ตลอดปี 2010 ที่ผ่านมา ผมว่า เราห่างหายไปจากการทดลองขับรถยี่ห้อหนึ่งไป
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ 3 ปีที่ผ่านมา จะมีรถยี่ห้อที่ว่า หมุนเวียนสับเปลี่ยนมาให้ลองขับกัน
จนมือชุ่ม ตูดแฉะ ค่าน้ำมันฉ่ำไปข้างหนึ่ง….

 

เปล่าเลย หาได้บกพร่องในความสัมพันธ์ไม่ ผมกับบริษัทนี้ ยังมีการติดต่อกัน ไปมาหาสู่กัน
อยู่เรื่อยๆ ยังคงความสนิทชิดเชื้อกันอย่างดีเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาตลอด 5 ปีก่อนหน้า หากแต่
เป็นเพราะ พวกเขายังไม่มีรถรุ่นใหม่ๆ ออกมาให้เราได้จับพวงมาลัยกันอีกเลย หลังจาก เจ้า
Honda Freed ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงปลายปี 2009

ถูกต้องแล้วครับคุณผู้อ่าน เรากำลังพูดถึงรถยนต์ยี่ห้อ Honda ยักษ์อันดับ 2 ในตลาดรถยนต์นั่ง
บ้านเรา และเป็นยักษ์หมายเลข 3 ในตลาดรถยนต์รวมทุกหมวดหมู่ของไทย มาได้หลายปีแล้ว

วันนี้ เราจะได้มีโอกาสต้อนรับ Honda รุ่นใหม่ มาอยู่ในคลังบทความของเรากันอีกครั้ง
เพียงแต่คราวนี้ อาจจะไม่ใช่ Full Review เต็มรูปแบบนัก เนื่องจากว่า คราวนี้ รถรุ่นที่ว่า
ก็คือ เจ้าขาวมุก คันที่เห็นอยู่นี้…

 

อันที่จริง พี่ Zi ศศิวรรณ ทองดีเลิศ PR มือโปร (กอล์ฟ) แสนลั่นล้า ของ Honda ชวนผมไปร่วมทริป
ลองขับ Accord Minorchnge กันแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่รถเพิ่งจะเปิดตัว เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2010 ที่ผ่านมา
แต่ ด้วยเหตุที่ ติดขัดสารพัดงานการอันวุ่นวายยุ่งเหยิง เป็นไหมพรมที่ขยำๆ รวมกันอยู่ เลยต้อง
ปฏิเสธไปอย่างน่าเสียดาย แต่เรามิวายบอกไปว่า หลัง Motor Expo ถ้ารถว่างเมื่อไหร่ ก็ล็อกให้ผม
สักคันจะขอบคุณมากๆ

พี่ Zi ของผม ก็ล็อกไว้ให้จริงๆ แต่ ล็อกเอาไว้เมื่อ สัปดาห์ที่แล้ว (17 – 20 ธันวาคม) โดยที่ผมก็ไม่ทราบ
เราต่างคนต่าง ทำงานจนลืม เมื่อ พี่ต้า PR ในทีมของ Honda โทรหาผมตอน 6 โมงเย็นวันศุกร์ที่ 17 นั่นละ
ว่า “คุณจิมมี่ ไม่มารับรถเหรอครับ”  เลยถึงบางอ้อ ว่า ทั้งผม และพี่ Zi เราต่างลืมกันไปแล้วทั้งคู่จริงๆ
ทำให้ ต้องขอเลื่อนมาเป็นสัปดาห์สุดท้ายของปี ซึ่งนั่นเท่ากับว่า Accord คันนี้ น่าจะเป็นรถคันสุดท้าย
ที่ผมได้ทดลองขับ ในปี 2010 นี้ 

และเชื่อว่า หลายๆคน ก็คงจะแอบหวังไว้เล็กๆ ว่าอยากให้ผมทำรีวิวของ Accord Minorchange อยู่บ้าง

เพราะ สิ่งที่หลายๆคนอยากจะรู้จากรีวิวนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า “ตกลงแล้ว Accord Minorchange
เขาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอะไรกันบ้าง แล้วรุ่น ไฮไลต์ อย่าง 2.0 EL NAVI ที่เพิ่มเข้ามา เมื่อเทียบกับ
ค่าตัวแล้ว คิดว่าน่าจะซื้อหามาเป็นเจ้าของหรือไม่”
คำตอบข้างล่างนี้ จะยังคงความตรงไปตรงมา อันเป็นมาตรฐานของ Headlightmag.com เหมือนเช่นเคย
เพียงแต่ จะถูกใจใคร หรือขัดใจใคร ผมไม่อาจทราบได้จริงๆ นะ
 
 

เราคงต้องยอมรับกันว่า แม้ยอดขายรถยนต์ในกลุ่ม D-Segment หรือ Medium Class Sedan จะมียอดขาย
ตั้งแต่หลักร้อย จนถึงหลักพันต้นๆ ต่อเดือน แต่การแข่งขัน ค่อนข้างดุเดือดตลอด หลายปีที่ผ่านมา
เจ้าตลาด อันได้แก่ Toyota Camry ก็ยังคงเป็นแชมป์ในตลาดนี้ ด้วยยอดขายระดับ 1,000 1,200 คัน/เดือน
ขณะที่ Honda Accord ซึ่งมียอดขายป้วนเปี้ยนที่ระดับ 500 คัน/เดือนนั้น กำลังถูก Nissan Teana รุ่นใหม่
ท้าทาย ด้วยยอดขายในระดับที่พอๆกัน คือ เฉลี่ย ประมาณ 500 คัน/เดือน สถานการณ์ล่าสุด จากการรวมรวบ
ครั้งสุดท้าย เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Honda Accord มียอดขาย ตั้งแต่เดือน มกราคม-ตุลาคม ปีนี้ รวม
4,842 คัน เพิ่มขึ้น 15% จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน และถ้ารวมยอดขายในเดือนพฤษภาคม เข้าไปอีก
386 คัน ก็จะสะสมอยู่ที่ 5,228 คัน ยังคงเป็นอันดับที่ 2 ในตลาด

 
 

อย่างไรก็ตาม การท้าทายจาก Nissan Teana ทำให้ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Accord มียอดขายประจำเดือน
ร่วงลงไปอยู่ในอันดับ 3 และ Teana ใหม่ สามารถแซงขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 ด้วยยอดรวม 480 คัน ต่อให้ยอดรวม
ของ Teana ทตลอด ปี 2010 จนถึงเดือนพฤศจกายน ตัวเลขอยู่ที่ 4,981 คัน ตาม Accord อยู่นิดหน่อย แต่ระยะห่าง
ที่น้อยลงแบบนี้ ส่งสัญญาณอันตรายแล้วว่า ถ้า Honda ไม่ทำอะไรสักอย่างกับ Accord ละก็ มีหวังได้สลับกันเป็น
ที่ 2 และ ที่ 3 ตลอดอายุตลาดที่เหลือของทั้ง 2 รุ่น จากนี้ จนถึงปี 2013 กันแน่ๆ ทั้งคู่ แล้วยิ่งถ้า Toyota จะต้อง
เปิดตัว Camry ใหม่ทั้งคัน ในช่วงปี 2012 ด้วยแล้ว อายุตลาด ช่วง ปี 2012-2013 นั้น จะเป็นช่วงเวลาลำบากของทั้งคู่
อีกครั้งอย่างแน่นอน นั่นจึงเป็นเหตุให้ Honda ตัดสินใจ เปิดตัวรุ่นปรับโฉม Minorchange ให้กับ Accord กันตั้งแต่
ปลายปี 2010 เลย

 
 

สิ่งที่ผมตั้งคำถามเอาไว้ ก่อนจะไปรับรถก็คือ ด้วยเหตุที่ ค่าตัวของรุ่น 2.0 ใหม่ แพงขึ้นกว่าเดิม ชัดเจน
ในความคิดของผู้บริโภค เลยชวนให้สงสัยว่า ตกลงแล้ว Accord รุ่น Minorchange ในครั้งนี้ จะยังคงความ
น่าสนใจ พอจะให้ตัดสินใจซื้อหามาขับ กันอยู่เหมือนเคยหรือเปล่า?

