กัปตันนราธิป และลูกเรือ การบินไทย เที่ยวบินที่ TG216 นำพาผม และสื่อมวลชนร่วมคณะ
คนอื่นๆ ร่อนลงแตะพื้นรันเวย์ สนามบินสุวรรณภูมิ เย็นวานนี้ อย่างปลอดภัย แม้หมู่มวล
ก้อนเมฆ บนท้องฟ้า จะไม่เป็นใจนักก็ตาม

ผมเพิ่งกลับมาจาก ภูเก็ต สดๆร้อนๆ เมื่อเย็นวานนี้ ครับ กลับจาก ทริป ทดลองขับ BMW
ซีรีส์ 5 ใหม่ รุ่น 523i ประกอบในประเทศ ซึ่งถือว่า เปิดตัว ได้เร็วเกินไปกว่าที่เราคาดคิดมากมาย

ถือเป็นทริปที่ เหมือนกับว่า พี่ไหม (พิศมัย เตียงพาณิชย์) PR ใจดี แม่ลูกสอง ของ BMW Thailand
อยากจะให้ผมได้ไปพักผ่อนกับคนอื่นๆ เขาบ้าง มากกว่า เลยใส่ชื่อผม เอาไว้ในกลุ่ม 2 อันเป็นกลุ่ม
สื่อมวลชนประเภท นิตยสาร แนว ไลฟ์สไตล์ อาจจะมี กลุ่ม สื่อมวลชน สายรถยนต์ โผล่มาบ้าง
ก็ไม่กี่คน เช่น พี่เจ อ้วนดำสุดเลิฟ แห่ง เดลินิวส์ กับพี่แมน ทัศไนย ไรวา บก.บห นิตยสาร Car
ที่ตาแพน หรือ Commander CHENG ของเรา เป็น นักแปล Freelance ให้อยู่ ซึ่งนี่แหละ ที่ทำให้ผม
ค่อนข้างแฮปปี้ กับทริปนี้มาก ตามประสา คนที่ไม่ค่อยได้หยุดพักผ่อนเท่าไหร่นัก ทำแต่งาน
หามรุ่งหามค่ำเป็นหลัก (เรียกได้ว่า ถ้าบริษัทรถยนต์ ไม่ได้ชวนไปทริปไหน ก็แทบจะไม่ได้ไปเที่ยว
ต่างจังหวัดอะไรกับใครเขาเลย)

ก็ใครจะไปนึกละ ว่า คราวนี้ จะได้นั่ง บนเครื่อง คนเดียว สบายๆ แถมนั่งอยู่ริมหน้าต่าง โดยไม่มี
ใครมานั่งข้างๆ ให้อึดอัดใจเล่น เป็นเช่นนี้ ทั้งเที่ยวไป และเที่ยวกลับ! แถมยังได้นอนพักผ่อน
สบายๆ เพียงคนเดียวตามลำพัง ในห้องพัก ของโรงแรม Sheraton กระบี่ อีกต่างหาก!

พอมานั่งนึกๆดู นอกจากทริปนี้ จะได้มาขับ BMW ซีรีส์ 5 ใหม่ กันแล้ว มันยังถือเป็นทริปที่
มีความเกี่ยวข้องกับเลข 5 มากมาย อยู่ 5 ประการ ด้วยกันเลยทีเดียว! ลองมานับกันเล่นๆ ดีกว่า

–  นี่เป็นครั้งที่ 5 ของปีนี้ ที่บริษัทรถยนต์รวม 5 ค่าย ชวนผม ไปลองขับรถของพวกเขา ที่ภาคใต้
   (สรุปว่า  ไป 3 ทริป ไม่ว่าง 2 ทริป)  ซึ่งก็ชวนให้งุนงงฉิบหายเลยว่า ทำไมต้องพร้อมใจกัน แห่
   มาจัดทริปลงไปภูเก็ต กระบี่ ชุมพร กันจังเลยแหะ?

–  ค่ำวันนั้น ได้เจอ คุณ Keng คุณผู้อ่านของเรา ซึ่งเคยนัดพบกันแล้ว เมื่อครั้งที่ผมมาร่วมทริป
    ทดลองขับ Mazda 2 Sedan และพักที่ Sheraton กระบี่ เหมือนกันเป๊ะ อีกต่างหาก สักพักเดียว
    ไม่นานต่อมา ตากอล์ฟ จาก หนังสือพิมพ์ Post Today เพื่อนร่วมอาชีพ เข้ามาร่วมวงคุยกันด้วย
    แม้คุณเก่ง จะลากลับไปตอน ตี 1 ครึ่ง แต่ ผมกับ ตากอล์ฟ ยังคุยกันยาวต่อเนื่อง จนถึง ตี 2
    สรุปรวมแล้ว เราคุยกัน นานถึง 5 ชั่วโมงพอดี!

–  ในคืนนั้น กว่าที่ผมจะหลับตาลงได้ นาฬิกา ก็บอกเวลา ตี 5 เข้าไปแล้ว (แถมต้องตื่นตอน
    7.00 น. เพื่ออาบน้ำ แต่งตัว แพ็กกระเป๋า แล้วบึ่งไปรับประทานอาหารเช้า) อันที่จริง ก็ไม่ควร
    เอาเยี่ยงอย่างหรอกครับ การนอนน้อยๆ แล้วขับรถทางไหลเนี่ย

–  เวลาตั้งแต่ เริ่มนำข้าวของไปไว้ยัง รถคันที่เราแต่ละคน จะนั่งประจำอยู่ เพื่อขับจากกระบี่ ลงไปภูเก็ต
   จาก 10.30 น. แม้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง บนถนน แต่เมื่อร่วมเวลาแวะพักต่างๆ จนถึง เวลา
   15.30 น. ที่เรา ขับรถมายัง สนามบินภูเก็ต จอดคืนรถกันที่ ประตูทางเข้าอาคารผู้โดยสารขาออก จน
   เป็นที่ตื่นตาตื่นใจแก่ผู้คนแถวนั้น ยิ่งนัก (ยกเว้น Hnda Jazz สีดำ รุ่น V คันเดียว ทื่หงุดหงิด จากการที่
   พวกเรา จำเป็นต้องนำรถไปจอดขวางเขา ในระยะไม่นานนัก อย่างมาก จนขับพุ่งพรวด ออกจากบริเวณ
   นั้นไป)  สรุปแล้ว เวลาที่เราใช้ในการเดินทางทั้งหมด 5 ชั่วโมง พอดีๆ!

–  ทริปนี้ เครื่องบิน TG216 ลงแตะพื้นรันเวย์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และจอดสงบนิ่ง สัญญาณ
   รัดเข็มขัดนิรภัย ดับลง (อันหมายความว่า เครื่องบิน ลงจอดเรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์) เมื่อเวลา
   5 โมงเย็น 50 นาที…

–  และที่สำคัญ เหนือสิ่งอื่นใด ทริปนี้ เจอคนที่น่าพูดคุยด้วย 5 คน รวด!

คนแรก เป็นคนที่ ผมเจอหน้าพี่เขาบ่อยมากกกกก ในระยะหลังๆ ช่วง ปีที่แล้ว จนถึงปีนี้
ทุกครั้งที่เจอกัน หน้าที่ของเขา ในแทบจะทุกทริป ทั้งของ BMW หรือบริษัทรถค่ายอื่นๆ
ก็คือ การนำขบวน กลุ่มสื่อมวลชนร่วมทริปอย่างพวกเรา พุ่งผ่านสภาพการจราจร ต่างๆ
ไปจนถึง กั้นรถในแต่ละสี่แยก เพื่อให้เราสามารถขับผ่านไป และทำเวลาได้อย่างต่อเนื่อง
ไม่ให้ รถในขบวนที่ตามกันมา หลุดออกไปจากขบวน (ซึ่งนี่คือ สิ่งที่สำคัญเลยทีเดียว
สำหรับการขับรถร่วมทริปในต่างจังหวัด ระยะทางยาวๆ เพราะถ้าหลุดแล้ว โอกาสหลงทาง
หรือหายไปเลยนั้น มีค่อนข้างมากอยู่)

พี่เขามากัน 2 คน มาพร้อมด้วย รถจักรยานยนต์ ส่วนตัว ที่พี่เขาทำงานเก็บเงินซื้อเอง!!

