เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้เขียนเคยรายงาน 10 รถยนต์ที่ไม่น่าประทับใจในสายาลูกค้าชาวอเมริกัน โดยให้อ้างอิงเหตุผลด้านการใช้งานเป็นหลัก เพราะมันคือด่านแรกที่ลูกค้าจะตัดสินได้ว่าจะเป็นสาวกค่ายรถยนต์แบรนด์นั้นอยู่หรือไม่

ในเมื่อฟังเสียงด้านลบกันมามากพอสมควรแล้ว คราวนี้เราลองมาอ่านข้อมูลด้านบวกกันบ้างดีกว่า เมื่อ Consumer Report ได้ประกาศรายชื่อ 10 สุดยอดรถยนต์ที่ลูกค้าชาวอเมริกันประทับใจมากที่สุด โดยวิเคราะห์จากการสำรวจข้อมูลดัชนีความพึงพอใจของเจ้าของรถประจำปีมากกว่า 5 แสนคัน มาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ยจะเกิดจากเจ้าของรถลงคะแนนตามหัวข้อต่าง ๆ 6 หมวด ได้แก่

  • ประสบการณ์การขับขี่
  • ความสะดวกสบาย
  • ความคุ้มค่า
  • สไตล์
  • ระบบเครื่องเสียง
  • ระบบปรับอากาศ

1.Tesla Model S
รถยนต์ไฟฟ้า EV ขนาดใหญ่ที่มีให้เลือกทั้งแบบ 5 ที่นั่งหรือ 7 ที่นั่งด้วยการติดตั้งเบาะนั่งแถวที่ 3 แบบหันหน้าไปยังท้ายรถ แบตเตอรี่ความจุ 75 กิโลวัตต์ชั่วโมงรองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 380 กิโลเมตร ใช้เวลาชาร์จจากไฟบ้าน 6 ชั่วโมงด้วย Tesla Connector หรือจะชาร์จจาก Supercharge ที่ใช้เวลาน้อยกว่า มีการขับขี่เงียบสงบ, อัตราเร่งทะยานอย่างน่าตื่นเต้น, การบังคับที่แม่นยำ แต่ก็ยังมอบช่วงล่างที่นุ่มและแน่นด้วย ซึ่งก็เกิดจากยางขอบ 19 นิ้วและช่วงล่างแบบถุงลม

การออกแบบที่ดูคล้ายรถ Hatchback ก็ช่วยเพิ่มความอเนกประสงค์และยังแอบมีพื้นที่เก็บของเพิ่มเติมบริเวณห้องเครื่องด้านหน้า, หน้าจอสัมผัสขนาด iPad รวบรวมฟังก์ชันการทำงานไว้มากที่สุด แต่หน้าจอแบบนี้ก็ทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิได้

จุดด้อยตัวรถก็มีพอสมควรบ้าง ได้แก่ การเข้า-ออกห้องโดยสารที่ค่อนข้างลำบาก, ทัศนวิสัยทึมทึบ และยังมีระยะทางวิ่งสูงสุดที่ยังจำกัด เมื่อเผชิญสภาวะอากาศหนาวเย็น ส่วนจุดเด่นมาก ๆ เลยก็คือ Tesla Model S ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบความปลอดภัย Active Safety แบบจัดเต็ม

2.Porsche 911
รูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่นของ 911 สามารถกลมกลืนไปยังบรรดารถ Sport ยุคใหม่ได้ มีประสิทธิภาพและสมรรถนะ เครื่องยนต์ทุกแบบได้รับการปรับปรุงแล้ว โดยรุ่นล่างจะได้เครื่องยนต์ 370 แรงม้า ส่วน Carrera S จะได้เครื่อง 420 แรงม้า ทั้งคู่จับคู่เกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ

Porsche 911 มีอัตราเร่งฉับไว มีการขับขี่ที่ให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งเดียวกับตัวรถ เสียงท่อไอเสียก็เปล่งออกมาอย่างยอดเยี่ยม การขับขี่ทางไกลก็ไม่ใช่ปัญหาของรถคันนี้เพราะมันมอบทั้งความนุ่มนวลและการเก็บเสียงที่ดี เพียงแต่ด้วยการออกแบบตัวรถที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำเตี้ย ก็อาจทำให้เข้า-ออกห้องโดยสารยากเสียหน่อย ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบและสร้างมาอย่างประณีต แต่ปุ่มและสวิตช์ต่าง ๆ อาจทำให้ผู้ขับงงในตอนแรก

3.Chevrolet Corvette
ขุมพลัง V8 6.2 ลิตร 455 แรงม้าให้พละกำลังอย่างล้นเหลือ และมีภายในที่ดูคุ้มค่า มีเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะเป็นตัวเลือก แต่ถ้ารู้สึกว่ายังแรงไม่พอจงเลือกรุ่น Z06 650 แรงม้า โครงสร้างตัวรถทำจากอลูมิเนียม ลดน้ำหนัก และเพิ่มความแข็งแกร่ง

