตรเพื่อกลับไปที่เมือง Coober Pedy

ถึงที่พักกันอย่างปลอดภัยพร้อมรถโดนกระจกบังลมหน้าร้าวไปสองสามคัน จากนั้นนัดหมายเพื่องานรับประทานอาหารเย็นสุดเซอร์ไพรส์ที่ทาง GM Holden จัดเตรียมให้เราในคืนนี้

ถึงเวลานัดหมายขับรถออกจากที่พักเลี้ยวเข้าไปกลางทุ่งทะเลทรายแผนที่ใน GPS ก็ไม่มีเรียกได้เต็มปากว่า Middle of Nowhere ไม่นานก็ถึงที่หมาย รถเลี้ยวเข้าไปจอดในเหมืองแห่งหนึ่งกลางทะเลทราย เดินลงไปใต้ดินเราก็พบโต๊ะจัดเลี้ยงจัดไว้อย่างเรียบร้อยและหรูหรา

อาหารเย็นมื้อนี้อยู่กันใต้ดิน อากาศเย็นๆ มีฝุ่นบ้างแต่โดยรวมสะอาดสะอ้าน ก่อนที่จะเริ่มงานเลี้ยง มีการพาชมเหมืองโอปอลแห่งนี้รอบๆ  อาหารเมืองนี้หลากหลายสัญชาติด้วยเครื่องเทศและการปรุง ไปหาข้อมูลมาว่าจึงรู้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่เต็มเป็นด้วยผู้คนหลายสัญชาติรวมกันกว่า 45 สัญชาติ จึงเป็นอาหารที่อร่อยอีก 1 มื้อเลยทีเดียว

คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย เตรียมเดินทางกลับไทยถือเป็นคืนที่ประทับใจมาก อิ่มกันแล้วก็กลับที่พัก อากาศข้างนอกหนาวมากกกกก เข้านอนดีกว่า

Day 6

ก่อนที่จะเตรียมเดินทางกลับ ยังมีอีกหนึ่งจุดหมายที่เราต้องแวะก่อน เหมืองแร่โอปอล์ Tom’s Working Opal Mine บริเวณพื้นที่แห้งแล้งแห่งนี้ มีความเป็นมาในปีค.ศ.1915  ได้ค้นพบโอปอลครั้งแรกในพื้นที่แห่งนี้ หลังจากนั้นข่าวก็ดังไปทั่วโลก ทำให้มีผู้คนมาพร้อมกับความหวัง หลายชาติหลายเผ่าพันธ์มุ่งตรงมาให้พื้นที่แห่งนี้เพื่อแสวงหาโอปอลอันมีค่า โอปอลที่ค้นพบพื้นที่แห่งนี้ นั้นมีสัดส่วนมากถึง 70 เปอร์เซนต์ ของโอปอลทั้งหมดที่ค้นพบบนโลก นั่นคือที่มาของสมญานาม “เมืองหลวงแห่งโอปอล”

 

รอบบริเวณเหมืองจะมีกองดินและหลุมจำนวนมากทั่วบริเวณ เราเดินลงไปทางเข้าเหมืองฟังความเป็นของโอปอลบริเวณนี้ ที่มีจำนวนมากเพราะเมื่อหลายล้านปีก่อนพื้นที่แห่งนี้เป็นมหาสมุทร เมื่อพื้นดินยกตัวขึ้นมาทำให้มีซากสัตว์ทะเลจำนวนมากทับถมอยู่จนเวลาผ่านไปซากสัตว์เหล่านั้นก็แปรสภาพมาเป็นโอปอลที่สวยงาม

ผู้บรรยายได้เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนที่เริ่มมาขุดโอปอล ในเมืองนี้เป็นหนี้เป็นสินมากมาย จนเกือบจะท้อ แต่พอได้เจอสายแร่โดยบังเอิญ ก็สามารถทำเงินได้หลายล้านเหรียญในไม่กี่ปี ดังนั้นการมาขุดเหมืองที่นี้เป็นเหมือนการเล่นการพนัน เพราะไม่รู้ว่าจะเจอเมื่อไหร่อยู่ที่โชคล้วนๆ

หลังจากฟังคำบรรยายเสร็จ ก็พาเดินลงไปในเหมือง ต้องใส่หมวกนิรภัยเพื่อความปลอดภัยก่อนเข้า การขุดเหมือง จะใช้วิธีการระเบิด และใช้รถขุด พร้อมใช้ไฟฉาย UV ในการดูสายแร่ ถ้าเกิดการสะท้อนแสงแปลว่ามีสายแร่บริเวณนั้น ถ้าเห็นสายแร่แล้วจะใช้มือในการขุดต่อเพื่อลดความเสียหายของโอปอล

และดินและหินขุดหรือระเบิดก็จะไม่ทิ้งจะถูกดูดและส่งไปด้านบน เพื่อทำการค้นหาโอปอลต่อไป

 