คันแรก จะนำขบวน เป็น Lead Car จะคอยขึ้นไปปิด สี่แยกเอาไว้ กันไม่ให้มีรถคันอื่นๆ
ตัดเข้ามา หรือตัดหน้าขบวน เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ส่วนอีกคันหนึ่ง ก็จะขี่แซงหน้าขบวน
ของเราขึ้นไปทางซ้าย…ด้วยความเร็วที่ผมคิดว่า มันต้องเร็วมากแน่ๆ เพราะในบางทริป
ขนาดว่า เข็มความเร็วของขบวนเรา วิ่งกันอยู่ที่ระดับ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว แต่
ผมก็มักจะเห็น BMW คันสีทอง คันใดคันหนึ่งในสองคันนี้ วิ่งแซงพวกเราไปทางซ้าย
แบบ…ด้วยความเร็วที่ พวกเราถูกแซงฉีกหายขาดลอย….เจอพี่เขาอีกที เขาก็ไปดักรถสิบล้อ
ที่กำลังจะปาดเข้ามายังเลนขวา ที่เรากำลังขับตามๆกันอยู่ ไปบล็อกเอาไว้ให้ เพื่อความปลอดภัย
ของทุกๆคน เรียกได้ว่า เอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อพวกเราส่วนรวมกันอย่างแท้จริง

และ รูปข้างบนนี้ คือ จักรยานยนต์ ของพี่เขา…!!

ครับ BMW นี่ละ!! เห็น 2 คันนี้ ในทริปไหน รับประกันความฮาแตก และความมันส์ ได้ครบถ้วน
ในทริปนั้น ตั้งแต่ภาพ การขับไปดักหน้า รถคันที่อาจก่ออันตรายให้กับขบวน การพูดคุย
ผ่านวิทยุสื่อสาร ที่ มีลีลาสำนวน ยียวนกวนต่อมฮา ไปจนถึง เรื่องเล่าอันมากมายก่ายกอง
ยามร่วมโต๊ะสนทนากินข้าวกัน ในช่วงค่ำคืน 

เขาคนนี้ก็คือ พี่เฉลิมพล หรือ ที่เรามักเรียกพี่เค้าว่า “พี่เฉ” นั่นเอง

เหตุที่จับพลัดจับพลู เข้ามารับหน้าที่นำขบวนให้เราได้ ก็เป็นที่มา แบบไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
คือมาจากการที่ ทาง Event Organizer หรือบริษัทรับจัดงานกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุน
งานโฆษณา การตลาด หรืองานประชาสัมพันธ์ รายหนึ่ง มีคอนเนคชัน กับ พี่เฉ อยู่แล้ว
เพราะเคยร่วมงานกันมา พอทาง BMW เกิดอยากจะจัดทริป ทาง Organizer รายนั้น ก็เลย
แนะนำ พี่เฉ มาให้รู้จัก ด้วยลีลา ขับขี่เร็วโคตรๆ จนทำให้เราชวนให้เผลอคิดไปว่า เราเป็นบุคคล
สำคัญ ระดับรัฐมนตรี V.I.P เพราะพี่เฉ กับพี่อีกท่านหนึ่ง สองคน ช่วยกัน ขี่รถจักรยานยนต์
นำขบวนพวกเรา ไปอย่างปลอดภัย แม้วันฝนตก ในทริป ลองขับ BMW ซีรีส์ 7 ใหม่
ขณะขับเข้า กรุงเทพฯ ก็ยังมีแวะจอดข้างทาง เปลี่ยนมาใส่เสื้อกันฝน แล้วก็พุ่งหลาว
ขึ้นมานำขบวนพวกเรากันต่อไป จนรถพัง เครื่องดับ ต้องออกจากการแข่งขัน…เอ้ย!
การนำขบวนของเราไป โดยปริยาย ก็เคยมีมาแล้ว  ทำให้ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ BMW
ที่ยินดีให้พี่เฉ มาช่วยนำขบวน แต่ตอนนี้ บริษัทรถยนต์ค่ายอื่นๆ ก็ยังเริ่ม ติดต่อพี่เฉ
ให้มาช่วยนำขบวน ทริปของพวกเขากันบ้างแล้ว แม้กระทั่งล่าสุด เมื่อครั้งที่ ประธานใหญ่
ของ Nissan อย่าง Carlos Ghosn มาทำพิธี ปล่อย March ส่งออกไปญี่ปุ่น ตำรวจที่ขับรถ
นำขบวนให้ ลุง Ghosn ตลอด 1 วันที่อยู่กรุงเทพฯ ก็หาใช่ใครอื่นไกล..ครับ พี่เฉ อีกนั่นแหละ!

ปกติ พี่เฉ รับราชการอยู่ ที่สภ.อ.แห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ขอไม่บอกสถานที่ชัดเจนแล้วกัน
เดี่ยวอาจจะเป็นเรื่อง เจ้าตัวเล่าว่า สไตล์การทำงานก็คือ สั่งการ ผ่านเครื่องมือสื่อสารต่างๆ
บริหารเวลาให้ดีๆ แล้วก็มีอาชีพสารพัด รายการล่าสุด ก็เห็นจะได้แก่ การเป็นวิทยากร
อบรม ด้าน พรบ.จราจร ให้ทั้ง มหาวิทยาลัยศรีปทุม (ซึ่งเจ้าตัว ก็กำลังเรียน “ปริญญาเอก”
อยู่ที่นั่น 1 ใบ!!!! ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก)  รวมทั้ง ตามโรงงานต่างๆ ใน อิสเทิร์นซีบอร์ด
นี่ยังไม่นับสารพัดอาชีพอื่นๆอีกจิปาถะมากมายก่ายกอง

คือ ต่อให้ผม เอาหัวโขนของการเป็นตำรวจที่ พี่เฉ สวมอยู่ ออกไป ผมก็ยังมองว่า พี่เฉ เป็น
ตำรวจที่แปลกประหลาดที่สุดคนหนึ่ง เท่าที่ชีวิตผมเคยเจอมา วิธีคิด ไม่เหมือนตำรวจทั่วไป
ฮา รั่ว มันส์ คิดเยอะ คิดลึก รอบคอบ และเจ๋ง ใช้ได้ คนหนึ่ง เป็นคนที่ คิด และวางแผน
กับชีวิตไว้พอสมควร แสวงหาความสุขให้ตัวเอง และครอบครัว เป็นหลัก คือ ถ้าว่างพอ
ลองนั่งคุยกันสัก 10 นาที คุณจะได้อะไรจากสิ่งที่ พี่เฉ คิด อีกเยอะเลยทีเดียว แต่ขอย้ำว่า
คุณต้องว่างพอ เพราะ เชื่อเถอะ ถ้าไม่มีใครมาเรียกตัวพี่เฉ ไปทำอะไรอย่างอื่น คุณได้นั่ง
คุยกับพี่แก เกิน ชั่วโมง แน่ๆ! นิทานเยอะมากกกกกกกกกกก

จะอย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวนะ แต่ เราหลายๆคน พากันลงความเห็นแล้วละ
ว่า พี่เฉ คงรับราชการตำรวจ เป็นงานอดิเรก ไปแล้วละ (ฮา) 