ถ้าดูจากความเปลี่ยนแปลงภายนอกแล้วละก็ จุดเด่นๆ จะมีเพียงแค่ ชุดเปลือกกันชนหน้า พร้อมกระจังหน้า
แบบใหม่ ที่ลดเหลี่ยมมุมลง ดูหวานขึ้น อ่อนโยน และสวยงามขึ้น 

 
 

ขณะที่บั้นท้ายนั้น แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วนตัวถังใดๆเลย มีเพียงแค่การเปลี่ยน แผงทับทิมไฟท้าย
บริเวณ ฝากระโปรงหลัง แบบใหม่ ที่ถอดยกมาจาก Honda Inspire เวอร์ชันญี่ปุ่น รุ่น Minorchange เหมือนกัน
แบบไม่มีผิดเพี้ยน

รวมทั้งการเพิ่ม 2 รุ่นย่อยใหม่เข้ามา นั่นคือ รุ่น 2.0 EL 1,280,000 บาท และรุ่น 2.0 EL NAVI 1,420,000 บาท
ซึ่งรุ่นหลังนี่แหละ คือรถคันสีขาว ที่คุณจะเห็นอยู่ในบทความนี้ ความแตกต่างจากรุ่น 2.0 E รุ่นล่างสุด อยู่ที่
การนำล้ออัลลอย 17 นิ้ว จากรุ่น 2.4 ลิตรเดิม มาติดตั้งให้ ในขณะที่รุ่น 2.4 ลิตร Minorchange จะเปลี่ยน
ล้ออัลลอยเป็นลายใหม่ ซึ่งแตกต่างกันจากนี้

 
 

ความเปลี่ยนแปลงประการต่อมา อยู่ที่กุญแจ ทั้งที่ คู่แข่งทั้ง Toyota Camry และ Nissan Teana เขาใช้ระบบ
Keyless Entry เดินเข้ารถได้ โดยไม่ต้องกดปุ่มปลดล็อกด้วยตัวเอง แต่ Honda เลือกที่จะเปลี่ยนมาใช้กุญแจ
รีโมทคอนโทรล แบบมีดพับ ซึ่งมีหน้าตาคล้ายคลึงกับ รีโมท ที่ใช้อยู่ใน Honda CR-Z เพียงแต่ มีปุ่มเพิ่มขึ้นมา
1 ปุ่มเท่านั้นเอง กว่าที่เราจะได้เปิดประตู Accord โดยไม่ต้องกดปุ่มใดๆทั้งสิ้น คงต้องรอไปถึง รถรุ่นต่อไป
ซึ่งก็นานอีกคั้ง 2 ปีกว่าๆ

 
 

อีกความแตกต่างหนึ่ง อยู่ที่ โทนสีในห้องโดยสาร ในรุ่น 2.0 ลิตร และ 2.4 ลิตรดั้งเดิม จะใช้โทนสีเบจ เป็นหลัก
แต่คราวนี้ การเลือกใช้โทนสีในห้องโดยสาร จะขึ้นอยู่กับว่า คุณเลือกสีภายนอก เป็นสีอะไร

ถ้าคุณเลือกสี เทา Polish Metal Metallic (NH – 737M) สีดำมุก Cyrstal Black Pearl (NH – 731 P) และ สีน้ำตาล
Urban Titanium (YR – 578M) อันเป็นสีใหม่ล่าสุดที่เพิ่มเข้ามาสำหรับรุ่น Minorchange และเป็นสีเดียวกับที่
มีให้เลือกใน CR-V Minorchange ด้วย ภายในรถจะเป็นสีเบจ ตามเดิม (ยกเว้นรุ่น V6 3.5 ลิตร ซึ่งจะให้ภายใน
สีดำ เหมือนเดิม หากคุณเลือกสีน้ำตาล)  

แต่ถ้าเลือกสีตัวถัง เป็นเงิน Alablaster Metallic (NH – 700M) อันน่าเบื่ออออออออออออออออออออออออออออ
กับสีขาวมุก Brilliant White Pearl (NH – 636P) เหมือนอย่างที่เห็นอยู่นี้ ภายในห้องโดยสาร จะตกแต่งด้วยสีดำ
เหมือนเช่นรุ่น V6 3.5 ลิตร โดยไม่เกี่ยงว่าคุณจะเลือกรุ่นเครื่องยนต์ใดก็ตาม

 
อย่างน้อย การมีสีน้ำตาลมาให้เลืก ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ที่อย่างน้อย ยังมีสีอื่นให้ลูกค้าได้เลือกกันบ้าง ไม่ใช่
มีแค่ สี Grey Scale อันได้แก่ ขาว เทา ดำ เงิน อันแสนจะเอียนอ้วก มาให้เลือกเพียงลำพัง คือ เข้าใจว่า
สีที่ขายดีที่สุด คือสีเหล่านี้ ทำแล้วคุ้มต้นทุน แต่ความจริงคือ การมีทางเลือกให้ลูกค้าบ้าง ก็คงจะช่วยให้
ท้องถนนเมืองไทย มีสีสันอื่นๆกันบ้าง ที่ไม่ใช่สี Grey Scale เหล่านี้ แต่อย่างเดียว เพราะมีลูกค้าจำนวน
ไม่น้อย ที่เบื่อ 4 สียอดฮิตเหล่านี้กันเต็มทนแล้ว..
หนึ่งในนั้น ก็พวกเรา The Coup Team ในเว็บ Headlightmag.com กันนี่แหละ!
 
 
 
เบาะนั่งคู่หน้า ของรุ่น 2.0 EL NAVI คันนี้ ปรับตำแหน่งได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า แต่เฉพาะฝั่งคนขับเท่านั้น
ที่จะมีสวิชต์ปรับตัวดันหลัง แบบไฟฟ้า มาให้ พนักศีรษะค่อนข้างดันหัวในระดับหนึ่ง แต่พอยอมรับได้
เบาะรองนั่ง นั่งได้เต็มก้น มีพื้นที่เหนือศีรษะค่อนข้างเยอะ ที่วางแขนบนแผงประตู และที่คอนโซลกลาง
ยังคงวางได้สบายในระดับหนึ่ง กำลังดี แต่มข้อแม้ว่าต้องปรับตำแหน่งเบาะคนขับให้ลงต่ำสุดเท่านั้นนะ
ตำแหน่งนั่งขับ ยังถือว่า ดีที่สุดในตลาด เพราะสามารถ ปรับตำแหน่ง ให้ลงตัวกับสรีระของคนที่แตกต่างกัน
ได้ค่อนข้างเยอะ เพียงแต่ หนังที่ใช้หุ้มเบาะ อาจจะไม่ได้นุ่มนวลชวนสัมผัส เหมือนใน Nissan Teana 
เรื่องนี้ ก็คงต้องถาม Product Planing ของ Honda และผู้ผลิตเบาะหนังให้พวกเขา อย่าง SAB ย่านบางนา-ตราด
กม. 12 เลยจากบ้านข้าพเจ้าไปนิดเดียว ว่า จะหาหนังที่มีผิวสัมผัสนุ่มละมุน กว่านี้มาหุ้มเบาะให้รถ Honda 
กันหน่อย ไม่ได้เลยหรืออย่างไร? 
 
 
ขณะเดียวกัน เมื่อเปิดประตูคู่หลัง ออกมา คุณจะพบว่า ทางเข้าประตูคู่หลังนั้น กว้างสบาย และเข้าออกได้ง่าย 
สะดวกโยธินที่สุด ในตลาด ไม่ต้องกังวลว่า หัวจะติดขอบหลังคาด้านบน ไม่ต้องห่วงว่า จะเหวี่ยงขาออกไป
พ้นประตูรถ โดยไม่ไปโดนพลาสติกชิ้นใดหรือไม่ เพราะความกว้างของช่องทางเข้า – ออก จากรถนั้น กว้าง
สบาย กำลังดีเลยทีเดียว เชื่อหรือไม่ว่า ประเด็นนี้ แม้แต่ BMW 5-Series รุ่นใหม่ F10 ก็ยังทำได้ไม่ถึงกับดีเท่า! 
(แน่ละ เบาะหน้าเขาใหญ่โตขนาดนั้น มันก็เบียดบังพื้นที่วางขาเข้ามาหนะสิ)
 
 
 