เดินดูจนครบเตรียมบินกลับบ้าน

ทีมของพวกเราแวะจัดPizza ถาดใหญ่มากและอร่อยมากกกเช่นกัน ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินอีกสามต่อเช่นเดิม จากเมือง Coober Pedy บินลงเมือง ADELAIDE บินต่อสู่เมือง MELBOURNE แล้วค่อยกลับเมืองไทย

 

ถ้าให้มองภาพรวมของการเดินทางครั้งนี้ ผมมองว่าเป็นทริปที่สนุกมาก ได้ทั้งความรู้และได้ผจญภัยในพื้นที่ที่เข้าถึงยากและกันดาร ซึ่งถ้าเราจะเลือกไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งในออสเตรเลีย ผมเชื่อว่าพวกเราก็คงไม่ไปที่นี่ แต่ด้วยทั้งรถ Colorado และรถ Trailblazer ที่สามารถพาเราตะลุยไปได้ ทั้งยังสามารถไว้ใจในด้านความปลอดภัยและสมรรถนะของตัวรถ ทำให้เราสามารถเข้าไปถึงพื้นที่เช่นนั้นที่คนทั่วไปมักไม่คิดจะไปกัน

อันที่จริงไม่ใช่แค่ Colorado หรือ Trailblazer ที่ไปได้หรอกครับ แต่ให้มองในมุมที่ว่า ถ้าหากรถไม่มีความพร้อม มีปัญหาจุกจิก เปราะบาง ไม่ทนต่อแรงกระแทก เช่นไอ้ทางลูกรังที่พวกคุณเห็นแล้วจะวิ่งกัน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พวกเราห้อกันไป 140 เป็นระยะทางยาวๆ รถไม่แหก แต่กระจกแตกเพราะหินดีด อันนี้คงเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

 

เรื่องตัวรถ ผมคงไม่ต้องพูดถึงอะไรมาก เพราะอย่างที่ท่านอ่านในรีวิว Colorado ของในเว็บนี้ ก็จะทราบอยู่แล้วว่านอกเหนือจากจุดต่างที่เครื่องยนต์ 2.5 กับ 2.8 ลิตร กับจำนวนถุงลมนิรภัยแล้ว รถที่พวกเราได้ใช้กันก็มีคุณภาพในระดับที่ไม่ต่างจากของออสเตรเลีย ส่วนเรื่องประสิทธิภาพของรถนั้น Chevrolet ก็มักจะมีอยู่บนทางสายกลางตลอด แต่จะมีจุดเด่นคือการให้เครื่องยนต์ในระดับ High Power 180 แรงม้าและอุปกรณ์ที่ค่อข้างครบในราคาที่ถือว่าถูก

แต่ทั้งหมดนี้ จะทำให้รถขายได้ ก็ต้องพึ่งพาศูนย์บริการ และการดูแลลูกค้าหลังการขาย ซึ่งผมก็ทราบดีว่าหลายท่านอาจจะมีประสบการณ์ที่ไม่น่าประทับใจนัก เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว รถดีใช้ได้ ราคาโดนใจ แล้วทำไมยอดขายไม่ติด Top 3 เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา และต้องใช้ความตั้งใจร่วมกันตั้งแต่ระดับ Contact Point ที่ติดต่อกับลูกค้าโดยตรง ไปจนถึงระดับผู้บริหารผู้กำหนดนโยบาย

แต่ในฐานะลูกชายคนหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์ ผมเติบโตมาที่นี่ และมีโอกาสได้เห็นผู้แทนจำหน่ายของ Chevrolet ในจังหวัดเล็กๆ สามารถสร้างยอดขายสู้กับจังหวัดใหญ่อื่นๆได้ โดยไม่ได้ใช้โมเดลธุรกิจที่ซับซ้อนอะไรมากไปกว่าการดูแล ผูกสัมพันธ์กับลูกค้าเหมือนเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักกันจริงๆ ไม่ใช่แค่คู่ค้าธุรกิจ นั่นหมายถึงเมื่อลูกค้ามีปัญหา ปัญหาของลูกค้าก็จะเปรียบเสมือนปัญหาของเขาด้วย

ผมว่าบางที เราต้องหลีกนี้จากนโยบายหรือแนวคิดที่ซับซ้อน แล้วโฟกัสไปที่ การทำตัวให้คนอื่นรู้สึกอุ่นใจ มั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าต่างจังหวัดหรือในเมืองใหญ่ ใครล่ะครับจะไม่อยากได้ความรู้สึกเหล่านั้น แค่ปรับบริการจนทำให้ลูกค้าสามารถรับรู้ถึงจุดนี้ได้ ผมว่า Chevrolet จะยังมีหนทางในประเทศไทยไปอีกนาน

 

 

ขอขอบคุณ / Special Thanks to:

General Motors Thailand and Chevrolet Sales Thailand

เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้

 

Sirisak Setpattanachai

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน

ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์ในต่างประเทศ และภาพกราฟฟิค เป็นของ

ผู้เขียน และ GM HOLDEN AUSTRALIA

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com

 

Copyright (c) 2018 Text and Pictures

Use of such content either in part or in whole

without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com