หลังจากที่ Ford ทุ่มทุนทำการเปิดตัว Fiesta ในเดือนกันยายน ปี 2010 จนประสบความสำเร็จ
กลายเป็น Talk of the town ไปหลายเดือน และทำให้พลพรรครถตราวงรีสีน้ำเงิน คลอดออกมา
วิ่งเล่นกันขวักไขว้มากขึ้นในท้องถนนประเทศไทยนั้น
 
ถ้าใครติดตามข่าวคราวบนหน้าเวบบอร์ดของ Headlightmag กันอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 4-5 เดือน
ที่ผ่านมา ก็จะพบว่ามีคำถามเกี่ยวกับเจ้ารถ C-Segment คันใหม่ของ Ford ที่เตรียมจะมาสืบทอด
เจตนารมย์ของรถ Sub-Compact รุ่นปัจจุบัน ตามต่อมากันติดติดเลยทีเดียว

อันที่จริง ผมก็สังเกตเห็นกระแสในเวบบอร์ดเรามานานแล้วล่ะครับ ก็ได้แต่คิดว่า เปิดตัวเมื่อไหร่
ตา J!MMY ก็คงจะไปนำมาทดลองขับและเล่าให้คุณคุณฟังกันเองนั่นแหละ ถึงแม้ว่าอาจจะต้อง
รออ่านกันเหงือกแห้งก็เถอะ…(แขวะหน่อยนึงเนอะ)

ส่วนตัวเลยไม่ได้คิดว่าสนใจจะต้องไปหยิบยืม Focus ใหม่ที่ขายกันมาตั้งแต่กลางปี 2011 ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งมาเจอเหตุการณ์น้ำท่วมที่เมืองไทย คณะนักเรียนไทยที่นี่
ก็เลยดำริขึ้นมาว่า เราควรจะจัดงานอะไรสักอย่าง เพื่อหาทุนไปช่วยเหลือน้ำท่วมที่บ้านเกิดเรา
เลยตกลงกันว่าจะจัดงานอาหารไทยที่ใครใครก็ชื่นชอบละกัน แล้วเอารายได้ไปบริจาคต่อไป
เป็นผลให้ ตาเนยพอล ต้องไปจัดหารถเช่าเพื่อมาขนเสบียงอาหารจากร้านอาหารจำนวนมาก
ซึ่งงานนี้ เราต้องขอขอบคุณร้านอาหารไทย ในเมือง Philadephia มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ที่ช่วย
สนับสนุนอาหารอร่อยอร่อยมาให้จัดงานกัน ชาวต่างชาติหลายคนติดใจ จนกลายมาเป็นลูกค้า
ประจำกับร้านอาหารนั้นนั้นกันเลยทีเดียว

งานนี้จัดสองรอบครับ รอบแรกเป็นน้องน้อง Undergrad (ปริญญาตรี) จัดให้กับพรรคพวก
ส่วนรอบสองเป็นพวกเรา Grad Student (ปริญญาโท) จัดให้กับโรงเรียนที่เรียนอยู่ และเลย
เป็นเหตุให้ต้องเช่ารถกันสองรอบ สองเวลา

และนี่เป็นเหตุให้ ผมมีอันจะต้องวนมาพบเจอกับ Ford Focus MY2011 เข้าเสียจนได้ แต่ก็
เป็นการดีเหมือนกัน เพราะหลายท่านก็อยากรู้ว่า มันคุ้มค่าการรอคอยมั้ย เพราะรุ่นเก่าก็เล่น
ตั้งราคายั่วใจซะขนาดนั้น 849,000 บาท สำหรับ 2.0 ลิตรเบนซิน และ 999,000 บาท สำหรับ
2,0 TDCi ตัวซ่าส์ ที่ทำเอา BMW 320d ค้อนขวับได้เหมือนกัน

และก็ดีเสียยิ่งกว่า เพราะวันแรกที่ผมต้องขนอาหารนั้น ผมดันไปได้ Mazda 3 คันสีแดง ที่
เคยทำ Review ไว้ในห้อง User Voice เมื่อสักปีหนึ่งมาแล้ว ถึงแม้มันจะ 2.5 ก็ตามเถอะ
แต่ก็ยังทำให้รื้อฟื้นความทรงจำเรื่องการตอบสนองได้พอสมควร เพราะรถ 2.0 กับ 2.5 นั้น
ถึงแม้จะเซ็ทมาต่างกันบ้าง แต่พื้นฐานหลายอย่างก็ยังใช้ร่วมกันอยู่ เอาล่ะ..มาเริ่มกับเจ้า
Focus กันเลยดีกว่า

ต้องขอบอกคุณผู้อ่านไว้ก่อนว่า ผมจำเป็นต้องยืม Focus ถึงสองคันเพื่อมาเขียนรีวิวหนนี้
เนื่องจากคันแรกสีน้ำเงินนั้น ผมรู้สึกว่าเกียร์น่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง ประกอบกับใน
วันที่ยืมมา ดันเป็นช่วงพลบค่ำ ฝนตก และไม่ได้พกกล้องตัวใหญ่ไป เลยตัดสินใจว่าเอา (วะ)
ไหนไหนก็คิดจะเขียนให้ได้อ่านกันยาวยาวแล้ว ยืมอีกคันมาลองขับซะด้วยเลยดีกว่า จะได้
มีข้อมูลกันเต็มเต็ม ดังนั้น บางรูปอาจจะไม่ค่อยสวยไปบ้าง ขออภัยครับ

ตั้งแต่ผมกลับมาที่อเมริกาช่วงเดือน กันยายน ที่ผ่านมา ผมก็ได้เห็นรถรุ่นใหม่ของ Ford แบบ
สี่ประตูวิ่งผ่านตาหลายครั้ง บอกตรงตรงว่า นึกมาตลอดว่ามันคือ Mondeo เพราะเส้นสายด้านท้าย
รวมไปถึงชุดไฟท้ายของเวอร์ชันซีดานนั้น มันทำให้ดูเหมือนรถ(ผู้)ใหญ่จริงจริง ก็ดูทรงมันสิ
โดยเฉพาะตัวซีดาน ท้ายมันทำให้รถดูใหญ่และยาวมากกว่า C-Segment ทั่วไป จนวันนึงเดินผ่าน
ลานจอดรถในระหว่างทางกลับบ้าน ก็เห็นรถรุ่นนี้จอดอยู่อีก แต่คราวนี้ได้เห็นป้าย Emblem
ที่บั้นท้ายชัดชัดสักที มันเขียนว่า “Focus”!

ให้ตายเถอะ ไอ้ที่รถคันที่ดูเหมือนจะใหญ่โตที่วิ่งผ่านหน้าไปมาตั้งนาน มันเป็น Focus ใหม่
หรอกเหรอ (วะ) เนี่ย ทำไมเราถึงซื่อบื้อได้ขนาดนี้ เพราะพอกลับมาคิดจริงจริงแล้ว ถ้ามันจะเป็น
Mondeo มันคงจะต้องใหญ่กว่านี้มาก และในตลาดอเมริกา มันมี Mondeo ขาย ซะที่ไหนกันเล่า!

