เมื่อ 3 ปี กับอีก 10 เดือน ที่แล้ว ผมมีโอกาส มาเยือน กระบี่ เป็นครั้งแรก ในชีวิต
ครั้งนั้น Mercedes-Benz Thailand เชิญชวนให้ไปลองขับ Mercedes-Benz
E-Class W212 โดยใช้เส้นทาง จากภูเก็ต ย้อนขึ้นมาถึงกรุงเทพมหานคร

มาวันนี้ ผมกลับมาที่กระบี่อีกครั้ง ผู้ที่เชิญมา ก็ยังคงเป็น Mercedes-Benz Thailand
เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ ทริปนี้ เราตั้งใจมายัง กระบี่ ในฐานะจุดหมาย
ปลายทางอย่างแท้จริง มิได้เป็นเพียงแค่ทางผ่าน เหมือนครั้งก่อน

อีกทั้งยานพาหนะในการเดินทางของเรา ในวันนี้ แม้จะยังคงเป็นตระกูล E-Class
เหมือนเช่นเดียวกับเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา แต่ถ้ามองดูดีๆ คุณก็จะเห็นความแตกต่าง
จากเดิม อย่างชัดเจน….

คราวนี้ Mercedes-Benz Thailand จัดให้สื่อมวลชนสายรถยนต์ เดินทางด้วย
E-Class ใหม่ จาก สำนักงานใหญ่ ตึกรัจนากร ย่านสาทร มุ่งหน้าลงสู่จังหวัด
กระบี่ ชนิดขับกันยาวๆ แวะพัก 2-3 ครั้ง ระหว่างเส้นทาง

พวกเขาเตรียม E-Class ใหม่ไว้ให้เราได้ลองขับกันมากถึง 5 รุ่นย่อย  ดังนี้

E 200 Saloon Executive                              3,390,000 บาท
E 200 Coupe AMG Dynamic                         3,790,000 บาท
E 200 Cabriolet AMG Dynamic                     3,990,000 บาท
E 300 Diesel HYBRID Blutec Executive        3,690.000 บาท
E 300 Diesel HYBRID Blutec AMG Dynamic  4,090,000 บาท

แต่ในความเป็นจริง ด้วยจำนวนของสื่อมวลชนในทริปนี้กว่า 20 ชีวิต ต่อให้มี
รถทดลองขับ มากรุ่น และมากจำนวน ถึง 12 คัน เช่นนี้ ยังไงๆ เราก็ไม่อาจ
สลับสับเปลี่ยนกันขับได้ครบทุกรุ่น

โชคดี ที่ผมมีโอกาสจับคู่ กับ พี่เจ  สมฤกษ์ จาก หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ในฐานะ
บัดดี้ร่วมทาง กันเหมือนเคย และทาง Mercedes-Benz Thailand ก็จัดให้เราได้
ลองรถยนต์ที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะต้องลองขับให้ได้ในทริปนี้ เพียงคันเดียว ก็พอ

ใช่แล้วครับ E300 Diesel Bluetec HYBRID AMG Dynamic คันสีเงินที่เห็นนี้นั่นละ!

ทำไมผมถึงอยากลองขับรถคันนี้มากๆ?

ก็เพราะว่า นี่คือครั้งแรกในเมืองไทย ที่มีการนำเครื่องยนต์ Diesel Turbo เชื่อมต่อ
เข้ากับระบบขับเคลื่อนด้วย Motor ไฟฟ้า ในรูปแบบ Hybrid นั่นเอง ครับ

Mercedes-Benz Thailand เคยนำ E300 Diesel Bluetec Hybrid มาอวดโฉม
เป็นครั้งแรก ตั้งแต่งาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2012 แต่ยังไม่รีบทำตลาด
เพราะพวกเขา เลือกจะรอ ให้รุ่นปรับโฉม Minorchange หรือ Facelift เผยโฉมใน
ตลาดโลก ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2012 กันก่อน แล้วจึงนำเวอร์ชันใหม่นี้ มาเปิดตัว
ในบ้านเรา อย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคารที่ 26 มีนาคม 2013 ในงาน Bangkok
International Motor Show ถือเป็นการเปิดตัวของรถยนต์รุ่นนี้ ครั้งแรกในภูมิภาค
ASEAN

อีกทั้งก่อนหน้านั้น ผู้บริหารของ Mercedes-benz Thailand บางท่าน ก็เคยเล่า
ให้ฟังว่า ระหว่างที่ลองนำ รถรุ่นนี้ ขับใช้งานในชีวิตจริง ไป – กลับ ระหว่างบ้าน และ
สำนักงาน One Roof Center ของ Mercedes-Benz ถนนบางนา-ตราด กม.ที่
21 พบว่า อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ที่ทำได้นั้น อยู่แถวๆ  22.8 กิโลเมตร/ลิตร
ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ทางโรงงานในเยอรมันี เคลมไว้ว่า ได้ 23.81 กิโลเมตร/ลิตร

ผมก็เลยอยากรู้ครับว่า สมรรถนะของ รถรุ่นนี้จะเป็นอย่างไร และการขับขี่ใช้งานจริง
(และแอบขับเร็วกว่าปกติด้วยซ้ำ เพื่อเร่งทำเวลา) จะยังทำให้ ตัวเลขความประหยัด
น้ำมัน Diesel ลดน้อยถอยลงไปหรือเปล่า?

และผมว่า คำตอบ ที่ผมได้รับจาก E300 Diesel Bluetec Hybrid คันนี้ มันดี
เกินกว่าที่คาดไว้พอสมควรเลยละ!