คนที่ 2 และ 3 มาด้วยกันเป็นคู่ ครับ
คุณเอิร์ธ สายสว่าง ที่ปรึกษา นิตยสาร “ผู้หญิง” / Director of  PR  & Communication : The OASIS SPA
และคุณปิยดา วชิรเมฆินทร์ หรือคุณไก่ Editor in Chief แห่ง นิตยสาร “ผู้หญิง

แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับคุณไก่ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผมได้พบเห็นคุณเอิร์ธ แน่ๆ
เพราะจากที่จำความได้ ครั้งแรกที่ผมเห็นตัวตนของ คุณเอิร์ธ ก็คือ รายการ ทีวี วาที 9 ใหม่
ทางช่อง 9 อสมท. ของ บริษัท ภาษร โปรดักชัน โดยคุณ กรรณิการ์ ธรรมเกสร (ใครยัง
จำได้บ้าง) ก็เห็นฝีปาก อันเฉียบคม มันส์ และ ฮา ตอบโต้ เหล่า นักโต้วาทีระดับพระกาฬ
ได้สนุกสนานมากมาย ไม่แพ้ใคร หลังจากนั้น ก็พอจะพบเจอภาพข่าว ตามงานสังคมต่างๆ
จากหน้าที่การงาน ในฐานะ อดีต PR โรงแรม มือระดับต้นๆ ของประเทศ

พอเล่าไปว่า จำคุณเอิร์ธได้ ตั้งแต่ สมัย ดูรายการนี้ ตอน ป.6 คุณเอิร์ธ ก็พูดออกมาว่า
“เออ แปลกนะเนี่ย ไม่ธรรมดา ท่าทางจะชอบของแปลก” (ฮา)

งานนี้ BMW เชิญ คุณไก่มาร่วม ในฐานะ สื่อมวลชน แนว ไลฟ์สไตล์ แต่คุณไก่เอง
ก็อยากจะพาคุณเอิร์ธ มาร่วมงานด้วย ซึ่งนั่นทำให้ทาง BMW มารู้ในภายหลังว่า
ที่จริงแล้ว คุณเอิร์ธเอง ก็เป็นลูกค้าอีกคนหนึ่งของ BMW เช่นกัน เลยกลายเป็น
การคืนกำไรให้ลูกค้าไปในตัว

สารภาพกับเจ้าตัวไปแล้วครับว่า ที่ไม่กล้าเข้าไปทักทายก่อน เพราะดูคุณเอิร์ธ น่าจะดุ
ได้ยินดังนั้น คุณเอิร์ธ  ก็บอกว่า “สงสัยคงเป็นเพาะพี่ไม่ค่อยพูดมั้ง เออ แล้วพี่ควรจะ
ทำยังไงดีละเนี่ย” ผมก็ตอบไปว่า “ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ ดีอยู่แล้ว เป็นตัวของเราเอง
แบบนี้แหละดีที่สุด จบ”

จะว่าไป ผมก็เคยมีปัญหาแบบนี้เหมือนกัน คือเวลา ผมไปงาน ต่างๆ มีหลายคน ที่มาทราบ
ในภายหลังว่า อยากจะเข้ามาทัก แต่ก็ไม่กล้า เพราะดูเหมือนกับว่า จะหยิ่ง…อยากจะฝาก
บอกไปว่า เข้ามาทักผมได้นะครับ ไม่กัดหรอก ไม่ดุ ไม่ต้องให้อาหาร ไม่ต้องพาไปฉีดยาด้วย
เลี้ยงง่าย เชื่อง ร่าเริงได้ทั้งวัน ราวกับกินเพ็ดดีกรี เข้าไปทั้งห่อใหญ่ๆ แค่อย่าทำให้โกรธก็พอ แฮ่ม!

ทั้ง 2 ท่าน เป็นกันเองกว่าที่คิดไว้ในตอนแรกเสียอีก และขอขอบคุณมากๆครับ
สำหรับมิตรภาพที่หยิบยื่นให้คนตัวเล็กๆ แต่ร่างไม่เล็ก อย่างผม

คนที่ 4 คราวนี้ ต้องถามคุณผู้อ่านกันก่อนละครับว่า เคยไหม กับการนั่งรถ บนถนนในเมืองไทย
โดยมีชาวต่างชาติ เป็นคนขับไปให้ ราวกับคุ้นเคยถนนเมืองไทยเป็นอย่างดี ? มันเป็นความรู้สึก
แปลกๆ ดี นะครับ!

แม้ว่าตอนเด็กๆ ผมอาจจะเคยนั่งอยู่ในรถ Civic 3 ประตู ของ อาจารย์ Rosemary ชาว Texas
ซึ่งเคยสอนภาษาอังกฤษ ให้ผมตั้งแต่ ป.1 – ป.6 สมัยเรียนอยู่ที่ กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
อาศัยกลับบ้านมาแล้วในบางครั้ง แต่นั่นก็ 10 กว่าปีมาแล้ว และฝรั่งคนนี้ ก็ทำให้ผมนึกถึง
เรื่องเก่าๆนั้นขึ้นมาได้อีกครั้ง เขาคนนี้มีชื่อว่า Oliver Irvine ตำแหน่ง Assistance Editor
ในนิตยสารแนว Variety Lifestyle ภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ชาย แต่พิมพ์ในไทย ที่มีชื่อว่า
2 Magazine ซึ่งพี่ไหม เขาฝากมาให้ อยู่ร่วมรถคันเดียวกับผม และ พี่แมน (ซึ่งโชคดีที่เรา
จ้ออังกฤษกันรู้เรื่อง และสำเนียงของ Oliver ก็ไม่รัวเร็วจนฟังยากนัก)

ผมเห็นลักษณะการขับรถของเขาแล้ว คิดว่า ฝรั่งคนนี้ น่าจะชอบรถยนต์ อยู่พอตัว เลยลอง
ถามไถ่ดูได้ความว่า Oliver มาจากอังกฤษ ในเมืองแห่งหนึ่ง ห่างจากกรุง London ไปประมาณ
4 ชั่วโมง ครอบครัวของเขา ดูเหมือนว่าจะรัก Volkswagen ใช้การได้ เพราะรถที่บ้านนั้น มีตั้งแต่
Jetta ยัน Touareg เลยทีเดียว เขาชอบ Golf GTi เหมือนผม และมาอยู่เมืองไทยได้ 2 ปีแล้ว ภาษา
อังกฤษพอได้ แต่ภาษาไทยไม่กระดิกเท่าไหร่เลย กระนั้น เขาก็ชอบเมืองไทยมากๆ ไปมาแล้ว
หลายที่ ทั้งสมุย และภูเก็ต แต่ เขาชอบสมุยมากกว่า เพราะมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า และ
ค่าครองชีพ ข้าวของต่างๆ ไม่แพงกับนักท่องเที่ยว เท่ากับในภูเก็ต นอกจากนี้ เขาเคยมาร่วมทริป
ทดลองขับรถยนต์ ในบ้านเราแบบนี้ หลายครั้งแล้วด้วยเหมือนกัน และที่น่าแปลกสำหรับผมก็คือ
Oliver พักอาศัย ณ อพาร์ทเมท์ แห่งหนึ่ง ในซอยพหลโยธิน 5 ซึ่งก็ดันเป็นละแวกเดียวกับ ร้าน
Toys Coffee ที่ทีม Headlightmag.com ของเรา ไปสิงสถิตกันอยู่ทุกค่ำวันศุกร์ นั่นเอง!