เส้นสายของตัว 5 ประตูนั้น ก็เปลี่ยนแบบไปจากเก่ามากพอสมควรเหมือนกันด้านท้ายดูยื่นออกมา
และลาดลงมากขึ้น คล้ายกับแนวทางของ Mazda 3 มากกว่าจะเป็น  Hatchback เต็มตัว ท้ายตัดตรง
เป็นไม้บรรทัดแบบรุ่นเก่า

แต่พอมากางดูตัวเลขขนาดตัวถัง (เทียบกันเฉพาะรุ่น 5 ประตู)
ก็ต้องร้องว่า “อ้าว…มันแทบไม่ได้ยาวขึ้นเลยนี่ (หว่า)”

 

Focus 2006

Focus 2012

ฐานล้อ

2,640 mm

2,649 mm

ความยาวรถ

4,357 mm

4,358 mm

ความกว้างรวมกระจกมองข้าง (พับ)

1,839 mm

1,858 mm

ความสูง

1,497 mm

1,461 mm

ดูจากการเปลี่ยนแปลงแล้ว จะสังเกตว่าส่วนที่ปรับปรุงกันจริงจริง คือ การพยายามผลักล้อทั้งสี่ให้
ไปอยู่ใกล้มุมรถมากขึ้น  เพิ่มความกว้าง และลดความสูงลง เพื่อให้สามารถสร้างอรรถรสการขับขี่
ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม

เวลามองจากด้านข้างเต็ม จะเห็นว่าทรงหลังคาด้านหลังนั้นลู่ลง และรถแบนลงพอสมควร ยิ่งพอ
มาจอดเทียบกับรถทรงกล่องตัดอย่าง Toyota bB (Scion xB ในสหรัฐฯ) คันข้างข้างแล้ว ยิ่งเห็น
ได้ชัดครับ ทรงแบบนี้ ก็ไม่ต้องสืบต่อว่า คนนั่งหลังถ้าเป็นคนสูงหน่อยล่ะลำบากแน่นอน

ผมทดลองปรับระดับเบาะหน้าให้เหมาะกับคนซึ่งสูงประมาณ 170 ซม.อย่างผม แล้วเดินกลับมา
นั่งเบาะหลัง มีพื้นที่เหลือให้ประมาณนี้ครับ ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะนั้น เมื่อนั่งตามท่าที่ถูกต้อง
เหลือประมาณ 2-3 ข้อนิ้วมือเท่านั้น

กันชนหน้าแบบเอกลักษณ์ใหม่ของฟอร์ด ซึ่งสำหรับผมแล้วยังรู้สึกแปลกตา จะว่ามันดูสวยดุ มันก็
พอได้นะ ติดขัดอยู่เรื่องเดียวก็ตรงช่องดักลมแบบสามเหลี่ยม ที่ขนาบข้างช่องดักลมแบบสี่เหลี่ยม
คางหมูทรงคว่ำขนาดมหึมา ดูแล้วมันมีช่องเยอะไปนิด

ส่วนมุมนี้ ดูแปลกตาดี เพราะเสา A ที่มาบรรจบกับแก้มหน้าและบานประตู เป็นแบบทรงลูกศรทิ่มลงมา
น่าจะทำให้การประกอบชิ้นส่วนทำได้เรียบร้อยขึ้น เพราะเส้นสายส่วนใหญ่เป็นเส้นตรง แต่นั่นก็ว่ากัน
ตามทฤษฎีน่ะนะครับ เดี๋ยวภาคปฏิบัติมีแฉตอนท้าย…

ถัดมาดูที่กระจกส่องข้าง คันที่ได้มานี่เป็นรุ่น SEL ซึ่งเป็นรุ่นรองท้อปนะครับ เลยได้กระจกส่องข้าง
พร้อมไฟเลี้ยว แถมยังมีมุมบนด้านนอกเป็นเลนส์ขยายมาให้ซะด้วย เชื่อว่าจุดนี้น่าจะทำให้หลายคน
ชื่นชอบได้มากพอสมควร

มุมมองและภาพที่ได้รับจากกระจกข้างนั้น ดีครับไม่หลอกตา ถึงแม้ตอนแรกจะกังวลนิดหน่อยว่า
กระจกขยายมุมที่อยู่ตรงจุดบนสุดและไกลสุดพอดี ซึ่งมักจะเป็นจุดที่เราใช้มองประจำนั้น จะ
สร้างปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ปรากฎว่า ตอนใช้งานจริงก็ใช้ได้ดี ไม่มีติดขัดอะไรเลย

เสาเก๋งหลังดูแล้วไม่น่าคับแคบมาก เพราะกระจก Opera บานหลังนั้น ยาวไปจนเกือบจะสุดขอบ
เสาหลังคาด้านหลังสุด D – Pillar เลย ผิดกันกับฝาแฝดร่วมแพล็ตฟอร์ม อย่าง Mazda 3 ที่เป็นรูป
สามเหลี่ยมคว่ำ เหลือพื้นที่เหล็กซะเยอะ ซึ่งบดบังทัศนวิสัยไปพอสมควร

มาถึงไฟท้าย..นี่ก็เป็นอีกจุดที่แปลกตาอีกจุดนึง
ไฟท้ายมีลักษณะยื่นยาวเข้าไปหาตัวรถ แต่ยังเป็นหลอดไส้แบบเดิม ใช้โคมสะท้อนแสงแบบเก่า
ไม่ได้ทำเป็นโคมแบบ Reflection ใสใสให้ดูคล้าย LED ในรถยุคใหม่แต่อย่างใด ถ้าเป็นรถสีแดง
ไฟท้ายแบบนี้ทำให้รถดูสปอร์ตขึ้นมามาก แต่พอเป็นสีอื่นมันกลับดูขัดขัดแฮะ..