ไม่ว่าคุณจะเลือกตัวถังแบบ Coupe หรือเปิดประทุน คุณก็สามารถสัมผัสอัตราเร่งที่ฉับไว และมีการบังคับควบคุมที่เฉียบคม พร้อมโหมดการขับขี่ที่ช่วยเสกให้ Corvette กลายเป็นรถแข่งหรือเป็นรถวิ่งทางไกลได้ เบาะนั่งช่วยรับสรีระและนั่งสบาย แต่ก็อย่าลืมว่าตัวรถมันต่ำเตี้ย ที่อาจจะต้องใช้ทักษะกายกรรมเพื่อเข้า-ออกห้องโดยสาร เกียร์ธรรมดามีการทำงานที่ดูคลุมเครือ และมีเสียงยางบดถนนให้ได้ยินกัน

4.Lincoln Continental
สุดยอด Flagship Sedan ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก MKZ ด้วยขนาดตัวถังและระยะฐานล้อที่ยาวยิ่งขึ้น ข้อเสียเครื่องยนต์รุ่นล่าง V6 3.7 ลิตร เรี่ยวแรงน้อย เครื่องยนต์ V6 2.7 ลิตร Twin Turbo มีเรี่ยวแรงกว่าเยอะ รุ่นบนสุดจะได้เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร Twin Turbo 400 แรงม้า ส่งกำลังยังล้อคู่หน้า และมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นออพชั่น

การขับขี่สะดวกสบายมาก และมีภายในที่เงียบมาก การบังคับควบคุมสามารถตอบสนองได้อย่างดี แต่ตัวรถก็สามารถให้ความผ่อนคลายยามเดินทางไกลได้ ภายในห้องโดยสารถูกตกแต่งมาอย่างดี และกว้างขวางมาก โดยเฉพาะห้องโดยสารตอนหลัง เบาะคู่หน้ามีหน้าตาแปลก ๆ แต่ก็ยังรองรับสรีระได้

Consumer Report ลงความเห็นว่าพวกเขาไม่คุ้นเคยกับเกียร์แบบปุ่มกด และการย้ายปุ่มควบคุมที่จำเป็นไปยังแผงข้างประตู แต่ถ้าเมื่อเทียบกับราคาจำหน่ายแล้ว ก็นับว่า Lincoln Continental สามารถแข่งขันกับรถหรูในระดับเดียวกันได้

5.Ford F-350
รถกระบะ SuperDuty มีจุดเด่นที่ทุกคนจะรำลึกเสมอ คือ มันรองรับงานบรรทุกหนักและจัดการกับงานยากลำบากได้ สำหรับรุ่นปี 2017 จะมีการลดน้ำหนัก, พัฒนาความสมบูรณ์แบบและติดตั้งเทคโนโลยีใหม่

ทีมงาน Consumer Report ลงมติเอกฉันท์ว่า Ford F-250 เป็นกระบะบรรทุกหนักที่ชื่นชอบ ดังนั้น F-350 ที่เป็นรถใช้พื้นฐานเดียวกันก็สร้างความพึงพอใจในแบบเดียวกัน

6.Mazda MX-5 Miata
Mazda MX-5 รุ่นที่ 4 ยังคงสูตรสำเร็จรถสปอร์ตขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ขับเคลื่อนล้อหลัง ถึงแม้ว่าเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 155 แรงม้า อาจมีเลขแรงม้าที่ไม่น่าจะปลื้มนัก แต่มีการออกตัวที่รวดเร็วและมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในแบบเดียวกับรถยนต์ขนาดเล็ก การเปลี่ยนเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะสามารถสร้างความเพลิดเพลินในการขับขี่ได้ จนไม่อยากจะขับเกียร์อัตโนมัติ ที่ถึงแม้ว่ามันจะทำผลงานออกมาได้ดีก็ตาม

พวงมาลัยบังคับได้อย่างว่องไวและเฉียบคมที่ให้ความรู้สึกถึงพละกำลังจากล้อคู่หลัง และบางครั้งอาจจะมีอาการ Body Roll เห็นชัด ข้อเสียสำคัญคือมันมีเสียงรบกวนเข้ามามากและเบาะนั่งไม่รองรับสรีระ การขับขี่ที่แข็งกระด้างสร้างความเหนื่อยล้าขณะเดินทางไกล พื้นที่ห้องโดยสารแสนสะดวก หน้าจอสัมผัสที่ควบคุมการรับสายได้ และรุ่นหลังคาเปิดประทุน ทำงานได้อย่างง่ายดาย