มิน่า ผมก็ถึงคุ้นๆ ว่า เคยเห็น Oliver มาก่อนแล้วที่ไหนสักแห่ง…
————————
และท้ายที่สุด คนที่ไม่คาดฝันว่าจะได้พบ คนที่ 5 ผมพบชายคนนี้ ระหว่างเดินเข้าไปใน
เครื่องบิน ของ การบินไทย เที่ยวบิน TG216 ขากลับจากกระบี่ – สุวรรณภูมิ

ขณะกำลังเดินขึ้นเครื่องบิน พอเดินผ่าน ประตูเครื่องไปแล้ว ได้ยินเสียงร้องทักว่า
“คุณจิมมี่ ใช่ไหมครับ?” หันไปดู อ้าว! Air Pusur ท่านนี้ เป็นคุณผู้อ่านของเรานี่เอง!!
มองจากเข็มกลับติดเสื้อ มีนามว่าคุณ Chumpat ได้คุยกันสั้นๆ ว่าปกติแล้ว งานที่ทำ
ก็ต้องบินไปเรื่อยๆ ไม่ได้ประจำอยู่ในไฟลต์ นี้แต่อย่างใด พี่เขาติดตามอ่าน สิ่งที่
ผมเขียน ตั้งแต่ สมัยยังอยู่ Pantip แต่ พอย้ายมาอยู่ Headlightmag.com แล้ว เจ้าตัว
ไม่ค่อยได้มีเวลาเข้าไปอ่านเท่าไหร่….

เอ่อ ทีหลัง ย้ายเข้ามาอ่านในนี้เถอะนะครับ ที่นั่น ผมเลิกเข้าไปข้องแวะด้วยแล้วละ!

ทั้งหมดนั้น คือ 5 คน 5 บุคลิก 5 อาชีพ 5 ความคิด อันแตกต่างกัน ที่ผมได้มีโอกาสพบปะ
พูดคุยด้วย ตลอดทริป ทดลองขับ ซีรีส์ 5 ใหม่ ในคราวนี้ ถือเป็น เรื่องดีๆ ที่ผมไม่ได้
คาดคิดมาก่อน ว่าจะได้พบเจอ

และ มันก็เป็นเช่นเดียวกับ ซีรีส์ 5 ใหม่ รุ่นประกอบในประเทศคันนี้ นั่นละครับ
ซีรีส์ 5 ซึ่งคุณผู้อ่านหลายๆคน คงจะรออ่านด้วยความอยากรู้ ว่ามันจะดีกว่าเดิม
มากน้อยแค่ไหน หรือไม่ อย่างไร

งานนี้ Headlightmag.com ของเรา จัดให้คุณผู้อ่านได้รับรู้รายละเอียดแบบคร่าวๆ
ของรถคันนี้ ในรูปแบบของ Exclusive First Impression เป็นรายแรกในเมืองไทย
ก่อนใครอีกตามเคย เหมือนเช่นที่เกิดขึ้นมาแล้วกับรถยนต์หลายๆรุ่น มากมาย
ทั้ง Nissan Teana , Toyota Camry HYBRID, Mitsubishi Lancer EX ไปจนถึง
Nissan TIIDA Minorchange, Nissan March, ฯลฯ

อย่าว่าแต่คุณผู้อ่านจะรออ่านเลยครับ ตัวผมเอง ยังรอจะลองขับ แทบไม่ไหวเลย
ก็เพราะว่าผมหนะ รอคอยมาตั้งแต่ ปี 2004 แล้วหนะสิ ยังจำได้เลยว่า ตอนนั้น วินาทีแรก
ที่ผมได้เห็น ซีรีส์ 5 รุ่นตัวถัง E60 เป็นครั้งแรก ผมก็ถามตัวเองว่า “นี่เราจะต้องทนดูหน้าตา
ของรถรุ่นนี้ ไปอีก 6 ปีเลยเหรอ?”

ไม่ใช่ว่า E60 จะดูไม่สวยแต่อย่างใด มันมีมุมสวยของมันอยู่ และหลายๆคนก็ชอบใน
งานออกแบบของมัน เพียงแต่ ผมว่ามันยังสวยไม่เท่า ซีรีส์ 5 รุ่น ก่อนหน้านั้น (รหัสรุ่น
E39 ซึ่งเปิดตัวเมื่อ ปี 1995) มากกว่า และในปี 2004 ผมยังอยากเห็นพัฒนาการของ รถรุ่น
ซีรีส์ 5 ใหม่ ในทิศทางที่มันควรจะเป็น อย่างในรุ่นใหม่ F10 ที่เพิ่งจะเปิดตัว เมื่อ ปลายปี
2009 นี้ต่างหาก ว่ากันง่ายๆคือ ตัวถังนี้ ควรจะคลอดออกมาขายตั้งแต่ปี 2004 แล้วนั่นเอง
(แต่ ก็ไม่แน่นะ ถ้าออกมาขายตอนนั้น อาจขายไม่ดี ก็เป็นได้)

เพราะ รถรุ่นล่าสุด ซึ่งใช้รหัสรุ่นว่า F10 นั้น มีเส้นสายที่สวยงาม ลงตัว ดูแล้ว ก็ยังคงไว้ซึ่ง
ความเป็น BMW แม้ว่า สำหรับสายตาของผู้ที่ไม่ได้สนใจเรื่องรถยนต์มาก่อน ยังยากที่จะ
แยกแยะ ว่ารุ่นไหนคือรุ่นก่อน รุ่นไหนเป็นล่าสุด ก็ตาม แต่ที่แน่ๆ เสน่ห์ อันน่าประทับใจ
บนเส้นสายและการออกแบบของ ซีรีส์ 5 รุ่น E39 อันโปรดปรานของผม และอีกหลายคนนั้น
มันกลับมาแล้วครับ และมาในรูปแบบที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม เสียด้วยสิ!

ก็เพราะว่ามันลงตัวขึ้นกว่าเดิม ไงละ ทั้ง แนวเส้นบ่าข้างที่ลงตัว สมดุล อยู่ในตำแหน่งเหมาะสม
แนวโค้งบริเวณ กรอบประตูคู่หลัง สไตล์ Hofmeister Kink ถูกปรับปรุงให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
เพื่อเพิ่มการมองเห็นทิวทัศน์ ของผู้โดยสารบนเบาะหลัง ได้ดีขึ้น และช่วยให้กระจกหน้าต่าง
ไฟฟ้า ของประตูฝั่งผู้โดยสารแถวหลัง ทั้ง ซ้าย – ขวา เปิดเลื่อนลงได้จนสุดขอบประตูนั่นเอง

บริเวณตัวถังด้านข้าง ก็มีการเล่นแนวเส้นเพื่อเพิ่มความพริ้ว แต่แฝงมาดอันอบอุ่น หรูหรา
ผสมบุคลิกของรถยนต์แนวกึ่งสปอร์ต Gran Turismo เอาไว้ด้วยกัน ได้อย่างสวยงาม

ไฟท้ายเป็นหลอด LED รูปตัว L แนวขวาง ถูกออกแบบให้เฉียงขึ้นเล็กน้อย พร้อมทั้งอ้อม
รอบตัวถังสู่ด้านข้าง เข้ากันได้ดีกับพื้นผิวโค้งตัวถังที่เว้า รวมทั้งลายเส้นแนวขวาง ด้านใน
ชุดไฟท้าย

แนวเส้นสายตัวรถทั้งคัน ต่อเนื่องมาจากด้านหน้า ทั้งฝากระโปรงหน้า ที่มีแนวเส้นโค้งมน
แบบ Power Dome โยงเข้าหา กระจังหน้าแบบไตคู่ ขนาดใหญ่ เพื่อแฝงถึงความมีอำนาจ
ดูคมคาย ชุดไฟหน้าเป็นแบบ Bi-Xenon พร้อมวงแหวน LED หรือ โดนัท เปลี่ยนจากสีเหลือง
เป็นสีขาวนวล เหมือนดวงตาที่จ้องเขม็งไปยังพื้นถนน มีไฟตัดหมอกหน้า มาให้ กระจกม
องข้างเป็นแบบปรับ และพับเก็บได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า และมีไล่ฝ้า มาให้ ส่วนกันชนหน้า
เมื่อมองรวมกับ ชุดไฟหน้าจะพบว่า คล้ายกับนักวิ่งผู้มีมัดกล้าม ที่พร้อมจะพุ่งทะยาน
ออกจากจุดปล่อยตัวนักกีฬากันได้เลยทีเดียว