เปิดท้ายมาดูกันบ้างครับ ห้องเก็บสัมภาระกว้างกว่าที่คิดไว้นะ ผมไม่ได้ติดสายวัดไปด้วย
แต่กะเกณฑ์คร่าวคร่าวด้วยสายตา กับการลองวางถาดอาหารเทียบดูกับ Mazda 3 แล้ว Focus
จะมีความยาวห้องสัมภาระมากกว่า Mazda 3 แต่ความสูงของพื้นห้องสัมภาระนั้น มีระดับ
ที่ใกล้เคียงกันครับ

ฝาท้ายนั้น มีแผ่นบังสายตาที่มีสายเกี่ยวกับฝาประตูบานท้ายมาให้เป็นมาตรฐาน ถึงเวลา
เปิดฝาท้าย แผงนี้ก็จะกระดกหลบทางให้เราหยิบของง่ายง่าย หรือถ้าเราเวลามีสัมภาระ
วางอยู่ ก็แค่ปลดตะขอออกเสีย เท่านี้ก็เปิดฝาท้ายได้อิสระแล้ว

ภายใน

เปิดประตูมาปั๊บ สิ่งแรกที่รู้สึกคือ บรรยากาศห้องโดยสารแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ดูมี
เส้นสายมากขึ้น มีความทันสมัยมากขึ้น เป็นรถที่เปี่ยมไปด้วยดีไซน์ ซึ่งพลิกจากรุ่นเดิม ที่
เน้นเส้นสายเรียบง่าย ดูแล้วสะอาดสบายตา แบบหน้ามือเป็นหลังมือ พอไปเจอกับอุปกรณ์
ที่บรรจงใส่เข้ามาสารพัด มันทำให้เป็นรถที่นั่งอยู่ข้างในแล้ว เพลิดเพลินไปกับอุปกรณ์
ต่างต่างเอาเรื่อง จนบางครั้งลืมสนใจเรื่องการขับขี่ไปเลยทีเดียว

วัสดุต่างต่างก็ดูดีขึ้นจากรุ่นเดิมค่อนข้างมาก ให้ผิวสัมผัสที่นุ่มหลายจุด อย่างแผงประตูนี่
ด้านบนที่หลายคนมักจะเอาแขนไปท้าวเวลาขับรถ ก็บุให้เป็นวัสดุนุ่มแล้ว แต่ถัดลงมาช่วง
ที่เปิดประตูก็เป็นแข็งแข็งตามปกติ ดูแล้วเข้าใจทำดี เพราะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นรอยต่อ
ของวัสดุเลยสักนิด (สังเกตตรงบริเวณที่เปิดประตู มีไฟ LED เป็นแผง ซึ่งทำสองหน้าที่คือ
เป็นไฟสีแดงเตือนรถหลังเวลาเปิดประตูอ้าอยู่ และเปลี่ยนสีเป็นไฟ Ambient Light ตอน
กลางคืน)

ระบบ Welcome ก็จะเริ่มทำงานต้อนรับเราเข้าสู่ห้องโดยสาร โดยการเปิดไฟส่องสว่างบน
เพดานรถ เป็น LED สีขาวนวล สว่างสบายตา และดูมีระดับมาก หากใครเคยลองนั่ง Lexus
IS250 แล้วเปิดไฟในรถดู นั่นล่ะครับ แบบเดียวกันเป๊ะ

นอกจากนี้ ระบบไฟ Ambient Light หรือไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร ก็ยังจะติด
ขึ้นรอบตัวด้วย ประกอบไปด้วยไฟตรงมือจับประตู ไฟส่องที่วางเท้าผู้โดยสารตอนหน้า
ไฟส่องที่วางแก้ว และไฟบนเพดานรถ

หน้าปัดรถก็จะแสดงกราฟฟิค วิ่งวนไปมา ดูเหมือนจอคอมพิวเตอร์
เวลาสั่ง Boot เครื่องยังไงยังงั้น ดูแล้วก็เพลินเพลินดีครับ

นอกจากจอ MID แบบสีสันสวยงามที่อยู่บนเรือนไมล์แล้ว ที่หน้าจอตรงกลางรถก็ยังมี
กราฟฟิคแบบเดียวกันด้วย ซึ่งลักษณะการแสดงข้อมูลคล้ายกันกับ Fiesta เพียงแต่จอนี้
เป็นจอสี ต่างจากของ Fiesta ที่เป็น LED สีแดง

อีสองจอนี่ ทำเอาผมไม่มีสมาธิขับรถไปประมาณชั่วโมงนึง เพราะมัวแต่เล่นกับจอ
นี่แหละครับ กดดูนู่นดูนี่ไปเรื่อย สนุกเกินไปหน่อย จนโดนคันหลังบีบแตรไล่เพราะ
ไฟเขียวแล้วบ้าง หรือขับเอื่อยเอื่อยอยู่เลนขวาบ้าง (เป็นตัวอย่างไม่ดี กรุณาอย่าทำ
Pleaseeeeee เพราะอันตรายไม่ต่างจาก Texting เวลาขับรถเลย)

พวงมาลัยเป็นอีกจุดหนึ่งที่เปลี่ยนไปเยอะมาก “ใบพายปรับเครื่องเสียง” หายตัวไปแล้ว
กลายร่างเป็นปุ่ม “จำนวนมาก” ซ้อนกันไปมาบนพวงมาลัย ที่ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะชิน

ปุ่มควบคุมต่างต่างบนพวงมาลัยส่วนล่าง ถูกออกแบบมาในลักษณะซ้อนกันเป็นกลีบกลีบ
ลองดูตามรูปข้างบนนะครับ ปุ่มควบคุมแบ่งเป็นสองข้าง ข้างละสามชั้น เวลาใช้งานนั้น
พูดตามตรงไม่สะดวกเท่าที่ควร คือ หลายครั้งต้องละสายตาจากถนนมาดูว่าปุ่มมันอยู่ไหน
ไม่ใช่ว่าไม่ชินนะครับ แต่การวางปุ่มลักษณะนี้ ไม่มีอะไรมาคั่นแต่ละปุ่มออกจากกัน
ทำให้เวลาเราเอามือคลำไปแล้ว เราไม่แน่ใจว่าเราอยู่บนปุ่มที่ถูกต้องหรือยัง ต่างจากปุ่มกด
บนรถทั่วไปที่มักจะมีนูนมีบุ๋มชัดเจน หรือมีเส้นแบ่งระหว่างปุ่ม ทำให้เรายังพอจะใช้สัมผัส
จากนิ้วดูได้ว่า ตอนนี้ นิ้วเราแตะอยู่ที่ปุ่มไหนแล้ว

ด้านซ้ายเป็นที่อยู่ของ Cruise Control ซึ่งการวางปุ่มแตกต่างจากรถทั่วไปนิดหน่อย ก่อนใช้
ควรอ่านคู่มือให้ดีก่อนนะครับ โดยเฉพาะการที่เอาปุ่ม “CAN” กับ “RES” ไปรวมกัน
“CAN” นี่คือ “Cancel” หรือยกเลิกการคุมความเร็วอัตโนมัติ
“RES” นี่คือ “Resume” หรือกลับมาใช้การคุมความเร็วอัตโนมัติ ด้วยความเร็วที่ตั้งไว้

คราวนี้ปัญหามันจะเกิดตอนที่ คุณขับมาด้วย Cruise Control ACTIVE แล้วเกิดต้องแตะเบรก
เพื่อชะลอความเร็ว ระบบจะปลดออกจากการคุมความเร็ว ทีนี้ เกิดคุณอยาก เลิกใช้งานระบบ
จะต้องกดปุ่มรูปหน้าปัดแล้วมีลูกศรชี้เพื่อปิดซะ หากเกิดสับสนไปกด “CAN” หรือ “Cancel”
เข้า ในขณะที่ความเร็วรถต่ำมากมาก รถจะเข้าใจว่าคุณไปสั่ง “Resume” ระบบ Cruise Control
ดังนั้น ระบบจะรีบเชนจ์เกียร์ลงต่ำสุด แล้วเร่งด้วยความรุนแรงเพื่อให้ไปถึงความเร็วที่กำหนด
ไว้เดิม ตรงนี้ อันตรายมากมากนะครับ ควรจะอ่านคู่มือการใช้งานอย่างละเอียดก่อนใช้นะ