มิติตัวถังของ E-Class Minorchange ใหม่ ตัวถัง Saloon นั้น เท่ากันทั้งหมด
ด้วยความยาว 4,879 มิลลิเมตร กว้าง 1,854 มิลลิเมตร สูง 1,474 มิลลิเมตร และ
ระยะฐานล้อ 2,874 มิลลิเมตร

ความแตกต่างจากภายนอก เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม เห็นได้ชัดว่า ขิ้นส่วน
ด้านหน้า ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับบรรดา
Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ทั้ง A-Class CLA Class CLS Class ฯลฯ ซึ่งจะ
ตามมาหลังจากนี้

ชุดไฟหน้า เป็นแบบ LED Intelligence Light System เป็นการนำหลอด LED
มาใช้ เต็มรูปแบบ ครั้งแรกในตระกูล E-Class (ถ้าไม่นับพวก ไฟ Daylight ในรุ่น
ก่อนๆ) นอกจากนี้ ชุดไฟหน้า ยังถูกเชื่อมกลับเข้ามาอยู่ในโคมเดียวกัน แต่มีการ
ออกแบบให้ หลอดข้างใน แยกออกจากกัน ให้ดูคล้ายลักษณะ 4 ตา เหมือนเช่น
E-Class ในหลายรุ่นที่ผ่านมา รวมทั้งยังมี ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ และระบบ
เพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering Light)

ส่วนชุดไฟท้าย  เปลี่ยนมาเป็นแบบ LED Fiber Optic มีลวดลายที่สวยงาม
ในยามค่ำคืน

ส่วนรุ่น E300 Diesel Bluetec Hybrid ที่เห็นอยู่นี้ ตกแต่งในสไตล์ Avantgarde
พร้อมกับชุดอุปกรณ์ตกแต่ง AMG Dynamic ประกอบไปด้วย กระจังหน้าแบบ
โครเมียม 2 แถบสีดำ ตราสัญลักษณ์ Mercedes-Benz ขนาดใหญ่บนกระจังหน้า
ชุดแต่ง AMG bodystyling ประกอบด้วย เปลือกกันชนแบบสปอร์ต พร้อมช่อง
ดักอากาศแบบพิเศษ ตกแต่งด้วยโครเมียม เปลือกกันชนหลัง พร้อมปลอกท่อ
ไอเสีย ฝังในตัว และสเกิร์ตข้าง

ภายในห้องโดยสาร ดูเผินๆ ไม่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมมากนัก โครงสร้างเบาะยังคง
เหมือนเดิม แต่อาจมีลวดลายบนพนักพิงเบาะที่แตกต่างไป เบาะนั่งคนขับ และเบาะ
ผู้โดยสารด้านหน้า ปรับเอน เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง รวมทั้ง ปรับตำแหน่งดันหลัง
ได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำตำแหน่งที่ปรับไว้บนแผงประตูด้านข้าง
เฉพาะฝั่งคนขับ หน่วยความจำ จะเชื่อมโยงการจดจำกับทั้ง กระจกข้าง และพวงมาลัย
แบบปรับระดับได้ด้วยระบบไฟฟ้า เป็นพิเศษ พนักพิงศีรษะคู่หน้าแบบ NECK-PRO
head restraints ช่วยลดอาการบาดเจ็บเมื่อถูกชนจากด้านหลัง

ยามขับขี่ทางไกล เบาะนั่งของ E-Class ยังไม่ก่ออาการเมื่อยหลังมากเท่าไหร่ ถ้าคุณ
ขับรถถึงสุราษฏร์ธานี แต่พอเข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ ก่อนถึงปลายทาง อาจมีอาการเมื่อย
ตรงกลางหลังได้นิดๆหน่อยๆ นอกนั้น ก็ให้สัมผัสที่ไม่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมนัก
เมื่อขึ้นมานั่งครั้งแรก อาจต้องปรับตัว กับสารพัดปุ่ม และสวิชต์ต่างๆ ที่อาจไม่ง่าาย
ต่อการคุ้นชิน แต่เมื่อขับใช้งานไปสักพัก ก็จะคุ้นเคยกันไปได้บ้าง

ส่วนเบาะหลังนั้น ยังคงให้สัมผัสไม่ต่างไปจากรุ่นเดิม มีช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง
ซ่อนอยู่ในที่วางแขนแบบพับเก็บได้ ตรงกลาง มีม่านบังแดด ที่หน้าต่างทั้ง 2 ฝั่ง

เข็มขัดนิรภัยของทุกรุ่น ทุกคัน เป็นแบบ 3 จุด 5 ที่นั่งทั้งคู่หน้าและคู่หลัง แบบผ่อนแรง
และรั้งกลับอัตโนมัติ Pre-tensioner & Load Limiter ทำงานร่วมกับระบบ PRE-SAFE
อันเป็นระบบช่วยที่ประสานงานร่วมกันปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ก่อนเกิดการชน
ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง พร้อมเซ็นเซอร์วัดแรงปะทะ และการคาดเข็มขัดนิรภัย
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 4 ตำแหน่ง ม่านถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะ ถุงลมนิรภัยบริเวณสะโพก
2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

นอกจากนั้นยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้า
ขณะขับขี่  (ATTENTION ASSIST) ระบบช่วยเตือน การขับรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane
Keeping Assist) และระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist)
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้ง ระบบเปิดฝากระโปรงหลังได้ ด้วยการใช้ขาเตะผ่านเซ็นเซอร์
ใต้กันชนหลัง มาให้เป็นพิเศษ เฉพาะในรุ่น AMG Dynamic คันนี้

ส่วนแผงหน้าปัดนั้น คล้ายคลึงกับ E-Class W212 รุ่นเดิม แต่มีการปรับรายละเอียด
ของงานออกแบบ บริเวณกรอบหน้าจอมอนิเตอร์ รวมทั้งช่องแอร์ทั้ง 4 ตำแหน่ง ให้ดู
โค้งมนกว่าเดิมเล็กน้อย พวงมาลัย เปลี่ยนมาเป็นแบบ สปอร์ต 3 ก้าน พร้อมสวิชต์
ควบคุมการทำงานทั้งบนชุดเครื่องเสียง ระบบนำทาง โทรศัพท์ บนหน้าปัด Multi
Function หุ้มวงพวงมาลัยด้วย หนัง Nappa ปรับระดับสูง – ต่ำ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า
ขนาเล็ก ที่คอพวงมาลัยฝั่งซ้าย