แล้วพื้นที่วางขาของ Accord เป็นอย่างไร? ก็ยังวางได้ กำลังดี เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เบาะรองนั่ง
นั่งได้เต็มก้นเช่นเคย พนักพิง ทำมุมเอียงได้พอดีๆ ที่วางแขน ทั้งบนแผงประตูคู่หลัง และที่พักแขนแบบ
พับได้ พร้อมช่องใส่แก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง แบบมีฝาปิด ก็วางได้ พอดีๆ พื้นท่เหนือศีรษะ ก็ยังมีเหลือมากพอ
ให้คนสูงระดับ 180 เซ็นติเมตร ยังนั่งได้สบายๆ มีพนักศีรษะมาให้ 3 ตำแหน่งครบ และมีเข็มขัดนิรภัย
ELR 3 จุด 3 ตำแหน่งครบ แถมมีไฟอ่านหนังสือมาให้ ที่เพดานทั้งฝั่งซ้าย และขวา ใกล้มือจับบนเพดาน
และแน่นอน ในรุ่น 2.0 ลิตร ของ Accord ยังไม่มีรุ่นย่อยใด ติดตั้งม่านบังแดดมาให้เลย
 
ยอมรับกันตรงๆว่า เบาะของ Accord ยังนั่งไม่นุ่มนวลเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับ Teana และ Camry
อันนี้ เป็นการบ้าน ให้กับทีมออกแบบ วัสดุในห้องโดยสารของ Honda Accord รุ่นต่อไป ทำการบ้าน
มาใหม่ด้วยจะดีมากครับ (อ้อ ถ้าคิดจะใช้บริการ SAB ในการทำเบาะรถรุ่นต่อไปแล้วละก็ ฝากพวกเขา
ปรับปรุงคุณภาพหนังหุ้มเบาะด้วยจะดีมาก) สรุปว่าตำแหน่งนั่งหนะถูกแล้ว ดีแล้ว แต่เปลี่ยนหนังหุ่มเบาะ
เสียใหม่ ให้เป็นหนังแท้ กับวัสดุสังเคราะห์ ที่มีผิวสัมผัส ละเมียดละไมกว่านี้ จะดีมาก 
 
 
นอกจากนี้เบาะหลังยังสามารถพับได้ แถมเมื่อดึงที่วางแขนอกมา จะพบฝาพลาสติก พร้อมตัวล็อก 
สำหรับเปิดทะลุไปยังห้องเก็บของด้านหลัง ข่าวร้ายก็คือ พนักพิงไม่สามารถแยกพับได้ ต้องพับลงมา
ทั้งยวง เหมือน Nissan March ไม่มีผิด! ไม่เข้าใจว่า ทำไม Honda City ที่บ้านข้าพเจ้า จอดข้างๆ กัน
คันละ 697,000 บาท เบาะหลังยังแยกพับได้ แต่ Accord แยกพับไม่ได้ ทำตัวเป็น Nissan March ไปได้
 
 
และภ้าต้องการแยกพับ คุณต้องเปิดฝากระโปรงหลัง จากทางรีโมทกุญแจ หรือใต้เบาะคนขับ คันโยกเล็ก
เชื่อมติดกับกลไกล็อกฝาถังน้ำมัน รวมอยู่ในจุดเดียวกัน พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ก็เป็นอย่างที่เห็น
คือพื้นค่อนข้างตื้นเขินกว่า คู่แข่งทั้ง 2 อย่างชัดเจน
 
 

พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังนั้น ด้วยเหตุที่  Honda ออกแบบมาเผื่อให้วางยางอะไหล่ขนาดบาง
อันเป็นยางอะไหล่มาตรฐานในญี่ปุ่น แต่สำหรับเมืองไทย ความต้องการ ยางอะไหล่ขนาดมาตรฐาน
เดียวกับยางติดรถ พร้อมล้ออัลลอย เป็นล้อที่ 5 ติดรถมาจากโรงงาน ยังจำเป็นอยู่ นั่นทำให้ต้องใส่
ยางขนาดดังกล่าวมา และต้องทำพื้นห้องเก็บของด้านหลัง ยกระดับขึ้นมา เพื่อให้วางของได้อยู่
อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้ ทำให้ ความสูงของห้องเก็บของด้านหลัง ลดน้อยลง และกลายเป็นว่า
มีขนาดห้องเก็บของน้อยกว่า Camry กับ Teana อย่างน่าเสียดาย

 
 
แผงหน้าปัด ยังคงไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแต่ประการใด เพียงแต่สิ่งที่ชวนให้สงสัย
ก็คือ เมื่อดึงแผงบังแดดทั้ง 2 ฝั่งลงมา พบว่า ไม่เห็นจะมีไฟแต่งหน้ามาให้แต่อย่างใด ไม่แน่ชัดว่า
ไฟอ่านแผนที่ ตรงกลาง นั้น ทาง Honda คิดว่าสว่างพอแล้วหรือ สำหรับการใช้งานของ บรรดา
อาซิ่ม อาซ้อ อาอึ้ม ทั้งหลาย ในยามค่ำคืน? ใส่มาให้หน่อยจะดีกว่ามั้ง แหม แค่ไฟดวงละไม่กี่บาท
อย่างกเอาไว้ใส่ให้เฉพาะรุ่นแพงๆ หน่อยเลยน่า เนาะ ภายในสีดำ ประดับด้วยลายอะลูมีเนียมสีเงิน
และลายไม้ สีดำ อันที่จริง ไม่อยากเรียกว่าลายไม้เท่าใดนัก เพราะสีพรรค์สรรพางค์ ออกแนว คล้าย
พื้นผิวของ หินอ่อน เสียมากกว่า ทั้งหมดนี้ ก็แทบจะยุกชุดมาจากรุ่น V6 3.5 ลิตร เลยนั่นเองแหละ
 
 

เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้านั้น ปรับตำแหน่งได้ 8 ทิศทาง แถมพวงมาลัยยังสามารถปรับระดับได้ ทั้ง สูง -ต่ำ
และระยะใกล้ – ห่าง จากตัวผู้ขับขี่ มีถุงลมนิรภัยมาให้ ทั้งคู่หน้า และด้านข้าง รวม 4 ใบ พร้อมเซ็นเซอร์ ใต้เบาะ
ผู้โดยสารฝั่งซ้าย เพื่อดูว่า มีใครมานั่งหรือไม่ ถ้ามี ถุงลมนิรภัยจะทำงาน หากเกิดการชน แต่ถ้าไม่มี ถุงลมฝั่ง
ผู้โดยสาร ก็จะอยู่นิ่งเฉย ไม่ทำงานให้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ในแง่ของการซ่อมบำรุง หลังเกิดอุบัติเหตุ คือจะได้
ไม่ต้องสิ้นเปลือง เปลี่ยนถุงลมใบใหม่ นั่นเอง

กระจกหน้าต่างไฟฟ้าทั้ง 4 บาน มีเฉพาะฝั่งคนขับเท่านั้น ที่จะเป็นแบบ One Touch กดหรือยกสวิชต์ครั้่งเดียว
กระจกหน้าต่าง จะเลื่อน ขึ้น – ลง เอง โดยอัตโนมัติ กระจกมองข้าง ปรับและพับได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า

พวงมาลัย มีสวิชต์ ควบคุมการทำงานของทั้งระบบรักษาความเร็วคงที่ Cruise Control อยู่บนฝั่งขวามือ ส่วน
ฝั่งซ้าย เป็นสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียง ใช้งานไม่ยากนัก วงพวงมาลัยออกแบบมากำลังดี หนาขึ้นกว่ารถรุ่น
G7 แต่ ไม่ถึงกับหนาจนถึงขั้นรถสปอร์ต แต่อย่างใด ส่วนตำแหน่งของเบรกมือนั้น อยากบอกว่า เตรียมพร้อม
สำหรับการ Drift มากๆ (ฮ่าๆ)

 
ชุดมาตรวัด ถึงจะดูแพรวพราวไปหมด แต่ก็อ่านข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย สบายตา ฟอนท์ตัวอักษรที่ใช้
เว้นระยะช่องไฟมาได้อย่างเหมาะสม ตัวเลขมีขนาดใหญ่พอประมาณ ในรุ่น 2.0 ลิตรนั้น บรรดา
Trip Computer และมาตรวัดอัตราสิ้นเปลือง เชื้อเพลิงต่างๆ ถูกนำไปร่วมไว้กับ จอมอนิเตอร์  
ตรงแผงควบคุมกลางแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีจอแสดงอัตราสิ้นเปลือง บนชุดมาตรวัดแต่อย่างใด 
 