ส่วนด้านขวา เป็นที่อยู่ของการควบคุมเครื่องเสียง และโทรศัพท์ในรถ ซึ่งรถที่อเมริกาทุกคัน
ถ้าไม่ใช่รุ่นต่ำสุดมักจะมีระบบโทรศัพท์ Bluetooth มาให้อยู่แล้ว ด้านนอกสุดเป็นปุ่มสั่งงาน
ด้วยเสียง ที่ผมพยายามจะสั่งให้ตั้งอุณหภูมิ..ก็ทำไม่ได้ พยายามจะให้เปลี่ยนสถานีวิทยุ…
ก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผมพูดแล้วระบบไม่ Recognize นะครับ แต่เท่าที่ทดลองคุยกับมันดู (O_o”?)
มันมีแต่ให้เลือก External Device กับระบบ SYNC เท่านั้นอ่ะ แต่ไม่มีตัวเลือกให้ปรับสถานีวิทยุ
หรือเลือก Source อื่นอื่น หรือแม้กระทั่งปรับอุณหภูมิในรถ ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึง
ตัดออกไปเสียดื้อดื้อแบบนี้

ส่วนการใช้งานเชื่อมต่อกับโทรศัพท์นั้น ทำได้ง่ายดี ใช้เสียงคนพูดเหมือนกับใน Mazda 3 เป๊ะ
และผมคิดว่าระบบ Recognition คำนั้นดีมาก เพราะขนาดสั่งโทรออก แล้วพูดเบอร์ยาวยาว ระบบ
ยังจับคำได้ถูกต้องทุกตัวเลยทีเดียว ผมไม่เคยใช้ Fiesta นะครับ แต่เห็นหลายท่านบ่นว่าใช้ยากจัง
เลยคิดว่า Ford คงเอาเรื่องนี้ไปปรับปรุงแล้วมั้ง (เพราะผมก็ไม่ได้มี American Accent นะครับ)

มาถึงจุดที่งงงวยที่สุด คือ ปุ่มกดที่ก้านพวงมาลัยทั้งสองด้าน ฮ่า! งงล่ะสิ
ซ้ายกับขวาหน้าตาเหมือนกัน แต่ทำงานไม่เหมือนกัน…
ด้านซ้ายคุมจอบนหน้าปัด ด้านขวาคุมจอตรงกลาง โอ้ย..(ตรู)ล่ะกลุ้ม!

ผมล่ะสงสัยจริงจริงครับ ว่าวิศวกรสมัยนี้มีแนวคิดอะไรใหม่หรือเปล่า ปุ่ม Cruise Control และปุ่ม
ควบคุมเครื่องเสียงควรจะเป็นปุ่มที่ใช้บ่อย น่าจะถูกติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่กดได้ง่าย และเห็นได้ชัด
ถูกเอาไปไว้ด้านล่างซ้อนกัน ในขณะที่ปุ่มปรับดูข้อมูลบนหน้าจอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้บ่อย ถูกเอา
มาไว้ด้านบนเสียอย่างนั้น นี่ไม่ได้พูดถึงแค่ Focus อย่างเดียวนะ Mazda 3 ก็เป็น และเท่าที่ได้ขับรถ
มาหลายคัน ก็มักจะทำอย่างนี้กันไปเสียหมด ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไม เพราะการกดปุ่มที่อยู่ด้านล่างของ
พวงมาลัยนั้น จะต้องละมือลงไปกด ซึ่งเมื่อละมือก็มักจะต้องเสียสมาธิก้มลงมาดู และถ้าอย่างนั้นแล้ว
การมีปุ่มบนพวงมาลัย มันจะไปต่างอะไรกับการมีปุ่มบนแผงคอนโซลกลางกันเล่า

หน้าจอในเรือนไมล์นี่ ก็แสดงข้อมูลทั่วไปเกียวกับระบบต่างต่างของรถครับ มีตำแหน่งเกียร์ อุณหภูมิ
ภายนอก เข็มทิศ และระยะทางรวม หรือ Odometer มีระยะทางของ Trip ที่เวลาจะเซ็ท 0 ก็ไม่ยุ่งยาก
เหมือนเดิมแล้ว เพียงแค่หมุนไปที่หน้าจอของ Trip นั้น แล้วกดปุ่ม “OK” ทางด้านซ้ายของพวงมาลัย
ค้างไว้ ปล่อยให้แถบไล่จากซ้ายไปขวาจนสุด ก็จะ Reset เป็น 0 ให้ล่ะ

ตำแหน่งเกียร์บนหน้าจอ ใช้เป็นตัวอักษรขาวบนพื้นเทาด้วย Font ที่บางผอม แล้วยังนำมาวางเรียงติดกัน
เป็นพรืดอีก ทำให้เวลาขับอยู่แล้วจะมองดูเกียร์ ว่าอยู่ในตำแหน่งใด มันต้องละสายตาลงมองเพ่งว่าตอนนี้
เกียร์ที่ใช้อยู่คือ D หรือ S และถ้าเป็น S แล้วเป็น S แบบ Sport หรือว่า S เป็น Manual กันแน่? ซึ่งอันที่จริง
ขอตัวเดียวชัดเจนก็พอ ใส่เกียร์ D ก็แสดงว่า “D” ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

นอกจากนั้น หน้าจอก็จะใช้แสดงข้อมูลในการตั้งค่าต่างต่างของตัวรถ เช่น ไฟที่เป็น Welcome Light จะให้
เปิดนานกี่วินาที หรือตั้งค่าระบบการทำงานต่างต่าง เป็นต้น

Ford เลือกที่จะเพิ่มสีสันให้กับหน้าจอนี้เพิ่มขึ้นไปอีก โดยการเปลี่ยนสัญลักษณะไฟต่ำ ที่เป็นไฟสัญลักษณ์
สีเขียวดวงเล็กที่เราคุ้นเคย ให้กลายเป็นรูปรถทั้งคันบนหน้าจอที่มีไฟขึ้นทั้งสี่มุม! ซึ่งแบ่งหน้าจอหลักไป
เกือบครึ่งนึงเลย มันทำให้พื้นที่หน้าจอเหลืออยู่ที่แสดงข้อมูลได้จำกัดขึ้นไปอีก