มือจับประตู ถูกออกแบบมาให้ กลมกลืน เป็นหนึ่งเดียวกันกับ เส้นบ่า พาดข้างตัวถัง ที่ช่วย
เสริมบุคลิกให้รถดูทะมัดทะแมง และหนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

คือ ถ้าถามใจผม คงจะตอบอย่างไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลยว่า นี่คือ ซีรีส์ 5 ที่ผมเห็นแล้ว
ชอบที่สุด ตั้งแต่ที่วิศวกรเยอรมันเขาทำกันมาเลยละ! ไม่แปลกใจที่จะคว้ารางวัล  ด้านการ
ออกแบบยอดเยี่ยม Red Dot Design Award 2010 มาหมาดๆ

มิติตัวถังของ 523i มีความยาว 4,899 มิลลิเมตร กว้าง 1,860 มิลลิเมตร สูง 1,464 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,968 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถเปล่าๆ นั้น BMW Thailand ไม่ได้แจ้งมาให้
จึงต้องขอเอาไปเทียบกับเวอร์ชัน เยอรมัน ซึ่งใช้เครื่องยนต์ แตกต่างจากเวอร์ชันไทย โดย
น้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ ประมาณ 1.7 ตัน และถ้ารวมน้ำหนักบรรทุก พร้อมของเหลว ก็น่าจะ
อยู่ที่ประมาณ 2.2 ตัน

ในช่วงแรก BMW ซีรีส์ 5 รุ่นประกอบในประเทศ จะมีให้เลือกเพียงแค่รุ่น 523i อันมีทางเลือก
2 ระดับการตกแต่ง ทั้งรุ่นมาตรฐาน และรุ่น High Line อันเป็นรุ่นที่จะอัดแน่นด้วยอุปกรณ์มากมาย
ครบครัน จน รุ่นพี่อย่าง 530d ถึงขั้นมองหน้าเจ้า 523i อย่าง..งงๆ ว่า “เฮ้ย ข้าวของในตัวเอ็ง นี่
มันก็เยอะไล่เลี่ยกับข้า เลยนะเว้ย!”

การเปิดประตูรถนั้น รุ่น HighLine จะให้กุญแจรีโมทคอนโทรล พร้อมระบบ Comfort Access
เพียงแค่พกกุญแจรีโมท เอาไว้กับตัว เมื่อจะเข้า – ออกจากรถ แล้วดึง หรือ แตะมือจับประตู
เพียงเท่านี้อระบบจะสั่งล็อก หรือ ปลดล็อก เพื่อให้เข้า – ออกจากรถได้สบายขึ้น และสามารถ
ติดเครื่องยนต์ได้ ด้วยการกดปุ่ม Start ฝั่งซ้ายมือ ใต้แผงหน้าปัด

การเข้า ออกจาก ห้องโดยสาร ในตำแหน่งคนขับของ ซีรส์ 5 ใหม่ ยังคงทำได้ดีไม่ต่างจาก
รถรุ่นเดิมเลย และด้วยระบบ Comfort Access ระบบจะเลื่อนพวงมาลัย และเลื่อนเบาะคนขับ
ต้อนรับการเข้าไปนั่งในรถของคุณ ให้เหมาะสมกับค่าที่ตั้งเอาไว้ ในหน่วยความจำ ซึ่ง
เรียกได้จากสวิชต์ ที่แผงประตู

เบาะนั่งคู่หน้า ปรับตำแหน่งต่างๆ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ที่ติดตั้งบริเวณฐานของชุดเบาะ สามารถ
สั่งปรับได้มากถึง 20 ตำแหน่ง และแทบจะเรียกได้ว่า เหมือนๆ จะยกชุดมาจาก BMW
7 Series กันเลยกระมัง เพราะนอกจากจะนั่งสบายแล้ว ยังสามารถเลือกปรับได้ อย่างละเอียด
ตั้งแต่ มุมองศา ของพนักพิงเบาะครึ่งท่อนบน การบีบเพื่อโอบกระชับตัวผู้ขับขี่ ฯไม่เว้น
แม้แต่ สวิชต์ สำหรับปรับตำแหน่ง ที่ดันหลัง ให้สูง – ต่ำ หรือ ดันหลังมาก – น้อย ฯลฯ
แถมมีหน่วยความจำ ตำแหน่งเบาะที่เคยปรับไว้ มาให้ 2 ตำแหน่ง ทั้งเบาะคนขับ และ
ผู้โดยสารด้านหน้า ฝั่งซ้าย

ตำแหน่งการนั่ง นั้น รองรับความสบายในทุกอิริยาบถอย่างแท้จริง พื้นที่เหนือศีรษะ มีขนาด
ใหญ่โตมากกว่า การวางแขน ทั้งบนแผงประตู และ กล่องเก็บของ คอนโซลกลาง ทำได้อย่างดี
และไม่มีอะไรให้ต้องตำหนิเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่า เบาะหน้า สอบผ่าน และถือได้ว่า นั่งสบาย
มากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับการเดินทางไกลๆ

ทางเข้าเบาะหลัง คืออีกจุดที่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ผลจากการขยายระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นจาก
รุ่นเดิม ถึง 80 มิลลิเมตร เป็น 2,968 มิลลิเมตร ซีรีส์ 5 ใหม่ จึงกลายเป็นรถยนต์นั่ง ซีดาน
ในกลุ่ม Premium Mid-Size Saloon ที่มีระยะฐานล้อยาวที่สุดในกลุ่ม และนั่นส่งผลให้
รถรุ่นนี้ มีห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้น กว่าเดิม สังเกตดีๆ จะเห็นว่า มีช่องแอร์ สำหรับ
ผู้โดยสารด้านหลังมาให้ แต่ไม่มีสวิชต์ แยกปรับอุณหภูมิมาให้

หลังจากที่โดนด่าในรถรุ่นที่แล้วว่า นั่งด้านหลังไม่สบาย เพราะ เบาะรองนั่งเตี้ยไป นั่งแล้วจม
คราวนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับรถรุ่น E60 เดิม ซีรีส์ 5 ใหม่ F10 มีความยาวของพื้นที่วางขา ของ
ผู้โดยสารด้านหลังเพิ่มขึ้นอีก 13 มิลลิเมตร แถมยังมี พื้นที่ศีรษะเหนือเบาะหน้าเพิ่มขึ้น 35 มิลลิเมตร
ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เพิ่มขึ้นอีก 6 มิลลิเมตร ทั้งที่มีการปรับความสูง
ของเบาะหลัง ให้เพิ่มมากขึ้น แถมมีการปรับปรุงเบาะหลัง ให้นั่งสบายยิ่งขึ้น เท่ากับว่า แก้ปัญหา
เดิมที่ลูกค้า และผมเคยด่าเอาไว้ ได้จบเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม ถ้าขึ้นไปนั่งด้านหลังแล้วรู้สึกว่า ยังอึดอัดอยู่ ไม่ต้องแปลกใจครับ มันเป็นผลทาง
จิตวิทยา มาจากการที่สายตาของเรา มองเห็นขนาดของเบาะหน้าที่ใหญ่โต อีกทั้ง เสาหลังคา
และกรอบประตู ค่อนข้างหนา ใหญ่โต ไม่แพ้กัน จึงทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด ทั้งที่จริงๆแล้ว
ถือว่านั่งสบาย และมีพื้นที่เยอะกว่ารุ่นก่อนพอสมควร

ที่วางแขน พับเก็บได้ มาพร้อม ฝาปิดช่องเก็บของขนาดเล็ก พอจะใส่ปืนเล็กๆ ได้สักกระบอก
และมีที่วางแก้วแบบพับเก็บได้ ล็อกตำแหน่งแก้วที่วางอยู่น่าจะแน่นหนาดีกว่าเดิม