ชุดเครื่องเสียงในรุ่น 2.0 EL จะเป็นเครื่องเล่น CD/MP3 แบบ 6 แผ่น แต่ในรุ่น 2.0 EL NAVI  ที่เห็นอยู่นี้
จะยกระบบนำทาง GPS Navigation System มาพร้อมกับเครื่องเล่น DVD และกล้องส่องภาพด้านหลังรถ
เพื่อช่วยกะระยะขณะเข้าจอด มาให้ครบ แถมยังมี ฮาร์ดดิสก์สำหรับบันทึกไฟล์เพลง (HDD Sound Contaner)
และระบบเสียงแบบ Premium sound system

คุณภาพเสียงหนะ ไม่ใช่ปัญหาของรถรุ่นนี้ เพราะยังคงให้เสียงที่ดี เพียงแต่ว่า อาจจะขาดมิติไปนิดหน่อย
แต่ภาพรวม ยังถือว่า อยู่ในเกณฑ์ดี พอให้ Nissan Teana เอาไปฟัง เพื่อปรับปรุงตัวเองด้วย แต่อย่างไรก็ตาม
ปัญหาหนะ อยู่ที่ ปริมาณสวิชต์ ที่ดูจะมีมากเกินไป จนเต็มพรืด แถมยังมีขนาดเหมือนๆกัน ยากต่อการใช้งาน
ถ้าคุณต้องขับรถไปด้วย แถมระบบนำทาง ก็ใช้งานค่อนข้างยาก และมีโอกาส พาคุณหลงทิศหลงทาง ก่อนถึง
จุดหมายได้ ในช่วงสุดท้าย ก่อนถึงปลายทาง ผมเจอมา 2 รอบ

รอบแรก พาผมหลงเข้าซอยผิด ระบบคงคิดว่า จะให้ผมเข้าทางลัด ซึ่งจะถึงจุดหมายได้เร็วกว่า แต่เปล่าเลย
ซอยนั้น รถทะลุไม่ได้ และถ้าผมยังทู่ซี้ขับตามไป ก็คงจะหลุดเข้าไปยังซอยที่ มีเพียง มอเตอร์ไซค์ เท่านั้น
ที่จะลอดเข้าไปได้แน่ๆ กับอีกครั้งหนึ่งคือ การแสดงแผนที่ ที่ผิดเพี้ยนไป เราจะไปกินข้าวเย็นกันที่ร้าน Shitake
อันเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ริมถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา แค่จะแสดงตำแหน่งรถให้อยู่บนถนนเลียบทางด่วน
ยังทำไม่ได้เลย ตำแหน่งรถบนหน้าจอ มันผิดเพี้ยนไปอยู่ซอยไหนก็ไม่รู้  และขนาดว่า ทาง Honda ส่งคู่มือ
การใช้งานระบบนำทางมาให้เราได้อ่านประกอบไปด้วยแล้ว ก็ยังหาวิธีแก้ไขความผิดเพี้ยนของตำแหน่ง ไม่เจอ
จนท้ายสุด เราพึ่งพา Google Map ในโทรศัพท์มือถือ ของน้องในทีมงาน พาเราไปถึงร้านดังกล่าวได้สะดวกโยธิน
และปล่อยให้ระบบนำทางของ Honda ยังคง “เอ๋อรับประทาน” กันต่อไป จนถึงจุดหมายนั่นละ ผมจึงเริ่มไม่มั่นใจ
ว่า มันจะทำงานได้แม่นยำอย่างที่คุณต้องการนัก อย่างน้อย ข้อดีที่ผมพอเห็นคือ หน้าจอสวยมาก และการทำงาน
ในภาพรวมน่าจะดี เพียงแต่ การเข้าถึงเมนูย่อยที่ต้องการ มันอยู่ลึกมากไป คลำหากันนานเกินไป

แต่ผมชอบหน้าจอ ของ Honda ตรงการแสดงผล ที่นอกจากจะแบ่งหน้าจอ 2 ฝั่ง ได้แล้ว ยังสามารถ
ปรับมุมมองให้เป็นแบบ Bird Eye View ได้ ตามองศาที่ต้องการ ประมาณ 10 ระดับ ถ้านำทางไปเรื่อยๆ
จะมีภาพแสดงทางแยกที่ควรจะต้องใช้ โผล่ขึ้นมาให้ เป็นภาพกราฟฟิคสวยงาม อันนี้ละที่ชอบ

เครื่องปรับอากาศในรุ่น 2.0 EL NAVI จะเป็นแบบ แยกฝั่งมาให้ ซ้าย – ขวา หน้าจอถูกจับรวมกลมกลืนไปกับ
ชุดเครื่องเสียง ดูเหมือนจะดี แต่อันที่จริง ค่อนข้างยากต่อการใช้งาน แม้จะมีความพยายาม ออกแบบสวิชต์ต่างๆ
ให้อยู่ใกล้มือผู้ขับขี่มากที่สุด…แต่ ปัญหาที่เกิดขึ้น มันก็เหมือนกันกับสวิชต์เครื่องเสียงนั่นแหละ คลำลำบาก
และต้องละสายตาจากพื้นถนนมาคลำหาสวิชต์ที่ต้องการ จนต้องใช้เวลานานอยู่ อันอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
บ้างเหมือนกัน

แอร์เย็นเร็ว เย็นไว แต่ในบางครั้งที่เหยียบคันเร่งเต็มเท้าเมื่อใด ก็จะมีกลิ่นคล้ายๆ แอมโมเนีย แบบที่ Mazda 2
และ Ford Fiesta มีนั่นละ ลอยมาฉุนจมูกนิดนึง แล้วก็จะหายไป

สรุปว่า ตำแหน่งของจอมอนิเตอร์ ถูกต้องแล้ว ตำแหน่งสวิชต์ในภาพรวม ถูกต้อง แต่ ต้องแก้ไขรูปแบบและ
ปริมาณของสวิชต์ ให้อยู่ในระดับ ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป และต้องเอื้อให้ผู้ขับขี่ สามารถ แยกความแตกต่าง
ในการใช้งาน ขณะขับรถไปด้วย ให้ง่ายกว่าที่เป็นอยู่นี้ นั่นคือสิ่งที่ผมคาดว่าจะได้เห็นใน Accord รุ่นต่อไป

 

นอกจากนี้ ชุดเครื่องเสียงดังกล่าว ยังสามารถเชื่อมต่อกับ เครื่องเล่นเพลงในแบบอื่นๆ ได้ จากสาย USB ที่มีมาให้
อยู่ในกล่องคอนโซลเก็บของ ขนาดใหญ่เอาเรื่อง พร้อมมีถาดวางของขนาดเล็กถอดออกได้ อีกชั้นหนึ่ง อย่างที่เห็น
มีฝาปิดกล่องคอนโซล หุ้มหนังแบบเดียวกับ หนังหุ้มเบาะรถ สามารถเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ ส่วนช่องวางแก้ว
มีฝาปิด กลมกลืนไปกับ ลายไม้ วางได้ 2 ตำแหน่ง แต่กลับไม่มีช่องล็อกตำแหน่งแก้ว มาให้ ซึ่งก็แปลกๆ ไปหน่อย

นอกจากนี้ยังมีช่องเสียบจ่ายไฟ สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้า มาให้ อยู่ข้างๆ ช่องเสียบ USB นั่นเอง 

 
ทัศนวิสัยด้านหน้า มองเห็นโปร่งตา แม้ว่าจะปรับตำแหน่งเบาะคนขับให้ต่ำลงสุด ซึ่งก็ปรับให้ต่ำลงไปได้ไม่มาก
เท่ากับ BMW 5-Series ใหม่ กระนั้น คุณจะยังมองเห็นฝากระโปรงหน้าค่อนข้างชัดเจน พอจะช่วย
ให้การกะระยะ ทำได้ในระดับที่นักขับรุ่นผู้ใหญ่ ซึ่งคุ้นเคยการขับรถแล้วต้องเห็นฝากระโปรงหน้า
น่าจะชื่นชอบ
 