มองถัดไปจากพวงมาลัยจะไปเจอก้านสวิทช์ปรับระดับความเร็วของใบปัดน้ำฝนหน้าและหลัง แค่ก้านนี้ก็
อุตส่าห์จะต้องไม่เหมือนชาวบ้านเค้า วันแรกที่ผมยืมรถมานั้นฝนตกหนักตลอดทางทั้งวันครับ เลยเป็นเรื่อง
ให้ต้องคลำหาสวิทช์ปัดน้ำฝนหลัง ซึ่งรถทั่วไปนั้นมักจะทำเป็นวงแหวนอยู่รอบก้านสวิทช์ปัดน้ำฝนหน้า
เวลาใช้งานก็แค่บิดไปมาสะดวกดี

แต่ฟอร์ดเลือกที่จะทำสวิทช์ปัดน้ำฝนหลังเป็นแบบ “ติ่ง” พลิกขึ้นลงติดไว้ที่ปลายก้านควบคุม ซึ่งเวลาเราขับ
เราจะมองไม่เห็นเนื่องจากพวงมาลัยบังด้วย ตรงนี้มันไม่ได้ไม่สะดวกหรอก ใช้ไปสักพักก็น่าจะชิน แต่มัน
แค่รู้สึกไม่คุ้นเคย เลยทำให้การใช้งานติดติดขัดขัดไปหน่อยเท่านั้น

แต่เพื่อความแปลก ฟอร์ดยังทำการ “พลิก” สวิทช์ทั้งอัน จากรถทั่วไปตำแหน่งบนสุดคือ “ปิด” ปัดน้ำฝน
ให้กลายเป็น “ปัดเร็วสุด”แล้วให้โยกลงต่ำสุด เพื่อปิดปัดน้ำฝนแทน

ส่วนของแผงควบคุมตรงกลางนั้น ผมไม่ขอลงรายละเอียดมากนะครับ เพราะอยากจะเล่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ
การขับขี่ให้ฟังมากกว่า เรื่องของเล่นกระจุกกระจิก รอไว้อ่านจาก Full Review อีกทีก็แล้วกัน โดยหลักหลัก
แล้ว หน้าตาของคอนโซลกลางก็เหมือน Fiesta ไม่มีผิด เวลาใช้งานตอนแรกอาจจะสับสนหน่อย แต่สักพัก
ก็ (เจ็บและ)ชินไปเอง เอ่อ..แค่อารมณ์พาไปให้นึกถึงเพลงของ ETC น่ะครับ….

สิ่งที่แปลกใหม่และผมชอบมากก็คือ รถรุ่นใหม่ใหม่มักจะมีสัญญาณเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย ทั้งคนขับและ
ผู้โดยสารตอนหน้า ซึ่งถ้าหากเป็นรถทั่วไปแล้ว เวลาไม่ได้คาดเข็มขัดก็จะร้องเตือน เสียงดัง ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ
ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ….ให้รำคาญกันไปตลอด แต่ของ Focus ใหม่นั้น จะมีคำเตือนขึ้นที่หน้าจอตรงกลางว่า

“เพื่อความปลอดภัยกรุณาคาดเข็มขัด แล้วท่านจะได้รับฟังเพลงเหมือนเดิม”

คือตัดเสียงวิทยุทิ้งไปเลย จนกว่าจะคาดเข็มขัดนั่นแหละ ไม่งั้นก็อดฟังเพลงนะเออ แหม..ฉลาด!

มองเรื่อยลงมาถึงแผงควบคุมระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone เอ๊ะ…คุ้นคุ้นมั้ยน้าาาา รวมทั้ง Layout การ
จัดวางปุ่มของสวิทช์ไล่ฝ้ากระจกหลัง ที่เรียกว่าแทบจะยกรุ่นเดิมมาทั้งยวงเลยทีเดียว

แต่ขอโทษเหอะ กราฟฟิคมันอเมริกันจ๋ามากมาก เหมือนกับที่เจอได้ในรถ Jeep Cherokee พวกนั้นเลย
หวังว่าตัวที่เข้าไทยจะไม่เป็นแบบนี้นะ อย่างน้อยขอกราฟฟิคแบบตัวเดิมก็ยังดีเถอะ

และเมื่อพูดถึงระบบแอร์ไปแล้ว…ขอให้ท่านทัศนารูปต่อไปนี้ครับ ถ้าเป็นแฟน Focus ตัวเก่าจริง จะต้องร้อง
เฮ้อ…อะไร (วะ) แน่นอน ไม่มีช่องแอร์หลังแล้วนะจ๊ะ

ต่อลงมาเป็นคันเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งผมได้เคยเขียนบ่นให้ฟังในเวบบอร์ดไปแล้วครับ ผมไม่เข้าใจกับ Logic
ของการติดตั้งปุ่ม +/- เพื่อปรับตำแหน่งเกียร์แบบ Manual เอาไว้ด้านข้างเกียร์ ซึ่งมันไม่ได้สะดวกไปกว่า
การโยกเลย แต่ให้อรรถรสในการขับขี่ที่แย่กว่ามาก เพราะมันไม่ได้ฟีลลิ่งความสนุกสนาน แล้วมันยังไม่ได้
ทำให้การควบคุมเกียร์เร็วขึ้นด้วย เพราะตำแหน่งที่อยู่ข้างเกียร์แทนปุ่ม Shift Lock ในรถเท่าไป เท่ากับว่าคุณ
ต้องกุมหัวเกียร์ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือ (นิ้วโป้ง) ในการกดปุ่ม + หรือ – เพื่อให้เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ตามต้องการ

ซึ่งถ้าขยันอยากจะทำเป็นปุ่มแล้ว..ทำไมไม่เอามาไว้บนพวงมาลัยซะฟะ เจ้าอื่นเค้ามี Paddle Shift กันหมดแล้ว
Ford จะแหวกไปทำปุ่มกดข้างคันเกียร์ ทำไมเสียเล่า…

ทัศนวิสัย

มุมมองตำแหน่งคนขับนั้น จะรู้สึกว่าหลังคาเตี้ยและพื้นที่กระจกด้านหน้าไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร
บางทียังทำให้รู้สึกปลอดภัยด้วยซ้ำ ต่างจากรถบางคันที่กระจกหน้ากว้างมากมาก

ด้านฝั่งคนนั่ง ก็ถือว่าโปร่งตาใช้ได้ เพราะเสา A ยังอยู่ในที่ที่ควรอยู่ ไม่ได้ยื่นออกไปด้านหน้ารถ จนต้องใส่
กระจก Opera หรือภาษาไทยคือ “หูช้าง” เพิ่มเข้าไป แบบดีไซน์ของรถรุ่นใหม่ใหม่หลายคันในขณะนี้

