4 กรกฎาคม 2014
7.40 น.

บรรยากาศของสนาม Pathumthani Speed Way ริมถนนสาย 347
คู่ขนานปทุมธานี – บางปะหัน ยามเช้าวันนี้ อากาศปลอดโปร่ง แสงแดด
แจ่มจ้า ท้องฟ้า แทบไม่มีเมฆมาบดบัง เผยให้เห็นฟ้าสีครามสวยงาม
อร่ามตา

การเดินทางมายังสนามแห่งนี้ ในเช้าตรู่แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติ สำหรับ
คนที่มีวิถีประจำวัน แตกต่างจากผู้คนทั่วไปโดยสิ้นเชิง เพราะในเวลา
เดียวกันนี้ ตามปกติแล้ว ผมเพิ่งจะเข้านอน….!

แต่ช่วยไม่ได้ครับ ก็รถยนต์ที่ผมจะต้องมาลองขับในวันนี้ มันก็เป็น
รถยนต์ ที่ไม่ปกติธรรมดา ทั่วไปพอๆกันนั่นละ!

นับเนื่องจนถึงปัจจุบัน เท่าที่ผมจำความได้ Nissan ไม่เคยยอมนำเข้า
รถยนต์รุ่นประหลาด ซึ่งทำตลาดอยู่ในต่างประเทศ มาให้คนไทยได้
สัมผัสกันตัวเป็นๆ ขนาดนี้มาก่อน เพราะทั้ง 2 เวอร์ชัน จากตระกูล
Juke ที่เราจะได้ลองขับกัน ถือว่าเป็น 2 รุ่นที่แรงสุดในตระกูล Juke
รหัสรุ่น F15 โดยเฉพาะ Nissan Juke R ที่หลายคนถึงขั้นอ้าปากเหวอ
หลังดูคลิปใน Youtube จบว่า ไอ้กบบ้าคันนี้ มันแรงถึงขนาด ออกตัว
แซงหน้า Bugatti Veron ในเกมจับเวลา ควเตอร์ไมล์ เลยเชียวเหรอ!

ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังส่ง Juke Nismo RS เวอร์ชันแรงสุดใน
ระดับ Mass Production ผลิตออกจำหน่ายจริง ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปใน
งาน Geneva Motor Show ต้นเดือนมีนาคม สดๆร้อนๆ มาให้เรา
ชาวไทย ได้ลองสัมผัสสมรรถนะที่แรงขึ้นผิดหูผิดตา ไปจากเจ้า
กบน้อย เวอร์ชันธรรมดา อย่างมาก

Nissan ขนรถทั้ง 2 คัน มาทางเรือ ลงมาถึงเมืองไทย ด้วยกำหนดการที่
สั้นกุดมากๆ คือเพียงแค่ 2 วัน เท่านั้น (3 และ 4 กรกฎาคม 2014) โดย
วันที่ 3 เป็นวันซ้อม วางกรวย เซ็ตสนาม ส่วนวันที่ 4 คือวันงานจริง ซึ่ง
จะมีสื่อมวลชนในเมืองไทย รวม 30 ราย ที่ได้ทดลองขับ ขณะเดียวกัน
ในรอบบ่าย จะเป็นช่วงเวลาของ กลุ่ม Juke Club เขาได้ลองนั่งแบบ
Hot Lab ขับโดย Instructor ชาวต่างชาติ ผู้ดูแลรถคันนี้

ทุกกิจกรรม ต้องเสร็จสิ้นในเวลา บ่าย 4 โมงเย็นเท่านั้น เพื่อรีบส่งรถยนต์
รุ่นไม่ปกติ ธรรมดาทั้ง 2 คัน ขนเข้าตู้คอนเทนเนอร์ ก่อนจะถูกขนลงเรือ
ให้ทันในช่วงหัวค่ำ คืนวันเดียวกัน เพื่อส่งออกนอกประเทศไทย เดินทาง
กลับไปยังยุโรป

การทดลองขับในวันนี้ จะเริ่มจาก ให้ทุกคนได้เริ่มขับ Juke รุ่นพื้นฐาน
เวอร์ชันไทย 114 แรงม้า (PS) เพื่อศึกษาเส้นทางในสนาม กันก่อน แล้ว
ค่อยขยับขึ้นไปขับ Juke Nismo RS พวงมาลัยซ้าย ขับล้อหน้า เกียร์
ธรรมดา 6 จังหวะ แล้วค่อยลงมาสวมหมวกกันน็อก ขึ้นไปขับ Juke R

แต่ก่อนที่เราจะขึ้นไปขับรถคันใดก็ตาม เราควรจะศึกษาข้อมูล ทำความ
รู้จักกับรถยนต์รุ่นนั้นๆ กันเสียก่อนตามธรรมเนียม

Nissan Juke-R ถูกสร้างขึ้นมาจากพื้นฐานความบ้าบิ่นของ วิศวกร Nissan
และ RML ที่ต้องการดัดแปลง Juke คันน้อย ธรรมดา ให้กลายเป็นรถยนต์
คันแรกที่ทำความเร็วสูงที่สุดในกลุ่มรถยนต์ Crossover ด้วยกัน