 
มองมาทางขวา เสาหลังคา A-Pillar ฝั่งขวา อาจจะมีบางจังหวะที่บดบังสายตา ตอนขับรถเลี้ยงโค้งขวา
บนถนนสวนกัน 2 เลน อยู่นิดนึง แต่ก็ยังถือว่าพอรับได้ อย่างไรก็ตาม กระจกมองข้างนั้น โดนกรอบ
พลาสติกของมัน บดบังขอบนอก ที่จะต้องใช้ในการมองเห็นรถจากเลนขวา สุด อยู่พอสมควรเลยทีเดียว
 
 
ประเด็นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเค่กระจกมองข้างฝั่งขวา หากแต่ กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ก็ยังมีปัญหาเดียวกัน
โผล่มาให้เห็นเล็กน้อย แม้ว่ากระจกมองข้าง จะมีขนาดใหญ่ ดูง่ายก็ตามแต่ ส่วนเสาหลังคา A-Pillar 
ฝั่งซ้าย ไม่ค่อยบดบังตอนเลี้ยวกลับรถมากนัก
 
 
แต่ที่ชนะเลิศได้ถ้วยไปเลย ก็คือ ทัศนวิสัยด้านหลัง เสาหลังคา C-Pillar ออกแบบมาให้มีการบดบัง
ด้านหลังรถ ค่อนข้างน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องดีของรถรุ่นนี้อีกประการหนึ่ง และถือว่า มีทัศนวิสัยด้านหลัง
โปร่งสบายตา มากดีที่สุดในบรรดา รถยนต์กลุ่ม D-Segment ด้วยกัน ต่อให้พนักศีรษะหลัง ก็ยังไม่บดบังนัก
 
 
 
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
แม้จะทราบกันดีว่า Honda ทำตลาด Accord ในบ้านเรา ด้วย ทางเลือกเครื่องยนต์ มากถึง 3 ขนาด
โดยตัวหลักจะเป็น เครื่องยนต์ดั้งเดิม รหัส K24A บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,354 ซีซี หัวฉีด 
PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์วแบบ i-VTEC ซึ่งแปรผันทั้งที่แท่งแคมชาฟต์ และที่หัวแคมชาฟต์
รวมทั้ง ใช้ระบบลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า และคันเร่งไฟฟ้า DBW (Drive By Wire) ควบคุมด้วยสมองกล
อีเล็กโทรนิกส์ 180 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.6 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที 
ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
และในรุ่นแรงสุด จะเป็นเครื่องยนต์รหัส J35A บล็อก V6 SOHC 24 วาล์ว 3,471 ซีซี เส้นผ่าศูนย์กลาง
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 89.0 x 93.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC 
และระบบ VCM ( Variable Cylinder Management) แปรผันการทำงานของกระบอกสูบ ให้สัมพันธ์กับ
ความต้องการของผู้ขับขี่ 275 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 34.7 กก.-ม.ที่ 5,000 รอบ/นาที 
ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เช่นเดียวกัน แต่มีอัตราทดที่แตกต่างกันเล็กน้อย 
แต่รุ่นที่ต้องถือเป็นตัวหลักในการทำตลาดระยะหลังมานี้ ก็คงจะต้องเป็นรุ่น 2.0 ลิตร ซึ่งติดตั้ง
เครื่องยนต์ รหัส R20A บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,997 ซีซี เส้นผ่าศูนย์กลางกระบอกสูบ x ช่วงชัก 
81.0 x 96.9 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC คันเร่งไฟฟ้า 
ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า Drive By Wire 156 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.3 กก.-ม.
ที่ 4,300 รอบ/นาที
เครื่องยนต์นี้ พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ เครื่องยนต์ R18A ที่วางอยู่ใน CIVIC รุ่นปัจจุบัน 
โดยเครื่องยนต์ตัวนี้ วางอยู่ใน CR-V รุ่นปัจจุบัน ทั้งขับล้อหน้า และสี่ล้อ รวมทั้งใน Stream 
เจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งไม่ได้นำเข้ามาขายในเมืองไทย 
 
 
 
ส่งกำลัสู่ล้อขับเคลื่อนคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ทำงานด้วยระบบ Grade Logic Control
พร้อมระบบ Direct Control มีอัตราทดเกียร์ดังนี้
เกียร์ 1……………………….2.785
เกียร์ 2……………………….1.684
เกียร์ 3……………………….1.128
เกียร์ 4……………………….0.772
เกียร์ 5……………………….0.593
เกียร์ถอยหลัง………………..2.000
อัตราทดเฟืองท้าย……………4.437
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังของ Accord Minorchange ทุกรุ่น ไม่ได้มีการ
ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรเพิ่มเติมแต่ประการใด ดังนั้น เราจึงตัดสินใจ ไม่ทำการทดลองจับเวลา
ซ้ำกันอีกรอบแต่อย่างใด 
แต่ถ้าคุณยังยืนยันว่า อยากรู้ถึงตัวเลขอัตราเร่งของ Accord 2.0 ลิตร เมื่อเทียบกับคู่แข่งร่วมพิกัด
ทั้ง Toyota Camry 2.0 ลิตร และ Nissan Teana 2.0 ลิตร ผมขอยกตัวเลขที่เราเคยทำการทดลองใน
รถรุ่นก่อนปรับโฉม มาเปรียบเทียบกับ ข้อมูลตัวเลขของรถจากคู่แข่งทั้ง 2 รุ่น ที่เราเคยทำการ
จับเวลาเก็บข้อมูลกันเอาไว้ ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน เหมือนกันทุกรุ่น นั่นคือ เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า
นั่ง 2 คน น้ำหนักรวมผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ไม่เกิน 150 – 170 กิโลกรัม ทดลองในเวลากลางคืน และ
ตัวเลขทั้งหมด อยู่ข้างล่างนี้แล้ว
 
 
 
ถ้าดูจากตัวเลข คุณจะเห็นว่า Accord 2.0 ลิตร ทำอัตราเร่ง อยู่ในเกณฑ์ พอกันกับเพื่อนพ้องคู่แข่ง
ในพิกัด 2.0 ลิตร ด้วยกัน เพียงแต่ว่า อัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะด้อยกว่าเพื่อนเขา 
ถึง 0.2 วินาที ขณะที่ อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะด้อยกว่าคู่แข่งทั้ง 2 ราวๆ 0.1 วินาที 
ตัวเลข ดูเหมือนจะทำได้ไม่ถึงกับดีนัก เหตุผลอธิบายได้ไม่ยาก มันไม่ต่างอะไรกับการให้ เด็ก 2 คน
คนหนึ่ง อายุ 5 ขวบ อีกคนหนึ่ง อายุ 9 ขวบ มาแข่งกัน ลากกล่องเก็บของเล่น ไปตามพื้นห้องรับแขก
ไม่ยากที่จะทายเลยใช่ไหมครับว่า ใครจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ไปได้ ถ้าไม่ใช่รถที่มีเครื่องยนต์ในพิกัด
ที่ใหญ่กว่า นั่นหมายความว่า ในการขับขี่จริง ยังไงๆ รถยนต์คันใหญ่ขนาดนี้ แต่วางเครื่องยนต์ แค่ 
2.0 ลิตร ถ้าคิดจะคาดหวังอัตราเร่ง ในฐานะคนชอบขับรถเร็วๆ แล้วละก็ คงต้องบอกว่า คิดให้ดีๆ 
ถ้าคิดผิด คิดใหม่ยังทัน เพราะในบางครั้ง ถ้าคุณคิดจะต้องเร่งแซง และออกจากปั้มน้ำมัน อย่างเร่งด่วน
เพื่อที่จะเร่งแซงรถคันข้างหน้า หรือหนีการติดตามจากรถคันข้างหลัง ผมว่า เครื่องยนต์พิกัด 2.0 ลิตร นี้
อาจยังมีสมรรถนะ ด้อยกว่า เครื่องยนต์ 2.4 – 2.5 ลิตร ชัดเจนอยู่ก็ตาม แต่ ก็ยังถือว่า เพียงพอกับการ
ใช้งานของลูกค้าที่เท้าขวาไม่หนักมากนัก และยังมองเห็นเรื่องความประหยัด เป็นเรื่องใหญ่โต
เหนือสิ่งอื่นใด 
ถ้าจะต้องการเร่งแซง มี 3 ทางเลือกที่น่าจะพอช่วยให้คุณ จับจังหวะขณะขับรถคันนี้ ได้ดีขึ้น
ก็คือ 1. เล่นกับคันเกียร์ อาจจะเปลี่ยนลงตำแหน่ง D3 หรือ 2. คุณต้องเหยียบคันเร่งให้จมมิด
ตั้งแต่แรกที่ตั้งใจจะเริ่มแซง เพื่อให้เครื่องยนต์ ทำงานไต่ขึ้นไปยังรอบสูงๆ เรียกแรงบิดสูงสุด 
กับแรงม้าสูงสุด ออกมาใช้เท่าที่มีอยู่ให้หมดเกลี้ยง ส่วนข้อ 3 ง่ายกว่าในแง่ความคิด และทาง
ปฏิบัติ คือ….ซื้อรุ่น 2.4 ลิตรไปเลย แล้วจะมีความสุข
อย่างไรก็ตาม อัตราเร่งที่ออกมา ก็ไม่ได้ถึงกับเลวร้าย เสียจนไม่น่าขับ แต่อย่างใด เพราะจากการ
พา Accord 2.0 คันนี้ ลัดเลาะไปตามถนนเส้นต้างๆ ก็พบว่า เรี่ยวแรงที่มีมาให้ ยังพอจะรับใช้
ผู้ขับขี่ที่ไม่ใช่คนขับรถเร็วเป็นกิจวัตร และเน้นความประหยัดน้ำมันเป็นหลัก เพียงแต่ว่า อาจต้อง
กดคันเร่งเกือบจมมิดบ่อยๆ เพื่อเรียกพละกำลังของเครื่องยนต์ ออกมาใช้ในยามต้องการ
 