มุมมองด้านหลัง ที่คิดว่าน่าจะโปร่งตากว่าคู่แฝดอย่าง Mazda 3 พอสมควร กลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ เพราะ
หลังคาที่ลาดต่ำมาก และเจอหมอนพิงศีรษะแบบเต็มใบเข้าไปอีก ต่างจาก Mazda 3 ที่มีเพดานหลังคาที่
ไม่ลาดเอียงเท่า และใช้หมอนพิงศีรษะแบบตัว L ที่หดลงไปเก็บได้ ทำให้มีจุดบอดพอสมควรเวลาถอยหลัง
ดังนั้น กรุณาใช้ความระมัดระวัง และปรึกษากระจกส่องข้างประกอบกันเสมอ เวลาทำการถอยนะครับ

บนเพดานส่วนหน้า จะมีการติดตั้งแผงสวิทช์ควบคุมไฟในห้องโดยสารเอาไว้ ซึ่งเป็นที่อยู่ของ Microphone
และกล่องเก็บแว่นไปด้วยกันเลย

และไอ้เจ้าเนี่ยแหละ กลับกลายเป็นตัวสร้างปัญหาขึ้นมาเสียอย่างนั้น…เพราะด้วยความที่รถหลังคาเตี้ย และ
ต้องติดตั้งกระจกมองหลังในตำแหน่งมาตรฐาน พอไปเจอแผงควบคุมดังกล่าว เลยกลายเป็นว่าส่วนด้านบน
ของกระจกส่องหลังถูกบดบังไปซะอย่างนั้น แม้จะไม่มากก็เถอะ แต่พอไปเจอกับกระจกหลังจอเล็ก ตาม
สไตล์รถ Hatchback ท้ายลาด และเสา D ที่หนากว่ารถซีดานทั่วไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งหมอนพิงศีรษะ
สามใบของเบาะหลังแล้ว ดูเอาก็แล้วกันครับ ว่าเหลือพื้นที่ให้เห็นอะไรอีกในกระจกส่องหลังบ้าง…

การขับขี่

ถึงแม้ว่า Focus จะมีการขยายฐานล้อให้ยาวขึ้นอีก 9-10 mm ปรับรถให้กว้างขึ้นและแบนลง แต่ตำแหน่งการนั่งนั้น
แม้ปรับต่ำสุดก็ยังสูงกว่า และตั้งชันกว่า Mazda 3 อยู่ดี ตำแหน่งการนั่งนั้น ผมรู้สึกชื่นชอบ Focus รุ่นก่อนมากกว่า
เพราะรู้สึกว่านั่งติดพื้นมากกว่า ในขณะที่รุ่นปัจจุบันก็ไม่ได้รู้สึกว่าสูงไปกว่ากันมาก แต่การนั่งอยู่รู้สึกว่านั่งห้อยขา
อยู่นิดหน่อย แทนที่จะเป็นการนั่งแบบ “ท่อนล่างราบไป” แบบรถที่จะให้อารมณ์สปอร์ตครับ

ซึ่งอันนี้ผมจะเว้นไว้ให้คุณคุณเป็นลองกันเอง เมื่อรถเปิดตัวในบ้านเรานะครับ เพราะสไตล์การนั่งของผม จะนั่ง
หลังตรงมาก เพราะชินมาจากเบาะ Recaro แต่เข้าใจว่าหลายคน จะนั่งในสไตล์ที่ปรับเอนพนักพิงหลังลงไปหน่อยนึง
และก็ต้องชมว่า Ford ทำพวงมาลัยมาให้ปรับระยะได้กว้างมากเหลือเกิน สามารถปรับตำแหน่งขาให้พอดี ไม่ใกล้หรือ
ไกลเกินไป แล้วดึงพวงมาลัยออกมา ให้อยู่ในระดับพอดีกับ “ข้อมือ” ได้เป๊ะเป๊ะ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องของการ
ขับรถพอดี

เรื่องเครื่องยนต์นั้น คันนี้เป็นขุมพลัง 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Ti-VCT GDI เชื่อมต่อกับเกียร์อัตโนมัติแบบ
คลัทช์คู่ 6 จังหวะ PowerShift ซึ่ง Ford เคลมไว้ว่า ผลิตกำลังได้ 160 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที รายละเอียดเครื่องยนต์
และข้อมูลทางเทคนิคของเวอร์ชันไทย นั้น รอรีวิวฉบับเต็มอีกทีนะครับ


ภาพจาก Automobilemag.com

กำลังเครื่องยนต์ที่ถ่ายทอดออกมา ถือว่าใช้ได้ทีเดียวถึงแม้ว่าจะไม่ได้เยอะมากอย่างที่อยากได้ และลื่นไหลกว่ากว่า
Mazda 3 2.0 เกียร์ 5 สปีด รุ่นที่ขายอยู่ในบ้านเราพอสมควร อาการรอรอบขณะรอบต่ำยังมีอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเล็กน้อย
ในขณะที่ Mazda 3 มีการรอรอบชัดกว่า

สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือ ในขณะที่ Focus ใหม่ใช้เครื่องแบบ Undersquare กำลังอัด 12:1 แบบนี้ แต่รอบเครื่องยนต์
มันกลับไม่ได้ตวัดอย่างกระฉับกระเฉง คือมันขึ้นแบบมีกำลัง ขึ้นเรื่อยเรื่อย และจะไปดุดันมากขึ้นตอนเข็มทะลุเลข
4,000 รอบ/นาที ไปแล้วนั่นแหละ แต่ถึงจะทะลุไปแล้ว มันก็ไม่ได้กวาดแบบแว้ดรวดเดียวหมด แต่เป็นลักษณะ
กวาดเร็วพอประมาณ แล้วต่อเนื่องไปจนสุดขีดแดงที่ 6,500 รอบต่อนาที

ถ้าเทียบกันแล้วในเกียร์ 1 กดเต็ม ผมยังรู้สึกว่าตอนขับ Focus S เมื่อปี 2006 นั้น รอบยังกวาดไปจน 6,500 รอบได้
ลื่นไหล และกระฉับกระเฉงกว่า

แต่ใน Focus 2012 นี้ เวลากดคันเร่งลึกตอนออกตัว ว่ากันระดับเกิน 60% ไปจนถึง 80% รถจะไม่ออกตัวพุ่งไปในทันที
มีอาการที่จับได้ว่าเป็นการอมคลัทช์เอาไว้เพื่อให้ออกตัวนุ่มนวล ซึ่งใช้เวลาประมาณ 0.5 วินาทีก่อนที่จะปล่อยให้จับเต็ม
แล้วกวาดรอบไปชนขีดแดง สงสัยคิดว่า ด้วยเกียร์แบบคลัทช์คู่จะช่วยร่นเวลาได้ เพราะเปลี่ยนเกียร์เร็วกว่าคันอื่นมั้ง
ส่วนตัวผมคิดว่า จุดนี้น่าจะทำให้เสียเวลาตอนออกตัวได้พอสมควร ตัวเลข 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อาจไม่หวือหวานัก

ในขณะที่ตอนส่งต่อไม้ระหว่างเกียร์หนึ่งไปอีกเกียร์หนึ่งนั้น ทำได้เร็วและดี ราบรื่น ต่อเนื่อง และจับเต็มปล่อยเต็มตลอด
สนุกใช้ได้เลยทีเดียว

