บรรยากาศยามเที่ยง บนลานกว้างๆ ของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ยังคงร้อนระอุระดับแผดเผา
เหล่าบรรดานักศึกษาวิชาทหาร ผลัดเช้า ที่เข้ามาเรียน ณ ศูนย์ฝึกแห่งนี้ เดินเข้าแถวกลับบ้านอย่างเป็น
ระเบียบ เรียบร้อย…

ทันใดนั้น…รถสปอร์ตเปิดประทุนคันสีเงิน ก็แผดเสียงคำราม ตามแบบฉบับขุมพลังสูบนอน (Boxer)
ก่อนจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน แล่นผ่านหน้าพวกเขาไป ชวนให้เหล่าบรรดาน้องๆใน
ชุดเขียวเข้มเหล่านั้น แทบทั้งหมวดหมู่ หันเหลียวมองกลับมาเป็นตาเดียวกัน

เหมือนเช่นเคยครับคุณผู้อ่านที่รัก AAS Auto Service ผู้จำหน่ายรถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการ
ในประเทศไทย ยังคงใช้สนามโล่งๆ หน้ากรมทหารราบที่ 11 ฯ แห่งนี้ เป็นสถานที่รองรับบรรดา
สื่อมวลชนสายรถยนต์ จากทั่วสารทิศ เพื่อมาร่วมทดลองขับ รถสปอร์ตเปิดประทุนเครื่องยนต์วาง
กลางลำตัว ขนาดเล็กระดับน้องนุชสุดท้องจากเมืองชตุทการ์ท สหพันธรัฐเยอรมัน

รถรุ่นนี้ พวกเขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะยังคงสานต่อความสำเร็จทั้งด้านยอดขาย และการยอมรับจาก
คนรักรถทั่วโลก ด้วยสารพัดความสดใหม่ ที่ถูกยกระดับให้โดนใจบรรดานักนิยมรถสปอร์ต ขนาด
กระทัดรัด ทั่วโลก มากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา แถมยังต้องแบกรับภาระ การลดปริมาณเชื้อเพลิง และ
การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกสู่ชั้นบรรยากากาศ ให้น้อยลงกว่าเดิมอีกด้วย

มันไม่ใช่งานง่ายๆของ Porsche เท่าไหร่ แต่อย่างน้อย ก็ยังง่ายกว่า การดำเนินธุรกิจในช่วงทศวรรษ
1980 โดยที่พวกเขายังไม่มี รถสปอร์ตรุ่นนี้ วางขายในตลาดก็แล้วกัน

ย้อนกลับไปในช่วงยุคทศวรรษ 1980 สำหรับบริษัทรถยนต์แล้ว ไม่ว่าคุณจะเน้นทำรถเพื่อนการพาณิชย์
รถเก๋ง หรือรถ Sport เป็นธุรกิจหลักตราบใดก็ตาม ที่คุณมีรุ่นรถยนต์ให้ลูกค้าที่เดินเข้าโชว์รูมได้เลือก
เพียงแค่ไม่เกิน 3 รุ่น โอกาสเสี่ยงต่อปัญหาด้านยอดขาย และปัญหาด้านการเงิน ที่จะตามมา ย่อมมีสูง
มากๆ (หากนึกไม่ออก หาบทเรียนเก่าๆของ Rover Saab และ Saturn มาดูประกอบก็ได้)

และ Porsche ก็เคยอยุ่ในสภาวะแบบนั้น ในยุคทศวรรษที่ 1980 ในเมื่อ รุ่น 911 มียอดขายได้แค่ระดับ
“เรื่อยๆ” ส่วน 924/944 และรุ่น 968 กับ 928 นั้น ขายแทบจะไม่ออกเลย ดังนั้น Porsche จึงจำเป็นต้อง
คิดใหม่ทำใหม่ ก่อนที่บริษัทจะมีชะตากรรมย่ำแย่ไปกว่านี้

แต่ปัญหาสำคัญของ Porsche อยุ่ที่ งานออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของตระกูล 911 มัน “อมตะ” มาก
จนลูกค้าไม่อาจทำใจยอมรับรถอย่าง 928 924/944 968 ได้เลย (นี่ตัดประเด็น เรื่องความยุ่งยากในการ
ซ่อมบำรุงของรถไปแล้วด้วยนะ) คำถามก็คือ แล้วจะทำอย่างไร ให้ลูกค้าดั้งเดิม ยังยอมรับรถรุ่นใหม่
ของ Porsche ได้ ขณะเดียวกัน ตัวรถก็ต้องดีพอ ที่จะเย้ายวนให้บรรดาลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ พากันเข้ามา
จับจองรถรุ่นใหม่มากขึ้น….

ก็ทำราคาให้มันถูก ลดขนาดให้เล็กลง แต่คงบุคลิกการขับขี่ที่หลายคนชื่นชอบไว้ ไม่ต้องไปเปลี่ยนมัน
มากนัก ถ้าไม่จำเป็น

แค่นั้นเอง!

คิดได้ดังนั้น Porsche ก็เลยส่งรถต้นแบบ Boxster อวดโฉมเป็นครั้งแรกในโลก ณ งานแสดงรถยนต์
Detriot Auto Show เดือนมกราคม 1993 โดยได้รับอิทธิพลมาจากรุ่น 356 No. 1 และรุ่น 550 Spyder
ที่เคยโด่งดังในอดีต ด้วยผลตอบรับที่ได้จากสาธารณชนอย่างดีเยี่ยมหลังจากการเผยโฉมครั้งนั้น ส่ง
ผลให้ผู้บริหารของ Porsche ในยุคนั้น ตัดสินใจเปิดไฟเขียว ให้โครงการ Boxster เดินหน้าต่อยอด
จนพร้อมต่อการเตรียมขึ้นสายการผลิต เพื่อออกสู่ตลาดจริง ในช่วงฤดูร้อนปี 1996

หลังจากนั้น? Boxster ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในรถยนต์รุ่นประวัติศาสตร์ สำหรับ Porsche ยุคใหม่ ไป
ตามคาด ทั้งการยอมรับจากลูกค้า และรางวัลที่ได้จากบรรดาสื่อมวลชนทั่วโลกที่ยกย่องรถรุ่นใหม่นี้
ด้วยความนิยมอย่างสูง ต่อเนื่อง ทำให้ Porsche ต้องพัฒนาเวอร์ชันหลังคาแข็ง ในชื่อ ว่า Cayman
ออกจำหน่ายในปี 2005 และ ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่อยู่ในตลาด ยอดผลิตกับยอดขายรวมทั้ง 2 รุ่น
จนถึงวันนี้ ถือว่า เกินกว่าตัวเลขระดับ 300,000 คันทั่วโลก ไปแล้ว