Juke R เกิดขึ้นได้จากการพัฒนาของ RML – Ray Mallock Limited (RML)
บริษัท ของวิศวกร MotorSport ชื่อ Ray Mallock ก่อตั้งเมื่อปี 1984 เพื่อสร้าง
รถแข่งต้นแบบ ในรายการ World Sportscar Championship.1990 ต่อมา
RML ได้รับการติดต่อจาก Nissan ให้เป็นผู้พัฒนา รถแข่ง R90C prototype
เพื่อการแข่งขัน Le Mans 24 ชั่วโมง ในฝรั่งเศส นอกจากนี้ ยังเคยพัฒนา
รถแข่ง Nissan Primera เพื่อเข้าร่วมในรายการ British Touring Car
Championship คว้ารางวัลทีม และผู้ผลิตยอดเยี่ยม ในปี 1998 – 1999 ส่วน
Laurent Aello นักแข่งของทีม คว้าแชมป์ได้ในปี 1999 และ 2003

นอกจากนี้ RML ยังเคยร่วมพัฒนา Nissan Micra-R “จิ้งจองในคราบลูกแกะ”
ที่วางเครื่องยนต์ของรุ่น Primera ไว้ในตำแหน่งเบาะหลัง ซึ่งต่อมาพวกเขา
ก็ยกขุมพลัง V6 ของ Nissan 350Z ไปวางแทน!!

เป็นไงครับ แค่ปูมหลัง ก็ไม่ธรรมดาซะแล้ว! ไม่น่าแปลกใจหรอกว่า ทำไม
พวกเขาถึงทำ Juke R ออกมาได้ ก็ขนาด March / Micra คันกระเปี๊ยก พวก
เล่นจับยัดเครื่องยนต์ 350Z กันมาแล้ว นับประสาอะไรกับกับแค่ Juke วาง
เครื่องยนต์ของ GT-R !!

ภายนอก ของ Juke R ถูกแปลงร่างจาก Juke มาตรฐาน ให้ดุดันถึงขั้นขีดสุด
ของคำว่า “พระยามาร” ชนิดที่เรียกว่า ถ้า Juke เป็นเพียง กบน้อย Juke R
ก็เหมือน กบแรมโบ้ ที่เข้าฟิตเนสเล่นเพาะกายและกิน Wayn Protein
ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน จนมีกล้ามใหญ่ระดับต่อยนักเลง มือปืนและ
แก๊งทวงหนี้ตายไปเลย!

ก้มมองดูรองเท้าของเจ้ากบยักษ์ คุณจะพบล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 20 นิ้ว ลาย
7 ก้าน จาก RAYS สวมยาง Bridgestone Potenza RE070R แบบ
RunFlat Tyre คู่หน้า ขนาด 255 /40 ZRF20 (97Y) ส่วนคู่หลังมีขนาด
285/35 ZRR20 (100Y)

ภายในห้องโดยสาร ของ Juke R มีการเสริม Roll Bars ไว้โดยรอบ เพื่อ
เพิ่มความแข็งแรง และรักษาโครงสร้างห้องโดยสารเอาไว้ให้ดีที่สุด ใน
กรณีเกิดการชน หรือพลิกคว่ำ อย่างรุนแรง

ภายในตกแต่งด้วยเบาะนั่งสำหรับรถแข่ง Sabelt FIA Carbon มาพร้อม
เข็มขัดนิรภัย Schroth แบบ 5 จุด การเลื่อนเบาะใช้กลไกปรับด้วยมือ
ล้วนๆ ไม่มีระบบไฟฟ้าใดๆมาให้ แน่ละ คุณกำลังนั่งอยู่ในรถแข่ง
ไม่ใช่ Juke R Luxury Edition กันสักหน่อย จะใส่มอเตอร์ปรับเบาะ
มาให้หนักรถเล่นๆหาพระแสงของ้าวอันใดกันเล่า?

มาตรวัด พวงมาลัย รวมทั้งแผงควบคุมหน้าจอมอนิเตอร์สีตรงกลาง
ยกชุดมาจาก GT-R ชนิดที่เห็นปุ๊บ ไม่ต้องสืบดูก็จำได้ว่าใช้แน่ๆ
เพียงแค่ดัดแปลง และติดตั้งเข้ากับแผงหน้าปัดเดิมของ Juke เลย

ดังนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายลงลึกในรายละเอียดให้เสียเวลา!