ไม่ว่าคุณจะเลือกรุ่น Executive หรือ AMG Dynamic ก็ตาม E300 Diesel Bluetec
HYBRID จะมีอุปกรณ์มาตรฐานมาให้ เหมือนกัน ดังต่อไปนี้

– กุญแจรีโมทคอนโทรล พร้อมระบบป้องกันโจรกรรม Immobiliser
– นาฬิกาแบบอนาล็อก ระหว่างช่องแอร์คู่กลาง
– ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ ASSYST PLUS
– ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ ATTENTION ASSIST
– ระบบเซ็นทรัลล็อก
– กระจกหน้าต่างปรับขึ้น-ลงด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบ One Touch ที่จะหยุดเลื่อน
  หน้าต่างขึ้นทันทีเมื่อมีสี่งกีดขวาง ครบทั้ง 4 บาน
– กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถพร้อมไฟเลี้ยว ปรับและพับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบไล่ฝ้า
  ปรับให้มองมุมต่ำขณะถอยหลังได้ แค่กดสวิชต์ด้านซ้าย ของแผงสวิชต์ระบบ
– สวิชต์ Controller บริเวณคอนโซลกลาง เชื่อมต่อกับจอ COMAND
– ระบบ COMAND Online หน้าจอแสดงผลและควบคุมการทำงานของวิทยุ AM/FM
  พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 และ ช่องเชื่อมต่อ USB / AUX
– ระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS
– เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 5 ที่นั่ง คู่หน้าและคู่หลังแบบผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติ
– ถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้างสำหรับคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
– ม่านถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสารทั้ง 4 ตำแหน่ง
– หมอนรองศีรษะ 5 ตำแหน่ง ปรับระดับได้
– มาตรวัดอุณหภูมิภายนอกตัวรถ
– ระบบ PRE-SAFE
– เครื่องปรับอากาศแบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ (THERMATIC)
– กระจกกรองแสงรอบคัน
– ระบบเตือนแรงดันลมยาง
– สีพิเศษแบบ Metallic
– เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง
– ระบบช่วยในการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อม PARKTRONIC
  (ถอยหลังเข้าจอดได้เอง
– ถุงลมนิรภัยด้านข้าง สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
– ม่านบังแดดด้านข้างประตู สำหรับผู้โดยสารด้านหลังซ้าย-ขวา
– ม่านบังแดดหลังปรับขึ้น-ลงด้วยระบบไฟฟ้า
– ระบบช่วยเตือนการขับรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping Assist
– แผ่นรองกันกระแทกใต้ห้องเครื่อง
– แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกเงา และไฟส่องสว่าง
– กระจกส่องหลังและกระจกข้างด้านคนขับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ

ส่วนอุปกรณ์ ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่น AMG Dynamic นั้น มีดังนี้
– กุญแจแบบ KEYLESS-GO พร้อมสวิชต์กดปุ่มติดเครื่องยนต์ แบบถอดออกได้
– กล้องแสดงภาพด้านหลัง ขณะถอยหลังเข้าจอด พร้อมเส้นกะระยะเลี้ยวตามพวงมาลัย
– ถุงลมนิรภัยบริเวณสะโพก
– หลังคา Panoramic Sun Roof  เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า
– ชุดเครื่องเสียง Harman/kardon LOGIC7 Surround (คุณภาพเสียง ใช้ได้ครับ)
– ด้านบนของคอนโซลหน้าและแผงประตู หุ้มด้วยหนัง ARTICO
– ระบบ เปิด-ปิด ฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติ ด้วยการแหย่ขาเข้าไปที่เซ็นเซอร์

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

E300 Diesel BlueTEC HYBRID จะใช้เครื่องยนต์รหัส OM 651 Diesel บล็อก 4 สูบ  
DOHC 16 วาล์ว  2,143 ซีซี ที่มาพร้อมกับ ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ แบบ
Direct Injection ผ่านราง Common-rail พ่วงกับระบบอัดอากาศ Turbocharger
พร้อม Intercooler

จริงอยู่ว่ามันเป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน กับเครื่องยนต์ของ C250 CDI BlueEFFICIENCY
นั่นเอง และให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) หรือ 150 กิโลวัตต์ ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิด
สูงสุด500 นิวตันเมตร (50.95 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที

แต่ความพิเศษของเครื่องยนต์บล็อกนี้คือ จะถูกเชื่อมต่อเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 120 โวลต์
กำลังสูงสุด 27 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร (25.48 กก.-ม.) ทำให้เครื่องยนต์
บล็อกนี้สามารถเค้นกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้น 231 แรงม้า (PS) หรือ 170 กิโลวัตต์ และมีแรงบิด
สูงสุดถึง 590 นิวตันเมตร (60.12 กก.-ม.) เลยทีเดียว!!

ถือเป็น รถยนต์ประกอบในประเทศที่ใช้เครื่องยนต์ Diesel เชื่อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แบบ
Hybrid รายแรกในเมืองไทย!

ตัวเลขจากทางโรงงานเคลมว่า E300 BlueTEC HYBRID AMG Dynamic สามารถทำอัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้เพียง 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 242 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เฉลี่ย ประหยัดถึง 23.81 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ต่ำมาก
เพียง 107-110 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งถือว่า เป็นตัวเลขที่ออกมาดีกว่า ECO Car 1.2 ลิตร ที่ผลิต
ขายกันในประเทศไทย ทุกรุ่นทุกคันในตอนนี้กันเลยละ!