Boxster ใหม่ที่คุณเห็นอยู่นี้ ถือเป็นเจเนเรชันที่ 3 เผยโฉมสู่สายตาชาวโลกผ่านทาง Internet ครั้งแรก
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2012 ก่อนถูกนำไปจัดแสดงให้สาธารณชนได้สัมผัสรูปโฉมของรถคันจริงกัน
เป็นครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2012 สำหรับตลาดยุโรป Boxster ใหม่เริ่ม
ส่งมอบสู่มือลูกค้าตั้งแต่เดือนเมษายน 2012 แต่รุ่นพวงมาลัยขวา สำหรับตลาด Asia & Ocenia นั่น
เพิ่งจะทะยอย เปิดตัวไปตามประเทศต่างๆ เมื่อช่วงไตรมาส 2 ของปี 2012 ที่ผ่านมา

และเพื่อเตรียมความพร้อมในการวางแผนการผลิต Porsche ตัดสินใจย้ายฐานผลิต Boxster จาก
Valmet ที่ประเทศฟินแลนด์มาที่โรงงาน Karmann หรือ Volkswagen Osnabrck GmbH ในเมือง
Osnabruck สหพันธรัฐเยอรมันี โรงงาน ที่ Volkswagen Group เป็นเจ้าของและปัจจุบันใช้ใน
การประกอบรถยนต์เปิดประทุน อย่าง Volkswagen Golf Cabrio

เหตุผล ไม่มีอะไรในกอไผ่ เนื่องจากโรงงาน Stuttgart-Zuffenhausen นั้น ผลิตทั้งรุ่น 911 ใหม่
และ Boxster ร่วมกันจึงทำให้โรงงานผลิตหลักที่ชตุทการ์ท มีกำลังการผลิตไม่พอต่อความต้องการ
ที่ล้นหลามนั่นเอง

สำหรับตลาดเมืองไทยนั้น AAS Auto Service ผู้นำเข้า จำหน่าย และให้บริการรถยนต์ Porsche
อย่างเป็นทางการ จัดงานแถลงข่าว เปิดตัว Boxster ใหม่ ในเมืองไทย ไปแล้ว ตั้งแต่ เมื่อวันที่
21 มิถุนายน 2012 ที่ผ่านมา ณ โรงแรม Intercnotinental

Boxster ใหม่ มีตัวถังยาว 4,374 มิลลิเมตร กว้าง 1,801 มิลลิเมตร สูง 1,282 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ
2,475 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า (Front Track) 1,526 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง (Rear
Track) 1,536 มิลลิเมตร ความจุช่องเก็บสัมภาระ หน้า 150 ลิตร หลัง 130 ลิตร ความจุถังน้ำมัน 64 ลิตร
เทียบกับรถรุ่นเดิมแล้ว ถือว่ามีขนาดใหญ่ขึ้น และช่วยให้ออกแบบห้องโดยสาร ได้กว้างสบายขึ้น

จุดประสงค์หลักๆ ในการพัฒนา Boxster เจเนอเรชั่นใหม่นี้คือสร้างรถให้มีน้ำหนักเบาเพื่อ
ประสิทธิภาพของรถ ทั้งในการเกาะถนน เพิ่มความคล่องตัว ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและ
ลดการปล่อยมลพิษและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เป็นอย่างดี ด้วยหลักการการออกแบบ
ให้รถมีน้ำหนักเบา ทำให้รถสามารถลดน้ำหนักลงได้กว่าเดิมอีก 35 กิโลกรัมหากเปรียบเทียบ
กับรุ่นเดิม และทำให้ Boxster ใหม่นี้กลายมาเป็นรถสปอร์ตที่เบาที่สุดในคลาสอีกด้วย โดย
ในรุ่น ที่เราลองขับกัน Boxster PDK น้ำหนักเบากว่าเดิม 13,65 กิดลกรัม เหลือเพียง 1,340
กิโลกรัม

ขณะเดียวกัน เส้นสายตัวรถยังคงถูกออกแบบให้สวยงาม และลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ
ให้ถูกต้องตามหลักอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamic) ลงเหลือ Cd 0.30 ช่องดักอากาศทาง
ด้านข้างของรถจะทำหน้าที่ รับอากาศที่ไหลผ่านต้วถังเข้าไประบายความร้อนในเครื่องยนต์
ช่องดักอากาศของรุ่น Boxster จะเป็นฝาขอบสีดำ นอกจากนี้ยังปรับปรุงพื้นที่ด้านหน้า ให้
มีแรงยก ลดลงจากเดิม ช่วยให้เกาะถนนยิ่งขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูง ลิ้นสปอยเลอร์ทางด้านหน้า
แบบใหม่และ air guide element บริเวณด้านหน้าของล้อหน้าจะช่วยลดแรงยกของล้อคู่หน้าได้
ส่วนด้านหลัง จะมีปีกสปอยเลอร์หลัง ทำงานยกตัวขึ้นได้ทั้งตามสั่ง จากสวิชต์ในรถ หรือจะ
สั่งทำงานเอง ที่ความเร็วสูงเกินกว่า 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ได้

ตัวถังของ Boxster ได้รับการออกแบบใหม่หมดโดยใช้เหล็กอลูมิเนียมแทนเหล็กกล้าธรรมดา
อย่างในรุ่นเดิม อาทิ อลูมิเนียมผสม ที่ผ่านการกระบวนการหล่อขึ้นรูปด้วยแรงอัดสูง (Die-cast
aluminium) แผ่นเหล็กอลูมิเนียม (Aluminium sheet metal) แมกนีเซียม (Magnesium) 
และ เหล็กที่มีความแข็งแกร่งสูง เพื่อใช้ในการปรับแต่งให้เข้ากับตัวรถและทำให้ตัวถังแข็งแกร่ง
ขึ้น แต่ลดปริมาณวัสดุที่นำมาใช้ลงอีกด้วย กว่า 46% ของโครงสร้างรถ ทำมาจากอลูมิเนียม
เช่น ด้านหน้าของรถ พื้นและท้ายรถ ประตูและฝากระโปรงที่เก็บสัมภาระ เป็นต้น แนวคิด
ใช้วัสดุน้ำหนักเบา เพื่อลดน้ำหนักรวมของรถ ถูกนำไปใช้กับภายในห้องโดยสารด้วยเช่นกัน
เช่น cockpit holder ทำจากอลูมิเนียมผสมที่ผ่านการกระบวนการหล่อขึ้นรูปด้วยแรงอัดสูง
(Die-cast aluminium) โครงสร้างพื้นฐานของ Roll-over bar หลังเบาะนั่งทำจากอลูมิเนียม
ในขณะที่ตัวบาร์ทำจากเหล็ก และยังมีประโยชน์ในการใช้ยึดแผงกันลม (Wind deflector)
อีกด้วย ตัวรถมีความแข็งแกร่งต่อการบิดมากกว่าเดิมถึง 40% ส่งผลให้ Boxster ใหม่มีจุด
ศูนย์ถ่วงกลางที่ต่ำลงประมาณ 6 มิลลิเมตร