ขุมพลังของ Juke R เป็นเครื่องยนต์ VR38DETT บล็อก V6 DOHC
24 วาล์ว 3,799 ซีซี ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า Twin Turbocharger ยกชุด
มาจาก Nissan GT-R แทบทั้งดุ้น แต่ถูกปรับปรุงสมรรถนะให้แรงขึ้นอีก
เป็น 545 แรงม้า (BHP) หรือ 560 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที
แรงบิด 588 นิวตันเมตร (59.91 กก.-ม.) ที่ 3,200 – 5,200 รอบ/นาที

ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Dual
Clutch ปรับ Mode การขับขี่ ได้ 3 รูปแบบ

น้ำมันเชื้อเพลิงที่ระบุไว้ให้ใช้กับ Juke R ต้องเป็นน้ำมันเบนซินพิเศษ
(ไม่ใช่แก็สโซฮอลล์) ออกเทน 98 RON เพียวๆ แต่ ในวันที่เราลองขับ
ทางทีมงาน หา น้ำมัน ออกเทน 100 มาเติมเป็นการทดแทนไปเลย

ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงานนั้น หวือหวาลอยมาให้สะพรึงจิตกันเลยละ

ตัวเลขจาก Nissan Europe ระบุว่า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทำได้ใน 2.8 วินาที!

เอ่อ…นี่มันเร็วระดับ มอเตอร์ไซค์ Bigbike ตัวเทพๆในวงการแล้วนะ!

ส่วนอัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่มีตัวเลข และเดาได้
ว่ามันน่าจะต่ำกว่า 0 – 100 เยอะอยู่ น่าจะแค่ราวๆ 2 วินาที ด้วยซ้ำ!

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากรู้แล้วละสิว่า สมรรถนะของมันเป็นอย่างไร?

ตอนยืนอยู่ข้างนอก ดูเจ้ากบมหากาฬ มันทำตัวเป็นจรวด พุ่งฟิ้วววว ผ่านหน้า
พวกเราทุกคนไป เสียงเครื่องยนต์คำราม และเสียงของตัวรถในขณะแหวก
อากาศ ฟังแล้วน่าตื่นตาตื่นใจมาก

แต่พอถึงเวลาที่ต้องเข้าไปลองขับจริง ผมต้องใช้ความพยายามในการ เลือก
และสวมหมวกกันน็อกขนาดใหญ่สุด ก้าวข้ามโรลบาร์ ก่อนก้มหัว และมุดตัว
เข้าไปนั่งบนเบาะของเจ้ากบมหากาฬคันนี้ ฝรั่งผู้ดูแลรถ ช่วยผู้ทดลองขับ
ทุกคน กดหัวลงไป ไม่งั้น ก็เข้ายาก แถมยังช่วยปรับตำแหน่งของเบาะนั่ง
กับพวงมาลัย ที่สามารถปรับระยะสูง – ต่ำ และ ใกล้ – ไกล ได้ และล็อก
ตำแหน่งเข็มขัดนิรภัยให้เสร็จสรรพ

ที่เหลือ…ก็แค่ขับ และรับสัมผัสจากแรงดึงที่เกิดขึ้น…

ถ้า ตาแพน Commander CHENG ของเรา ผู้เคยลองขับ GT-R R35 ใหม่
มาแล้ว ยังบอกว่า “ตอน Take off ออกตัว แรงจนหัวนมแม่งแทบแทงทะลุ
กระดูกสันหลัง”

ผมกลับแปลกใจตัวเองนิดหน่อยแค่ว่า เออ มันแรงนะ มันพุ่งปรู๊ด อย่างกับ
กระสุนปืน และพุ่งไปข้างหน้าได้ ไวที่สุดเท่าที่ผมเคยลองขับมาในชีวิต
ณ วัย 34 ปี แต่ไหง ผมกลับไม่ได้รู้สึกว่า ตอนขับเอง มันไม่ได้ตื่นเต้น
มากเท่าที่คาด แถมตัวรถมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลยหว่า?

คงเป็นเพราะว่า Juke R “ขับง่าย” บังคับควบคุมง่ายกว่าที่เรามองและเข้าใจ
กันไปเองจากรูปโฉมภายนอกอันดิบเถื่อนดุดันของมันมาก!!!!

มันง่ายชนิดที่ว่า ถ้าผมจำเป็นต้องพา Juke R ไปจ่ายกับข้าวหน้าปากซอย
มันก็จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เท่าที่ผมเหยียบคันเร่งนั่นแหละ กดเท่าไหร่
545 แรงม้า ที่มีอยู่ จะถูกส่งลงล้อคู่หลัง แค่เท่าที่เท้าขวาของคุณสั่ง แค่นั้น
สั่งให้มาแค่ 5% มันก็ค่อยๆคลาน เป็นอึ่งอ่างอิ่มน้ำ แต่ถ้าขยี้คันเร่งเต็มตีน
แล้วละก็ มันก็จะแปลงกายเป็น กบอสูรตัวพ่อ ที่พาคุณพุ่งปรู๊ดทะลุขีดจำกัด
ทะลวงทุกประสบการณ์ความแรงที่คุณเคยเจอมาจากรถยนต์นั่ง ขนาดเล็ก
ลงถังขยะไปเลย