เท่ากับว่า บุคลิกของเครื่องยนต์ และการตอบสนองในทุกด้านนั้น มันไม่ต่างอะไรกับ Accord
2.0 ลิตร คันที่เราเคยทำรีวิวไปเมื่อหลายปีก่อน เลยแม้แต่น้อย ขนาดลองเหยียบคันเร่งจมมิด
เพื่อหาความเร็วสูงสุด ปรากฎว่า เมื่อแตะระดับ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอดี เครื่องยนต์จะตัด
การจ่ายน้ำมัน ทำให้รถสะดุดอยู่  2 ครั้ง นั่นแสดงว่า ความเร็วสูงสุด จากมาตรวัด อยู่ที่ ระดับ
210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ 5,750 รอบ/นาที เท่ากันกับรถรุ่นแรกๆ สรุปว่า “อัตราเร่ง เหมือนเดิม”
และถ้าเป็นเช่นนี้ ก็คงพอสรุปได้แล้วว่า เราคงไม่จำเป็นต้องจับเวลากันซ้ำอีกครั้งแน่ๆ
 
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ ปีกนกคู่ ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link พร้อมเหล็กกันโคลง 
มาให้ทั้งด้านหน้า และหลัง ยังคงให้การตอบสนอง ที่ “เหมือนเดิม” นั่นคือ เน้นความนุ่มนวล
เอาใจนักบริหาร ไม่ว่าจะขับขี่ด้วยตนเอง หรือว่าจะนั่งบนเบาะหลัง แล้วมีคนขับให้ แต่ ยังอาจ
สัมผัสได้ถึงความ “ตึงตังพอเป็นพิธี” ในทุกหลุมบ่อ ที่แล่นผ่านไปในช่วงความเร็วไม่สูงนัก 
เพื่อให้ระลึกว่า คุณกำลังนั่งอยู่ในรถที่ออกแบบมาให้เน้นสร้างความสนุกในการขับขี่ มากกว่า
สุนทรีย์จนนั่งวางเขื่อง อยู่บนเบาะหลัง เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน จะพบความนุ่มในแบบ 
กำลังดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป  ในขณะแล่นด้วยความเร็วสูง เมื่อจัมพ์ลงคอสะพาน การดีดเด้ง
คืนตัวกลับ เฉพาะประเด็นนี้ ที่ Accord ใหม่ ทำได้ดีกว่า Teana และ Camry 
ขณะที่การเปลี่ยนเลนกระทันหันนั้น คุณอาจต้องระมัดระวังนิดนึง ถ้าคิดว่าจะยังไม่ถอดยาง
Michelin ENERGY ออกไปให้พ้นจากตัวรถ หากคุณต้องหักรถเบนหัวกระทันหัน ปกติ หน้ารถ
จะพาคุณเปลี่ยนเลนไปก่อน จากนั้น Cabin ห้องโดยสาร จะย้ายตัวเองตามไปอยู่ในอีกเลนหนึ่ง
และท้ายจะมีอาการคืนกลับตั้งตรง ค่อนข้างช้านิดนึง แต่โปรดดูพื้นผิวถนนด้วย เพราะถ้าเกิดอาการ
ลื่นไถล ให้ถอนคันเร่ง และถือพวงมาลัยตรงๆ แค่นั้น แล้วทุกอย่างจะกลับคืนภาวะปกติ งานนี้ คุณ
ไม่ต้องไปโทษใครครับ โทษยางตัวดีก่อนได้เลย ส่วนการเลี้ยวเข้าโค้ง ก็ยังทำได้มั่นใจดี
“เหมือนเดิม”
 
พวงมาลัยแบบแร็กแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์แบบไฮโดรลิก ยังไม่มีระบบไฟฟ้า เข้ามาใช้ 
แถมยังเป็นแบบ อัตราทดเฟืองพวงมาลัยแบบแปรผัน VGR (Variable Gear Ratio) ในทุกรุ่น
คือข้อดีอีกประการหนึ่งของ Accord การปรับอัตราทดเฟืองพวงมาลัย ที่ทำมาดีแล้ว ช่วยให้
การบังคับรถทั้งในความเร็วต่ำ หรือ ความเร็วสูง ค่อนข้างแม่นยำ และมีบุคลิกคล้ายรถแนวสปอร์ต
มากกว่า ทั้ง Camry และ Teana กล่าวคือ ไม่ต้องหักพวงมาลัยมากนัก รถก็เลี้ยวให้แต่โดยดี 
น้ำหนักการหมุน ในช่วงความเร็วต่ำ ก็ตึงมือกำลังดี 
 
เพียงแต่สิ่งที่อยากจะเห็นการปรับปรุงเพิ่มเติมคือ น่าจะเพิ่มความหนืดในช่วงความเร็วสูง ตั้งแต่ 
100 – 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง (อันเป็นความเร็วสูงสุดของรถรุ่นนี้) ให้มีความหนืดเพิ่มมากขึ้นกว่านี้
อีกสักหน่อย จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ทางไกล มากยิ่งขึ้นกว่านี้อีก แต่โดยรวมแล้ว ผม
พึงพอใจกับพวงมาลัย ของ Accord ในเกือบทุกด้าน ไปจนถึง การที่พวงมาลัย สามารถปรับระดับ
ได้ทั้ง สูง – ต่ำ และ ระยะ ใกล้ – ไกล ซึ่งในประเด็นนี้คู่แข่งอย่าง Nissan Teana ทำได้แค่ปรับระดับ
สูง – ต่ำ เท่านั้น (-_-‘) 
ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ คู่หน้ามีรูระบายความร้อนมาให้ พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก
ABS ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (แต่ไม่มี ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Brake
Assist ในรุ่น 2.0 ลิตร) แป้นเบรกอยู่ในตำแหน่งเหมาะสมกำลังดี และให้ความนุ่มนวลเพียงพอ เหลือเฟือ  
ทั้งการขับขี่ในเมือง หรือบนทางด่วน ขณะเดินทางไกล การตอบสนองของแป้นเบรก ถือว่าน่าชื่นชม  
หน่วงรถ ลงมาได้อย่างรวดเร็ว ให้การตอบสนองที่ดีมาก ในการชะลอความเร็วยามปกติหรือแม้แต่การหยุดรถ 
ในภาวะไม่เป็นใจต่างๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะต้องบอกกล่าวกันตรงนี้ก็คือ เนื่องจาก รายละเอียดทางเทคนิค
แทบไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก ดังนั้น ผ้าเบรก ที่ใช้ ก็ยังคงเหมือนกับรถรุ่นก่อนปรับโฉม ซึ่ง
หมายความว่า อาจมีโอกาส Fade ได้ง่าย ถ้าคุณจงใจ เหยียบเบรก หนักๆ ต่อเนื่องๆ และบ่อยๆ เช่น
ขับลงเขา ทางลาดชัน หรือ ซัดมาบนทางด่วนเร็วๆ เพื่อทำเวลา และจำเป็นต้องเบรก เพราะมีรถจำพวก
ขับช้าวิ่งขวา มาชะลอความเร็วของคุณบ่อยๆ อ้อ! อันที่จริง ถ้ามีระบบควบคุมเสถียรภาพ VSA มาให้ในรุ่น 
2.0 ลิตร เหมือนเช่นที่มีให้ตั้งแต่รุ่น 2.4 ลิตรขึ้นไป คงจะแจ๋วไปเลย
 