ด้านโครงสร้างหลังคา วิศวกรของ Porsche ใช้เวลาถึง 5 ปี ในการพัฒนา โครงหลังคาแม็กนีเซียมแบบ
พับเก็บได้ หุ้มทับด้วยผ้าใบ ไม่มีฝาปิดเก็บหลังคาผ้าใบอีกต่อไป เพราะไม่จำเป็นแล้ว แม้จะมีการล็อก
เอาไว้ ให้สามารถ กดสวิชต์ไฟฟ้า สั่งเลื่อนเปิดพับ หรือยกขึ้นปิดประทุนได้ ภายในเวลา 9 วินาที ขณะ
ใช้ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่จากการทดลองของวิศวกร หลังคานั้น สามารถทำงานได้
แม้ในความเร็วสูงถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยไม่ทำให้รถเสียการทรงตัวแต่อย่างใด! หลังคาประทุน
จะทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ผ่านกลไกล็อกไฟฟ้า Central locking mechanism นอกจากนี้
ยังสามารถสั่งเปิดหรือปิดหลังคาได้ด้วยรีโมทกุญแจของรถ ขณะจอดนิ่งอยู่กับที่

โครงกระจกมีจุดยึดกับหลังคาประทุน ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ไม่ต้องมีการล็อกด้วยมืออีกต่อไป
เพราะใช้กลไกไฟฟ้าควบคุมทั้งหมด กระจกหลังยาวขึ้น 120 มม. เสียงรบกวนในห้องโดยสารลดลง
จากรุ่นเดิมจาก 75 เดซิเบลเหลือ 71 เดซิเบล ต่อ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยวัสดุซับเสียงแบบพิเศษ
รวมทั้งผ้าใบสำหรับหลังคาประทุนชุดนี้ ที่สำคัญตัวยึดแกนหลังคาได้ถูกลดลงเพื่อความสวยงาม
ทั้งหมดนี้ ช่วยลดน้ำหนักของชุดหลังคาในภาพรวมลงได้ถึง 12 กิโลกรัม

การลุกเข้า-ออกจากรถ ไม่ได้ถึงกับแตกต่างจาก Porsche รุ่นอื่นๆเท่าใดเลย บานประตูมีความยาว
เพิ่มขึ้นนิดนึง แต่สังเกตุได้เด่นชัดเลยว่า ทีมออกแบบ นำเอางานออกแบบห้องโดยสารของ รถสปอร์ต
รุ่นใหญ่ Porsche Carrera GT มาใช้เป็นแนวทาง ในการสร้างห้องโดยสารของ Boxster อยู่มาก
เสาหลังคาค่หน้า A-Pillar พร้อมกรอบกระจกบังลมหน้า มีมุมองศา ตั้งชันขึ้นกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย

เบาะนั่งคู่หน้า เป็นแบบ Sport Seats Plus ให้สัมผัสที่เหมือนกับ 911 ใหม่มากๆ แน่ละ พอเปิดรูปเทียบกันดู
ทั้งคู่ ใช้เบาะนั่งเหมือนกันเป๊ะ ทั้งลายตะเข็บ ตำแหน่งของพนักศีรษะ ความยาวเบาะรองนั่ง ทุกอย่าง แทบจะ
เรียกได้ว่า เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน เบาะนั่งสามารถปรับระดับต่ำสุดลงได้มากกว่ารุ่นเดิมอีก 5 มิลลิเมตร และ
ยังมีพื้นที่วางขาให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน ปรับเลื่อนขึ้นหน้า ถอยหลัง ปรับเอนพนักพิง
และปรับดันหลัง มากถึง 14 ทิศทาง ได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ข้างเบาะทั้งหมด ส่วนตำแหน่งพวงมาลัย ก็ปรับสูง – ต่ำ
และระยะใกล้ – ห่าง ได้ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า เพิ่มจากเดิมอีก ตำแหน่งละ 10 มิลลิเมตร พร้อมหน่วยความจำตำแหน่ง
Comfort Memory Package ที่สั่งซื้อเพิ่มได้

ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบถูกออกแบบให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับขนาดตัวรถ
ที่กว้างและใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ทีมออกแบบนำแนวคิดของห้องโดยสาร Porsche Carrera GT
มาพัฒนาต่อยอด ให้เหมาะสมกับขนาดตัวรถของ Boxster แผงคอนโซลกลางมีความยาว
และยกขึ้นสูงเหมือนสไตล์รถแข่ง เหมือนทั้ง Panamera 911 ใหม่ และ Cayenne ใหม่
เพื่อให้บังคับควบคุม คันเกียร์ได้คล่องแคล่วขึ้น และเพิ่มความรู้สึกของผู้ขับขี่ให้เป็น
ส่วนหนึ่งกับรถมากขึ้น เพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น ปุ่มสวิชต์ระบบต่างๆ ที่สำคัญถูกรวบรวม
ไว้ที่คอนโซลกลางอย่างมีระเบียบเพื่อความง่ายและรวดเร็วต่อการเรียกใช้งาน

ช่องแอร์ ถูกออกแบบให้สามารถถอดสลับสับเปลี่ยนได้ ทั้ง 4 ชิ้น สะดวกในแง่ของการ
ควบคุมด้านการผลิต และการลดต้นทุน ในภาพรวม แต่คุณภาพของชิ้นงานยังคงเหมาะสม
กับราคาของรถที่คุณต้องจ่ายออกไป แค่หน้าตาของมันเหมือนกันเป๊ะเท่านั้นเอง ตรงกลาง
มีนาฬิกาขนาดใหญ่ สวยงาม พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน หุ้มหนัง และมีพลาสติกสีเงิน
ประดับเป็นมาตรฐาน

แผงมาตรวัดมีหน้าจอ 3 วง มาตรวัดวงกลางแสดงรอบเครื่องยนต์ ซ้ายมือจะเป็น มาตรวัด
ความเร็ว และขวามือ จะเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ใหม่ล่าสุดที่ได้รับการติดตั้งมาในรถคันนี้คือ
หน้าจอขนาด 4.6 นิ้ว แบบแสดงผลหลายฟังก์ชั่น แผงหน้าปัดหลักของ Boxster ใหม่ทั้ง
2 รุ่นนี้ จะแตกต่างกันที่สี รุ่นมาตรฐาน พื้นมาตรวัดเป็นสีดำ ส่วนรุ่น Boxster S พื้นของ
มาตรวัดจะเป็นสีเงิน ส่วนปุ่มล็อครถจะอยู่ทางด้านซ้ายของพวงมาลัยเหมือนกับรุ่นก่อน
ด้วยเช่นกัน