มันเป็นรถแข่งยุคใหม่ ที่ไว ฉลาด ไม่ใช่ว่า กดนิดหน่อย ก็พุ่งพรวดพราด
เปลี่ยนเกียร์ ทะเล่อทะล่า จนน่ารำคาญ อย่างรถยุโรปบ้านๆ หลายๆรุ่น  

กระนั้น คันเร่งไฟฟ้า ก็ยังพอจะมีอาการ Lag ให้ได้พบอยู่บ้างในบางจังหวะ
เช่น ในช่วงที่คุณอยู่ในโค้ง กำลังจะออกจากโค้งแล้ว แต่ยังไม่พ้นออกมาหมด
ทั้งลำ และต้องการเหยียบคันเร่งเพิ่มเติม โดยเข้าเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง A ถ้าเป็น
เช่นนี้ เครื่องยนต์จะไม่ตอบสนองจนกว่าตัวรถจะตั้งลำแล้ว เมื่อนั้นแหละ
มันก็จะพุ่งปรู๊ดออกไป เท่าที่คุณเหยียบนั่นละครับ

ขณะเดียวกัน ถ้าคุณปล่อยรถให้ไหลไปข้างหน้า แล้วกระทืบคันเร่งจมมิด
จะมีอาการ Lag เกิดขึ้นราวๆ 0.3 วินาที หลังจากนั้น แรงดึงมหาศาล ก็จะ
พาคุณพุ่งพรวด ไปข้างหน้า ดุจน้ำประปาที่พุ่งด้วยแรงดันสูงทางหัวฉีด
น้ำดับเพลิง!

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน มีน้ำหนักแบบรถแข่งเป๊ะๆ ให้การควบคุม
ที่เฉียบคม และแม่นยำ แต่ยังพอสัมผัสได้นิดๆ ว่าใช้ระบบผ่อนแรงด้วย
ไฟฟ้า กระนั้น ถือว่าเซ็ตมาดีมาก เลี้ยวง่าย แม้แต่คนที่เพิ่งจะขึ้นมาขับ
เป็นครั้งแรก ต่างพูดตรงกันว่า มันบังคับควบคุมง่ายดายกว่าที่คิดไว้

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ปีกนกคู่ ด้านหลัง
เป็นแบบ Multi-Link ปีกนกอะลูมีเนียม ช็อกอัพ Bilstein Damptronic
พร้อม Mode การขับขี่ 3 รูปแบบ ยกชุดมาจาก GT-R ทั้งดุ้น จะพาคุณ
เข้า และ ออกจากโค้งได้อย่างเฉียบคม แต่ยังพอจะสัมผัสได้ว่ามีอาการ
Oversteer (หน้าดื้อ) อยู่บ้าง ตามธรรมชาติของรถที่มีเครื่องยนต์วาง
ด้านหน้าค่อนข้างหนัก

ระบบเบรก พัฒนาโดย Brembo จานเบรกคู่หน้า ขนาด 15.4 นิ้ว ส่วน
จานเบรกคู่หลัง ขนาด 15 นิ้ว มีรูระบายความร้อนทั้ง 4 จาน ทำงานได้
อย่างฉับไว หน่วงความเร็วได้สบายๆหายห่วง แม้คุณจะหวด Juke R
ขึ้นไปถึง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วต้องกระทืบเบรกลงมากระทันหัน
ท่ามกลางสภาพอุณหภูมิของสนาม ที่ร้อนเกินกว่า 40 องศาเซลเซียส
ร้อนชนิดที่แทบไม่ต้องคิดเลยว่า อุณหภูมิพื้นผิวสนาม จะร้อนยิ่งกว่า
มากแค่ไหน และไม่ว่าในเวลานั้น พวงมาลัยของรถจะตั้งตรง หรือ
กำลังเลี้ยวไปทางซ้ายเยอะเกือบ 90 องศา การกระจายแรงเบรกทำได้
ยอดเยี่ยมอย่างที่คาดหวัง

พอหมดครบรอบ เมื่อวิ่งเสร็จในแต่ละรอบ ทาง Instructor ก็จะติดเครื่อง
เจ้า Blower รอเอาไว้ จนกระทั่ง Juke R กลับเข้ามาจอดสงบนิ่ง เขาจะจ่อ
Blower เข้าไปที่ช่องรับอากาศบริเวณเปลือกกันชนหลัง เพื่อจะช่วยระบาย
ความร้อนให้กับอ่างน้ำมันเกียร์ และอ่างน้ำมันเครื่อง

เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะ บ้านเรา เป็นเมืองร้อนจัด และเครื่องยนต์
พร้อมกับเกียร์ชุดนี้ ต้องทำงานรอบจัด ในอุณหภูมิที่ร้อนจัดๆ อยู่แล้ว
จึงจำเป็นต้องเร่งระบายความร้อนให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะให้ผู้ขับขี่รายใหม่
ได้ขึ้นขับอย่างรวดเร็ว ทำเวลาต่อรอบได้ลดลง เพื่อให้เสร็จกิจกรรมได้
ทัน 4 โมงเย็น ก่อนจะส่งรถกลับขึ้นตู้คอนเทนเนอร์ ขนส่งไปลงเรือ
ในค่ำวันเดียวกันนั้นเอง