มาว่ากันถึงเรื่องเกียร์บ้าง ตรงนี้ผมต้องขอกลับคำพูดที่เคยตอบไว้บนเว็บบอร์ดครับ เพราะคันสีน้ำเงินที่ยืมมาตอนแรกนั้น
ดูเหมือนว่าเกียร์จะมีปัญหาจริงจริง เพราะการตอบสนองนั้น ผิดกับคันสีแดงพอสมควร คันสีแดงจะราบรื่นและเป็น
ธรรมชาติกว่ามาก

เวลาคลานออกตัว ปล่อยเกียร์ D ไหล เกียร์มีอาการสะอึกนิดนิด ยังไม่ราบเรียบเท่าที่ควร เหมือนกับเลี้ยงคลัทช์แบบดุนดุน
เอาไว้ แต่ถ้ากดคันเร่งวิ่งออกไปแล้วก็จะราบรื่นเป็นปกติ และการเปลี่ยนเกียร์ก็เปลี่ยนได้นุ่มนวลดีครับ จริงจริงต้องบอกว่า
ในสภาพการขับขี่แบบปกติ ที่เราจะกดคันเร่งกันประมาณ 20-30% นั้น การเปลี่ยนเกียร์สมูทมากเลยเมื่อเทียบกับเกียร์
อัตโนมัติทั่วไป และไม่ได้ลากรอบสูงด้วย ถ้าแตะน้อย แค่ประมาณ 2,500-3,500 รอบก็เปลี่ยนเกียร์ให้แล้ว แต่ถ้ากดลึกลงไป
อีกหน่อยเดียว เช่น 40% เกียร์จะรีบขยันลากรอบให้ไปถึง 4,300-4,500 ให้เลย ถ้าคุณเป็นคนเกลียดการที่เข็มวัดรอบไป
ป้วนเปี้ยนแถวเลขเยอะเยอะ คุณอาจจะไม่ค่อยชอบก็ได้

ปัญหาที่ยังพอเจออยู่คือตอนที่เรายกคันเร่งและจะเติมซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติเวลาขับรถไหลไปตามสภาพการจราจร
บางครั้งเกียร์จะออกอาการแบบงุนงง ทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง คือ รอบตวัดไปตามเท้า รถไม่พุ่ง แต่ไม่กระตุก
ยังมีกำลังส่งไปที่ล้ออยู่ แต่ไม่รู้ว่ามาจากเกียร์ไหน อาการเหมือนชิฟท์ลงเกียร์ต่ำให้ แต่อมคลัทช์เอาไว้ก่อน ซึ่งมัน
ดูผิดธรรมชาติไปนิด เพราะบางทีเราก็ไม่ได้ต้องการให้มันคิกดาวน์ซะหน่อย พอรอบตวัดขึ้นไปแบบนั้น เราก็
ยกเท้าออกเพราะเราไม่ต้องการอัตราเร่งขนาดนั้น รอบจะค้างอยู่อย่างนั้นสัก 0.5-1 วินาที จนกว่าจะปรับกลับไป
ใช้เกียร์ที่สูงขึ้น และรอบเครื่องยนต์ตกลงมาในระดับปกติเหมือนเดิม

ในขณะที่การขับขี่แบบปกตินั้น ช่วงเร่งความเร็วออกจากจุดหยุดนิ่งไป หากมีการยกคันเร่งแล้ว รอบจะไหลขึ้น
ไปนิดหน่อยให้พอรู้สึกได้ เหมือนกับรถเหยียบคลัทช์ในขณะที่เท้ายังถอนคันเร่งไม่หมด รอบเลยฟรีขึ้นไป
นิดนึง ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรในการขับขี่ แต่แค่แปลกใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น พยายามจะให้เกิดความ
นุ่มนวลอย่างที่สุด จนมากไปนิดนึงหรือเปล่า

ฟีลลิ่งที่ได้จากพวงมาลัย ถือเป็นจุดที่ผมชอบเป็นอันดับต้นต้นในรถคันนี้ก็ว่าได้ครับ เวลาที่ความเร็วต่ำ พวงมาลัย
เบาดีแต่ไม่ได้เบาโหวงจนน่าเกลียดแบบรถบางค่าย แล้วอัตราทดก็ดีมาก หมุนนิดเดียวก็สุดแล้ว กะเอาว่าจากซ้ายสุด
ถึงขวาสุดน่าจะแค่ 3 รอบถ้วนถ้วน พอวิ่งออกไปใช้ความเร็วก็มีน้ำหนักที่พอดี ไม่ต้องประคองกันตลอดเวลา และ
ไม่ได้หนักจนทื่อ ด้วยอัตราทดที่ค่อนข้าง Linear แบบนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าพวงมาลัยไวและคม เหมาะแก่การเล่น
กับโค้งมาก

อีกอย่างที่อยากชมคือ ผิวสัมผัสที่ได้จากพวงมาลัยหุ้มหนังนั้น ทำมาได้ค่อนข้างดี ไม่อมเหงื่อ แล้วยังมีความนุ่ม
เต็มมือกำลังดี เวลาจับพวงมาลัยแล้วรู้สึกผ่อนคลาย

ช่วงล่างนั้น ฟีลลิ่งที่ได้รับคือกระชับกว่ารุ่นเดิม มีความตึงตังมากขึ้นหากเป็นถนนขรุขระมากมาก แต่การควบคุม
การโยนตัวของตัวถัง และการเต้นของช่วงล่างนั้น ทำได้ดีกว่า Mazda 3 ที่ออกมาแนวแข็ง และตึงตัง จนหลายครั้ง
มีอาการดีดดิ้นให้ได้สัมผัส เวลาถนนไม่เรียบ แต่เรื่องนี้ ขอเน้นว่าอ้างอิงไม่ได้นะครับ เพราะว่าชุดช่วงล่างใน
สเปคไทยกับอเมริกานั้น น่าจะเป็นคนละชุดกัน เพราะ Mazda 3 ที่นี่ ก็แข็งกว่า Mazda 3 ที่เมืองไทยค่อนข้าง
มากทีเดียว

เอาเป็นว่า มันเป็นรถที่ทำมาให้สนุกได้ก็แล้วกัน

การเก็บเสียง

ผมเองไม่ได้คุ้นเคยกับ Focus ตัวก่อนหน้ามากนัก แต่คิดว่า Focus ใหม่ เก็บเสียงได้ดีมากกว่าเดิมพอสมควร
เรียกว่า บางทีดีมากเกินไปหน่อยมั้ย ไม่ค่อยได้ยินเสียงเครื่องยนต์เข้ามาเลยในช่วงรอบต่ำต่ำ ยิ่งถ้าเปิดเพลง
ฟังแบบเพลินเพลินไปด้วยแล้ว บางทีไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าเครื่องยนต์ทำงานที่รอบเท่าไหร่ จะมีก็แต่เวลา
ที่กดคันเร่งกันลึก จนรอบไปป้วนเปี้ยนแถว 4-5 พันรอบต่อนาทีขึ้นไปนั่นแหละ  ถึงได้จะยินเสียงคำรามเข้ามา
ให้พอรู้สึกว่ารถมันมีเรี่ยวมีแรงกันอยู่ได้บ้าง