ภายในห้องโดยสารนั้น ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั่ง ผมก็พบว่า นี่เขาเล่น ยกเอา ภายในของ
ซีรีส์ 7 มาย่อส่วนกันง่ายๆ อย่างนี้เลย วัสดุที่ตกแต่งภายใน ดูดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ครึ่งท่อนบน
ดู สมราคาไม่ Look Cheap เหมือนรุ่นก่อน แต่ครึ่งท่อนล่าง ก็ดูจะคล้ายๆ BMW รุ่นอื่นๆ ที่ออกมา
ก่อนหน้านี้ ชุดมาตรวัด อ่านง่าย ใช้งานง่าย มีลูกเล่นเหมือนซีรีส์ 7 คือ แสดงข้อมูล หรือ เปลี่ยน
เพลง / คลื่นวิทยุ ได้จากบนหน้าปัดรถ โดยไม่ต้องละสายตาไปมองชุดเครื่องเสียง แต่อย่างใด
พวงมาลัยแบบ Multi Function 3 ก้าน ยกมาจาก ซีรีส์ 7 ปรับระดับ สูง – ต่ำ และ ระยะใกล้ – ไกล
ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ผสานกับระบบหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ ที่มีมาให้ 2 ตำแหน่ง (น่าจะมีมา
ให้สัก 3 ตำแหน่ง เหมือน E-Class เขาสักหน่อยนะ จะว่าไปแล้ว)

เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบ Digital แยกฝั่ง ซ้าย – ขวา ในรุ่น HighLine ที่เห็นอยู่นี้ จะติดตั้ง
จอมอนิเตอร์ ขนาด 10.2 นิ้ว (รุ่นมาตรฐาน แค่ 7.2 นิ้ว)  มาพร้อมกับระบบ iDrive เจเนอเรชันใหม่
ที่พบได้ใน ซีรีส์ 7 ใหม่ และใช้งานได้สะดวก คล่องกว่าเดิม เป็นอันมาก เลื่อนเมนูไปทาง ซ้าย และ
ขวาเป็นหลัก แถมยังมีระบบนำทาง Navigation System จุข้อมูลแผนที่ใน Harddisk ขนาด 12GB
ซึ่งก็รวมพื้นที่ เก็บไฟล์เพลง ด้วยวิธี ใส่ CD เข้าไป แล้วก็ปล่อยให้ระบบ มันบันทึกเข้า Harddisk
กันเอาเอง เท่านี้ก็เรียบร้อย พร้อมเซ็นเซอร์เตือนระยะห่างจากวัตถุ PDC (Park Distance Control)
และมี เมนู สมุดคู่มือผู้ใช้รถแบบ Interactive มาให้อ่านกัน พร้อมไฟล์ วีดีโอ คลิป ให้เข้าใจกันอีกด้วย
เรียกได้ว่า ในเมื่อ ทำคู่มือผู้ใช้รถมา ไม่ชอบอ่านกันใช่ไหม งั้น ทำแบบ Interactive มาให้เลยแล้วกัน

ชุดเครื่องเสียง Hi-Fi ที่ให้มา คุณภาพเสียง ถือได้ว่า ดีมาก เลยทีเดียว เพียงแต่ ผมยังไม่อาจมั่นใจ
จนพูดได้เต็มปากมากกว่านี้ เพราะเพลงที่ ทาง Staff ของ BMW เขา บันทึกลง Harddisk มาให้
ทั้ง Thai Pop, Asian Pop, Hip Hop, นั่น ผมไม่แน่ใจว่า เป็นไฟล์แบบไหนอย่างไรบ้าง เอาไว้
รอให้นำรถมาทำรีวิวเอง ค่อยมาลองฟังกันดูอีกที และเก็บรายละเอียดภายในรถทั้งหมดอีกรอบ น่าจะดีกว่า 

เครื่องยนต์ของ 523i ในเวอร์ชันต่างประเทศ เป็นเครื่องยนต์ บล็อก 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว
2,996 ซีซี 204 แรงม้า (BHP) ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร (27.53 กก.-ม.)
ที่รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 1,500 – 4,200 รอบ/นาที

แต่สำหรับ 523i เวอร์ชันไทยนั้น ได้ใช้เครื่องยนต์สเป็ก ที่แตกต่างไปจากเมืองนอกเมืองนา
เขาสักหน่อย คือ เป็นเครื่องยนต์ บล็อก 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว เหมือนกัน แต่ความจุกระบอกสูบ
กลับลดลงเหลือ 2,497 ซีซี แต่มีเทคโนโลยีระบบแปรผันวาล์ว Valvetronic และ Double VANOS
แถมยังเป็นเครื่องยนต์ ตระกูลใหม่ Efficiency Dynamic อีกด้วย ดังนั้น พละกำลังของเครื่องยนต์
บล็อกนี้ จึงเท่ากันกับเครื่องยนต์ ใน 523i เวอร์ชันตลาดโลก คือ 204 แรงม้า (BHP) แต่มาในรอบ
เครื่องยนต์ที่สูงกว่าเล็กน้อย คือ 6,300 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดสูงสุด ลดลงเล็กน้อย เหลือ 250
นิวตันเมตร (25.47 กก.-ม.)
ที่ รอบเครื่องยนต์ระหว่าง 2,750 – 3,000 รอบ/นาที

ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังด้วย เกียร์อัตโนมัติ มากถึง 8 จังหวะ (จะเยอะไปไหนเนี่ย?) มาพร้อมกับ
ระบบ adaptive transmission control,Steptronic and electronic gearshift lever ซึ่งเดี๋ยวเรา
จะเก็บเอาไว้คุยกันใน Full Review ว่ามันแตกต่างจากเกียร์ทั่วไปอย่างไรบ้าง

นอกจากนี้ ยังมีโหมดการขับขี่ แบบ Normal Sport และ Sport Plus ซึ่งจะปรับความแข็งของ
ระบบกันสะเทือน และความหนืดของพวงมาลัยให้เพิ่มขึ้น แถมยังจะทดเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ
เพื่อเลี้ยงรอบเครื่องยนต์ ไปรอไว้ในรอบที่สูงกว่าปกติ รอการเหยียบคันเร่งส่งรถพุ่งทะยาน
ต่อเนื่องได้ทันที และยิ่งถ้าเป็น โหมด Sport Plus จะเพิ่มความแข็งมากขึ้นอีกนิด อีกทั้งจะ
ลดการทำงานของระบบควบคุมการหมุนฟรีของล้อ DTC (Dynamic Traction Control) ลง
เล็กน้อย เพื่อให้คนขับรถที่รักความสนุก ได้เล่นกับรถเต็มที่มากขึ้น (แต่ก็ต้องรับผิดชอบ
ตัวเอง กันเอาเองนะครับ)

BMW Thailand บอกตัวเลขเอาไว้ว่า 523i เวอร์ชันไทย ทำความเร็วสูงสุดได้ 234 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 8.5 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เฉลี่ย ตามค่า EU Mode
อยู่ที่ 12.5 กิโลเมตร/ลิตร และมีค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สู่ชั่นบรรยากาศ ที่ระดับ
187 กรัม / กิโลเมตร

ทำได้จริงหรือ? งั้นเรามาลองเลยดีกว่า เนาะ!