แม้ว่า Juke R จะเป็นรถยนต์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการ ให้กลาย
เป็นความจริง แนได้บนถนนจริงๆ แถมสร้างความตกตะลึงให้เกิดแก่
ผู้คนทั่วโลก แต่มันอาจดูไกลเกินเอื้อมของคนธรรมดาๆทั่วไปสักหน่อย

เมื่อจับของแรงกันไปแล้ว คราวนี้ ก็ต้องหันกลับมาลองรุ่นที่ดูเหมือน
จะมีความเป็นไปได้ในการขับใช้งานในชีวิตประจำวันมากที่สุด อย่าง
Nissan Juke Nismo RS กันบ้าง

ว่าแต่ว่า…แล้ว Juke Nismo RS มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไรกันละเนี่ย?

ย้อนกลับไปในช่วงปี 2010 – 2011 Nissan กำลังเริ่มสร้างแบรนด์ Nismo
(Nissan Motor Sport International) อันเป็นแบรนด์ของสำนักแต่ง
คู่บุญบารมี ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1984  จากเดิมซึ่งไม่ค่อยมีบทบาทอะไร
มากนัก ทำแต่อุปกรณ์ตกแต่ง ขายหากินไปวันๆ ให้มีสีสันและกลายมาเป็น
แบรนด์เอาใจนักเลงรถมากขึ้น

พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ

ถ้า Toyota มี สำนักแต่ง In-House ในเครือ ชื่อ TRD
Mercedes-Benz มีสำนักแต่ง In-House ในชื่อ AMG
BMW มีสำนักแต่ง In-House ในชื่อ BMW M Gmbh.
Mitsubishi Motors เคยมี แบรนด์ RalliArt
Honda มีสำนักแต่ง ที่มีสายสัมพันธ์เหนียวแน่น ชื่อ Mugen…

Nissan ก็มี Nismo นี่แหละ ไว้เชิดหน้าชูตาในแวดวง Motor Sport
และนักนิยมความแรงทั้งหลาย พวกเขาเริมคิดได้ว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะช่วย
ยกระดับ ชื่อ Nismo ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกมากกว่านี้ ซึ่งจะช่วยเสริม
ให้แบรนด์ Nissan เข้าไปนั่งอยู่ในใจกลุ่มลูกค้าเหล่านั้นมากขึ้น

พวกเขาเลือกที่จะนำรถยนต์ที่มีขายอยู่แล้ว มาดัดแปลง เน้นสมรรถนะ
ให้แรงขึ้น เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าที่รักความเร็วเป็นชีวิตจิตใจ พวกเขาจึง
ทดลองนำ Juke มาดัดแปลงเป็น Juke Nismo แล้วนำออกอวดโฉม
สู่ชาวโลก ในงาน Tokyo Motor Show เมื่อเดือนธันวาคม 2011

กระแสตอบรับที่หลั่งไหลเข้ามา อยู่ในแดนบวก ดีพอที่จะทำให้บอร์ด
คณะผู้บริหาร Nissan ตัดสินใจ เปิดไฟเขียว ให้ทำการผลิตออกมาขาย
กันจริงจัง โดยเวอร์ชันจำหน่ายจริง เปิดตัวเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2013
ในตลาดญี่ปุ่นก่อน โดยเริ่มเปิดรับจองวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และเริ่มขาย
กันจริงจัง เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2013 หรือ อีก 1 เดือนถัดมา ขณะที่
ตลาดยุโรป Juke Nismo ถูกผลิตขึ้น ณ โรงงาน Sunderland ในอังกฤษ
ออกขายควบคู่กับ Juke รุ่นมาตรฐานครั้งแรก วันที่ 18 มกราคม 2013

Juke Nismo รุ่นแรก วางเครื่องยนต์ MR16DDT บล็อก 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 1,597 ซีซี Direct Injection Gasoline TurboCharger
ปรับปรุงให้แรงขึ้น จาก 190 เป็น 200 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ( 25.5 กก.-ม.) ที่รอบ ระหว่าง 2,400 ถึง
4,800 รอบ/นาที มีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ XTronic CVT
M7 มีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ ALL Mode 4×4 i แถม
ยังปรับปรุงช่วงล่างและระบบเบรกแบบสปอร์ต สวมล้ออัลลอยขนาด
18 J x 7 นิ้ว พร้อมยางขนาด 225/45R18 95Y

ผลตอบรับของลูกค้าชาวยุโรปนั้น Guillaume Cartier, Senior Vice
President, Sales and Marketing ของ Nissan Europe เล่าว่า 
“ทุกวันนี้ Juke Nismo มียอดขายคิดเป็น ร้อยละ 3 จากยอดขาย Juke
ทั้งหมดในยุโรป อย่างไรก็ตาม ลูกค้ากลุ่ม Enthusiasts หรือกลุ่มที่นิยม
ความแรง ยังคงคาดหวังจะเห็นการปรับปรุงสมรรถนะของ Juke Nismo
ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก และนี่คือคำตอบของเรา ที่คาดว่าน่าจะช่วยให้ แบรนด์
Nismo และ Nissan เข้าไปนั่งอยู่ในใจของลูกค้านักขับรถยนต์ในยุค
digital age ได้มากขึ้น”