********** สรุป (เบื้องต้น) **********

ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบของเล่นกระจุกกระจิกในรถ ไม่ได้สนใจจะรอว่า TDCi จะมาเร็วหรือช้า หรือเป็นคนที่
ไม่ได้ชื่นชอบเสียงเครื่องยนต์ดีเซลอยู่แล้ว แต่อยากได้เบนซินทีแรงกว่าปัจจุบัน และอยากได้รถที่ขับขี่ได้สนุก
พอพอกัน แต่เงียบกว่า Focus เก่า และดูทันสมัยมากกว่า

ผมว่า คุณน่าจะรอ Focus ใหม่มากกว่าครับ เพราะของเล่นเยอะกว่ากันเยอะ แล้วพูดตรงตรงว่า ห้องโดยสาร Focus
ใหม่นั้น มันเป็นที่ที่น่านั่งและน่าใช้ชีวิตอยู่ข้างในจริงจริง ถึงแม้ว่าลักษณะคอนโซลจะใกล้เคียงกันกับ Fiesta แต่
กลับไม่รู้สึกอึดอัดเท่า และวัสดุที่ใช้ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่ารถระดับเดียวกัน ทำให้ได้ความรู้สึกที่ดีมากเลยทีเดียว

ยิ่งตอนกลางคืน ที่มีไฟ Ambient Light เลือกได้สารพัดสีมาเพิ่มบรรยากาศในห้องโดยสารเข้าไปอีก เจอกับ
คอนโซลหน้าสีดำ มีจอสีสันสวยงามอยู่กลางรถ และมีเครื่องดื่มในแก้วใสใส ที่ได้รับแสงจากไฟ Ambient
Light บริเวณที่วางแก้ว ส่องให้น้ำแข็งในแก้วนั้นมีสีสันสวยงาม จนผิดหูผิดตานั้น บรรยากาศมันไม่ต่างอะไร
จากการนั่งอยู่ใน Club Lounge หรือผับหรูหรู ที่มีเพลงเพราะเพราะขับกล่อม ผ่านเครื่องเสียงแบบ 6 ลำโพง
ที่ให้โทนเสียงเบสหนักแน่น เสียงแหลมชัดเจนถึงจะไม่กังวาลมากก็ตาม

แต่ถ้าในทางกลับกัน คุณไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น และสนใจว่าจะซื้อรถมาขับ อยากได้ความสนุกและความดิบ
มากกว่าบรรยากาศในห้องโดยสารอันหรูหรา ประกอบกับเห็นความคุ้มค่าในเม็ดเงินเป็นหลัก การจะไปหา
Focus TDCi ตัวปัจจุบันก็ไม่เสียหาย

ความแตกต่างระหว่างภายในของรถสองคันนี้ ไม่ต่างอะไรจากการที่ผมต้องยืนเลือก ในโรงรถที่บ้านย่านทองหล่อ
ว่า วันนี้จะเอาคันไหนออกจากบ้านดี ระหว่าง Protégé ลูกรักของผม กับ Mazda 3 Sport ตัวปี 2009 เลยแม้แต่น้อย

ถ้าอยากได้ความสนุกในการขับขี่ ความดุดัน ความดิบ และการสื่อสารระหว่างรถกับคนเป็นเยี่ยม ผมจะคว้ากุญแจ
ของลูกรักผม แล้วขับออกไปอย่างไม่ลังเล

ส่วนวันไหนที่อยากจะพักผ่อนสบายสบาย ไม่ได้ใช้ชีวิตเร่งรีบ หรือเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานทั้งวัน คันที่ผม
จะเลือกขับออกไปนั้น มักจะเป็น Mazda 3 เสมอเสมอ

ถึงแม้ว่า Focus เก่าจะไม่ได้มีอุปกรณ์น้อยนิดเท่ากับ Protégé ผมในสมัยปี 2002 นั้น แต่ผมมองว่า ระดับความ
แตกต่างของบรรยากาศภายในระหว่าง Focus ทั้งสองรุ่นนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจาก ระดับความแตกต่างของ
Protégé กับ Mazda 3 เลย

ดังนั้น การรอรุ่นใหม่พร้อมกับควักเงินเพิ่มอีกหลักแสนบาท เทียบกับขับรุ่นปัจจุบันที่ประหยัดเงินไปได้
หลายแสนบาท จะคุ้มค่ากับการรอคอยหรือไม่นั้น คุณ..ต้องเป็นคนเลือกเองครับ

ขอขอบคุณ
Headlightmag.com เอื้อเฟื้อพื้นที่ให้ได้ระบายความรู้สึก
(เดี๋ยวจะส่งบิลค่าเช่ารถไปเรียกเก็บนะ ตา J!MMY ที่เคารพ ฮา…)

———————————————///———————————————-

ภาคผนวก

แฉ!

เอ้า..มาถึงปิดท้าย รายการแฉ! นี่ล่ะครับ คือสิ่งที่ผมไม่อยากจะเห็นจาก Focus ที่แล่นออกมาจากโรงงาน AAT
ที่ระยอง ระดับขอบประตูหน้าและหลังนั้นไม่เท่ากันในรถใหม่ วิ่งใช้งานไปได้ไม่ถึง 10,000 กม. ถึงแม้จะเป็น
ปัญหาเฉพาะคันก็ตาม แต่ดูจากคลิปที่อเมริกาแล้ว หลายคันก็ดูเหมือนจะมีปัญหาการประกอบไม่เรียบร้อยนะ…
หวังว่า มันจะไม่เกิดกับรถสเปคไทยนะครับ

อีกจุดหนึ่งก็คือ ระยะห่างระหว่างช่องของพลาสติกแผงประตู กับเสา B นั้น ห่างจนเห็นเนื้อเหล็กกันเลยทีเดียว
อย่าปล่อยแบบนี้มาให้ถึงมือเจ้ากล้วยกับเจ้า Toyd แห่ง The Coup Channel ของเราล่ะ โดนสับเละแน่ ฮี่ ฮี่

แถมรูป Focus แบบและสีต่างต่างอีกสักหน่อยครับ วิ่งกันให้ขวักไขว่เยอะแยะเต็มไปหมด

สุดท้ายกับนอกเรื่อง…รถสวยสวยแรงแรง อยากได้ อยากได้

ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบครับ

——————————————————————————————

Nuay Paul Ratanaboon
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในเมืองไทย
ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน 
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
20 ธันวาคม 2011

Copyright (c) 2011 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
December 20th,2011

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click here!