สัมผัสแรก ทันทีที่เลี้ยวรถ ออกจากโรงแรม Sheraton กระบี ผมว่าพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน
พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electronics Power Steering) เขามีการปรับจูนมาอย่างดี มากกว่าที่คิด
ในช่วงความเร็วต่ำ น้ำหนักเบากำลังดี ไม่เบาโหวง หรือ หนักอึ้ง มีสัมผัสในความเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า
หลงเหลืออยู่น้อยมากๆ และเป็นเช่นเดียวกันนี้ แม้ว่าพวงมาลัยจะหนืดขึ้น ในความเร็วสูงก็ตาม
การบังคับเลี้ยว เฉียบคม ไวกำลังดี ในแบบที่รถยนต์ ซาลูน ระดับนี้ ควรจะเป็น คือไม่ใช่เบาและไว
แบบรถสปอร์ต แต่ต้องไว ในแบบที่ เผื่อการควบคุมได้ง่ายเอาไว้บ้าง นิดหน่อย

ตรงๆ เลยนะครับ นี่คือ พวงมาลัย ไฟฟ้า ที่ผมว่า เซ็ตมาลงตัวที่สุด ในกลุ่มรถยนต์ Premium
Mid-Size Saloon แล้วละ

อัตราเร่งจากเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 204 แรงม้า นั้น ถือว่า พุ่งแรงใช้ได้ และให้ความสนุกได้พอประมาณ
มีพละกำลังเหลือเฟือ พอให้ใช้งานได้ในเกือบจะทุกช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ ตราบใดที่ยังไม่เกิน
6,000 รอบ/นาที เพราะหลังจากนั้น ถ้าคุณเหยียบคันเร่งจนจมมิด รอให้เกียร์ ตัดเปลี่ยนขึ้น เป็นเกียร์
ที่สูงกว่านี้ รอบเครื่องยนต์ จะกวาดขึ้นค่อนข้างไว เข็มวัดรอบจะฟาดไปจบที่ ระดับ 7,200 รอบ/นาที
และในช่วงนั้น เครื่องยนต์ ก็เริ่มต้องเค้นกำลังที่เหลืออยู่นิดหน่อยกันออกมา แล้วละครับ

ตั้งข้อสังเกตว่า ความเร็วในรอบต่ำนั้น ถ้าต้องการเพิ่มความเร็วรถขึ้นไป เกียร์จะเรียนรู้จาก
น้ำหนักการเหยียบคันเร่งของคุณ ถ้าคุณค่อยๆ เหยียบลงไปอย่างแผ่วเบา เกียร์ก็จะไม่เปลี่ยน
ลงตำแหน่งต่ำกว่าให้ จนคุณต้องกด Paddle Shift ช่วยเอง ซึ่งข้อดีของเกียร์ลูกนี้อีกอย่างหนึ่งคือ
สามารถ เปลี่ยนเกียร์ลง หรือขึ้นได้ รวดเดียว เกินกว่า 1 จังหวะในทันที ไม่ต้องรอ นี่ละที่ผมชอบ

เพราะถ้าผมคิดว่า ต้องการกำลังเร่งแซงที่มากกว่าการเปลี่ยนเกียร์ลงแค่จังหวะเดีว ผมก็สามารถ
“ตบ ตีนเป็ด” (Paddle Shift นั่นแหละ ภาษาเจ้า Toyd แห่ง The Coup Channel ของเรา เขาละ)
ได้ 2 จังหวะ รวดเดียวเลย แน่นอนว่า มีระบบป้องกันการเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
มาให้ด้วย การเปลี่ยนเกียร์ ในโหมด ปกติ นุ่มนวลดี แต่พอเข้า โหมด Sport หรือ ต้องเล่นเกียร์เอง
จะพอจัสัมผัสได้นิดๆว่า มีการเปลี่ยนเกียร์ให้ ซึ่งผมเชื่อว่า BMW จงใจเซ็ตให้เกียร์มีอาการแบบนี้
และอาการ จากการจับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ที่มีมาให้ ถือว่า กำลังดี พอให้รู้สึกสนุก และไม่นุ่มนวล
จนน่าเบื่อ เกินไป

เกียร์ลูกนี้ฉลาดใช้ได้ แต่คันเร่ง นั้น บางทียังอาจต้องเรียนรู้กับมันมากกว่านี้สักนิด เพราะ
ในถ้าคุณเหยียบไม่ลึกมาก รถก็จะแทบไม่มีการตอบสนองอะไรเลย นอกจากความเร็วที่จะ
เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ต้องกดคันเร่งลงไปให้มากขึ้นอีกนิด รถถึงจะพุ่งมากกว่าต้องการ แต่ถ้า
เหยียบจนเกือบจมมิด เกียร์ก็จะตัดเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำให้ 2 จังหวะรวด รถก็จะพุ่งปรู๊ด เป็นธนู
ไปเลย ดังนั้น อาจต้องเรียนรู้กับมันนิดนึงครับ ไม่มากนักหรอก แต่ การเรียนรู้นิสัยของคันเร่ง
จะช่วยให้คุณขับรถคันนี้ได้สนุกขึ้น

ในเมื่อ นั่งกันมา 3 คน การจับเวลา จึงไม่อาจทำได้ เพราะปกติ ผมจะจับเวลาโดยมีคนนั่งไปด้วยกัน
รวมคนขับ แค่ 2 คนเท่านั้น อีกทั้งทริปนี้ เป็นทริป ของสื่อมวลชน แนว ไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะขับกันแบบ
สบายๆ ไม่รีบร้อนมากมายนั่ง วิ่งกันไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดังนั้น ก็เลยจับตัวเลขมาให้ได้แค่
ความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ ซึ่งมีดังนี้

เกียร์ 1 อยู่ที่ 55 กิโลเมตร /ชั่วโมง ที่ 7,200 รอบ / นาที
เกียร์ 2 อยู่ที่ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 7,200 รอบ / นาที
เกียร์ 3 อยู่ที่ 125 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 7,200 รอบ / นาที

หลังจากนั้น ไม่ได้ลองแล้วละครับ เราเข้าใกล้รถคันข้างหน้ามากไป จนต้องชะลอความเร็วลงมาแล้ว
เพราะเขาขับกันอยู่แถวๆ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง กันแทบจะตลอดทริปเลย มีเพียงช่วงเดียวเท่านั้น ที่จะ
ได้เหยียบขึ้นไปแตะ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง และนั่น ก็ไม่ใช่ผมที่ขับ แต่เป็น ตา Oliver แห่งนิตยสาร
2 Magazine ที่ขับ

ระบบกันสะเทือน หน้าแบบปีกนกคู่ Double Wishbone ด้านหลังแบบ Multi-Link Integral-V Shape
มาพร้อมระบบบังคับเลี้ยวล้อหลัง Integral Active Steering ซึ่งในขณะความเร็วต่ำ ล้อหลังจะเลี้ยวทำมุม
3 องศา ในทิศตรงข้ามกับล้อหน้า เพื่อลดวงเลี้ยวให้แคบลง สำหรับการขับขี่ในที่แคบๆ เช่น ในลานจอดรถ
ของห้างสรรพสินค้า

แต่ในขณะใช้ความเร็วสูง เช่น ขณะเปลี่ยนเลนบนทางด่วน ล้อหลังจะเลี้ยวทำมุม 3 องศาเช่นกัน แต่
ในทิศเดียวกับล้อหน้า ช่วยลดอาการเหวี่ยงตัวของรถ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการเปลี่ยนเลน อีกทั้งยัง
เป็นการเพิ่มความสบายให้กับผู้โดยสารในเวลาเดียวกัน

การตอบสนองของช่วงล่างนั้น นุ่มนวลลงกว่ารุ่น E60 เดิมอย่างชัดเจน แต่ยังคงไว้ซึ่งความสนุกในการขับขี่
การควบคุมอาการของตัวถังรถ ถือว่าทำได้ดีมากๆ มีแรงสัมผัสจากผิวถนนขรุขระ ขึ้นมาให้รับรู้ว่ากำลังขับผ่าน
หลุมบ่ออยู่ ก็จริง แต่รถผ่าานพื้นผิวเหล่านั้นไปอย่างนุ่มนวลมากๆ ไม่ใช่ลอย Float ข้ามไป เหมือนที่บริษัทรถ
ค่ายอื่นๆ ชอบเซ็ตให้ช่วงล่างรถยนต์รุ่นหรูของตนเป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะขับอยู่ในโหมด Normal หรือ Sport
ช่วงล่างของ ซีรีส์ 5 ตอบสนองได้ดีตามหน้าที่ของมัน และตามการคาดหวังของผมทุกประการ นี่คืออีกพัฒนาการ
ที่ชัดเจนได้ว่า ดีขึ้นกว่ารถรุ่นที่แล้ว อย่างชัดเจน แถมในระดับความเร็วสูงๆ ด้านหน้ารถ ก็ยังไม่เบาโหวง
แต่อย่างใด อีกทั้งยังนิ่งสนิทพอกัน หรือดีกว่า ซีรีส์ 5 รุ่น E39 ที่ผมโปรดปรานเสียด้วยซ้ำ!