นั่นคือเหตุผล ในการพัฒนา Nissan Juke Nismo RS ซึ่งถือว่าเป็น
พัฒนาการต่อเนื่อง จาก Juke Nismo นั่นเอง

Juke Nismo RS เพิ่งจะถูกเปิดตัวครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2014
ในงาน Geneva Motor Show มาหมาดๆ พร้อมกับการเผยโฉมของ
Juke รุ่นปรับโฉม Minorchange สำหรับตลาดยุโรป นั่นละครับ

ภายในห้องโดยสาร ยกระดับขึ้นมาจาก Juke ปกติ พอสมควร ด้วย
เบาะนั่งแบบ Bucket Seat จาก RECARO สีดำ ตัดสลับกับสีแดง
ปักสัญลักษณ์ Nismo ไว้กึ่งกลางของเบาะ เข็มขัดนิรภัยยังคงเป็น
แบบ ELR 3 ตุด Pre-tensioner & Load Limiter ลดแรงปะทะ 
และ ดึงกลับอัตโนมัติ 

พวงมาลัย 3 ก้าน พร้อม Multi Function ควบคุมชุดเครื่องเสียง และ
Cruise Control หุ้มทั้งหนัง และสักกะหลาดสังเคราะห์ ยกชุดมาจาก
370Z แผงตกแต่งบริเวณฐานรองเกียร์ และช่องวางแก้วน้ำ เป็นลาย
Carbon Fiber สีเทา ดำ พร้อมสัญลักษณ์ Nismo นอกนั้น อุปกรณ์
ภายในห้องโดยสาร ก็ไม่ถึงกับแตกต่างจาก Juke รุ่นปกติ มากนัก
ไม่เหมือนกับ Juke R ที่ต่างกันคนละโลก

นอกจากนี้ Juke Nismo RS ยังติดตั้ง ชุดไฟหน้าแบบ Xenon พร้อมไฟ
LED Daytime Running Light ระบบกล้อง Around View Monitor
ระบบแจ้งเตือนผู้ขับขี่ก่อนเปลี่ยนช่องทางเดินรถ Lane Departure
Warning ระบบ Blind Spot Warning และระบบแจ้งเตือนวัตถุ
ด้านหลัง ขณะแล่นตัดมาระหว่างถอยรถ Moving Object Detection

ที่สำคัญสุด ก็คือ การปรับปรุงเครื่องยนต์ MR16DDT บล็อก 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 1,597 ซีซี Direct Injection Gasoline TurboCharger 
ซึ่งเป็น ขุมพลังเดิม ที่อยู่ใน Juke รุ่น Top สำหรับตลาดญี่ปุ่น และตลาด
ส่งออกสู่หลายประเทศ ให้แรงยิ่งขึ้น จากเดิม 200 แรงม้า เพิ่มอีก 18 แรงม้า
เป็น 218 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด เพิ่มขึ้นจากเดิม
อีก 30 นิวตันเมตร เป็น 284 นิวตันเมตร (28.93 กก.-ม.) ที่ รอบตั้งแต่
3,600 – 4,800 รอบ/นาที

ในเวอร์ชันจำหน่ายจริง จะมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์
อัตโนมัติ Xtronic CVT ล็อกตำแหน่งพูเลย์ได้ 8 จังหวะ พร้อมแป้น
เปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัยแถมมาให้

รวมทั้งยังเลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อมเฟืองท้าย LSD หรือ
Limited Slip พร้อมระบบควบคุมแงบิด Torque Vectoring และ
รุ่นขับเคบลื่อน 4 ล้อ อัตโนมัติ 4×4 i

Juke Nismo RS คันที่เราลองขับ เป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งจะติดตั้ง
เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และมีการปรับปรุงช่วงล่างด้วยชุดช็อกอัพแบบ
Nismo Tune รวมทั้งระบบเบรกแบบสปอร์ต สวมล้ออัลลอย ขนาด
18 J x 7 นิ้ว พร้อมยางขนาด 225/45R18 95Y

ทันทีที่ออกตัว ผมพบว่า แป้นคลัชต์ มีน้ำหนักเบากำลังดี เหยียบง่าย
จุดตัดต่อกำลังอยู่ในระดับที่เหมาะสม ถอนเท้าซ้ายนิดเดียว รถก็
แล่นขึ้นไปข้างหน้าให้แล้ว

คันเกียร์ธรรมดา เข้าได้กระชับมาก ช่วงเข้าเกียร์สั้น ไม่ได้ยาวเฟื้อย
แบบคันเกียร์ Nissan March/Almera แต่อย่างใด เพียงแต่หลายคน
อาจไม่คุ้นเคยกับการขับรถพวงมาลัยซ้าย จึงเข้าเกียร์พลาดกันเยอะ