เครื่องยนต์ลูกนี้ จะถ่ายทอดพละกำลัง สู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ
7G-TRONIC PLUS เจ้าเก่าที่ นักนิยมรถยนต์ตราดาวรุ่นใหม่ๆ น่าจะคุ้นเคยกันดีแล้ว โดยมี
อัตราทดเกียร์มาให้ดังนี้

เกียร์ 1…………………………..4.38
เกียร์ 2…………………………..2.86
เกียร์ 3…………………………..1.92
เกียร์ 4…………………………..1.37
เกียร์ 5…………………………..1.00
เกียร์ 6…………………………..0.82
เกียร์ 7…………………………..0.73
เกียร์ถอยหลัง 1 ………………..3.42
เกียร์ถอยหลัง 2 ………………..2.23
อัตราทดเฟืองท้าย………………2.47

คันเกียร์ของทุกรุ่น เป็นแบบก้านสวิชต์ DIRECT SELECT ติดตั้งอยู่บนฝั่งขวาของคอพวงมาลัย
และในรุ่น AMG Dynamic จะติดตั้งแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่ด้านหลังพวงมาลัย Paddle Shift มาให้
ทำงานร่วมกับ โปรแกรมสมองกลเกียร์ S M E ซึ่งมีสวิชต์เลือกอยู่ไกลจากมือคนขับไปหน่อย
คือไปอยู่ใกล้สวิชต์มือหมุน ของระบบจอ COMAND แทนที่จะอยู่แถวๆ พวงมาลัย

โปรแกรม E สำหรับการขับขี่แบบประหยัด โหมด S คันเร่งจะตอบสนองไวขึ้นเล็กน้อยและจะ
ลากรอบเครื่องยนต์ไปรอไว้ให้สูงๆ เผื่อเรียกอัตราเร่งออกมาได้ไวขึ้น ส่วนโหมด M มีไว้เพื่อ
ใช้งานแป้น Paddle Shift เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เองตามใจชอบ อันที่จริง ไม่ต้องกดปุ่ม M
ก็สามารถใช้งานแป้น Paddle Shift ได้เช่นกัน จากนั้น เกียร์จะตัดเข้าโหมด E ให้เอง

การทำงานของระบบ Hybrid ใน Mercedes-Benz ก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก ระบบ Hybrid ของ
รถยนต์ญี่ปุ่นที่คุณคุ้นเคยกันดี มากนัก เพียงแต่จะใช้เครื่องยนต์ Diesel Turbo เป็นต้นกำลัง
และมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันนิดนึง ดังนี้

– ติดเครื่องยนต์ (เหมือน Hybrid ทั่วไป)
  ถ้าแบ็ตเตอรีระบบขับเคลื่อน ไฟยังเหลือเยอะ แค่มีไฟขึ้น READY สีเขียว ก็ออกรถได้เลย
  เพราะถือเป็นการเปิดระบบขับเคลื่อน ในโหมด Motor ไฟฟ้า แต่ถ้า ไฟในแบ็ตเตอรี เหลือ
  น้อย เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาแทน

– แล่น (เหมือน Hybrid ทั่วไปในภาพรวม ต่างกันที่รายละเอียดนิดเดียว)

  ถ้าแล่นไม่เกิน 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง เช่น คลานไปตามการจราจรติดขัด หาที่จอดรถ หรือ
  ขับเข้า – ออกจากหมู่บ้าน และไฟในแบ็ตเตอรีระบบขับเคลื่อน เหลือพอ มอเตอร์ไฟฟ้า
  จะหมุนล้อขับเคลื่อนเอง เครื่องยนต์อยู่เงียบๆไปก่อน (ถ้าไฟในแบ็ตเตอรี เหลือน้อย
  เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาปั่นไฟส่งกลับแบ็ตเตอรีเอง)

  ถ้าแล่นเกิน 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้า หยุดทำงาน เครื่องยนต์จะรับช่วงต่อ
  ทั้งการส่งกำลังไปหมุนล้อรถ พร้อมับปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบ็ตเตอรีขับเคลื่อน   

– เร่ง (เหมือน Hybrid ทั่วไป)

   เครื่องยนต์ทำงานอยู่ มอเตอร์ จะเข้ามาเสริมพละกำลังหมุนล้อรถให้

– ไหล (แตกต่างจาก Hybrid ทั่วไป นิดหน่อย)

  ถ้าคุณใช้ความเร็ว ไม่เกิน 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วปล่อยคันเร่ง ให้รถไหล หรือแตะเบรก
  เบาๆ เครื่องยนต์ จะหยุดทำงาน รถจะแล่นต่อไปด้วยแรงเฉื่อย มอเตอร์ไฟฟ้า จะดึงเอา
  พลังงานจลย์ จากการชะลอรถ ไปปั่นมอเตอร์ ผลิตไฟฟ้า กลับไปเก็บในแบ็ตเตอรีของ
  ระบบขับเคลื่อน  

  ถ้า ความเร็ว ลดลงจนถึงระดับที่ มอเตอร์ สามารถรักษาความเร็ว จุดนั้นต่อไปได้ มอเตอร์
  จะเข้ามาช่วยหมุนล้อรถต่ออีกระยะ เครื่องยนต์ จะไม่ทำงาน และถ้าไฟในแบ็ตเตอรี ลด
  จนน้อยเกินไป เครื่องยนต์ จะติดขึ้นมาทำงานเอง (เหมือนรถยนต์ Hybrid ทั่วไป)

   แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับ รถยนต์ Hybrid ทั่วไป ก็คือ ถ้าในขณะกำลังไหล คุณเกิดไม่อยาก
  ให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบ็ตเตอรี ให้ตบแป้น Paddle Shift ฝั่งบวก
   แช่ไว้ นิดนึง ระบบจะยกเลิกการปั่นไฟไปเก็บในแบ็ตเตอรีขับเคลื่อนทันที