7.Toyota Prius
จากผลทดสอบของทีมงานพบว่า Prius รุ่นใหม่ประหยัดน้ำมัน 52 MPG โดยเฉลี่ย ดีกว่ารุ่นเดิมที่ทำได้แค่ 44 MPG แถมยังการบังคับควมคุบที่ตอบสนองดี และมีการขับขี่ที่มอบความสะดวกสบายยิ่งขึ้น แผงมาตรวัดจอสีดิจิตอลสามารถแสดงผลข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองได้ชัดเจน หน้าจอสัมผัสใช้งานได้ง่ายไม่ซับซ้อน

จุดเด่นที่ดีตลอดมาของ Prius คือประสิทธิภาพและอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อขับความเร็วมากกว่านั้น เครื่องยนต์ก็จะผสานกำลังกันอย่างนิ่งเงียบ แต่มีข้อเสียคือ เบาะนั่งดูราคาถูก, เสียงยางบดพื้นถนนดัง, การเข้า-ออก ภายในรถไม่สะดวกนัก เพราะมันมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ

สำหรับ Plug-in Hybrid จำหน่ายในชื่อ Prius Prime สามารถวิ่งในโหมดรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ไกลสูงสุด 37 กิโลเมตร ใช้เวลาในการชาร์จประจุไฟฟ้า 120 โวลต์ ภายใน 5 ชั่วโมง ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

8.Tesla Model X
รถคันนี้โชว์ความอเนกประสงค์ด้วยประตูรถที่เปิดได้กว้างสุด ๆ สามารถเข้า-ออกห้องโดยสารตอนหลังได้สบาย แต่ทว่าด้วยความที่บานประตูมันใหญ่มาก อาจจะต้องใช้เวลาในการเปิด-ปิดเสียหน่อย กระจกบังลมหน้ามีขนาดใหญ่ พาดผ่านเนื้อที่เหนือศีรษะผู้โดยสารตอนหน้า ช่วยทำให้รู้สึกปลอดโปร่งและดูล้ำสมัย

ลูกค้าสามารถเลือกรุ่นเบาะนั่งแบบ 5/6/7 ที่นั่งได้ แต่เบาะแถวที่สองพับเก็บไม่ได้เพราะมันเป็นเบาะ Captain การขับขี่ก็จะเหมือน ๆ กับ Model S คือ ฉับไวมากและมีการบังคับควบคุมที่ดี แต่ทว่าความสบายและการเก็บเสียงอาจจะดีไม่เท่ากับ Model S

9.Honda Odyssey
Odyssey รุ่นที่ 5 ดูประณีตขึ้น, เก็บเสียงดีขึ้น, ประหยัดน้ำมันและมีการปรับปรุงระบบหน้าจอสัมผัส ความยืดหยุ่นในการพับเบาะก็ถูกปรับปรุงด้วยเช่นกัน เบาะแถวสองสามารถปรับเลื่อนได้ เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร 280 แรงม้า มีพละกำลังเพียงพอ เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ระบบการเชื่อมต่อและเก็บข้อมูลทำงานได้ดีจนคนในครอบครัวพึงพอใจ

เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร 280 แรงม้า มีพละกำลังที่เพียงพอ และเกียร์อัตโนมัติที่ไม่สร้างความน่ารำคาญ สำหรับรุ่น Touring และ Elite จะติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ เครื่องยนต์ทำงานอย่างนุ่มนวล มีพลัง ราบเรียบ แต่น่าเสียดายไม่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือก

การขับขี่นั้นสะดวกสบายมาก, ห้องโดยสารเก็บเสียงเงียบ, มีการบังคับควบคุมที่แข็งแรง อย่างไรก็ตามระบบเกียร์แบบกดปุ่ม สร้างความน่ารำคาญเมื่อตอนจอดถอยหลัง และมีหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วให้เป็นออพชั่นเสริม แต่นั่นก็ทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิได้

10.Dodge Challenger
ตัวรถอาจจะดูเก๋าแบบ Old School แต่ตัวรถจริง ๆ ก็เป็นรถที่ทันสมัยและดูน่าตื่นเต้นมาก เพียงแต่รถมันอาจจะหนักและกว้างเกินไปหากต้องการขับขี่บนถนนแคบ ๆ หากวิ่งบนถนนโล่ง ๆ แล้วล่ะก็จะพบว่าตัวรถมีความสมดุลและมอบความสนุกสนานในการขับขี่ได้

เครื่องยนต์ V8 ให้เสียงที่ฟังแล้วอบอุ่น, การขับขี่สบาย, เก็บเสียงดี แต่การเปลี่ยนเกียร์อาจจะยากและคลัทช์ดูแข็งขืนไป เบาะนั่งด้านหลังค่อนข้างกว้าง แต่เข้า-ออกไม่สะดวกเอาเสียเลย

Dodge Challenger Performance Package ประกอบด้วยเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ V8 6.4 ลิตร 485 แรงม้า, V8 6.2 Supercharge 707 แรงม้า ในรุ่น Hellcat, V8 6.2 ลิตร 808 แรงม้าในรุ่น Demon จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ

ที่มา : Consumer Report