กระแทกคันเร่งลงไปเต็มที่ รถก็พุ่งไปข้างหน้า ในระดับที่ชวนให้ผม
นึกถึงแรงดึงของ Golf GTi ขึ้นมานิดๆ อัตราเร่งที่มีมาให้ แรงใช้ได้
สนุกเร้าใจกำลังดี ไม่ไดแรงระเบิดระเบ้อแบบ Juke R และก็ไม่ได้
อิดหรือหน่วงใดๆทั้งสิ้น คันเร่งไฟฟ้า พอจะมีอาการ Lag นิดเดียว
ในบางช่วงจังหวะ แต่ก็ไม่นาน แค่ 0.3 วินาที และถ้าเหยียบเลี้ยง
คันเร่งไว้อยู่แล้ว เมื่อกดลงไป คันเร่งก็จะตอบสนองให้คุณได้
ไวในแบบของคันเร่งไฟฟ้าที่เซ็ตมาดีๆ

พอถึงโค้งขวาแรง ดิสก์เบรก คู่หน้าแบบมีรูระบายความร้อน ขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 12.6 นิ้ว และ ดิสก์เบรกคู่หลัง ขนาด 11.5 นิ้ว 
พร้อม ตัวช่วยทั้ง ABS EBD และ Brake Assist ช่วยกันทำงาน
จนคุณสัมผัสได้ถึงการทำงานที่ดีขึ้นกว่า Juke รุ่นมาตรฐานอีกระดับ
อย่างชัดเจน แม้จะต้องเบรกในโค้งเพิ่มลงไป ก็ยังทำหน้าที่ได้ดี
มากเกินคาดคิด

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า มีการปรับเซ็ตใหม่
ช่วยเพิ่มการตอบสนองให้ ต่อเนื่อง Linear ขึ้น และขืนมือขึ้นจาก
Juke มาตรฐาน เพียงนิดนึงเท่านั้น แต่ให้ผลที่ต่างกัน ในโค้งแบบ
เดียวกันชัดเจน ความมั่นใจในการตอบสนองของพวงมาลัยนั้น
แม่นยำขึ้นไปอีก จากรุ่นมาตรฐานซึ่งถือว่าทำได้ดีอยู่แล้ว (แต่
ยังไม่เท่า Juke R)

ตัวรถจะมีอาการหน้าดื้อ ลดน้อยลงจาก Juke รุ่นมาตรฐานชัดเจน
แต่ยังหลงเหลืออาการให้เห็นมากกว่า Juke R อยู่มาก แม้ว่า ระบบ
กันสะเทือนหน้า และ หลัง จะเปลี่ยนมาใช้ช็อกอัพ Nismo Tune
แล้วก็ตาม ผมสัมผัสได้ถึงความนุ่ม และการอียงตัวในระดับที่
เหมาะสมกับการขับขี่บนถนนเมืองไทย

ผมชอบช่วงล่างที่เซ็ตมาแบบนี้ นุ่มและหนึบกำลังดี เกาะแน่นอน
มั่นใจได้ ว่าเอาอยู่ แต่สำหรับนักซิ่งตีนหนักชาวไทยแล้ว ผมว่า
น่าจะอยากได้ช็อกอัพและสปริง ที่แข็งขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย
จะเป็นที่ถูกอกถูกใจกว่านี้

ขับง่าย ขับคล่อง เร็วและแรงกำลังดี มั่นใจได้ดี แต่มีหน้าดื้อนิดหน่อย


********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ประสบการณ์ดีๆ ที่ได้จากการ “คิดต่าง อย่างสร้างสรรค์”

การได้มีโอกาสทดลองขับ รถยนต์รุ่นเดียวกัน แต่ถูกปรับเซ็ตมาให้ต่างกัน
ตามวัตถุประสงค์ ที่ผู้ผลิตตั้งเป้าไว้ พร้อมกันถึง 3 คัน ในสนามเดียวกัน
สภาพอากาศเดียวกัน และรูปแบบเส้นทางเดียวกัน แบบนี้ ผมถือว่าเป็น
ประสบการณ์ดีๆ ซึ่งมีไม่บ่อยครั้งนักที่จะเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย

ไม่เคยคิดมาก่อนว่า Nissan จะยอมเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนชาวไทย
ได้ลองสัมผัส ๋ีJuke ทั้ง 3 ระดับความแรงพร้อมกัน ในเมืองไทยอย่างนี้

เจ้ากบมหากาฬ มันช่วยเปิดโลกทัศน์ ให้กับคนที่เคยได้แต่จินตนาการ
ไปเรื่อยเปื่อย ถึงความแตกต่าง ของรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นย่อย ได้มาพบเจอ
คำตอบที่แท้จริง ด้วยตัวของเราเอง ซึ่งนั่นจะช่วยยืนยันความคิด หรือ
เปิดมุมมองใหม่ๆ ในบางด้านที่เราไม่เคยค้นพบ ได้อย่างเป็นรูปธรรม
เห็นภาพชัดเจน ยิ่งกว่าแค่ที่เคยนั่งมโนภาพไปเองอยู่ในบ้านคนเดียว

Juke R เป็นรถแข่ง Prototype ที่หลายคนตั้งคำถามว่า ทำมาทำไม
ในเมื่อ ไม่คิดจะทำขาย?