– เหยียบเบรก (เหมือน Hybrid ทั่วไป)

  มอเตอร์ จะดึงเอาแรงเบรกไปปั่นไฟ กลับไปเก็บในแบ็ตเตอรีระบบขับเคลื่อน

– หยุด (เหมือน Hybrid ทั่วไป)
 
   ถ้า ไฟในแบ็ตเตอรีขับเคลื่อนเหลือพอ จะเข้าสู่ Mode ECO Start/Stop เหยียบเบรกจนสุด
   ฟังก์ชัน HOLD หรือ เบรกมืออัตโนมัติ จะทำงาน คุณถอนเท้าจากแป้นเบรกได้ เมื่อมี
   สัญลักษณ์ HOLD ขึ้นมา เครื่องยนต์ ดับ แต่เครื่องปรับอากาศยังทำงานอยู่ แต่ถ้ายังเป็น
   รูปเครื่องหมายจอดรถ (P พื้นน้ำเงิน) อย่าถอนเท้าจากแป้นเบรก เพราะรถจะไหลต่อได้

   ถ้าไฟในแบ็ตเตอรีขับเคลื่อน เหลือน้อย เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาทำงานปั่นไฟต่อเอง

แล้วสมรรถนะละ เป็นอย่างไร?

ผมลองจับเวลาอัตราเร่ง แบบไม่เป็นทางการ ในสภาพการทดลองที่ ไม่เหมือนกับการจับเวลา
ตามมาตรฐานขจอง Headlightmag.com แต่อย่างใด  นั่นคือ มีผู้โดยสารนั่ง 2 คน แต่น้ำหนัก
รวมแล้ว เท่ากับ 3 คน (ผมกับ พี่เจ เดลินิวส์) อากาศ เป็นช่วงกลางวัน 32 องศาเซลเซียส
น้ำมันเชื้อเพลิงที่เติมมา ผมไม่ทราบว่าเป็นน้ำมันอะไร แต่ที่แน่ๆคือ เราจับเวลากันใน
โหมด E อันเป็นการขับขี่แบบปกติ จับเวลาเพียงครั้งเดียว ทั้ง 2 รายการ ส่วนตัวเลขใน
โหมด S นั้น ลองกดนาฬิกามาให้ เห็นคร่าวๆ ว่า เท่าๆกัน ไม่หนีกัน จึงไม่ได้บันทึกไว้

อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร /ชั่วโมง ทำได้ 8.66 วินาที อัตราเร่ง 80 –  120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทำได้ 6.94 วินาที ความเร็วสูงสุด เกินกว่า 210 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป (ตัวเลขจากโรงงาน
เคลมไว้ที่ 242 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

บอกได้เลยว่า เรี่ยวแรงที่ขุมพลังพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าของรถคันนี้ มีมาให้นั้น เยอะแยะ
มากมาย ชนิดที่ต้องใช้คำว่า “เหลือเฟือ” เพราะในทุกจังหวะที่เร่งแซง ไม่ว่าจะอยู่ในช่วง
ความเร็วเท่าใด ถ้ากดคันเร่งลงไปจนจมมิด ครึ่งหนึ่ง หรือแม้แต่เติมคันเร่งลงไปนิดหน่อย
เครื่องยนต์ OM671 Diesel 2.2 ลิตร Turbo พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า จะช่วยกันทำงานอย่าง
ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ช่วงที่ไต่ความเร็วขึ้นไปจากจุดหยุดนิ่ง จนถึง 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทำได้เร็วมาก เกินกว่าที่คาดคิด อัตราเร่งที่มีมาให้ มากถึงขั้นสะใจพระเดชพระคุณแน่นอน

ส่วนการตอบสนองของเกียร์อัตโนมัติ 7G Tronic นั้น ฉลาด ไม่โง่ เลือกเปลี่ยนเกียร์ ได้
ตามความต้องการของคนขับ พอใช้ได้ แม้ว่าบางที อาจต้องคิดนานไปหน่อย ในการเปลี่ยน
เกียร์ลงต่ำ จากเกียร์ 7 ไป 5 หรือ ลงต่ำเป็นเกียร์ 4 และ 3

แต่สิ่งที่ทำให้การดึงพละกำลังมหาศาล ออกมาใช้งานนั้น ยังทำได้ไม่เต็มที่ เหลืออยู่แค่
การเซ็ตคันเร่ง ให้ตอบสนอง “ช้ามาก” จนน่าเสียดาย

จริงอยู่ว่า ในโหมดโปรแกรมเกียร์ E นั้น วิศวกร ตั้งใจเซ็ตคันเร่งมาให้ เน้นความประหยัด
ดังนั้น ลิ้นปีกผีเสื้อจะต้องเปิดทำงานช้ากว่าปกติสักหน่อย เพื่อหรี่ลิ้นคันเร่ง ให้ส่วนผสม
ไอดี ไหลเข้าห้องเผาไหม้ ได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังต้องเซ็ตคันเร่ง เผื่อไว้ให้เน้นการ
ทำงานอย่างนุ่มนวล เพื่อลดอาการกระตุก กระชากของเกียร์ ขณะขับขี่ กระนั้น คันเร่ง
ก็ยังทำงานล่าช้าหลังการเหยียบลงไป ไม่ว่าจะเหยียบจมมิดติดพื้นรถ หรือเติมลงไป
แค่ครึ่งคันเร่งก็ตาม นานถึง 1 – 1.5 วินาที กันเลยทีเดียว ผมว่า ช้าเกินไป สำหรับการ
ใช้งานของคนส่วนใหญ่ มันไม่ควรช้าเกิน 0.5 วินาที ด้วยซ้ำ