เครื่องเล่น CD/DVD สามารถเล่นได้ทั้งเพลงและวีดีโอ DVDs รวมไปถึงไฟล์เพลงอื่นๆได้
สามารถเลือกฟังช่องวิทยุได้ถึง 48 ช่อง อุปกรณ์เชื่อมต่อ AUX interface ได้รับการติดตั้งมา
เป็นมาตรฐานและทำงานร่วมกับการเชื่อมต่อเข้ากับ USB สำหรับ iPod® และ iPhone รวมทั้ง
เครื่องเล่นเพลง MP3 อีกด้วย เชื่อมต่อ Bluetooth ผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องเล่นเพลงอื่นๆ
ผ่านทาง USB ระบบนี้สามารถเรียกใช้งานผ่านหน้าจอ PCM หรือ พวงมาลัยหรือ Voice control
ก็สั่งติดตั้งเพิ่มเติมได้ และถ้ายังไม่สะใจ ก็เลือกชุดเครื่องเสียง: Sound Package Plus และ BOSE
Surround Sound System 10 ลำโพง ไปติดตั้ง ฟังกันให้หูฉ่ำกันไปเลย

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ถ้าคุณเปิดฝากระโปรงหน้า คุณอาจไม่แปลกใจหรอกครับ ที่ไม่เห็นเครื่องยนต์ ก็แน่ละ Porsche
Boxster เป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์วางกลางลำตัว ขับเคลื่อนล้อหลัง….ดังนั้น พื้นที่ด้านหน้า จึงถูก
แปลงสภาพเป็นห้องเก็บของ สำหรับวางกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ ซ้อนกันได้ 2 ใบ สบายๆ!

แต่คราวนี้ พอเปิดฝากระโปรงหลัง…..

เฮ้ยยยย!!!  เครื่องยนต์มันหายไปไหน!!!!!???

911 ใหม่ ยังพอจะเห็นพัดลมระบายความร้อนให้ดูต่างหน้า แต่ Boxster ใหม่ กลับมาแปลก
ยิ่งหนักไปกว่าเดิม คราวนี้ วิศวกรของ Porsche เขาเล่นทำแผงพลาสติก มาแปะ บังเครื่องยนต์
เอาไว้จนมิดเลย สิ่งเดียวที่คุณจะได้เห็นว่าโผล่ออกมาจากเครื่องยนต์ คือ ช่องใส่น้ำมันเครื่อง
อยู่ฝั่งขวา และช่องเติมน้ำหล่อเย็น อยู่ฝั่งซ้าย

สิ่งที่อยู่ด้านหลัง แผงพลาสติกขนาดใหญ่นั้นก็คือ เครื่องยนต์ 6 สูบนอน (Boxer) DOHC 24 วาล์ว
ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ โดยลดขนาดความจุกระบอกสูบลง จาก 2,893 ซีซี เหลือ 2,706 ซีซี ขนาดของ
กระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 89.0 x 72.5 มิลลิเมตร กำลังอัด 12.5 : 1

มีการออกแบบห้องเผาไหม้ใหม่หมด เพื่อรองรับการติดตั้งระบบฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงตรง Direct
Fuel injection เพิ่มกำลังอัดให้สูงขึ้น จนต้องเปลี่ยนการออกแบบลูกสูบโลหะผสมใหม่ ติดตั้งระบบ
ปรับระยะยกวาล์วแบบแปรผัน (Variable valve lift) พร้อมระบบแปรผันองศาการเปิด – ปิดของลิ้น
วาล์ว Variable valve timing ในชื่อ VarioCam Plus ที่เพิ่มองศาขึ้นจาก 40 องศาเป็น 50 องศา
ติดตั้งช่องดักอากาศ Air Intakes) ทั้ง 2 ตัว อยู่ทางด้านซ้ายและขวาของเครื่องยนต์ ติดตั้งตัวจับสัญญาณ
แรงดันเพื่อทำการวัดแรงดันของท่อร่วมไอดีแทนที่จะใช้ตัวจับสัญญาณแรงดันแบบเดิมหรือ Hot-Film
Mass air flow sensor อีกด้วย

ที่สำคัญ Porsche ยังติดตั้งระบบ ดับและติดเครื่องยนต์เองอัตโนมัติ ขณะจอดติดไฟแดง Auto start/stop
function ให้กับ Boxster ใหม่ด้วย ทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา และเกียร์ PDK แถมยังมี ฟังก์ชัน  Coasting จาก
รุ่น 911 Carrera ใหม่ล่าสุดมาให้ด้วยเช่นกัน หลักการทำงานก็คือ เรียกพลังงานจากเครื่องยนต์มาใช้
ในจำนวนที่ต้องการเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากถึง 1 ลิตร / 100 กิโลเมตร
เลยทีเดียว ฟังก์ชั่นการทำงาน Coasting นี้ใช้งานง่าย แค่ดึงเท้าออกจากคันเร่งอย่างช้าๆ หรือโดยการ
เปลี่ยนเกียร์ขึ้นเอง หากรถอยู่ในระดับเกียร์ที่สูงสุดที่เป็นไปได้ ฟังก์ชัน Coasting จะหยุดทำงาน
เมื่อทำการเร่งเครื่อง เบรก หรือ เปลี่ยนเกียร์ ฟังก์ชั่น Coasting ช่วยให้เกิดการประหยัดน้ำมันมากขึ้น
เพราะฟังก์ชั่นนี้จะช่วยให้รถควบคุมพลังงานจลได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

กำลังสูงสุดของ Boxster รุ่นมาตรฐานจะแรงขึ้นจากเดิม 255 แรงม้า (HP) ที่ 6,400 รอบ/นาที
มาอยู่ที่ 265 แรงม้า (HP) ที่ 6,700 รอบ/นาที แต่แรงบิดสูงสุด ลดลงจาก 290 นิวตันเมตร ที่
4,400 – 6,000 รอบ/นาที ลงมาเหลือ 280 นิวตันเมตร (28.53 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่
4,500 – 6,500 รอบ/นาที อัตราส่วน ขุมพลังต่อลิตร 72 กิโลวัตต์/ลิตร (97.9 แรงม้า/ลิตร) และ
รอบเครื่องยนต์สูงสุด 7,800 รอบต่อนาที

ถือว่า การลดขนาดเครื่องยนต์ลงครั้งนี้ เน้นความประหยัดเชื้อเพลิงเพื่อการใขช้งานในชีวิต
ประจำวันมากขึ้นนั่นเอง แต่ผลที่ตามมาก็คือ แรงบิดสูงสุด ลดลงไป 10 นิวตันเมตร แถมยัง
จะต้องใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมอีกนิดนึง กว่าที่จะเรียกแรงบิดออกมาได้ครบ

ถึงแม้จะติดตั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่ Boxster คันที่เราลองขับกัน
ติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ PDK (Porsche Doppelkupplungsgetriebe) 7 จังหวะ แบบคลัชต์คู่ ที่ทำงาน
เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างต่อเนื่อง และเท่าที่ผมสัมผัสมา ถือว่าเป็นเกียร์คลัชต์คู่ที่ดีที่สุดลูกหนึ่งในตลาด