การเก็บเสียงในห้องโดยสารนั้น ช่วงความเร็วต่ำ ทำได้ดี แต่เมื่อใช้ความเร็วเดินทางขึ้นไป เสียงจากยาง
และจากกระแสลมที่ไหลผ่านตัวถัง จะเล็ดรอดเข้ามา ให้ผู้โดยสารได้ยินเยอะอยู่ ประเด็นการเก็บเสียงนั้น
ยังไงๆ ก็ยังสู้ Nissan Teana ใหม่ไม่ได้ อยู่ดี
 
 
  
 
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
อย่างที่ได้บอกเอาไว้แล้วว่า ในเมื่อ Accord Minorchange รุ่นนี้ ไม่ได้มีการปรับปรุงรายละเอียดใดๆ
ที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องยนต์กันเลย ดังนั้น เราจึงตัดสินใจ ไม่ทำการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ให้ซ้ำอีกครั้งแต่ประการใด จึงขอนำเอาตัวเลขจากผลการทดลองรถยนต์ในกลุ่ม D-Segment Sedan
มาให้ได้ชมกันอีกครั้งหนึ่ง
 

ขอย้ำกันอีกทีว่า การทดลองทั้งหมดนี้ อยู่ในมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด นั่นคือ วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ไป – กลับ บนทางด่วนพระราม 6 – เชียงราก อยุธยา เปิดแอร์ และ นั่ง 2 คน อันเป็นมาตรฐานที่เรายึดถือ
กันมาหลายปีแล้ว โดยน้ำมันที่ใช้ จะเป็น น้ำมันเบนซิน 95 เท่านั้น ไม่มีการเติมแก็สโซฮอลล์ แต่อย่างใด

หากดูตัวเลขที่แต่ละคันทำได้ จะพบว่า Accord 2.0 ลิตร ประหยัดสุดในกลุ่ม พิกัด 2.0 ลิตรด้วยกัน เพราะ
ทำตัวเลขได้ที่ 14.62 กิโลเมตร/ลิตร ประหยัดกว่า รุ่น 2.4 ลิตร ไปเพียง 0.2 ลิตร เท่านั้น แต่เมื่อเทียบความ
ประหยัดกับ รถในกลุ่ม D-Segment ด้วยกันทั้งหมด Accord 2.0 จะยังเป็นรอง รถอยู่ 4 รุ่น ได้แก่ Toyota
Camry 2.4 ลิตร (14.67 กิโลเมตร/ลิตร) Subaru Legacy 2.0i CVT AWD (15.67 กิโลเมตร/ลิตร) ตามด้วย
Hyundai Sonata (15.79 กิโลเมตร/ลิตร) และ แชมป์ในตารางพิกัด D-Segment นั่นคือ Toyota Camry Hybrid
(16.69 กิโลเมตร/ลิตร)

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ Accord 2.0 ทำออกมาได้ ถือว่า ดีถมถืดแล้ว เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวรถทั้งคัน อันเป็น
ภาระที่เครื่องยนต์จะต้องรับผิดชอบในการฉุดลาก และถือว่าประหยัดกว่ากลุ่ม 2.0 ลิตรด้วยกันทุกคัน

 
 

********** สรุป **********
แค่เปลี่ยนหน้าตานิดหน่อย นอกนั้น ก็ยังคงเหมือนเดิม

การได้กลับมาขับ Accord อีกครั้ง มันเป็นอารมณ์ของการพบเจอเพื่อนเก่า ที่ห่างหายไปเรียนต่อ
ปริญญาโท เมืองนอก สัก 3 ปี เพื่อที่จะกลับมาพบว่า เพื่อนคนเดิมของเรา ก็ยังคงมีนิสัยใจคอ
ที่ยังถือว่า น่าคบหาได้เหมือนเดิม

เพียงแต่ว่า แอบไปทำศัลยกรรมจมูกมาเล็กน้อย ให้ดูโค้งมน จนหน้า “หวานขึ้นกว่าเดิมนิดเดียว”

เพราะ Accord ใหม่ ยังคงคุณงามความดี เอาไว้ จนผมคิดว่า ยังน่าซื้อหา และน่าจะเก็บเอาไว้เป็น
1 ในตัวเลือก ที่คุณควรอามาพิจารณาร่วมด้วยอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นความลงตัวในด้านตำแหน่งนั่งขับ
การบังคับเลี้ยวของพวงมาลัย ความกระฉับกระเฉง ในการควบคุม ในทุกๆด้าน ทัศนวิสัยโปร่งตา
มากที่สุด รวมทั้ง ราคาอะไหล่ และการซ่อมบำรุง ที่ถูกกว่าใครเพื่อนในกลุ่มทั้งหมด เป็นจุดเด่น
ของ Accord ที่ทั้ง Toyota Camry และ Nissan Teana ก็ยังไม่อาจเทียบได้เท่า ทำได้แค่ใกล้เคียง

และในเมื่อยังคงรักษาความดี ดุจเกลือรักษาความเค็ม ฉันใด สิ่งที่ควรต้องปรับปรุง ก็ยังคงมีให้เรา
ได้เห็นกันอยู่บ้าง เป็นประปราย

ข้อแรก อยากจะขอเพิ่มความหนืดของพวงมาลัย ในช่วงความเร็วหลังจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
ในขณะที่ อัตราทดเฟืองพวงมาลัย ไม่ต้องไปยุ่งกับมันเชียวนะ ทำมาดีเพียงพอสมราคาแล้ว อ้อ ไม่ต้อง
เอาระบบเพาเวอร์ไฟฟ้า มาใช้ในรถรุ่นต่อไปเชียวละ สงวนเอาไว้ทำพันธ์หน่อยเถอะ ระบบไฮโดรลิก
เนี่ย (แต่ถ้าอยากปรับปรุงให้มันดีขึ้นก็ได้นะ ยินดีอยู่แล้ว)

ต่อมา เบรก ตอบสนองดีอยู่แล้ว แต่ขอผ้าเบรกที่ทนต่อความร้อนมากยิ่งขึ้นกว่านี้อีกหน่อย จะดียิ่งขึ้นไปอีก
อย่าลืมว่า นิสัยคนไทยในยุคนี้ ขับรถเร็วอย่างกับจะรีบแย่งกันไปตายโหงตายห่านที่ไหน ในฐานะผู้ผลิต
รถยนต์ อย่างน้อย การเลือกใช้ผ้าเบรกที่ดีไปเลยก็ช่วยรักษาพันธ์มนุษย์หายาก (อีพวกชอบขับรถจี้ตูด) เอาไว้
ให้คนพวกนี้ ยังคงมีชีวิตชดใช้กรรมบนโลกมนุษย์ต่อไป ก็เท่ากับเป็นการทำบุญในทางอ้อม

(รู้สึกว่าประโยคข้างบนนี้ เขียนประชด คนขับรถบนท้องถนนเดี๋ยวนี้ แรงไปหรือเปล่าหว่า?)