แต่พอเป็นโหมด S นั้น ถ้าคุณคิดว่า จะได้เจอการทำงานอย่างฉับไว จากคันเร่ง ในแบบที่
C-Class Coupe กับ A-Class ใหม่ (A250) เขาทำให้คุณได้งั้น ผมคงต้องบอกว่า
เสียใจด้วยครับ มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น คันเร่งในโหมด S จะไวขึ้น แต่ยังคงทำงานยืดยาด 
ใช้เวลา ราวๆ 0.5 วินาที หลังเริ่มเหยียบคันเร่ง ขณะที่ โหมด M ให้ผู้ขับขี่ เลือกเปลี่ยน
ตำแหน่งเกียร์ได้เอง แม้จะทันใจกว่าเยอะ แต่ก็ยังมีจังหวะ Lag อยู่นิดนึงมาให้สัมผัสอยู่ดี

ในบางช่วงของการเร่งแซง บนถนนเพชรเกษม บอกเลยว่า ในสถานการณ์ ซึ่งผมมั่นใจ
ว่าจะผ่านพ้นไปด้วยดี กลับต้องมาเสียจังหวะ เพราะต้องรอให้เกียร์ เปลี่ยนลงมาจาก
7 เป็น เกียร์ 4 ทุกอย่าง จึง Lag ไปหมด ตอบสนองได้ไม่ฉับไว ไม่ทันใจ ไม่ทันเท้า
ทั้งที่เรี่ยวแรงก็มีมากมายอยู่ แถมยังพร้อมจะออกมาช่วยงานคุณ เร่งแซงได้อย่าง
รวดเร็ว ชนิดที่มองรถคันข้างหลัง เหลือไว้่เพียงแค่ เศษธุลีในกระจกมองหลัง

ดังนั้น เหลือแค่การเซ็ตคันเร่ง ให้ไวกว่านี้ ตอบโจทย์ลูกค้าที่บางวัน อาจต้องใช้
ชีวิตที่เร่งรีบ ก็จะทำให้ E300 Diesel Bluetec HYBRID คันนี้ สมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีก
จากในปัจจุบันที่ต้องถือว่า ลงตัวมากอยู่แล้ว

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ มัลติลิงค์พร้อมคอยล์สปริง ช็อกอัพแบบ Twin-tube gas
pressure ส่วนด้านหลังเป็นแบบ มัลติลิงค์พร้อม คอยล์สปริงและช็อกอัพแบบ Single-tube
gas pressure ซึ่งปกติจะเน้นความนุ่มนวล สำหรับการขับขี่ทางไกลเป็นหลัก แต่ในรุ่น
AMG Dynamic เมื่อต้องทำงานร่วมกับ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ก็จะเพิ่มบุคลิกสปอร์ต
ให้กับตัวรถขึ้นอีกเล็กน้อย เวลาขับผ่านรอยต่อ หรือพื้นผิวถนนไม่เรียบต่างๆ จะสัมผัส
อาการตึงตัง เพิ่มขึ้นจาก E-Class รุ่นก่อนๆ นิดหน่อย แต่ยังถือว่า อยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้
เพราะช่วงล่างยังคงพยายามซับแรงสะเทือน และพยายามทำตัวให้นุ่มนวลเข้าไว้

สิ่งที่น่าสังเกตคือ E-Class W212 รุ่นก่อน จะมีอาการหน้าลอยขึ้นนิดๆ เมื่อใช้ความเร็ว
เกินกว่า 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป แต่ในรถรุ่นใหม่นี้ อาการดังกล่าว จะเริ่มพบเจอ
เมื่อผ่านพ้นช่วง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป หมายความว่า การออกแบบชิ้นส่วนตัวถัง
บริเวณด้านหน้าของรถ มีส่วนช่วยเพิ่มแรงกดที่ด้านหน้า ขณะใช้ความเร็วสูงได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ช่วงล่างของ E300 Diesel Bluetec Hybrid AMG Dynamic จะมี
บุคลิกขับสนก มากขึ้นกว่า บรรดา E-Class คันอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมา กระนั้น มันยังคง
ตอบสนองให้ผู้ขับ รับรู้ได้ทุกเนินคลื่น บนพื้นถนน เหมือนเดิม

ยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับ ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยแบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์
ผ่อนแรง แบบไฟฟ้า มีระบบปรับน้ำหนักได้เองตามความเร็วของรถมาให้ ยิ่งพบว่า ตัวรถ
บังคับควบคุมได้ดีขึ้น สนุกขึ้น มีชีวิตชีวา และมีความแม่นยำ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้น
แม่นยำมากเท่ากับ C-Class Coupe หรือ A-Class ใหม่

ที่สำคัญก็คือ ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่า การลดขนาดพวงมาลัยให้เส้นรอบวงมีขนาดเล็กลง
จากพวงมาลัยแบบ 4 ก้าน ในรถรุ่นเดิมนั้นจะช่วยให้คุณบังคับเลี้ยวไปตามต้องการได้
ง่ายขึ้น น้ำหนักของพวงมาลัยยังคงเบา แต่ด้วยล้ออัลลอยที่มีขนาด 18 นิ้ว จะทำคุณ
รู้สึกว่าพวงมาลัยจะหนืดขึ้นว่าเดิมนิดนึง

ระบบห้ามล้อทั้ง 4 รุ่น จะเป็นดิสก์เบรค 4 ล้อ แต่จะมีครีบระบายความร้อนมาให้ใน
ดิสก์เบรคคู่หน้า พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti Lock Braking Sysgtem)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronics Brake Force Distribution) ระบบ
ป้องกันล้อหมุนฟรี ASR (Anti Skid) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน BAS
(Brake Assist) และระบบ ADAPTIVE BRAKE ทั้งหมดนี้ รวมอยู่ในโปรแกรม
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ ESP (Electronic Stability Program)