เกียร์อัตโนมัติ PDK 7 จังหวะถูกออกแบบขึ้นใหม่ ต่อยอดจากเกียร์รุ่นก่อน ให้ทำงานเปลี่ยนเกียร์
ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลงได้ทางอ้อม ทันทีที่ผู้ขับขี่เหยียบคันเร่งจมมิด
สมองกลของเกียร์ จะเข้าใจได้ทันทีว่าต้องทำการเร่งเครื่องยนต์ และรีบสั่งให้เปลี่ยนลงไปยังเกียร์
ที่ต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในเสี้ยววินาที

และถ้าหากต้องเหยียบเบรกอย่างกระทันหัน จากช่วงความเร็วสูง เกียร์ PDK จะสั่งให้ลดเกียร์ลง
อย่างรวดเร็ว และพร้อมให้ผู้ขับขี่ เร่งเครื่องต่อไปได้ใหม่โดยทันที เมื่ออยู่ในรอบเครื่องยนต์ที่สูง
รถจะมีพละกำลังขับที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเร่งเครื่องออกจากโค้ง เนื่องจากโปรแกรมการเปลี่ยนเกียร์
ถูกปรับปรุงให้ ลดระยะเวลาการเปลี่ยนเกียร์ให้รวดเร็วขึ้น และถ้าเมื่ออยู่ในพื้นผิวถนนที่มีระยะ
ทางยาวๆ การควบคุมการลื่นไถลจะเกิดขึ้นแม้ระบบ Porsche Stability management (PSM)
จะปิดใช้งาน ระบบจะทำการจับองศาของ Yaw angle และองศาของพวงมาลัยเพื่อป้องกันการเปลี่ยน
เกียร์ให้สูงขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งปุ่ม Sport Mode มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อให้ผู้ขับขี่เลือกได้ว่าจะ
ขับแบบธรรมดา เน้นประหยัดน้ำมัน หรือจะขับแบบสปอร์ต ระบบสมองกลควบคุมเครื่องยนต์
Electronic Engine Management System  จะสั่งให้ฉีดจ่ายน้ำมันเพิ่มมากขึ้น เพื่อการตอบสนอง
ได้ทันทีทันควันกว่าโหมด Normal ยิ่งโดยเฉพาะรถที่ติดตั้งเกียร์ PDK สมองกลจะสั่งเปลี่ยนเกียร์
ขึ้นไป ช้ากว่าเดิม ปล่อยให้ลากรอบขึ้นไปอีกนิด ก่อนจะเปลี่ยนตำแหน่งขึ้น และขณะเดียวกัน
ก็จะลดเกียร์ช้าลงกว่าโหมด Normal เล็กน้อย (แต่ยังไงๆ ก็จะสั่งเปลี่ยนเกียร์ที่ 7,500 รอบ/นาที
อยู่ดี ในกรณีที่ผู้ขับขี่ เหยียบคันเร่งจมมิด ในโหมด Sport นั้น ระบบดับเครื่องอัตโนมัติขณะ
จอดติดไฟแดง (Auto start/stop function) และฟังก์ชั่น Coasting จะปิดการใช้งาน
อัตราการทดเกียร์มีดังนี้

                              เกียร์ธรรมดา  เกียร์อัตโนมัติ PDK
เกียร์ที่ 1                       3.67               3.91
เกียร์ที่ 2                       2.05               2.29
เกียร์ที่ 3                       1.46               1.65
เกียร์ที่ 4                       1.13               1.30
เกียร์ที่ 5                       0.97               1.08
เกียร์ที่ 6                       0.84               0.88
เกียร์ที่ 7                         –                  0.62
เกียร์ถอยหลัง                  3.33               3.55
อัตราทดเฟืองท้าย             3.89               3.25
เส้นผ่าศูนย์กลางคลัชต์:       240 มม.   202 มม./153 มม.

ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่งจาก: 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 5.8 (5.7)
วินาที (รุ่นที่ตดิดตั้งระบบ Sport Plus และระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK จะต่ำกว่า เหลือเพียง 5.5
วินาที) อัตราเร่งจาก: 0 – 200 กม./ชม. 21.3 (21.2) วินาที (รุ่น Sport Plus และระบบเกียร์ PDK
ทำได้ใน 20.9 วินาที) ความเร็วสูงสุด 264 (262) กม./ชม.

อัตราบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย ตามมาตรฐานการวัดของ NEDC ยุโรป ในเมือง 11.4 (10.6)
ลิตร/100 กิโลเมตร นอกเมืองเฉลี่ย 6.3 (5.9) ลิตร/100 กิโลเมตร ในเมืองและนอกเมือง 8.2 (7.7)
ลิตร/100 กิโลเมตร อัตราการปล่อย CO2 โดยรวม 192 (180) กรัม/กิโลเมตร ผ่านมาตรฐานมลพิษ
ระดับ Euro 5

นั่นคือตัวเลขข้อมูลจากผู้ผลิต ว่าแต่ เมื่อทดลองขับจริง ตัวเลขที่ว่าจะสร้างความเร้าใจให้ผมได้
มากน้อยแค่ไหน ได้เวลามาพิสูจน์กันแล้วละ

รอบแรก ตามะรรมเนียม Instructor จะต้องขับให้เราได้ลองนั่งกันก่อน เพื่อให้รับรู้ว่า บุคลิก
ของรถจะออกมาประมาณไหน ก่อนที่จะปล่อยให้เรา ใส่เต็มที่กันได้ในรอบถัดๆไป

ทันที่ ที่คุณปีเตอร์ เริ่มออกรถ เสียงเครื่องยนต์ ที่ดังขึ้นเรื่อยๆนั้น ถูกกรองเก็บผ่านวัสดุซับเสียง
ที่ดีขึ้นกว่าเดิม แม้จะยังเป็นเสียงเครื่องยนต์แบบสูบนอน Boxer ที่คุ้นเคยกันดี ทว่า มันกลับเป็น
เสียงที่ออกจะกระเดียดไปทาง รถเก๋งบ้านๆ มากกว่าจะเป็นรถสปอร์ตเครื่องแรงๆ

ยอมรับว่า ผมไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่มี Instructor มาขับรถให้นั่ง และออกตัวพุ่งเข้าไปยังกรวย
ไพลอน แม้จะรู้ว่า ยังไงๆ ก็ปลอดภัย แต่แอบเสียวไปถึงท้องน้อยไม่ได้ทุกที ตอนที่คุณปีเตอร์
หักหลบกรวยไพลอน ไปแบบเบาๆ สวยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิต ที่แน่ๆ สัมผัสได้
ว่า คุณจะไม่ได้ยินเสียง กรอบแกรบ จากการบิดตัว ของตัวถังโดยเด็ดขาด แม้เพียงนิดเดียว
ก็ไม่มีให้ได้ยิน