เบรกทำหน้าที่ได้ดีใช้ได้เลยทีเดียว การหน่วงความเร็วทั้งแบบขับขี่ทั่วไป หรือชะลอความเร็ว กระทันหัน
ทำได้ดี ไว้ใจได้ น้ำหนักแป้นเบรกดีมาก ไม่มีอาการหน้าทิ่มมากมายเกินไปอีกต่างหากแหนะ

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
***** นี่น่าจะเป็น ซาลูน ที่ดีที่สุด เท่าที่เคยมีมา !? *****

3 ชั่วโมง บนถนน กับอีก 5 ชั่วโมง ที่ใช้ชีวิตด้วยกัน ทั้งตำแหน่งคนขับ หรือผู้โดยสาร ผมว่า มันสั้นไป
ไม่ใช่สั้นไปสำหรับการเรียนรู้จัก ซีรีส์ 5 ใหม่ หากแต่ ที่ผมบอกว่าสั้นไปนั้น มันเหมือนกับคุณกำลัง
ทานสเต็กรสเลิศ ชั้นดี แล้วพบว่า มันหมดเร็วไปหน่อย หรือฟังเพลงเพราะๆ เพลินๆ แต่มันจบลงดื้อๆ

ผมอยากใช้ชีวิตอยู่กับ ซีรีส์ 5 ใหม่ให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย เพื่อที่จะยืนยันความคิดของตัวเองว่า
มันน่าจะเป็น “รถยนต์ 4 ประตู ซาลูน ขนาดไม่เกิน 3,500 ซีซี ที่ดีที่สุด และสมบูรณ์ที่สุด เท่าที่เคยมีมา”
ไม่ว่าจะโดย BMW หรือผู้ผลิตรถยนต์รายไหนๆ ก็ตาม

ที่พูดมานี้ ไม่ได้เวอร์เกินจริง ไม่ได้เอาใจ BMW เพราะอย่างที่คุณผู้อ่านคงจะเคยเห็นว่า ผมเขียนถึง
120d และ X3 เอาไว้ว่าไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย กันรุนแรงขนาดไหน และเพราะว่า BMW รับได้
ในสไตล์การเขียนแบบนี้ ผมก็เลยแฮปปี้ ที่จะพูดจนอย่างตรงไปตรงมา

และครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่ผมพูดกันตรงๆ แบบไม่ต้องคิดมากเลยว่า ณ วันนี้ ถ้ามีเงินพอในระดับ 5 ล้านบาท
และอยากได้รถยนต์ ซาลูนขนาดกลาง ใช้งานสัก 5 ปี แล้ว ขายทิ้ง ผมอาจจะเดินเข้าโชว์รูม BMW ก็ได้

แน่นอนว่า การติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาให้มากมายขนาดนี้ แอบทำให้ผมหวั่นเกรงอยู่นิดหน่อย
ว่าถ้าต้องใช้งานเกิน 5 ปีขึ้นมา หากเสีย จะซ่อมบำรุงกันอย่างไร และค่าซ่อมน่าจะแพงดุเดือดขนาดไหน
ยังไม่อยากจะคิดเลย

ดังนั้น หากว่ากันตามตรง เรายังไม่ควรจะให้ความเห็น หรือ สรุป ออกมาอย่างชัดเจนได้ ว่า ระหว่าง BMW
ซีรีส์ 5 ใหม่ กับ คู่แข่งตัวฉกาจ อย่าง Mercedes-Benz E-Class ใหม่ W212 ใครจะน่าคบหามากกว่ากัน
เนื่องจากว่า แม้ผมจะมีโอกาสลองขับ รถทั้ง 2 รุ่นไปแล้ว ในระยะทาง ยาวๆ แต่ก็เป็นเพียงแค่ การทดลองขับ
ในเชิงผิวเผิน ยังไม่ใช่ สภาพการขับขี่ บนถนนเส้นประจำที่ผมคุ้นเคยแต่อย่างใด

นั่นหมายความว่า ถ้าคุณผู้อ่าน อยากรู้ข้อมูลในเชิงลึกกว่านี้ อยากรู้ว่า อัตราเร่งได้เท่าไหร่ อัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิง ทำได้เท่าใด จะคุ้มกับค่าตัว 3.8 ล้านบาท ในรุ่นมาตรฐาน และ 4.2 ล้านบาท ในรุ่น HighLine
ที่ต้องจ่ายไปไหม?

ตอนนี้ ผมยังบอกไม่ได้ครับ เพราะ รถทั้ง 8 คัน ในขบวนนี้ ถูกส่งกลับ ไปเก็บที่โรงงานของตน
เนื่องจาก ฝูง 523i รุ่นนี้ ยังไม่ถึงเวลาจะปล่อยออกมาถึงมือลูกค้า

เราต้องรอให้มี การเปิดตัวสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการในงาน BMW Xpo 2010 ที่จะจัดขึ้น
ระหว่างวันที่ 9-12 กันยายนนี้ ที่สยามพารากอน อันเป็นวันที่ 523i จะพร้อมให้เป็นเจ้าของ
และพร้อมปล่อยรถทดลองขับ หรือ Demo Car ในช่วงไม่นานหลังจากนี้

เมื่อถึงตอนนั้น เราก็คงจะนำ 523i มาเจาะลึก ในแบบ Full Review กันอีกครั้ง เพื่อให้ได้รู้กัน
อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง ไปเลยว่า ถ้าะต้องจ่ายเงินระดับ 3.5 – 4.5 ล้านบาท นั้น ควรจะเลือก
รถคันไหน ถึงจะดีกว่ากัน

และ เราก็ได้แต่หวังว่าจะมี BMW 530d มารวมอยู่ใน Full Review กันด้วย เพราะเชื่อแน่ว่า
ไม่ใช่แค่คุณผู้อ่าน หรือผมเท่านั้น ที่อยากจะลองขับ…

ตาแพน Commander CHENG ของเรา นั่นแหละ ที่น่าจะกรี๊ดจนแก้วหูสะเทือน ได้มากกว่าใครเพื่อน!

————————————–///———————————–

ขอขอบคุณ
คุณ เศรษฐิพงศ์ อนุตรโสตถิ (พี่บีเวอร์)
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร
และ คุณ พิศมัย เตียงพาณิชย์ (พี่ไหม)
ฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร
บริษัท BMW Thailand จำกัด
สำหรับทริปทดลองขับ ในครั้งนี้

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของผู้เขียน
ยกเว้น ภาพถ่ายขณะรถแล่นอยู่ รวมทั้งภาพคุณเอิร์ธ สายสว่าง
กับภาพของคันเกียร์ เป็นภาพโดยทีมงานของ
คุณ นก ช่างภาพอิสระ
([email protected])
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน
www.headlightmag.com
27 สิงหาคม 2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
August 27th,2010

แสดงความเห็นเพิ่มเติม เชิญได้ คลิกที่นี่