คือ เบรกหนะ ดีอยู่แล้วนะครับ ตอบสนองดีเลยละ เพียงแต่ห่วงว่า ถ้าต้องเจอพวกขับรถแย่ๆละก็
พวกเขาจะแตะเบรกกันบ่อยๆ ถี่ๆ กลัวว่าความร้อนสะสม อาจทำให้เบรก Fade ง่ายกว่าที่ควรเป็น
ก็แค่นั้นเอง

ต่อมา ออพชันที่ชาวบ้านชาวช่องเขามีกันแล้ว กรุณาใส่มาให้ด้วย ถ้าไม่อยากโดนเปรียบเทียบ
จากลูกค้า เพราะอย่างที่ทราบกันดี คนไทย เวลาซื้อรถที มองอยู่แค่ ราคา ความสวย และออพชัน
มองกันแค่นี้จริงๆ….(อ้อ เดี๋ยวนี้คงต้องแถมว่า “มีสีขาวให้เลือกไหม เพิ่มเท่าไหร่?”)
เช่น Keyless Entry ไฟแต่งหน้า บนกระจก ณ แผงบังแดด เป็นต้น

และท้ายที่สุด ช่วยเปลี่ยนยางติดรถจากโรงงาน เสียทีได้ไหม Michelin Energy นี่ผมว่า ไม่เหมาะ
เท่าไหร่ กับรถยนต์ระดับนี้ นอกจากเสียงดัง แล้ว ยังมีบางช่วง เกือบทำผมลื่นไถลบนทางคู่ขนาน
ถนนบางนา – ตราด กม. 6 ช่วงหน้าเลคไซด์ วิลล่า มาแล้ว เพราะการหักหลบ รถกระทันหัน
พื้นถนนยางมะตอยที่ลื่นแบบนั้น ทำให้ผมคิดว่า ยางอย่าง Energy ไม่น่าจะเอาอยู่ เรื่องน่าแปลก
ก็คือ Goodyear Excellence ใน Honda City จะไม่มีอาการแบบที่ผมเจอมานี้เลย ถ้าต้องหักหลบ
กระทันหัน บนพื้นถนนเดียวกัน ในสถานการณ์คล้ายๆกัน หรือไม่ก็ใส่ระบบ VSA ให้รถรุ่น 2.0 ลิตรด้วย

ก็จะขอบคุณมาก
 
 

คนที่เหมาะกับ Accord คือ Young or Senior Executive อายุตั้งแต่ 30 ยัน 50 ปี เป็นคนชอบขับรถ
มากกว่านั่งเบาหลัง อยากได้รถในแนว Executive Sedan จากฝั่งญี่ปุ่น ในราคาป้วนเปี้ยนแถวๆ
1.2 – 1.7 ล้านบาท และคาดหวัง การตอบสนองที่มั่นใจได้พอประมาณ ค่องแคล่วในระดับหนึ่ง
และต้องการรถที่ตอบสนองเราได้ดีในภาพรวม นุ่มพอประมาณ ตึงตังเล็กๆ พอให้แอบสนุกได้บ้าง

เพราะไม่เช่นนั้น ถ้าคุณต้องการความสบายของช่วงล่วงล่าง ความแน่นหนาของรถทั้งคัน บรรยากาศ
ในห้องโดยสาร ที่เหมาะกับการนั่งสบายๆ แถมแรงกว่าใคร แต่รับได้กับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ที่จะกินกว่าชาวบ้านเขาสักหน่อย เดินเข้าโชว์รูม Nissan แล้วขอลองขับ Teana กันไปเลย

หรือถ้าไม่เช่นนั้น คุณรับได้กับ ช่วงล่าง ว่าอาจจะไม่เกาะถนนดีเท่าเพื่อนฝูง แต่ นั่งสบายพอประมาณ
คุ้มราคา ทั้งออพชันที่ให้มา ราคาขายต่อ ค่าซ่อมบำรุง อกทั้งรูปทรงที่สวยอยู่ได้นาน เดินเข้าโชว์รูม
Toyota ถ้างบไม่มากนัก Camry 2.0 ก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ต้องทำใจว่า กินน้ำมันที่สุดในกลุ่ม 2.0 ลิตร
D-Segment ถ้าอยากประหยัด และใช้รถราวๆ 10 ปี และมีเงินมากพอ Camry Hybrid จอดรอคุณอยู่แล้วครับ

กลับมาดูที่ Accord กันต่อ ถ้าสำหรับคนที่ตัดสินใจแล้ว ว่าจะลงเอยกับพี่ใหญ่สุดในสายการผลิตของ
โรงงาน Honda เมืองไทย ที่โรจนะ อยุธยา ผมเริ่มมองเห็น ว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องเล่นรุ่น NAVI
ให้เปลืองงบขึ้นมาก็ได้ เว้นเสียแต่ว่า ถ้าใครอยากได้ กล้องมองหลัง อันนั้น ก็จำเป็นต้องเล่นรุ่น
NAVI เพราะว่า กล้องมองหลัง และระบบนำทาง เขาจับแพ็คมาควบคู่กันเลย

วินาทีนี้ ยังยืนยันว่า ถ้าเป็นไปได้ เล่นรุ่น 2.4 ลิตรไปเลย จ่ายค่าตัว 1,547,000 บาท ถอยรุ่น 2.4 EL
ไม่มีระบบนำทาง ผมว่า ก็เพียงพอแล้ว กับชีวิต เว้นเสียแต่ว่า อยากได้ตัวท็อป รุ่น 2.4 EL NAVI
ในราคา 1,687,000 บาท ออกจะแพงไปนิด แต่ก็ยัง Make Sense ในภาพรวม ส่วนรุ่น V6 3.5 ลิตร
คันละ 2,940,000 บาท เหมาะกับใครที่คิดจะยอมจ่ายเงินมากถึงเกือบ 3 ล้านบาท แต่ยังต้องการรถญี่ปุ่น
อย่าง Toyota Camry V6 3.5 เพราะในย่านความเร็วสูง Accord V6 จะให้ความนิ่ง และมั่นใจได้
เหนือกว่า Camry V6 ชัดเจน ทว่า คนกลุ่มนี้ ผมเชื่อว่า คงมีไม่มากนัก เพราะเงินระดับนี้ เล่นรถยุโรป
ดีๆ ได้หลายรุ่นเลยทีเดียว ตั้งแต่ Mercedes-Benz C-Class, BMW 3-Series อันเป็นรถในกลุ่มที่เรียกว่า
Premium Compact หรือไม่ ก็ซื้อ Volvo S80 คันใหญ่พอกัน ดีกว่าเกือบทุกด้าน ยกเว้นราคาขายต่อ การ
ซ่อมบำรุง ราคาอะไหล่ และความนุ่มไปนิดของช่วงล่าง ในราคา 2.7 ล้านบาท ได้อีกต่างหาก

ดังนั้น คิดให้ดีๆ นะครับ

สำหรับคนที่อยากเล่นรุ่น 2.0 ลิตร มองรุ่น 2.0 EL ราคา 1,280,000 บาทเอาไว้ครับ เพียงพอแล้ว
และถ้าอยากได้ระบบนำทาง ก็ไปหาซื้อ ป้าขมิ้น (Garmin) หนูหวี่ (Nuvi) หรือ อีเหมียว (Mio)
มาแปะใช้งานกับรถ ก็ย่อมได้อยู่ เพราะผมมองว่า รถเครื่อง 2.0 ลิตร มี ระบบนำทางให้ แต่ราคา
ปาเข้าไป 1,420,000 บาท ถ้าไม่มีส่วนลดให้เลยละก็ ถือว่า ออกจะแพงไปสักหน่อย ส่วนรุ่น 2.0 E
เริ่มต้น 1,260,000 บาท มีเบาะไฟฟ้าฝั่งคนขับมาให้ ปรับได้ 8 ทิศทางเหมือนกัน และมีเซ็นเซอร์
OPDS ของถุงลมนิรภัยมาให้ นอกนั้น ทุกสิ่ง ก็ยังมาในแบบเบสิค ซึ่งถ้าต่างกันแค่ 2 หมื่นบาท
ขอแนะนำให้ เล่นรุ่น EL ไปเลยเถอะ

 

แล้วสิ่งที่อยากจะฝากวิศวกรของ Honda ในการพัฒนา Accord รุ่นต่อไป ซึ่งตอนนี้ พวกเขา
ก็เริ่มทำงานไปได้ พักใหญ่แล้วละ?

ผมคงไม่ต้องสาธยาย หรือแนะนำอะไรมากมายไปกว่า ให้ หา BMW 5-Series รุ่นล่าสุด F10
ไว้เป็น Benchmark เอามาทดลองขับ เอามาชำแหละแยกชิ้นส่วน ดูกัน คุณจะรู้เองแหละว่า
คุณควรจะทำอะไรกับ Accord ของคุณ… ในรุ่นต่อไป ที่มีกำหนดคลอด ณ ปี 2013 กันบ้าง

เพราะจะว่าไป BMW ก็เป็นค่ายรถยนต์ ที่ Honda พยายามเจริญรอยตามมาตลอด…

มิใช่หรือ?

————————///—————————

 

ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด
www.honda.co.th
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ 

—————————————————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน 
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
27 ธันวาคม 2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
December 27th,2010 

แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เชิญได้ คลิกที่นี่