ไม่แปลกที่จะมีคนถามเช่นนี้ เราคนไทย และผู้คนอีกจำนวนมากในโลกนี้
ยังไม่ได้มีฐานะร่ำรวยพอจะปล่อยวางการติดยึดกับความคุ้มค่าในการลงทุน
จึงยังคงมองรถยนต์แบบนี้ ด้วยสายตา เชิงองุ่นเปรี้ยว ว่า “ถ้ามันแพงมากนัก
ฉันเอาเงินไปซื้ออย่างอื่น ในราคาเท่ากัน แต่ฉันได้ใช้อรรถประโยชน์ของมัน
ได้คุ้มค่า ไม่ดีกว่าหรือ?”

แต่เมื่อมองในอีกมุมหนึ่ง ถ้า ทีมวิศวกรของ Nissan คิดแบบเดียวกับผู้คน
จำนวนมากในโลกนี้ เราก็จะไม่มีวันได้เห็น Juke และ Juke R ออกมา
เป็นรถคันจริง อย่างนี้กันหรอกครับ

เพราะ Juke เป็นรถยนต์ ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของทีมออกแบบและวิศวกร
ของ Nissan กลุ่มหัวก้าวหน้า ที่ “คิดต่าง” ไปจากคนในบริษัทตนเอง คน
กลุ่มที่มองโลกอย่างท้าทาย กล้าเสี่ยงกับความล้มเหลว ในแบบที่คุณจะ
ไม่มีวันได้เห็นจาก ชาวญี่ปุ่นยุคใหม่ทั่วๆไป ที่เดินสวนกันขวักไขว่ใน
สถานีรถไฟย่านใจกลางกรุงโตเกียวแน่ๆ

และเพราะความกล้าได้กล้าเสี่ยงของพวกเขา Juke จึงกลายเป็นรถยนต์นั่ง
กลุ่ม B-Segment Crossover ที่ประสบความสำเร็จสูงด้วยยอดขายทั่วโลก
สะสมกว่า 730,000 คัน ส่งผลให้ การถือกำเนิดของ Juke Nismo RS และ
Juke R กลายเป็นตำนานบทใหม่ที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน

วันนี้ Juke R คงจะกลายเป็น 1 ในตำนานติดล้อยุคใหม่ ที่ผมกล้าแนะนำ
ให้คุณลอง “หาโอกาสขับ ก่อนจากโลกนี้ไป” เพราะมันเป็นรถยนต์ที่ถูก
สร้างขึ้นจาก “ความคิดบ้าบิ่นอย่างสร้างสรรค์ ยึดมั่นต่อการไม่ยึดติด” จน
กลายเป็นรถยนต์ระดับตำนานอีกรุ่นหนึ่ง ประดับวงการรถยนต์ และ
Motor Sport ในปัจจุบัน

ขณะที่ Juke Nismo RS นั้น ดูจะเป็นความแรงเกินคาดคิด ในระดับที่
ใช้งานง่ายขึ้นในชีวิตประจำวัน แม้ว่ามันอาจไม่มีโอกาสมาทำตลาด
ในเมืองไทย เพราะการส่งออกจากโรงงานใน Sunderland มายัง
เมืองไทย แค่ค่าขนส่งอย่างเดียว เมื่อรวมภาษีนำเข้า มันอาจทำให้
Juke Nismo RS คันน้อยๆ มีค่าตัวปาเข้าไปแตะ 3 ล้านบาท ได้ง่ายๆ

ดังนั้น การสัมผัสรถยนต์ ทั้ง 2 รุ่น บนสนามแข่งในเมืองไทย ในวันนี้
จึงเป็นประสบการณ์ที่ดี น่าจดจำ และทำให้ผมได้เข้าใจถึงประโยคที่ว่า

“คิดต่างอย่างสร้างสรรค์ จงฝันให้ไกล แล้วไปให้สุด”

————————————–

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks to:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Nissan Motor Thailand จำกัด
สำหรับการเปิดโอกาส เพื่อสร้างประสบการณ์ในครั้งนี้

ภาพประกอบ บางส่วนโดย Pao Dominic

————————————–

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม

รายละเอียดเพิ่มเติมของ Juke R
http://www.youtube.com/user/NissanJuke

บทความทดลองขับ Nissan Juke เวอร์ชันไทย คลิกที่นี่

————————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความและภาพถ่ายทั้งหมด โดยผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
7 กรกฎาคม 2014

Copyright (c) 2014 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
July 7th,2014 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!