พอย้ายมานั่งในตำแหน่งขับเอง พบว่า พวงมาลัยจะเยื้องไปทางซ้ายอยู่เล็กน้อย เห็นได้ชัดเจน แต่
ตำแหน่งคนขับ จะนั่งตรงกับมาตรวัดต่างๆพอดี พวงมาลัยตั้งฉากกับพื้นรถ แบบรถแข่งตามปกติ

ในเมื่อรู้ว่า นี่คือรถรุ่นมาตรฐาน และพื้นถนนก็แห้ง ร้อน ผมก็สบายใจที่จะเหยียบคันเร่งจมมิดทันที
มาตรวัด G Meter แสดงให้เห็นถึง กำลังฉุดลากตัวรถ ที่เกิดขึ้นในระดับ 0.2 – 0.7 G ในช่วงที่
กำลังไต่ขึ้นไปจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แรงดึงเร้าใจ แต่มันใกล้เคียงกับรถบ้านติด Turbo

สำหรับคนที่ไม่เคยขับรถสปอร์ตมาก่อน ไม่ผิดที่คุณจะมองว่า Boxster ธรรมดาก็แรงพอแล้ว แต่
ถ้าคุณเคยขับรถสปอร์ต หรือรถที่มีพละกำลังแรงๆมามากมาย หลายต่อหลายคัน คุณจะมองว่า Boxster
รุ่นธรรมดา มันก็ไม่ได้แรงอะไรมากมาย อัตราเร่ง ก็ค่อยๆไต่ขึ้นไปเหมือนกัน แต่ขึ้นอืด ไปสักหน่อย
เป็นธรรมดา ของรุ่นมาตรฐาน เบสิกๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนโหมด จาก Normal เป็น Sport Mode ยังไงๆ
เข็มวัดรอบเครื่องยนต์ ก็จะกวาดขึ้นไปจนถึงระดับ 7,500 รอบ/นาที ก่อนตัดเปลี่ยนขึ้นเกียร์ถัดไป
เกียร์ 1 ค่อนข้างยาว ผมจำไม่ได้แน่ชัด ว่าเปลี่ยนที่ความเร็วเท่าไหร่ แต่จะอยู่ในช่วง 70 กิโลเมตร/
ชั่วโมง

การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้า ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า ระบบ Drive By Wire นั้น แม้จะเร็วทันใจ แต่
ในจังหวะที่ลองปล่อยให้รถแล่นไปด้วยความเร็วราวๆ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วเหยียบคันเร่งลงไป
ไม่ว่าจะเหยียบแบบจมมิด หรือเหยียบแบบครึ่งเดียว ยังไงๆ คันเร่งไฟฟ้าก็ขอแอบตัดสินใจสักนิด
สักเพียงเสี้ยววินาที ว่าจะทำอย่างไรต่อไปในชีวิต เหมือนเช่นคันเร่งไฟฟ้าในรถอื่นๆ เพียงแต่ว่า
การตัดสินใจ เกิดขึ้นค่อนข้างฉับไวในระดับยอมรับได้ ไม่น่าเกลียดเลย

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า (Electro-mechanical power steering) ที่ติดตั้งใน
911 คาร์เรร่า (Carrera) เจเนอเรชั่นล่าสุด ถูกนำมาติดตั้งใน Boxster ใหม่ ด้วยเช่นกัน เหตุผลที่ต้อง
เปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้า ก็เพราะว่า มันช่วยลดอัตราสิ้นปลืองเชื้อเพลิงลงได้ อย่างน้อย 0.1 ลิตร/
100 กิโลเมตร

เมื่ออยู่ในความเร็วต่ำพวงมาลัยจะทำการปรับเปลี่ยนองศาการหมุนเอง แต่ทันทีที่เบรกกระทันหัน
บนพื้นผิวถนนที่ไม่เท่ากัน พวงมาลัยจะตั้งตรงโดยอัตโนมัติ ช่วยไม่ให้เกิดอาการเบรกแล้วส่าย
และควบคุมรถได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกติดตั้งอุปกรณ์เสริม เป็นระบบ Power
Steering Plus ได้อีกด้วย

เมื่อใช้ความเร็วระหว่าง 0-50 กม./ชม. ผมกลับมองว่า พวงมาลัยของ Boxster ใหม่ ให้การควบคุมที่
แม่นยำ และไว้ใจได้ บังคับเลี้ยวง่าย คล่องแคล่วในระดับเท่าที่คุณคาดหวังได้จาก รถสปอร์ตขนาด
เล็กซึ่งมีขนาดตัวถังใหญ่ขึ้น พึงจะเป็น มันบังคับง่ายไม่ต่างจากรถเก๋งญี่ปุ่น และยุโรปขนาดเล็ก
ทั่วๆไปเลยด้วยซ้ำ! แถมในช่วงความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง มันก็ตึงมือขึ้นไปอีกระดับ แม่นยำ
และมั่นใจในการควบคุมรถที่ความเร็วสูงๆ

แต่ถ้าคุณจะหมุนพวงมาลัยเข้าจอด บอกเลยว่า น้ำหนักในช่วงความเร็วระดับคลานๆ 2-5 กิโลเมตร/
ชั่วโมง พวงมาลัยก็เบาพอกันกับบรรดา รถเก๋งบ้านๆ ระดับ C-Segment Compact บางรุ่น ที่ใช้ระบบ
เพาเวอร์ไฟฟ้า นั่นละครับ มันตอบสนองพอกันกับพวงมาลัยของ Golf GTi หรือ Scirocco นั่นละ
เหตุผลก็เพราะพวงมาลัยไฟฟ้าจะใช้วิธี ลดน้ำหนักของพวงมาลัยลง และเพิ่ม Torque ให้มากขึ้น
และยังช่วยให้พวงมาลัยกลับคืนสู่ตำแหน่งตรงเมื่ออยู่ในความเร็วต่ำอีกด้วย

นอกจากนี้ ถ้าคุณคิดจะแกว่งพวงมาลัยเล่นๆ ขณะขับขี่ เพื่อหาระยะฟรีของพวงมาลัย สมองกล
ของระบบก็ฉลาดพอที่จะไม่ยอมให้ล้อคู่หน้า เลี้ยวไปเลี้ยวมาตามสั่งของคุณ จึงอาจทำให้เข้าใจ
ได้ว่าระยะฟรีของพวงมาลัยเยอะ ซึ่งจริงแล้ว มันไม่เยอะ และน้อยมากๆ ต่างหาก เพียงแต่ว่า
สมองกล สั่งไว้ไม่ให้ล้อเบนทิศไปมาตามคำสั่งของคุณ