ระบบเบรคยังคงตอบสนองได้ดี ไม่ว่าคุณต้องการจะหน่วงความเร็วของรถ ลงมา
จากระดับความเร็ว 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง อย่างกระทันหัน หรือเพียงแค่แตะเบรค
เบาๆเพื่อให้รถเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆตามสภาพการจราจรที่ติดขัด แป้นเบรคอาจ
มีน้ำหนักเบากว่า E -Class W212 รุ่นก่อนปรับโฉม ดังนั้นการเหยียบครั้งแรกจึง
อาจไม่คุ้นชินเท้า แต่เมื่อขับไปซักพัก คุณจะพบว่าแป้นตอบสนองได้ Linear
และแม่นยำตามน้ำหนักเท่าที่เหยียบลงไป

อีกทั้งต่อให้มีเหตุจำเป็นต้องเบรคกระทันหัน จากช่วงความเร็วสูง รถยังสามารถ
หน่วงความเร็วลงมาได้อย่างต่อเนื่องจนรถหยุดนิ่่ง โดยที่ ไม่มีอาการปัดเป๋ใดๆ
ทั้งสิ้น ภาพรวมแล้ว ถืือว่า ระบบห้ามล้อ ยังคง มั่นใจได้เช่นเคยตามสไตล์ของ  
Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ในระยะหลังๆมานี้อยู่ดี

ส่วนประเด็นอัตราสิ้นเปลืองนั้น แม้ผมจะไม่มีโอกาสทดลองอย่างจริงจังนัก
แต่ในเมื่อ ทาง Mercedes-Benz Thailand เติมน้ำมันมาให้เต็มถังอยู่ก่อนแล้ว
จึงใช้วิธีดูจากมาตรวัด บนแผงหน้าปัด เซ็ท 0 บน Trip Meter กันตั้งแต่ออกรถ
จากชั้น 8 อาคารรัจนากร วิ่งขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปทางถนนพระราม 2 ตัดเข้า
ถนนเพชรเกษม มีการแวะพักรถทั้งหมด 3 ครั้ง (รวมถึงช่วงถ่ายรูปบนถนน
Southern Seaboard) จากนั้นขับมายังที่พักของเราในค่ำคืนนี้ นั่นคือโรงแรม
Sofitel โภคีธรา กระบี่ ช่วงอ่าวทับแขก

ความเร็วที่ใช้ในการเดินทาง มีตั้งแต่ 80 – 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยส่วนใหญ่
จะป้วนเปี้ยนอยู่ที่ 140 -160 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ระยะทางบน Trip Meter ทั้งหมด 797.8 กิโลเมตร ยังเหลือน้ำมันอีก 1/4 ของถัง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยบนมาตรวัด อยู่ที่ 7.1 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือเฉลี่ย
14.08 กิโลเมตร/ลิตร และขอย้ำว่า

คิดดูแล้วกันว่าขนาดขับเร็วเพื่อทำเวลาให้ถึงโรงแรม ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน รวม
ช่วงที่เสียเวลาจากทั้งการถ่ายรูปรถ และจากการเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ บนถนน
ทางเข้าโรงแรมที่อยู่ในระหว่างการปรับปรุง เรายังมาถึงโรงแรมในเวลา 17:30 น.
แถมยังมาถึงโรงแรมเหป็นคันแรกก่อนเจ้าหน้าที่ของ Mercedes Benz Thailand
เสียอีก

นี่ถ้าผมลองขับช้ากว่านี้ดูล่ะ? คิดเอาเองแล้วกันนะครับว่าจะประหยัดได้มากกว่านี้
ได้อีกเท่าไหร่

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
แรงไม่เบา ประหยัดไม่ธรรมดา แต่ขอคันเร่งที่ตอบสนองทันใจกว่านี้หน่อยเถอะ!

ผมยังจำได้ว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2007 ผมเคย มีโอกาส ได้ตั้งคำถาม พูดคุย กับประธาน
บริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่น แห่งหนึง ในตอนนั้น ว่า เป็นไปได้ไหมที่พวกเขา จะพัฒนา
ขุมพลัง แบบ Diesel Turbo Hybrid

ชายคนนั้น บอกผ่านสุภาพสตรีผู้เป็นล่าม ภาษาอังกฤษ ในตอนนั้นว่า “คุณเข้าใจผิด
แล้วละ ขุมพลัง Diesel Hybrid นั้น ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ดีนัก ในการประหยัดน้ำมัน”

วันนี้ ผมอยากจะบอก อดีตประธานของบริษัทรถยนต์ รายนั้นเหลือเกินว่า

“คุณนั่นแหละ ที่โคตรจะคิดผิดอย่างใหญ่หลวงเลยละ!”

E300 Diesel Bluetec Hybrid ได้พิสูจน์ให้เราเห็นกันแล้วว่า มันไม่ใช่เพียงแค่การ
รวมความต้องการของผู้บริโภค ทั้งความแรง และความประหยัด ให้มาอยู่ร่วมกันได้
ในรถยนต์คันเดียว หากแต่สมรรถนะของมัน ก็ยังน่าประทับใจอีกด้วย

ถ้าอยากได้ความแรง ทั้งช่วงออกตัว หรือช่วงเร่งแซง เครืองยนต์ Diesel Turbo
OM671 ยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี แถมการมีมอเตอร์ไฟฟ้า มาช่วยในการ
เร่งออกตัว หรือเร่งแซง ยังช่วยลดข้อเสียเปรียบ อันเกิดจากอาการ Turbo Lag
หรือ รอรอบ ให้ลดน้อยถอยลงไปด้วยอีกต่างหาก เมื่อไม่จำเป็นต้องทำงาน
เครื่องยนต์ ก็ดับลงไป

ผลก็คือ คุณยังไปถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ว เผลอๆ อาจจะเร็วกว่าเดิม แต่ใช้น้ำมัน
น้อยลงกว่าที่คุณเคยใช้ ชัดเจน! นี่ไม่นับว่า ยังปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดดออกไซด์
สู่โลก น้อยกว่ารถยนต์ ECO Car 1.2 ลิตร ที่คุณคุ้นเคยในทุกวันนี้เสียอีกด้วยซ้ำ!