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ติดตั้งล้อเข้ากับปีกนกล่างตามขวาง, ปีกนกล่าง
วางตามยาว และท่อนยึดปีกนกล่าง ช็อกอัพก๊าซ 2 tube มีเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระ
แม็คเฟอร์สันสตรัต เช่นกัน มีเหล็กกันโคลงมาให้ ช่วยเพิ่มความหนึบแน่นของรถในขณะเปลี่ยน
เลนกระทันหันได้อย่างดี ให้การควบคุมที่หนักแน่น แม่นยำไม่แพ้ 911 แต่ช่วยเพิ่มความคล่องตัว
ให้รถมากกว่า 911 ใหม่อย่างชัดเจน

Boxster ใหม่ยังติดตั้งระบบการกระจายแรงบิด Porsche Torque Vectoring (PTV)
พื้นฐานการทำงานของระบบนี้ คือช่วยให้การเข้าโค้งทำได้แม่นยำ ออกจากโค้งได้
ไวยิ่งขึ้น ด้วยการช่วยเบรกที่ล้อหลังในโค้ง ทำให้ล้อหลังด้านนอกโค้ง ยังคงรับ
แรงบิดจากเฟืองท้ายต่อเนื่องเพื่อส่งรถให้เลี้ยวออกจากโค้งไปได้ เร็วขึ้นกว่าเดิม

ระบบ PTV จะทำงานร่วมกับระบบควบคุมเสถียรภาพ Porsche Stability Management
(PSM) ในขณะที่ PSM จะใช้การเบรกในการรักษาเสถียรภาพของรถ ระบบ PTV นี้ก็
จะใช้เบรกในการเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าโค้ง ระบบ PTV จะยังคงทำงานถึงแม้
จะปิดการทำงานของ PSM ก็ตาม

นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกติดตั้งระบบ ระบบ PASM (อุปกรณ์เสริมเลือกติดตั้งได้) โดยมีการ
เพิ่มตัวจับสัญญาณอีก 4 ตัว บนล้อหน้าและล้อหลังเพื่อการควบคุมที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น ระบบ
จะทำการควบคุมการสั่นสะเทือนและควบคุมช่วงล่างได้มากยิ่งขึ้น ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบ
โปรแกรมได้ 2 โหมดเหมือนกับรุ่นก่อน นั่นคือโหมดธรรมดา (Normal) หรือ โหมด Sport
เพียงแค่กดปุ่มบนคอนโซลกลางเท่านั้น ระบบจะทำงานโดยขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ในตอนนั้น
เช่น เมื่อขับอยู่บนทางด่วน ระบบจะช่วยซับแรงสะเทือนจากพื้นผิวถนน ให้ขับสบายมากขึ้น แต่
ถ้ากดปุ่ม Sport ก็จะรับรู้สัมผัสของช่วงล่างที่แข็งขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย

แต่ในการขับขี่จริง ผมกลับไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างนั้นมากนัก อาจเพราะแก้มยางในรถคันที่เรา
ทดลองขับ ค่อนข้างหนากว่าปกติ กระนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในโหมด Normal หรือ Sport การเปลี่ยนเลน
กระทันหัน จะช่วยให้คุณ รับรู้ได้ถึงการถ่ายน้ำหนักจากซ้าย ไปขวา หรือขวา ไปซ้าย ที่เกิดขึ้นอย่าง
ต่อเนื่อง และอย่างรวดเร็ว กระชับ กระนั้น ก็ยังสัมผัสได้ว่า มีการช่วยเหลือ และควบคุมอาการของ
ตัวรถไว้อย่างดี

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ จานเบรกหน้ามีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 315 มิลลิเมตร
หนา 28 มิลลิเมตร คาลิปเปอร์เบรก 4 สูบ อลูมิเนียม โมโนบล็อค, มีรูระบายความร้อน ส่วนคู่หลัง
มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางจานเบรก 299 มิลลิเมตร หนา 20 มิลลิเมตร คาลิปเปอร์เบรก 4 สูบ ทำจาก
อลูมิเนียม โมโนบล็อค มีรูระบายความร้อน เช่นเดียวกัน

ระบบเบรกถูกปรับปรุงให้ตอบสนองหนึบแน่น ทั้งจากการขยายพื้นผิวจานเบรกให้ใหญ่ขึ้น และ
เสริมการระบายความร้อนจากการเบรกให้ดียิ่งขึ้นด้วย Air deflection vanes ทั้งด้านหน้าและหลัง
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจานเบรกจะอยู่ในอุณหภูมิที่ดีและเหมาะสมได้ตลอดเวลา

เมื่อไหร่ที่ต้องเบรกกระทันหัน จน ABS ทำงาน ไฟเบรกด้านท้ายจะกระพริบทันที นอกจากนี้ยัง
สามารถเลือกติดตั้งจานเบรกแบบเซรามิค Porsche Ceramic Composite Brake (PCCB) ที่มีขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลางของจานเบรกใหญ่ถึง 350 มิลลิเมตร ทั้งคู่หน้าและหลัง ได้อีกด้วย สังเกตได้จาก
คาลิปเปอร์เบรกจะเป็นสีเหลือง

การตอบสนองเมื่อได้สัมผัสจริง พบว่า ยังคงให้การชะลอรถที่มั่นใจได้ และมีแรงต้านที่เท้า อย่าง
เหมาะสม กำลังดี เป็นไปตามความคาดหวัง ถือว่าเซ็ตระบบเบรกออกมาได้ดีพอๆกันกับ 911 ใหม่
ถ้าจะเบรกใหนุ่มๆ ขณะขับแบบคลานๆ ไปตามสภาพการจราจรติดขัด ก็ทำได้อย่างง่ายดาย โดย
ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอาการกระตุกๆ หรือเบรกจอดนิ่งไม่เนียน อย่างที่เจอกันมาในรถแรงๆรุ่นอื่นๆ

ส่วนเบรกมือ หรือเบรกจอดนั้น Boxster ใหม่ จะใช้ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electrically operated
Parking brake) เหมือน Porsche รุ่นอื่นๆ ใช้งานง่าย แค่กดปุ่มทางด้านซ้ายของแผงคอนโซลกลาง
รถนั่นเอง แต่ระบบจะปลดเบรกเองอัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว เหยียบคันเร่งเพื่อ
ออกรถจากจุดหยุดนิ่ง

ไม่เพียงเท่านั้น Boxster ใหม่ ยังได้ติดตั้งระบบ standstill management system เพื่อป้องกันรถ
เคลื่อนตัวโดยไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย และถ้าหากต้องหยุดรถบนทางลาดชันขณะเบรก เช่นบริเวณ
เชิงสะพาน ระบบ Auto-hold จะเปิดทำงานการใช้งานและสั่งให้ระบบ PSM รักษาแรงดันของ
ระบบเบรกไว้ สำหรับรถที่ติดตั้งระบบเกียร์ PDK มาด้วยแล้ว ระบบจะรั้งรถให้หยุดนิ่งไว้ แม้
ผู้ขับขี่จะปล่อยเท้าออกจาคันเร่ง ขณะหยุดนิ่งบนทางลาดชัน โดยไม่ได้เหยียบแป้นเบรกก็ตาม
ระบบ Auto Hold จะยกเลิก เมื่อผู้ขับยกสวิชต์เบรกมือไฟฟ้า ขึ้นใช้งาน หลังจากหยุดนิ่งเกิน
5 นาที หรือระบบพบว่าผู้ขับขี่ เปิดประตูออกจากรถแล้ว ระบบเบรกมือไฟฟ้าจะเข้ามารับช่วง
ทำงานต่อเองทันที

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ใหญ่ขึ้น สบายขึ้น ขับง่ายขึ้น แต่…ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหาละก็…เล่น Boxster S ไปเลยเถอะ !

ไม่ว่าจะเป็นการลองขับ เพื่อตัดสินใจซื้อ หรือการลองขับเพื่อมานั่งเขียนรีวิวให้คุณได้อ่านกัน
การลองขับบนสนามสั้นๆ เพียง 3 รอบ มันอาจจะสั้นไปสักหน่อย แต่ก็เพียงพอให้คุณได้จับ
อาการของรถได้อย่างน้อยๆ ก็ครึ่งหนึ่ง ในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้

ยิ่งรถที่ตอบสนองดีๆ อย่างเด่นชัด คุณจะยิ่งสัมผัสและเข้าถึงบุคลิกที่แท้จริงของตัวรถได้ง่าย
และรวดเร็ว ยิ่งกว่ารถที่มีบุคลิกไม่ชัดเจน หรือ หาความแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปตามท้องตลาด
ได้ยาก โดยเฉพาะรถสปอร์ตสัญชาติเยอรมัน จากเมือง ชตุทการ์ท ยี่ห้อนี้ ที่ทุกบุคลิกมันช่าง
โดดเด่นเด้ง Outstanding จริงๆเหลือเกิน

สำหรับ Porsche แล้ว การทำรถสปอร์ตออกมาให้ผู้คนทั่วโลกได้หลงไหล ใฝ่ฝัน ว่าสักวัน
จะต้องซื้อหามาครอบครองให้ได้นั้น มันไม่ใช่แค่เพียงการออกแบบตัวถังภายนอก ให้มี
รูปลักษณ์ที่สะดุดตา ท้าทายทุกายตาที่เหลียวกันมองตาม เมื่อยามที่คุณขับรถคันนั้นเคลื่อน
ไปตามถนนสายต่างๆ แค่เพียงอย่างเดียว

แต่อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้ Porsche ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ ท่ามกลางสภาพการแข่งขันของวงการ
อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกที่รุนแรง นั่นคือ การยึดมั่นในการออกแบบและพัฒนารถยนต์
ที่มีบุคลิกการขับขี่เฉพาะตัว ในแบบของตัวเอง และไม่ต้องไปเลียนแบบหรือตามอย่างใคร

สำหรับใครที่เคยลองขับ Boxster รุ่นก่อนๆ มา ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบมันหรือไม่ ผมอยากให้
คุณได้มีโอกาสลองขับรถรุ่นใหม่ล่าสุด สักครั้ง ไม่ว่าระยะทางจะสั้นจะยาวแค่ไหน คุณจะ
รับรู้ได้ถึงความพยายามของวิศวกรชาวเยอรมัน ที่ตั้งใจปรับปรุงให้ Boxster ใหม่ ดีขึ้นกว่า
รถรุ่นเดิมก่อนหน้านี้ ในทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวรถให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่มีพื้นที่
ห้องโดยสาร ที่นั่งสบายกว่าเดิม และที่สำคัยเหนือสิ่งอื่นใดก็คื การตอบสนอง ที่ คล่องแคล่ว
ฉับไว ทำทุกอย่างได้ดังใจคุณในทุกการควบคุม แน่นอน มันทำให้คุณ ลืม SLK กับ Z4 ได้
อย่างไม่ยากเย็นเลย ไม่เถียงแน่ๆครับ ว่ามันเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนขนาดเล็ก ที่ให้การ
บังคับขับขี่ในภาพรวม ดีที่สุด และลงตัวสำหรับคนรักรถขับสนุกทั่วโลก ในตลาดตอนนี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อลองหันกลับมามองดูราคา ที่ตั้งเอาไว้ ถ้าคุณคิดจะซื้อ Boxster สักคัน
ค่าตัว 7,990,000 บาท ในรุ่นมาตรฐาน และ 10,600,000 บาท ในรุ่น Boxster S มันช่าง
แตกต่างกันมากเหลือเกิน และอาจทำให้คุณ ปวดตับ กุมขมับ และเริ่มหันกลับมามอง
SLK กับ Z4 อีกครั้งได้ง่ายๆ

ต่อให้มี การรับประกันจากโรงงานในเยอรมนี นานถึง 9 ปี หรือเลือกรับ Service Package
นาน 4 ปี ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการอย่าง AAS เท่านั้น ก็ตาม แต่ต้อง
ถือว่า ราคารถยังค่อนข้างสูงอยู่ดี

แต่แน่นอนว่า ค่าตัวที่แตกต่าง ย่อมหมายถึงความมันส์สะใจในการขับขี่ที่แตกต่างไปด้วย
ถ้าคุณกำลังมองหารถสปอร์ตเปิดประทุน แท้ๆ สักคันหนึ่ง และเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่
Boxster S คือคำตอบที่จะช่วยเพิ่มความสะใจในชีวิตของคุณได้มากกว่า อย่างแน่นอน
แต่ถ้ามองว่า รุ่น S แพงไป ชีวิตไม่ได้จำเป็นถึงขนาดต้องไต่ขึ้นไปเล่นรถที่แรงสะใจ
ถึงขนาดนั้น รุุ่นธรรมดา ก็น่าจะเพียงพอ ต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และต่อการ
พาคนข้างกาย ออกเดินทางไปสวีทกันสองคน ณ ต่างจังหวัด ช่วงสุดสัปดาห์ แต่ต้อง
มั่นใจนะครับว่า คุณ ไม่ใช่พวกรักความแรงเป็นชีวิตจิตใจ

เพราะแค่ 265 แรงม้า มันไม่คณา เท้าขวาของคุณอย่างที่คิด เท่าไหร่หรอก!

——————————————-///———————————————-

ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์  
บริษัท AAS Auto Service จำกัด
ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ Porsche อย่างเป็นทางการ
แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ และลิขสิทธิ์ภาพถ่ายในไทย เป็นผลงานของ ผู้เขียน
และช่างภาพของทาง Porsche (และคุณ Sattaphan Kantha)
ลิขสิทธิ์ภาพ Illustration ทั้งหมด เป็นของ Porsche AG เยอรมนี
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 
5 ตุลาคม 2012

Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
October 5th,2012

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome, CLICK HERE!