ผมดีใจนะ ที่ในที่สุด Mercedes-Benz Thailand นำเทคโนโลยีนี้มาให้คนไทย
ได้สัมผัสกัน “ในรูปแบบของรถยนต์ ประกอบในประเทศ จากชิ้นส่วนนำเข้า”
ซึ่งทำให้ค่าตัวถูกลงมาจากเดิม ถึงคันละ 400,000 บาท (ในรุ่น AMG Dynamic)

แต่ผมจะดีใจยิ่งกว่านี้ ถ้า วิศวกรชาวเยอรมัน สามารถ แก้ไขจุดด้อยสำคัญ ที่ทำให้
ผู้ขับขี่อย่างผม ดึงศักยภาพมหาศาลของรถออกมาใช้ ไม่ค่อยจะทันเวลาเท่าไหร่

นั่นคือ อาการคันเร่งตอบสนองช้า และหน่วงจนเกินไป เข้าใจดีละครับว่าอยากจะ
Save ไม่ให้เกียร์พังเร็ว อีกทั้งต้องการลดอาการกระชาก เพื่อให้การเปลี่ยนเกียร์
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อไม่ให้ลูกค้ากลุ่มผู้ใหญ่ อันเป็นกลุ่มหลักที่
อุดหนุนค่ำจุน E-Class มาตลอด หลายสิบปี ก่นด่านินทาได้

แต่อย่างน้อย คันเร่งควรจะทำงานเร็วกว่านี้สัก 0.5 วินาที ในโหมด E และควรจะ
ทำงานในทันทีที่เริ่มเหยียบคันเร่ง ในโหมด S เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่ผู้ขับขี่
บอกกับรถยนต์ว่า เฮ้ย ข้าต้องการพละกำลังอันมากมายราวกับน้ำตกไนแองการา
ของเอ็ง ในตอนนี้ และเดี๋ยวนี้! ไม่ได้เรียกใช้ตอนนี้ แล้วต้องรออีกตั้ง 2-3 วินาที
กว่าจะตอบสนองให้ สำหรับเมืองไทย ช้าขนาดนี้ ถ้าคนขับตัดสินใจไม่ดี โอกาส
จะแซงรถพ่วงบนถนนสวนกันสองเลนในต่างจังหวัดไม่ทัน ก็มีเหมือนกันนะ

นอกจากนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องของ การจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ในการขับขี่ อย่างที่เคย
เขียนไปในบทความรีวิว Mercedes-Benz ระยะหลังๆมานี้ แทบทุกรุ่น นั่นคือเรื่อง
ก้านสวิชต์ไฟเลี้ยว กับก้านสวิชต์ ระบบควบคุมความเร็ว Cruise Control และระบบ
ล็อกความเร็ว Speed Limit อยู่ใกล้กันเกินไป มีบ้างเหมือนกันที่ผม หรือแม้แต่
ตาพน Commander CHENG ยังยกก้านสวิชต์ผิดอัน หรือ สวิชต์ โปรแกรมเกียร์
S M E ที่อยู่ไกลห่างเกินไป จนต้องละสายตามาควานหา ก่อนกดใช้งาน ซึ่ง
ไม่สะดวกเอาเสียเลย

ที่เหลือ ผมจะปล่อยให้ E-Class มีบุคลิกในแบบของมันอย่างนี้แหละ คงไม่ต้องเปลี่ยน
เพราะดูท่าทาง ชาวเยอรมัน ที่ Daimler AG ก็คงไม่อยากจะเปลี่ยนบุคลิกของ ชายกลาง
รุ่นขายดีที่สุดของตน ในตอนนี้ แน่ๆ

ส่วนตัวเลขสมรรถนะ อัตราเร่งต่างๆ จะเป็นอย่างไร ตัวเลขความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
จะดีเทียบเท่า หรือใกล้เคียงตัวเลขจากโรงงานแจ้งมาให้เราทราบกันหรือไม่ คงต้องรออ่าน
ในบทความ Full Review กันเช่นเคย….

แต่จะมีโอกาสได้อ่านกันหรือไม่..ยังไม่ทราบจริงๆ….

ที่แน่ๆ เวลาที่เราได้ทดลองขับ แม้จะยาวทั้งวัน แต่มันไม่เอื้ออำนวยให้เราถ่ายทำคลิปใดๆ
ในรูปแบบที่เราเคยทำกันมา จะไหว้วานพี่ เจ จาก เดลินิวส์ ให้ช่วยถือกล้องถ่ายทำให้ ก็คง
ไม่ใช่เรื่อง แถมอาจโดนด่ากลับได้ ดังนั้น ผมจึงไม่ได้ถ่ายทำคลิป หรือ วัดตัวเลขความ
ประหยัดน้ำมัน แบบปกติตามมาตรฐานของเรา มาให้ทั้งสิ้น

ฉะนั้น ถ้าอ่านรีวิวนี้จบแล้ว ยังมีใครมาถามผมซ้ำ ทั้งที่ผมเขียนระบุไว้ชัดเจนอย่างนี้

ขอให้ สอบตกวิชาหลัก แฟนทิ้ง โปรเจกต์ไม่ผ่าน เจ้านายเขม่น หรือ เพื่อนยืมเงินแล้วไม่คืน!

———————–///———————–

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้
————————————————————-

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ เป็นของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
5 พฤศจิกายน 2013

J!MMY
Copyright (c) 2013
Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
November 5th,2013

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE