ในโลกของรถยนต์ บางสิ่งที่อาจดูไร้สาระเมื่อมองแบบผิวเผิน แท้จริงแล้วอาจมีเหตุผลเบื้องลึกที่เข้าท่าแฝงอยู่ ขึ้นอยู่แต่เพียงว่าผู้รับสารจะยอมให้เวลากับการเข้าใจสิ่งต่างๆอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่

เมื่อ 15 พฤษภาคม 2020 ที่ผ่านมา  Nissan ประเทศไทยเปิดตัว Nissan Kicks ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่เราได้รถ Nissan ขุมพลัง e-POWER มาใช้นั้น มีกระแสต่างๆนานาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรกคือ ตกลงมันเป็น EV หรือเป็น Series Hybrid กันแน่..ซึ่งเรื่องนี้แค่ผมเขียนว่าผมมองมันเป็น Series Hybrid ก็มีคนเอาไปด่าแบบไม่ระบุชื่อเยอะแยะแล้วครับ ทั้งๆที่ตอนเขียนบทความอธิบายนั้นก็อุตส่าห์บอกเผื่อที่ไว้ให้แล้วว่า ถ้าคุณจะมองมันเป็น EV ก็มองไปเถอะ เพราะเครื่องยนต์สันดาปภายในของ Kicks นั้นไม่มีการส่งกำลังไปที่ล้อเลยแม้แต่น้อย

ผมทราบครับว่าระบบขับเคลื่อนมันเป็น EV 100% แต่ถ้าเราตัดเครื่องยนต์ออกไป รถคันนี้จะวิ่งได้ไม่ถึง 10 กิโลเมตรด้วยพลังแบตเตอรี่ของมัน ดีกรีของความที่ต้องพึ่งพาเครื่องยนต์ทำให้ผมยังไม่ชอบที่จะเรียกว่า EV 100% แล้วถ้าลูกค้าซื้อไปแล้วพบว่าเครื่องยนต์มันก็ติดๆดับๆ มีเสียงคราง มีเสียงเร่งรอบ ถ้าคุณเอาคนที่ไม่รู้เรื่องเทคนิค ไม่ใช่คนบ้ารถมาลองขับ ความรู้สึกที่ได้เหมือนรถไฮบริดทุกอย่างยกเว้นเรื่องคันเร่งแบบ One-Pedal ล่ะ?

ผมเป็นคนขับมาเล่าครับ มันคือสิทธิและความคิดของผมที่จะพูดส่วนที่มันดี แต่ชี้จุดที่ผมไม่เห็นด้วย และผมไม่เห็นด้วยกับการที่จะชูแต่คำว่า EV 100% โดยที่ไม่บอกคนอ่านว่าจริงๆแล้วมันทำงานแบบไหน เป็นอย่างไร ถ้าเข้าใจแล้ว และยังอยากจะให้ผมเรียกว่า EV ต่อ ผมก็จะเรียกว่า EV แบตแคระ แต่จะไม่มีวันเรียกว่า EV 100% จนผู้บริโภคคาดหวังอะไรผิดๆ นี่คือจุดยืนของผม

ระหว่างที่คุณบางคนยังยึดติดกับ EV หรือไม่ EV ผมก็จะพาคนอ่านคนอื่นไปเข้าเรื่องที่สองคือ “ทำไมต้อง e-POWER”

คำถามกลับง่ายๆคือ ถ้าทำเป็นไฟฟ้าล้วน 100% แต่ราคาเพิ่มอีก 200,000 บาทจากรุ่น e-POWER มีกี่คนครับที่คิดว่ามันจะขายได้จริง?

ในรถยนต์สันดาปภายใน เครื่องยนต์คือส่วนที่แพงสุดฉันใด ใน EV ส่วนที่แพงอันดับต้นๆก็คือแบตเตอรี่เนี่ยล่ะครับท่านผู้ชม พอแบตเตอรี่แพง ถ้า Kicks นี่เป็นรถไฟฟ้าล้วนเหมือน LEAF คุณคิดว่ามันจะราคาถูกกว่า LEAF เยอะเหรอครับ…ต่อให้เผื่อเรื่องประกอบในประเทศด้วย

Nissan เลยบอกว่า เอางี้สิ เราก็ทำ EV แนวใหม่ มาป้อนกลุ่มตลาดที่กลัวหาสถานีชาร์จไฟไม่ได้ กลัวราคารถมันจะแพง

แล้วเขาก็เอามอเตอร์ของ LEAF มา เปลี่ยนแบตให้มีความจุไฟน้อยลง 10-15 เท่า ใส่ถังน้ำมันเข้าไป วางเครื่องยนต์ลงไป เครื่องยนต์ดูดปิโตรเลียมมาแล้วหมุนเพื่อปั่นไฟ ผลที่ได้ก็คือรถที่มีรายละเอียดเชิงลึกค่อนไปทางรถ EV และมีพฤติกรรมการขับขี่แบบรถ EV แต่แทนที่คุณจะชาร์จไฟ คุณก็เติมน้ำมันแทน แต่ทั้งนี้ คุณลงเอยด้วยการปล่อยไอเสีย เช่นเดียวกับรถไฮบริด และมีเสียงเครื่องยนต์ ติด ดับ และเร่ง เช่นเดียวกับไฮบริด

เอ้า ก็ถ้าจะทำให้ราคามันถูก และคนซื้อใช้แล้วไม่กลัว แล้วยังได้พฤติกรรมการขับที่ใกล้เคียงรถไฟฟ้าที่สุด..มันก็เหลือแต่การทำรถไฟฟ้าดูดน้ำมันอย่าง Kicks e-POWER เนี่ยล่ะครับ ผมมองว่า Nissan ไม่ผิดที่เลือกทางนี้ เพราะมันจะได้ทำหน้าที่เป็นทูตในการปรับความชินของคนในยุคนี้ ให้พร้อมต่อโลกยานยนต์ในวันหน้า ที่คุณจะมีรถยนต์ไฟฟ้า..ที่คุณจะมีการขับขี่แบบใช้แป้นเดียวได้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนในประเทศอื่นที่สาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าพร้อมสรรพอยู่แล้ว ก็ขาย LEAF ไปเก๋ๆ

สำหรับเรื่องราวความเป็นมาของ Nissan Kicks จะเขียนให้ฟังกันตรงนี้แบบย่อๆ

Nissan Kicks เป็นรถยนต์ Sub-Compact Crossover ที่เปิดตัวสู่สายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ในฐานะรถยนต์ต้นแบบ Nissan Kicks Concept เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ปี 2014 ที่งาน São Paulo International Motor Show  ด้วยการใช้ Design Language ใหม่ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าที่อยากได้รถที่มีรูปโฉมฉีกออกจากกรอบเดิมๆ ของค่ายรถญี่ปุ่นในยุคนั้น โดยที่ดีไซน์ของ Kicks เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง ศูนย์ออกแบบ Nissan Design America (NDA) ตั้งอยู่ที่เมือง San Diego ต้นกำเนิดของรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และสำนักงานใหญ่ Nissan Global Design Center (NGDC) ในนครอัตสึงิ (Atsugi) จังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น

ความโดดเด่นของรถยนต์ต้นแบบ Nissan Kicks Concept อยู่ที่ ชุดไฟหน้า – ไฟท้าย ทรงบูมเมอแรง หลังคาแบบลอยตัว หรือ Floating Roof สีส้ม และกระจังหน้า V-Motion ทั้งหมดนี้ ได้แรงบันดาลใจจาก โทนสี Grey Scale ของเหล่าบรรดารถยนต์ทั้งหลายที่โลดแล่นอยู่บนถนนในเมือง São Paulo และแสงจากธรรมชาติอันสดใสตามแนวขอบฟ้า Horizon Line ในกรุง Rio de Janero ตามคำล่าวของ Robert Bauer ผู้ดำรงตำแหน่ง Chief Designer ประจำ Rio Studio

นอกจากนี้ Taro Ueda ซึ่งเป็นรองประธานของ Nissan Design America ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “แรงบันดาลใจที่เกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่ารถรุ่นนี้จะถูกสร้างขึ้นเพื่อเอาใจลูกค้าตลาดประเทศบราซิลเป็นหลัก หากแต่เป็นการนำแนวคิดมาประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงงานออกแบบของรถยนต์ Nissan ในระดับโลก รุ่นใหม่ๆ ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น”

หลังจากที่เผยโฉมรถยนต์ต้นแบบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว Nissan Kicks เวอร์ชันผลิตขายจริง ก็ถูกนำไปโปรโมทเคียงบ่าเคียงไหล่กับ Nissan March Rio 2016 Edition ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกฤดูร้อน ประจำปี 2016 (RIO 2016) ณ กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2016 ก่อนจะเริ่มออกขายจริง ในอีก 3 เดือนต่อมา เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2016 หลังจากนั้นจึงทยอยเปิดตัวในกลุ่มประเทศละตินอเมริกาในช่วงปลายปี

ต่อมา ในเดือนกรกฎาคม 2017 Nissan Kicks ถูกส่งไปทำตลาดในประเทศจีน แทนที่ Livina C-Gear และ Juke ในขณะที่ตลาดอเมริกาเหนือนั้น กำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2017 ที่งาน Los Angeles Auto Show แต่กว่าจะเริ่มขายจริง ก็ปาเข้าไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2018 ทดแทน Juke และ Versa Note ที่ยุติการทำตลาดสำหรับภูมิภาคนั้นไป

สำหรับประเทศอินเดีย Nissan ตัดสินใจนำ Kicks เข้าไปทำตลาดแทนที่ Terrano (ซึ่งที่นั่น Terrano จะเป็นรถเล็ก ไม่ใช่รถคันโตพื้นฐาน Big M อย่างประเทศอื่น) โดยเปิดตัวระลอกแรก เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2018 ก่อนจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ ในวันที่ 22 มกราคม 2019 ซึ่งความพิเศษของ Nissan Kicks เวอร์ชันอินเดีย อยู่ที่การพัฒนาตัวรถขึ้นบนพื้นฐานตัวถัง Renault-Nissan B0 Platform ร่วมกับ Dacia Duster เพื่อลดต้นทุนด้านการผลิต ส่งผลให้มีมีติตัวถังใหญ่โตกว่าเวอร์ชันตลาดโลก ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานตัวถัง Nissan V-Platform อีกทั้งยังถูกปรับดีไซน์รอบคันเล็กน้อย เพื่อให้เกิดความแตกต่างอีกด้วย

จนในที่สุด Nissan Kicks ก็ได้เวลาฤกษ์งามยามดี สำหรับการเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดกลุ่ม Sub-Compact Crossover ในบ้านเรากันเสียที ซึ่งคู่แข่งในปัจจุบันของรถยนต์กลุ่มนี้ก็มีทั้ง Honda HR-V, Toyota C-HR, Mazda CX-30 และ MG ZS โดย Nissan Motors (ประเทศไทย) ได้เผยแพร่ข้อมูลทางออนไลน์ เพื่อให้ได้ทราบโดยทั่วกัน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2020 ก่อนจะจัดอีเว้นท์สำหรับให้สื่อมวลชนได้สัมผัสรถคันจริงกันที่ Center Point Studio ย่านบางนา ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 อย่างเข้มงวด ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2020

ไฮไลต์ของ Nissan Kicks เวอร์ชันล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ ในบ้านเรานั้น นอกจากจะเป็นรุ่นปรับโฉม Minorchange ที่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ ทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร ให้มีความสดใหม่ขึ้นแล้ว ยังเป็นรถยนต์ Nissan ประกอบในประเทศไทยรุ่นแรก ที่ติดตั้งขุมพลัง e-POWER  และสิ่งที่น่าภูมิใจอีกอย่างคือ นอกเหนือจากบ้านแม่มันที่ญี่ปุ่นแล้ว ก็มีที่เมืองไทยเท่านั้นที่เจ๋งพอจนได้รับอนุญาตจากญี่ปุ่นให้ประกอบรถขุมพลัง e-POWER ขาย คุณก็ทราบดีว่าญี่ปุ่นนั้นเขี้ยวใหญ่ขนาดไหน ถ้าฝีมือการผลิตและโอกาสในการขายไม่ดีจริง เขาไม่อนุญาตให้ทำหรอกครับ

 Nissan Kicks e-POWER เวอร์ชันไทย มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ตามนี้

* ราคาเฉพาะช่วงเปิดตัว ตั้งแต่ 15 พ.ค. – 31 ส.ค. 2563

เสียภาษีสรรพสามิตในประเทศไทย อยู่ที่ 4% จัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์ Hybrid (รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน แบบผสม หรือใช้เชื้อเพลิงและไฟฟ้า ความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี) โดยเหตุผลที่ทางกระทรวงอุตสาหกรรมจัดเป็นรถไฮบริด เพราะยังมีการปล่อยไอเสียอยู่ CO2 บนท้องถนนมากกว่ารถ EV ไร้เครื่องยนต์..นี่ก็น่าคิดเหมือนกัน ถ้าสมมติวันนึง Nissan มี LEAF รุ่นที่ติดตั้งเครื่องยนต์ปั่นไฟ เรตสรรพสามิตจะเป็นอย่างไร

Nissan Kicks e-POWER มีมิติตัวถังภายนอกยาว 4,290 มิลลิเมตร กว้าง 1,760 มิลลิเมตร สูง 1,615 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,615 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,520 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,535 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ Ground Clearance 175 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 41 ลิตร

เมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่ม Sub-Compact Crossover ที่เพิ่งเปิดตัวไป อย่าง Mazda CX-30 ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอกยาว 4,396 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร สูง 1,540 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,655 มิลลิเมตร จะพบว่า Kicks e-POWER สั้นกว่า CX-30 ถึง 106 มิลลิเมตร แคบกว่า 35 มิลลิเมตร แต่สูงกว่า 75 มิลลิเมตร  และมีระยะฐานล้อสั้นกว่า 40 มิลลิเมตร

หากเปรียบเทียบกับ Toyota C-HR ทั้งรุ่นเบนซิน และ Hybrid ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอกยาว 4,360 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร สูง 1,565 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,640 มิลลิเมตร ก็จะพบว่า Kicks e-POWER สั้นกว่า C-HR 70 มิลลิเมตร แคบกว่า 35 มิลลิเมตร สูงกว่า 50 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อสั้นกว่า 25 มิลลิเมตร

เมื่อเปรียบเทียบกับ Honda HR-V Minorchange ซึ่งมีมิติตัวถังภายนอกยาว 4,294 มิลลิเมตร กว้าง 1,772 มิลลิเมตร สูง 1,605 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,610 มิลลิเมตร ก็จะพบว่า Kicks e-POWER สั้นกว่าเล็กน้อยเพียง 4 มิลลิเมตร แคบกว่า 12 มิลลิเมตร สูงกว่า 10 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า 5 มิลลิเมตร

พูดง่ายๆคือ Kicks มีขนาดตัวใกล้เคียงกับรถอย่าง HR-V มากที่สุด

น้ำหนักตัวรถเปล่า ตามที่ Nissan ระบุเอาไว้ในโบรชัวร์ มีดังนี้

– Kicks e-POWER รุ่น S และ E มีน้ำหนัก 1,340 กิโลกรัม

– Kicks e-POWER V น้ำหนัก 1,346 กิโลกรัม

– Kicks e-POWER VL น้ำหนัก 1,350 กิโลกรัม

ถามว่าหนักหรือเบากันแน่? ก็ต้องเทียบกับรถถ่านด้วยกันนี่ล่ะ ยก C-HR Hybrid มาเทียบเลย ขานั้น เขามีน้ำหนักตัวปาเข้าไปถึง 1,455 กิโลกรัม หนักกว่า Kicks ถึง 105 กิโลกรัมเลยทีเดียว

ในเมื่อ Nissan Kicks e-POWER ที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ ในประเทศไทย เป็นรุ่นปรับโฉม Minorchange เพื่อให้มีหน้าตาที่ดูทันสมัยขึ้น และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ให้สูสีกับคู่แข่งในตลาด ดังนั้น เส้นสายบนตัวถังภายนอก ซึ่งตกทอดมาจากเวอร์ชันตลาดโลกรุ่นเดิม ก็ยังคงอยู่เกือบทั้งหมด ทว่าส่วนที่เปลี่ยนแปลงไป และเห็นได้ชัดเจนมากที่สุด จะอยู่ทางด้านหน้าของตัวรถ ซึ่งมาพร้อมกับกระจังหน้า V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์ของ Nissan ที่ถูกปรับให้ใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมมาก ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงา เสริมด้วยแถบโครเมียม และชุดไฟหน้าแบบ LED ใหม่ ปรับเลื่อนมุมด้านในเข้ามาชิดกับกระจังหน้า ทำให้โคมดูยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิม อีกทั้งยังเปลี่ยนเปลือกกันชนหน้าใหม่ ปรับกรอบไฟตัดหมอกคู่หน้าเป็นแนวตั้ง เพื่อให้รับกับกระจังหน้าใหม่ ด้วยเช่นกัน

ชุดโคมไฟหน้าของทุกรุ่นย่อย จะเป็นแบบ Full-LED ทั้งไฟต่ำ ไฟสูง ไฟเลี้ยว และไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน (Daytime Running Light) มีระบบหน่วงเวลาปิด หลังจากดับเครื่องยนต์ Follow-me-home มาให้ แต่ระบบเปิด – ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ สวิตช์ปรับระดับไฟหน้า และไฟตัดหมอกคู่หน้า สงวนไว้ให้เฉพาะรุ่น V และ VL เท่านั้น

ด้านข้างตัวรถ ไม่มีจุดเปลี่ยนแปลงมากนัก เสาหลังคาทุกตำแหน่งแปะทับด้วยสติ๊กเกอร์สีดำ ตามสไตล์รถที่เป็นหลังคาแบบ Floating Roof ติดตั้งคิ้วซุ้มล้อ ชายล่างกันกระแทกที่บานประตูเป็นพลาสติกสีดำ ตามแบบฉบับรถใต้ท้องสูงทั่วๆ ไป แต่เพิ่มการตกแต่งด้วยแถบสีเงิน สำหรับรุ่น V และ VL ทุกรุ่นย่อยจะติดตั้งสัญลักษณ์ e-POWER ไว้บริเวณมุมด้านล่างของบานประตูคู่หน้า ฝาครอบกระจกมองข้าง พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ในรุ่นท็อป VL ที่เป็นหลังคาสีดำ จะพ่นด้วยสีดำเงา ในขณะที่รุ่นอื่น ฝาครอบจะเป็นสีเดียวกับตัวรถ ส่วนมือจับเปิดประตู จะเป็นสีเดียวกับตัวรถ ทุกรุ่นย่อย

บานฝาท้าย และช่องติดแผ่นป้ายทะเบียนด้านหลัง ยังมีลักษณะคล้ายรุ่นเดิม ประดับด้วยสัญลักษณ์ e-POWER ไว้บนมุมขวาล่างของบานฝาท้าย อีก 1 จุด เปลือกกันชนหลังถูกออกแบบใหม่ คาดด้วยแถบสีดำ ซึ่งสามารถพบเห็นได้ใน Nissan รุ่นใหม่ หลายรุ่น ทั้ง Almera ใหม่ X-Trail ใหม่ ฯลฯ นอกจากนี้ ชุดไฟท้าย ยังมีการปรับรายละเอียดภายในโคมใหม่ ไฟหรี่ ใช้หลอด LED แบบ Signature ทรง Boomerang ดูทันสมัยขึ้น เช่นเดียวกับ ไฟเบรก ไฟเลี้ยว และไฟถอย เป็นแบบ LED

ล้อของทุกรุ่นย่อย จะเป็นล้ออัลลอย ขนาด 17” x 6.5” J สีทูโทน ปัดเงา รัดด้วยยาง Dunlop Enasave ขนาด 205/55 R17 ก้านของล้ออัลลอยทั้ง 5 ออกแบบให้มีลักษณะกึ่งเรียบ เพื่อลดอากาศหมุนวนด้านข้าง


Nissan Kicks ทุกรุ่นย่อย จะได้กุญแจรีโมทแบบ Intelligent Key หน้าตากุญแจพอพลิกมาดู ได้อารมณ์เหมือนคุณป้าหลังบ้านที่เห็นหน้ากันมา 14-15 ปี คุ้นกันมาตั้งแต่สมัย Nissan Tiida โฉมแรกแล้ว ไม่ใช่ว่าป้าไม่สวยหรอก แต่ผมแค่อยากให้ป้าลองทำผมทรงใหม่ เปลี่ยนเครื่องแต่งหน้าใหม่ดูบ้าง

เมื่อพกกุญแจรีโมท แล้วเดินเข้าใกล้รถ ยังคงต้องเอื้อมมือไปกดปุ่มสามเหลี่ยมสีดำบนมือจับเปิดประตู ระบบจะปลดล็อกให้อัตโนมัติ และเมื่อต้องการล็อกรถ ก็สามารถทำได้โดยการกดปุ่มสีดำบนมือจับเปิดประตูอีกครั้ง หรือจะสั่งล็อก – ปลดล็อกโดยการกดสวิตช์ที่รีโมท ก็ได้เช่นกัน (ขณะที่คู่แข่งหลายรุ่น เช่น HR-V, C-HR หรือ CX-30 ใหม่ นั้น ไม่ต้องกดปุ่มที่มือจับ แต่ก็สามารถดึงมือจับเปิดประตูได้ทันที)

แผงประตูคู่หน้าเป็นวัสดุพลาสติกขึ้นรูป พนักวางแขนบนแผงประตูคู่หน้า ของรุ่น S และ E จะบุด้วยฟองน้ำ และหุ้มด้วยผ้าสีดำมาให้ แต่รุ่น V และ VL (สีปกติ และสีทูโทน ดำ – แดง) จะเปลี่ยนวัสดุหุ้มเป็นหนังสังเคราะห์สีดำแทน ส่วนรุ่น VL หลังคาดำ จะได้ภายในสีทูโทน ส้ม – ดำ แผงประตูส่วนล่างเป็นช่องวางของ พร้อมช่องวางขวดน้ำ ฝั่งละ 1 ตำแหน่ง และเป็นตำแหน่งติดตั้งลำโพง Sub Bass ด้วย

เบาะนั่งคู่หน้าของทุกรุ่น สามารถปรับเอน เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ ด้วยคันโยกที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างและด้านหน้าของเบาะรองนั่ง พนักพิงศีรษะสามารถปรับสูง – ต่ำได้ ส่วนเบาะนั่งปรับระดับสูง – ต่ำ สงวนไว้สำหรับฝั่งคนขับเท่านั้น และเป็นการปรับแบบยก/กดลงทั้งตัว ไม่สามารถปรับองศาการเทของเบาะได้ วัสดุหุ้มเบาะในรุ่น S และ E จะหุ้มด้วยวัสดุผ้าสีดำ แต่รุ่น V จะหุ้มด้วยวัสดุหนังสีดำ ใขณะที่รุ่นท็อป VL จะเป็นวัสดุหนังสีดำ และสีทูโทน ดำ – ส้ม ขึ้นอยู่กับสีตัวถังภายนอก

ต้องบอกไว้ก่อนว่า คนที่ชอบสไตล์เบาะสูงคอนโซลต่ำเห็นทางข้างหน้าหมด คุณจะชอบมันแน่ๆ เพราะตำแหน่งการขับของ Kicks นั้นทำให้รถอย่าง Tiida ดูกลายเป็นรถสปอร์ตไปเลย มันสูงมากจนเกือบจะเหมือนมินิแวนจริงๆครับ ส่วนตัวเบาะนั้น ผมรู้สึกว่ามันมีความนุ่มสบายมากกว่าเบาะของ Almera ฟองน้ำที่บุดูเหมือนจะมีความนุ่มสบาย ในขณะที่หมอนรองศีรษะนั้นแม้จะติดตั้งเยื้องมาข้างหน้า แต่ด้วยวิธีการออกแบบให้ทรงหมอนโค้งรับหัวพอดี ทำให้สามารถพิงหัวขับได้สบายกว่า Nissan ที่ผ่านมาหลายรุ่น ที่สำคัญคือ ในขณะที่รถอย่าง Nissan LEAF มีพวงมาลัยปรับได้แค่ขึ้น/ลง แต่ของ Kicks นั้น จะสามารถปรับเข้า/ออกได้ด้วย ทำให้ลูกค้าไซส์ต่างๆกัน มีโอกาสพบตำแหน่งการขับขี่ที่ถนัดได้ง่ายขึ้น

เข็มขัดนิรภัยสำหรับคนขับเป็นแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ 2 ทิศทาง (Double Pretensioner & Load Limiter) ส่วนฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าเป็นแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติทิศทางเดียว (Pretensioner & Load Limiter) สามารถปรับระดับสูง – ต่ำได้ ทั้ง 2 ฝั่ง

เบาะนั่งด้านหลังของแต่ละรุ่นย่อย จะใช้วัสดุหุ้มแบบเดียวกันกับเบาะนั่งคู่หน้า เบาะรองนั่งไม่สามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้ แต่พนักพิงหลังแยกพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 พนักพิงศีรษะทรงตัว L คว่ำ มีมาให้ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง และปรับระดับสูง – ต่ำได้ ส่วนแผงประตูคู่หลังของทุกรุ่นจะเป็นพลาสติกขึ้นรูปทั้งบาน มาพร้อมช่องวางขวดน้ำ ฝั่งละ 1 ตำแหน่ง พนักวางแขนบนแผงประตู จะถูกตกแต่งในรูปแบบเดียวกันกับแผงประตูคู่หน้า

ถ้าคุณนั่งเบาะหน้าแล้วรู้สึกว่าตำแหน่งการนั่งมันดูสูงๆ ลองย้ายมาข้างหลังครับ…คือจะสูงไปไหน ความรู้สึกเวลานั่งหลับตานี่นึกว่านั่งอยู่บน X-Trail เลย เวลานั่งไม่รู้สึกเหมือนจมลงไปในเบาะแบบรถเก๋ง แต่เหมือนเก้าอี้ผู้บริหารระดับไม่ค่อยสูงที่ออฟฟิศเก่าผม นั่งแล้วออกจะหลังตั้งๆ ผมสูง 183 ยังนั่งแล้วขาห้อยลงเป็นมุมฉาก อารมณ์นั่งร้านก๋วยเตี๋ยวหย่อนขา ความนุ่มของตัวเบาะ พอกันกับด้านหน้า ส่วนพนักพิงหลังนั้นจะมีการดันแผ่นหลังตอนกลางออกมาจนรู้สึกได้ ส่วนพื้นที่เหยียดแข้งข้านั้น ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ ผมลองปรับเบาะคนขับไปยังตำแหน่งที่ตัวเองนั่งขับ แล้วย้ายมานั่งข้างหลังตัวเอง (ก็ทำแบบนี้กับทุกคัน) พบว่าพื้นที่เหยียดขาดูเหมือนจะน้อยกว่า C-HR และ HR-V ด้วยซ้ำ จากหัวเข่าถึงเบาะหน้ายังยัดได้ 1 กำปั้น

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกโล่งใจคือ แม้ว่า Kicks e-POWER จะติดตั้งแบตเตอรี่ไว้ใต้เบาะคู่หน้า แต่คนนั่งหลังก็ยังสามารถสอดเท้าเข้าไปได้ลึก โดยตัวแบตเตอรี่จะนูนออกมาจากพื้นแค่นิดเดียวเท่านั้น การที่สอดเท้าเข้าซอกซอนถึงจุดซ่อนเร้นได้สุดๆนี่ล่ะครับ ทำให้เวลานั่งหลังแล้วรู้สึกเหมือนมี Legroom ที่ใช้ได้จริงเยอะขึ้น กระจกหน้าต่างที่มีขนาดบานใหญ่ ก็ทำให้รู้สึกโปร่งสบายลูกกะตา โดยรวมแล้ว ถ้าให้เลือกนั่งเบาะหลังของ B-SUV/Crossover ระดับราคาใกล้กัน ผมคิดว่า HR-V ถูกใจผมที่สุด ตามมาด้วย Kicks, C-HR (ซึ่งมีพื้นที่ดี แต่ตำแหน่งเท้าแขน กับทัศนวิสัยแย่) แล้วค่อยเป็น CX-30

เข็มขัดนิรภัยเบาะหลังเป็นแบบ ELR 3 จุด ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง พร้อมติดตั้งจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX มาให้ 2 ตำแหน่ง ส่วนมือจับศาสดาเหนือศีรษะ มีมาให้ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง

ฝากระโปรงท้ายค้ำยันด้วยช็อกอัพไฮดรอลิก สามารถสั่งเปิดได้ด้วยการกดปุ่มบนกุญแจรีโมท และสวิตช์ที่ฝาท้าย เหนือช่องสวมป้ายทะเบียน เมื่อเปิดฝากระโปรงท้ายขึ้น จะพบกับพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ขนาด 432 ลิตร พร้อมไฟส่องสว่าง แต่แผงบังสัมภาระด้านหลัง มีมาให้เฉพาะรุ่น  VL เท่านั้น เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา ก็จะพบว่ากับแบตเตอรี่ ขนาด 12 โวลต์ ติดตั้งอยู่ด้านในสุด พร้อมชุดขอเกี่ยวลากจูง และอุปกรณ์ซ่อมยางฉุกเฉิน

เรื่องพื้นที่ด้านท้ายของ Kicks นั้น แม้ขนาดจะเล็กกว่า HR-V (565 ลิตร) แต่ก็ยังโตกว่า C-HR Hybrid (377 ลิตร) ก็ถือว่ามีความเหมาะสมกับขนาดตัวและวัตถุประสงค์การใช้งานของลูกค้าที่ซื้อรถระดับนี้แล้ว

มาดูที่ภายในรถกันต่อ Kicks e-POWER ถือเป็นรถยนต์ Nissan ในประเทศไทย ถัดจาก Almera ใหม่ ที่ใช้แนวทางการออกแบบภายในยุคใหม่ที่เรียกว่า Gliding Wing มีเส้นสายลากจากจุดกึ่งกลางเฉียงขึ้นไปด้านข้าง คล้ายปีกนกที่กำลังสยายออกเต็มที่ และแน่นอน นั่นก็ทำให้แผงหน้าปัดของมันดูคล้ายกับ Almera เอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นช่องแอร์ทรงกลม 2 ฝั่ง ซ้าย – ขวา หน้าจอกลาง แผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ แผงหน้าปัดส่วนกลางที่เป็นวัสดุบุนุ่มหุ้มหนัง แผงหน้าปัดส่วนล่าง (ยกเว้นแผงใต้ช่องแอร์ฝั่งขวา) รวมถึงคอนโซลกลางที่เชื่อมต่อจากแผงหน้าปัด แต่แผงหน้าปัดส่วนบนที่เป็นพลาสติกขึ้นรูป ถูกออกแบบให้มีดีไซน์ต่างจาก Almera เล็กน้อย และเพื่อให้รับกับดีไซน์แผงประตูด้านข้างที่ไม่เหมือนกัน

นอกจากนี้ วัสดุหนังที่นำมาใช้หุ้มบริเวณแผงหน้าปัด ยังเลือกใช้โทนสีคนละโทนกัน เพื่อสร้างความแตกต่าง โดยในรุ่น S, E และ V จะเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์สีดำ เดินตะเข็บด้ายจริง แต่รุ่นท็อป VL จะเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์ มีทั้งสีส้มแทน (ภายนอกสีทูโทน ส้ม – ดำ, แดง – ดำ และ ขาว – ดำ) และสีดำ (ภายนอกสีปกติ และสีทูโทน แดง – ดำ)

มองขึ้นไปด้านบน ทุกรุ่นให้เพดานหลังคาบุด้วยวัสดุโทนสีเบจ ไฟอ่านแผนที่สีเหลืองอำพันครอบด้วยโคมสีขาวขุ่น แยกเปิด – ปิด ได้ทั้ง 2 ฝั่ง พร้อมไฟส่องสว่างบริเวณกึ่งกลางห้องโดยสาร ม่านบังแดด พร้อมกระจกแต่งหน้า และไฟส่องสว่าง ติดตั้งมาให้ครบทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า

กระจกมองหลังของรุ่น S, E และ V จะเป็นแบบตัดแสงด้วยการดึงสลักด้านหลังกระจก แต่รุ่น VL จะติดตั้งกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติมาให้ แถมยังมีฟังก์ชันแสดงภาพมุมมองท้ายรถ IRVM (Intelligent Rear View Mirror) ซึ่งรับสัญญาณจากกล้องที่ติดตั้งอยู่กับกระจกบังลมหลัง ช่วยให้มองเห็นด้านหลังอย่างชัดเจน แม้บรรทุกสัมภาระเต็มคัน

จากฝั่งขวา มาทางซ้าย แผงควบคุมบริเวณบานประตูฝั่งคนขับ ประกอบด้วยสวิตช์ควบคุมการเลื่อนขึ้น – ลง ของกระจกหน้าต่างแบบ One-touch พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (Jam Protection) เฉพาะฝั่งคนขับ มีสวิตช์ล็อกกระจก สวิตช์ล็อก – ปลดล็อกประตู รวมทั้งสวิตช์ปรับและพับกระจกมองข้าง มาให้ครบ

บริเวณใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาคนขับ จากด้านบนลงล่าง สวิตช์หมุนปรับระดับองศาการส่องสูง/ต่ำของไฟหน้า และสวิตช์สำหรับเปิด/ปิดระบบควบคุมการทรงตัว ด้านล่างลงมา มีช่องเก็บของแบบไม่มีฝาปิด ส่วนสลักดึงเปิดฝากระโปรงหน้า และฝาถังน้ำมันจะอยู่ตอนล่างสุด

ก้านสวิตช์ที่คอพวงมาลัยฝั่งขวา สำหรับควบคุมชุดไฟหน้า ทั้งไฟหรี่ ไฟต่ำ ไฟสูง ไฟตัดหมอก และไฟเลี้ยว มีไฟหน้าแบบ AUTO มาให้ ส่วนฝั่งซ้าย สำหรับควบคุมการทำงานของก้านปัดน้ำฝนกระจกบังลมหน้า พร้อมระบบหน่วงเวลา และระบบฉีดน้ำล้างทำความสะอาด

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน แบบท้ายตัด D-cut ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน ปรับได้ 4 ทิศทาง ทั้งสูง – ต่ำ และเข้า – ออก วงพวงมาลัยของรุ่น S จะเป็นวัสดุยูรีเทน ส่วนรุ่น E, V และ VL จะหุ้มด้วยหนังสีดำ เย็บตะเข็บด้าย สวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้ายของทุกรุ่น สำหรับควบชุดเครื่องเสียง และปรับหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ส่วนฝั่งขวาเป็นสวิตช์รับสายโทรศัพท์ ระบบสั่งการด้วยเสียง สวิตช์ควบคุมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบธรรมดา สำหรับรุ่น S, E และ V และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ICC (Intelligent Cruise Control) ของรุ่น VL

คอนโซลกลางที่เชื่อมต่อกับแผงหน้าปัดด้านหน้า ออกแบบมาให้มีปีกด้านข้างยกสูง เฉียงขึ้นไปรับกับส่วนล่างของชุดแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ ตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ และเปียโนแบล็ก ติดตั้งปุ่ม Push Start/Stop สีฟ้า ตกแต่งด้วยวงแหวนสีเงิน สวิตช์โหมดการขับขี่ Drive Mode (Normal / Smart / Eco Mode) และสวิตช์โหมดการขับขี่แบบ EV มาให้ทุกรุ่นย่อย

เหนือฐานคันเกียร์ มีช่องสำหรับเสียบชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้า POWER Outlet 12 โวลต์ พร้อมฝาปิด มาให้ 1 ช่อง ช่องเสียบ USB Port สำหรับชาร์จไฟฟ้าและเชื่อมต่อกับระบบ Nissan Connect 1 ช่อง และช่อง AUX-In อีก 1 ช่อง

ระบบปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ โซนเดียว สามารถแยกปิด A/C ได้ ส่วนจอกลาง เป็นแบบระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว ชุดเครื่องเสียงมี 6 ลำโพง และสามารถรองรับ Apple CarPlay ได้ แต่ยังไม่รองรับ AndroidAuto

นอกจากนี้ บนจอกลางยังสามารถแสดงผลเป็นกล้องรอบคัน360 องศา Around View Monitorได้อีกด้วย ซึ่งใน Nissan Terra และ Note ก่อนหน้านี้ จะมีการแสดงภาพบนกระจกมองหลัง ซึ่งแม้จะอยู่ในตำแหน่งที่ถนัด แต่ภาพก็เล็ก คนแก่มองไม่เห็น มาคราวนี้ คุณได้ทั้งการแสดงภาพที่จอกลาง และที่กระจกมองหลัง 2 ที่ไปเลย ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ใครถนัดตรงไหนก็มองตรงนั้น

ชุดมาตรวัดของทุกรุ่นย่อย ฝั่งซ้ายจะเป็นหน้าจอแสดงผลแบบสี TFT ขนาด 7 นิ้ว คล้าย Almera สามารถเลือกแสดงผลได้ทั้ง ย่านการทำงานแบบรถ Hybrid ทั่วไป (Charging / ECO / POWER) แผนผัง Energy Flow การทำงานของระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน ระบบ Forward Collision Warning และ Blind Spot Monitoring (เฉพาะรุ่น VL) มาตรวัดความเร็วแบบตัวเลขดิจิตอล อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real Time และแบบ Average ประวัติอัตราสิ้นเปลือง ระบบช่วยเหลือการขับขี่ และอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น แถบด้านบนแสดงเวลา และอุณหภูมิภายนอกตัวรถ ส่วนแถบด้านล่าง แสดงปริมาณน้ำมันคงเหลือในถัง ระยะทางที่เหลือที่สามารถวิ่งต่อไปได้ รวมถึงมาตรวัดระยะทาง ODO Meter และ Trip Meter ที่เรียกแสดง หรือรีเซ็ตข้อมูลได้ ด้วยการกดก้านสวิตช์ฝั่งขวา

สิ่งที่ต่างจาก Almera คือ จอของ Kicks จะไม่มีมาตรวัดรอบ เพราะเครื่องยนต์มันไม่ได้มีบทบาทในการขับเคลื่อน จึงมองว่าไม่จำเป็นต้องมี อย่างไรก็ตาม จะมีการแสดงสถานะการทำงานของเครื่องยนต์ให้ดูด้วยในจอที่เป็นรูปรถ ถ้าตัวเครื่องยนต์เป็นสีเทา แปลว่าเครื่องยนต์ดับอยู่ แต่ถ้าเครื่องยนต์เป็นสีเขียว แปลว่าเครื่องยนต์ติด และชาร์จอยู่ในรอบการทำงานต่ำ แต่ถ้าเครื่องเป็นสีส้มแดง แปลว่ากำลังชาร์จแบบใช้รอบสูง (เจ้าหน้าที่ของ Nissan ให้รายละเอียดตรงนี้มา แต่ผมลืมจด ไม่แน่ใจ 100% ว่าใช่จอที่ว่าหรือไม่ ถ้าผิดก็ขออภัยด้วยครับ)

ส่วนฝั่งขวา จะเป็นมาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อก สูงสุดที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง เรืองแสงตัวเลข และเข็มวัดสีขาว มีไฟบ่งบอกสถานะและความผิดปกติของตัวรถ ที่รถทั่วไปพึงมี และที่สำคัญ มีไฟสถานะเมื่อเข้าเกียร์ว่าง (N) เพื่อให้เข็นได้ ในยามที่จำเป็นต้องจอดแบบขนานช่องจอด

 

*****รายละเอียดทางวิศวกรรม*****

ขุมพลังของ Nissan Kicks e-POWER จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า รุ่น EM57 ชนิด AC3 Synchronous Motor กำลังสูงสุด 129 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 – 8,992 รอบ/นาที (อย่าตกใจ มอเตอร์มันไม่มีเฟืองทด มันต้องปั่นจี๋แบบนี้แหละครับ ไม่ใช่เคยี่ฝาแดง VTEC) แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร (26.5 ก.ก.-ม.) ที่ 500 – 3,008 รอบ/นาที ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้า ด้วยระบบ Single Speed Gear Reduction เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า EV

ความต่างระหว่างรถไฮบริดอย่าง C-HR กับ Kicks อยู่ตรงนี้แหละครับ เพราะ Kicks ขับเคลื่อนด้วยพลังมอเตอร์ล้วน จึงเป็นเรื่องของการ Featuring กันระหว่างมอเตอร์กับ Reduction Gear ไม่ต้องมีชุดตัดต่อกำลังส่งจากเครื่องยนต์มาที่ระบบส่งกำลัง ความซับซ้อนของ Kicks จึงน้อยกว่า

แบตเตอรี่ เป็นแบบ Lithium-ion (Li-ion) ขนาด 1.57 kWh แรงเคลื่อนไฟฟ้า 292 Volt ติดตั้งไว้ที่พื้นรถตรงใต้เบาะนั่งคู่หน้า ตัวแบตเตอรี่ประกอบด้วย Module จำนวน 4 Module ซึ่งในแต่ Module จะมีเซลล์แบตเตอรี่ 20 เซลล์ รวมกันเป็น 80 เซลล์ ทั้งนี้ Nissan แจ้งว่าเมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ จะไม่สามารถแยกเปลี่ยนทีละเซลล์หรือทีละ Module ได้นะครับ แต่ราคาของแบตเตอรี่ทั้งลูกนั้นถูกมาก และตัวแบตเตอรี่ก็รับประกัน 10 ปี/200,000 กิโลเมตรแล้ว ก็น่าจะอุ่นใจไปได้สำหรับคนประเภทซื้อรถที ใช้กันสิบปี ส่วนระบบ e-POWER เช่นระบบมอเตอร์ ตัวปั่นไฟ จะรับประกัน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

ส่วนหน้าที่การปั่นไฟ ก็จะได้มาจากการทำงานของเครื่องยนต์รหัส HR12DE เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.2 ลิตร 1,198 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 78.0 x 83.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 12.0 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว CVTC (Continuously Variable Valve Timing Control) ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Electronics Injection Multi-point (ECCS)

ถ้าคุณจะมองว่ามันคือเครื่องยนต์จาก Almera รุ่นเก่าก็ใช่ เพราะเกือบทั้งหมด คือเครื่องยนต์ HR12DE เดิม นั่นล่ะครับ แต่มีรายละเอียดบางจุดที่ถูกปรับให้เหมาะสม/ทันสมัยขึ้น เช่น

  • เปลี่ยนระบบหัวฉีด จากหัวฉีดเดียว เป็นหัวฉีดคู่แล้วใช้ตัวหัวฉีดปลายเล็กลง ฉีดน้ำมันเป็นฝอยละเอียดกว่า เผาไหม้ได้หมดจดกว่า
  • ปรับการทำงานของระบบวาล์วแปรผันให้เหมาะกับการทำงานในสถานะเครื่องปั่นไฟ
  • อัตราส่วนกำลังอัดเพิ่มจาก 10.2 เป็น 12.0 : 1

กำลังสูงสุด 79 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตร (11 กก.-ม.) ที่ 3,600 – 5,200 รอบ/นาที รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุด E20 ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 อ้างอิงตาม ECO Sticker ของหน่วยงานรัฐบาลไทย ที่ 100 กรัม/กิโลเมตร เท่ากับ Nissan Almera 1.0 Turbo

ตรงนี้ ต้องบอกว่าผู้เขียนเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ทำงานแบบ Atkinson Cycle แต่พบในภายหลังว่า Nissan ไม่เรียกเครื่องยนต์นี้ว่าเป็น Atkinson Cycle แม้ว่าในบางเวลาระบบแคมชาฟท์แปรผันจะปรับองศาและส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์เป็นไปในแบบ Atkinson Cycle ที่เยื้องจังหวะการปิดวาล์วไอดีให้ช้าลง จนลูกสูบสามารถเคลื่อนที่ขึ้นและดันไอดีกลับออกมาได้ในบางส่วน เป็นการลดแรงต้านที่เกิดจากการอัดในกระบอกสูบลง ลดอัตราสิ้นเปลืองลง

ตัวเครื่องยนต์ จะมีอุปกรณ์ส่วนควบเหมือนรถสันดาปภายใน เช่น หม้อน้ำ พัดลมไฟฟ้า แต่คอมเพรสเซอร์แอร์จะเป็นแบบไฟฟ้าของรถยนต์ไฮบริดแทน อย่างไรก็ตาม ค่าบำรุงรักษาตัวเครื่องยนต์และส่วนประกอบควบ จะใกล้เคียงกับ Note/March ซึ่งก็ไม่ได้แพงมากนัก ส่วนหนึ่งที่ Nissan ใช้เครื่องยนต์ HR12 เพื่อทำหน้าที่ปั่นไฟ แทนที่จะเอาเครื่องยนต์ K-Car ขนาดเล็กมาใช้ เพราะว่า HR12 นั้นมีการแชร์อะไหล่ใช้กับเครื่อง HR15 และ HR16 ในหลายส่วน มีวางจำหน่ายในรถยนต์หลายรุ่นทั่วโลก ดังนั้นการใช้ HR12 จึงไม่ใช่เรื่องความประหยัดน้ำมัน แต่เป็นบาลานซ์ระหว่างต้นทุนต่อเครื่อง และความง่ายในการจัดการเรื่องอะไหล่

สำหรับการบำรุงรักษาตัวเครื่องยนต์นั้น เป็นไปตามขั้นตอนปกติเหมือน Nissan Note/March คือเข้าเช็คระยะ/เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ทุก 6 เดือนหรือ 10,000 กิโลเมตร น้ำมันเชื้อเพลิง สามารถรองรับได้ถึง E20

DRIVE MODES

Drive Modes ของ Nissan Kicks ประกอบไปด้วย

  • NORMAL MODE
  • S (SMART MODE)
  • ECO MODE

NORMAL MODE คือการตอบสนองแบบปกติ ระบบปรับอากาศทำงานปกติ และเมื่อปล่อยคันเร่ง รถจะไหลต่อได้ ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนกับการขับรถไฮบริดทั่วไป ซึ่งลูกค้าที่ไม่เคยขับรถกอล์ฟคาร์ทน่าจะชินได้ง่ายกว่า

SMART MODE ระบบสมองกลจะให้ความใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงลักษณะการขับขี่ ดึงพลัง หรือเซฟพลังในจุดที่จำเป็นโดยไม่ได้ยุ่งกับความไวในการตอบสนองของคันเร่ง (NORMAL กับ SMART คันเร่งไวเท่ากัน) และไม่ยุ่งกับระบบปรับอากาศ แต่ในโหมด SMART นี้ One-Pedal จะทำงาน เมื่อปล่อยเท้าจากคันเร่ง รถจะมีแรงหน่วงมากกว่า NORMAL MODE ชัดเจน

ถ้าเทียบกับ NORMAL MODE ใส่เกียร์ B ก็จะมีความต่าง.. NORMAL+B จะมีความหน่วง แต่ปล่อยคันเร่งหมด รถจะไม่หยุดนิ่ง แต่ SMART MODE นั้น One-Pedal จะถูกเปิดใช้ และรถจะหยุดนิ่งได้เมื่อถอนคันเร่ง (แต่เป็นในลักษณะชะลอแล้วหยุด)

ECO MODE สมองกลจะปรับการทำงานของระบบไฟฟ้าในรถเพื่อให้ใช้พลังงานเท่าที่จำเป็น คันเร่งจะตอบสนองนิ่มนวลมากขึ้น และจะมีการเปิด One-Pedal เช่นเดียวกับ SMART MODE

One-Pedal คืออะไร

พูดง่ายๆ ก็นึกถึงรถกอล์ฟคาร์ทครับ เวลาเราเหยียบคันเร่ง รถก็พุ่ง เวลาเราปล่อยคันเร่งหมด รถจะสามารถหน่วงมากกว่าปกติ หน่วงจนสามารถเอารถหยุดอยู่กับที่ได้ ซึ่งโหมดนี้พอเอาจริงๆขับไม่ยากเลย แต่ต้องอาศัยการลองขับปรับตัวอยู่สักหน่อย แล้วมันจะช่วยให้การขับในเมืองสบายขึ้นเพราะไม่ต้องยกเท้าสลับไปมาระหว่างเบรกกับคันเร่งบ่อยๆ

สิ่งที่ควรระวังก็คือ ระบบเบรกภายใต้การทำงานของ One-Pedal จะสร้างแรงหน่วงสูงสุดไม่เกิน 0.15G ซึ่งน้อยกว่าอาการเบรกหน้าทิ่มที่เราเจอเวลาย้ายจากรถที่เบรกต้านเท้า ไปขับพวกรถแป้นเบาๆไวๆเสียอีก ดังนั้น ในกรณีฉุกเฉิน หมาตัดหน้า หรือคนวิ่งตัดหน้าแบบหมาๆ ให้เหยียบแป้นเบรกตามปกติได้เลย

บางคนอาจสงสัยว่า เมื่อถอนเท้าจากคันเร่งในโหมด One-Pedal แล้ว ไฟเบรกจะติดหรือไม่ คำตอบคือติดครับ เพราะไฟเบรกของ Kicks นอกจากจะทำงานโดยรับสัญญาณจากแป้นเบรกแล้ว ยังรับจากเซนเซอร์วัดแรง G อีกด้วย ที่ต้องมีแบบนี้ ก็เพื่อเอาไว้รองรับเวลาเราเปิดใช้ระบบ One-Pedal  เมื่อเราถอนคันเร่งแล้วรถเกิดอาการหน่วงจนเกิดแรง G มากว่า 0.1G ไฟเบรกก็จะสว่างขึ้น

EV MODES

ยังไม่มีข้อมูลว่า Nissan เรียกสองโหมดนี้อย่างเป็นทางการว่าอย่างไร แต่อธิบายได้เบื้องต้นดังนี้

  • โหมดย่องเงียบ – รถจะป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ทำงาน เว้นเสียแต่ว่าพลังไฟในแบตเตอรี่ลดลงต่ำมากจริงๆ
  • โหมดชาร์จ – YES! คุณสามารถสั่งให้ Kicks ชาร์จแบตเตอรี่ตัวเองให้เต็มได้ครับ ซึ่งความสามารถแบบนี้ปกติจะมีแต่ในรถ Plug-in Hybrid เท่านั้น C-HR หรือ Accord Hybrid จะไม่มีฟังก์ชั่นนี้

หมายเหตุ:

1. คุณจะใช้ EV MODES สองโหมดนี้ได้ก็ต่อเมื่อเลือก Drive mode ไปที่ SMART หรือ ECO เท่านั้นครับ Normal จะใช้ไม่ได้

2. สวิตช์ EV MODES จะใช้การได้ก็ต่อเมื่อระบบขับเคลื่อน ถึงอุณหภูมิทำงานแล้ว ถ้าเช้ามืดสตาร์ทออกจากบ้านเลย จะยังใช้ไม่ได้

 

นอกจากนี้แล้ว ถ้าคุณจำเป็นต้องจอดปิดตูดรถชาวบ้าน Nissan ประเทศไทย ก็จัดการให้ Kicks สามารถปลดเกียร์ว่างแล้วจอดได้..เรียกได้ว่าทำมาเพื่อประเทศไทยโดยเฉพาะ แต่มันจะมีขั้นตอนบูชาเจ้าที่อยู่สักหน่อยนะครับ

เริ่มต้นจากตอนที่รถจอดและดับสวิตช์การทำงานรถไปแล้ว

  • กดปุ่มสตาร์ท 1 ครั้ง (โดยไม่ต้องเหยียบเบรก) เพื่อเป็นการ “On” เปิดเฉพาะระบบไฟฟ้า
  • เหยียบเบรกคาไว้
  • กดปุ่ม P
  • ตบเกียร์ไป N แล้วคาขวาไว้อย่างนั้น 2 วินาที
  • ปล่อยคันเกียร์
  • ตบเกียร์ไป N แล้วคาไว้ 2 วินาที อีกครั้ง

ถ้าทำสำเร็จ จะมีข้อความแจ้งบนหน้าปัดว่า “โหมดเกียร์ว่างทำงาน”

ก็ขอบคุณที่ยังอุตส่าห์ทำให้ใส่เกียร์ N ได้ แต่รู้สึกว่าคนทั่วไปคงไม่จำกันแน่ครับ ส่วน Toyota C-HR นั้น ก็จะมีวิธีการเข้า N เพื่อจอด ก่อนจะดับเครื่องเพื่อจอด ก็ต้องใส่เกียร์ P ก่อน กดปุ่มปลดเบรกมือเอาลง เอามือหนีบปุ่มหัวเกียร์คาไว้ กดปุ่มดับเครื่อง แล้วค่อยเลื่อนเกียร์มา N (นี่เป็นวิธีลัดในการไม่ต้องดึงดอกกุญแจออกมาเสียบช่อง Shift Lock)

พวงมาลัยของ Kicks เป็นแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ​EPS (Electronic POWER Steering) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.1 เมตร

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบกึ่งอิสระ Torsion Beam ส่วนระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ เสริมการทำงานด้วยระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) และระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist)

นอกจากนี้ ยังมีระบบ Integrated Driving Module (IDM) ที่อาศัยการทำงานของเบรกเข้ามาช่วยการทรงตัวของรถ ประกอบด้วยระบบช่วยลดอาการโยนตัวเมื่อวิ่งบนทางขรุขระ Intelligent Ride Control (IRC) และระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง Intelligent Trace Control (ITC)

*****การทดลองขับ*****

ในการทดลองขับครั้งนี้ เป็นแบบสนามปิด ซึ่งควบคุมโดยทีมงานจาก Nissan และ xSPAN ที่สนามปทุมธานีสปีดเวย์

ดังนั้น ต้องบอกตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า มันจะมีเงื่อนไขการทดสอบบางข้อที่ไม่ครอบคลุม เช่นเรื่องอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เพราะอัดกันเต็มที่ตลอดเวย์ ไม่มีใครห่วงเรื่องความประหยัดหรอกครับ ต่อมาคือเรื่องที่เกี่ยวกับความเร็วสูง การทดสอบจัมพ์คอสะพาน การทดสอบเปลี่ยนเลนที่ความเร็วสูง และการเก็บเสียง เพราะในสนามนี้ไม่มีช่วงใดเลยที่ได้วิ่งเร็วเกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แค่ 110 ยังยากเลย ดังนั้น เราจะยังต้องไปพิสูจน์กันอีกรอบเมื่อทาง Nissan จัดทริปทดลองขับบนถนนจริงอีกครั้ง

เรื่องแรก ที่หลายคนคงอยากรู้

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ผมลองทำมาให้ 4 ครั้ง โดยสถานะของแบตเตอรี่ได้มากสุดคือ 50% เพราะไม่มีเวลาในการวิ่งเพื่อชาร์จไฟให้ได้มากพอ

ครั้งที่ 1 Normal Mode (Battery 40%) – 9.36 วินาที

ครั้งที่ 2 S Mode (Battery 40%) – 9.38 วินาที

ครั้งที่ 3 Normal Mode (Battery 50%) – 9.32 วินาที

ครั้งที่ 4 S Mode (Battery 50%) – 9.29 วินาที

ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ตีต่ำกว่าเลข 8 ครับ ส่วนพี่แมน ทัศนัย ไรวาแห่ง Luxman Thailand ก็ได้ลองจับเวลาเหมือนกัน แต่ได้ 9.5 วินาที ซึ่งความต่างอาจจะมาจากช่วงที่กดนาฬิกาจับเวลาก็ได้ แต่สรุปก็คือ แรงแบบทิ้ง C-HR Hybrid หายไม่เห็นฝุ่นแน่นอนสำหรับตีนต้น หรือแม้แต่รถสันดาปภายในตัวจี๊ดอย่าง CX-30 2.0 ลิตร ก็ไม่ได้เร็วไปกว่านี้ จะแพ้ก็เพียงแต่ MG ZS EV นั่นล่ะครับที่เขาตอกเลข 8 วิปลายได้

การออกตัวของ Kicks เมื่อกระแทกคันเร่ง จะเหมือนรถ EV 100% ของจริงอย่าง ZS EV มาก มีช่วงชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ระเบิดพลังออกมาเต็มพิกัด พรั่งพรูมาราวกับบรรดาฝูงชนที่รอประตูห้างเปิดวันที่สินค้าแบรนด์หรูๆลดราคากระหน่ำสุดขีด เร็ว สะใจ!

อย่างไรก็ตาม เมื่อผมลองพยายามทำอัตราเร่ง 80-120 (ซึ่งไม่สำเร็จเพราะพื้นที่สนามหมดก่อน) ก็รู้สึกว่าอัตราเร่งช่วง 100-110 มันจะช้าๆอยู่..ผมอาจรู้สึกไปเองก็ได้ ก็ขอบอกเท่าที่รู้ก่อนแล้วกันครับ

ส่วนโหมดต่างๆที่ Kicks มีให้นั้น ผมได้ทดลองการขับขี่ 2 แบบ คือ S Mode (Smart นะครับ..ไม่ใช่ Sport) ซึ่งในโหมดนี้ เมื่อถอนคันเร่งแบบยกหมด พบว่ารถจะมีการชะลอตัว แต่ไม่ได้ชะงักจนคันหลังด่านะครับ เหมือนว่ารถมันก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าความเร็วขนาดไหนควรชะลอลงมากหรือน้อยเท่าไหร่ ที่ความเร็วจาก 90 ลงมา 60 นั้น แรงหน่วงจะยังไม่ค่อยเยอะ แต่จาก 60 ลงมา 30 จะเริ่มมีแรงหน่วงมากขึ้น และ 30-0 นั้น หน่วงชัดเจน คล้ายๆกับเวลาขับรถเกียร์ธรรมดา เข้าเกียร์ 2 แล้วเร่ง จากนั้นถอนคันเร่งหมด

และเมื่อสลับไปลอง Normal Mode พบว่าอัตราเร่งและการตอบสนอง ถ้าคุณกดคันเร่งเกิน 60% มันก็ไม่ต่างจากโหมด S สักเท่าไหร่ สิ่งที่ต่างกันจริงๆก็คือ อาการไหลของรถ ซึ่งจะกลับไปเหมือนรถไฮบริดปกติที่พบได้ทั่วไปเลย ดังนั้นถ้าคุณไม่คุ้นชินกับการขับ One-Pedal และไม่คิดจะลองมัน คุณก็จะยังสามารถขับมันแบบเดียวกับที่ขับ C-HR ของน้องชายคุณได้สบายครับ แต่จะบอกว่าตอนขับในสนาม เวลาใช้โหมด S ผมชอบมากเวลาถอนคันเร่ง จะเหมือนมีการหน่วงช่วย ทำให้เบรกในโค้งได้ลึกขึ้น ขับสนุกขึ้น อย่างที่ไม่คิดมาก่อนว่าของแปลกใหม่นี้จะให้การตอบสนองแบบนั้นได้

อย่างไรก็ตาม เรื่องการทำงานของเครื่องยนต์และการชาร์จไฟ…มันชวนให้ผมอยากรีบลองบนถนนเร็วๆ จะได้ทราบว่าการชาร์จไฟของ Kicks จะทันการหรือไม่ หากต้องไปเจอคนเท้าหนัก หรือเจอศึกไต่เขาแบบที่คนชอบถามว่ารถรุ่นนั้นรุ่นนี้ขึ้นเขาได้หรือไม่

เมื่อต้องเรียกใช้สมรรถนะเต็มพิกัด จะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ติดบ่อยมาก ในการขับรอบสนามปทุมธานีแบบกดหนักจัดเต็มนั้น แบตเตอรี่ก็หายไป 10-15% ได้แม้ว่าจะมีการปั่นไฟช่วยอยู่ตลอดเวลา มีอยู่รอบหนึ่งที่แบตเตอรี่จาก 1/2 ก้อน ลงไปเหลือ 1/4 ก้อนได้เลย ตรงนี้ครับ..ทำให้ผมอยากนำไปลองบนถนนเมื่อมีโอกาส และต้องเป็นถนนภูเขาด้วย สมมติว่าเจอถนนอย่างดอยตุงสายเก่า เครื่องยนต์และ Generator มันจะปั่นไฟทันหรือไม่..บางคนอาจจะบอกว่าไม่น่านะ วิศวกรเขาต้องทดสอบแบบนั้นมาแล้วสิ แต่ใครจะรู้ล่ะครับถ้าเราไม่ลองเอง

เวลาเครื่องติดเพื่อชาร์จไฟแบบปกติ มันก็ไม่เท่าไหร่ แต่พอมันเร่งรอบขึ้นเพื่อเร่งทำไฟ ความสะท้านของเครื่องยนต์และเสียงที่เข้ามานั้น ก็เหมือนกับเอา March/Almera เก่ามาเร่งรอบ 2,500-3,000 รอบอยู่กับที่ล่ะครับ มันก็มีความแอบน่ารำคาญอยู่บ้าง

ส่วนเรื่องช่วงล่างนั้น บอกเลยว่าเกินคาดครับสำหรับการขับในสนามครั้งนี้

ก็ตัวรถของ Kicks นั้นสูงกว่า C-HR และแคบกว่า อีกทั้งยังไม่มีโหงวเฮ้งสปอร์ต ช่วงล่างหลังเป็นทอร์ชั่นบีม รถก็มีทรงเหมือนสิ่งที่คุณซื้อให้ลูกสาวในวันเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่าตัวเปรี้ยวซ่าท้าขุนเขาอย่าง CX-30 …ใครจะไปคิดว่ารถหน้าตาอย่าง Kicks จะเล่นในสนามปทุมธานีได้โคตรแซ่บ!

ผมมีโอกาสได้ลองทิ้งโค้งหักศอกหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงการสลาลอม และโค้งยูเทิร์นโหดๆที่ทาง xSPAN จัดเตรียมไว้ต้อนรับ เมื่อลองขับบนทางตรง ผ่าน Section ของสนามที่มีความขรุขระ ก็พอจะจับความรู้สึกได้ว่า มันไม่ใช่รถนุ่มแบบ HR-V นะ แต่ยังไม่แน่นสปอร์ตจ๋าแบบ C-HR กับ CX-30 แน่ๆ แต่พอผ่านไปสามโค้ง..ทำไมมันดุจังวะ ตัวรถที่ดูเหมือนจะยวบ แต่แท้จริงแล้วควบคุมได้อยู่หมัด มองในรูปจะดูเหมือนเข้าโค้งแรงกันจนล้อหลังยก แต่ที่จริง คนในรถนี่กำลังเริงร่าเลยครับ อาการของรถเหมือน CX-30 ที่ปรับใช้โช้คอัพนุ่มลง มันไม่ได้คมกริบ ไม่ได้ตอบสนองแบบทันทีทันควัน แต่มันจะมีช่วงย้วยให้ตัวเล็กน้อย แล้วตามมาด้วยการ “แดนซ์” แบบประหลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาในรถ Segment นี้

มันไม่ใช่รถที่เกาะถนนตลอดแบบ C-HR แต่ดูเหมือนการเซ็ตช่วงล่าง ผสานกับการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัวที่ทำงานแบบฉลาด ขยัน ไม่ได้ทำแบบโง่ๆทื่อๆด้วยการตัดกำลังรถ แต่ทำแบบแยกจับเบรกซ้าย/ขวา ปรับกำลังเพื่อจุดประสงค์เดียวคือหันหน้ารถไปหาทางออกปลายโค้ง ไม่ว่าตัวรถจะยวบอยู่ขนาดไหนก็ตาม ผมถึงบอกว่ามันคือการแดนซ์ระบำส่ายตูดที่ประหลาดที่สุดใน Segment นี้ เมื่อหน้ารถพยายามจะจิกเกาะแล้วจู่ๆ ท้ายรถก็กวาดออกมาเองเหมือนมีมือยักษ์มือจับรถเราหันไปวงในโค้งดื้อๆ ..แต่มันไม่ใช่ด้านท้ายสูญเสียการทรงตัว แต่เป็นเพราะระบบ VDC จับเบรกที่ล้อวงในอย่างหนักจนรถเกิดอาการสะบัด แต่ไม่ได้สะบัดจนเลยป้ายนะครับ มันสะบัดพอดีเป๊ะ ทุกโค้ง จนนึกว่าระบบมันมีตามองถนนหรือไงวะ

แม้ว่าโช้คอัพ สปริงจะไม่แข็งเท่า C-HR หรือ CX-30 แต่ท้ายสุด คุณจะสามารถบังคับรถผ่านโค้งไปได้อย่างหน้างงๆมึนๆ ก่อนที่จะเรียนรู้นิสัยมัน และเริ่มซัดตึงขึ้นได้สนุกมือ

แต่ถ้าปิดระบบจะเป็นอย่างไร..ไม่ทราบครับ เพราะเขาขอว่าไม่ให้ปิด ฮ่าๆๆๆ

ส่วนการตอบสนองของพวงมาลัยนั้น มีน้ำหนักดี เป็นธรรมชาติ เวลาเลี้ยวจะมีแรงขืนกลับมาให้รู้สึกว่านี่คือพวงมาลัย นี่ไม่ใช่แขนของหุ่นยนต์ตัวนึงที่แบตหมดแล้วตายห่ามาตั้งแต่ยุค 1980s และยังมีความไวในระดับที่เหมาะกับตัวรถ ไม่ไวแบบรถสปอร์ต แต่ก็สามารถเล่นกับโค้งยูเทิร์นได้โดยคนหมุนไม่เหนื่อยมือ ระบบเบรก แป้นเบรกมีน้ำหนักต้านเท้าพอประมาณ และตลอดการขับ ไม่มีอาการประเภท ไหลบ้างหน่วงบ้าง แบบที่รถไฮบริดหลายรุ่นเป็น

แต่ถ้าเรื่องความนุ่มนวล ต้องขอลองบนถนนจริงอีกที ให้อากาศร้อนๆด้วย เพราะในสนามอย่างวันนี้ผมเน้นซัด และดูการตอบสนองของเบรกขณะซัดมากกว่า ก็ถือว่าพอไว้ใจได้ เรียกได้ว่า เป็นรถลูกสาวคนเล็ก แบบที่คุณพ่อตีนหนักสามารถขโมยไปขับแล้วแฮปปี้ได้แน่นอน

****สรุปเบื้องต้น****

****นั่งสบาย ออพชั่นดี ราคาได้ ขับสนุกกว่าที่คาด ที่เหลือ ขอลองบนถนนจริงอีกรอบ****

Nissan Kicks e-POWER ตัวใหม่นี้ เป็นรถอีกคันของทางค่ายที่ผมเคยมองว่า “คงเอามาขายตามนโยบาย” มากกว่าการเข้ามาอย่างจริงจังตั้งใจ เอาจริงๆคือ ผมไม่สนใจมันเลยดีกว่าในช่วงแรกๆ

แต่พอได้ลองนั่ง พบว่าถึงแม้คอนโซลจะเบียดเข่าซ้ายคล้าย Almera แต่ความที่เบาะนั่งมันวางไว้สูง ก็เลยมีปัญหากับจุดนี้น้อยลง ตัวเบาะนั่งให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายดี ส่วนเบาะหลัง แม้ไม่ได้โตที่สุดในคลาส แต่หุ่นขนาดผมก็ยังสามารถนั่งแล้วเหลือที่เหนือศีรษะกับขา..โดยที่ไอ้คนนั่งข้างหน้านั่นก็ตัวเท่าผม นั่นก็ไม่น่าจะมีปัญหากับลูกค้าส่วนใหญ่ในเรื่องความสบาย

อุปกรณ์ต่างๆที่ให้มาก็ไม่น่าเกลียดเมื่อเทียบกับราคา รุ่นท้อป ได้ระบบ Radar Cruise Control ระบบเตือนก่อนวายวอดทั้งหน้าและหลัง มีระบบเบรกอัตโนมัติมาให้ จะขาดก็แค่เบาะไฟฟ้าฝั่งคนขับ ซึ่งผมมองว่าในเมื่อราคาของรถก็ถูกกว่า C-HR Hybrid การที่จะขาดอะไรไปบ้างก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมแลกกันไป การออกแบบแดชบอร์ดน่าจะต่างจาก Almera ได้มากกว่านี้ น่าจะมีเอกลักษณ์ของตัวเองกว่านี้ แต่ถ้าโลกนี้ไม่มี Almera มาก่อน คุณก็อาจจะมองว่ามันก็สวยดีอยู่แล้ว

สมรรถนะอัตราเร่ง (0-100 การออกตัว และเร่งจาก 40-100) เร็วพอแน่นอน ไวกว่า C-HR Hybrid แบบที่ถ้าคุณไม่รู้สึกก็ควรพบแพทย์เลยดีกว่า การทำงานของระบบ One-Pedal ก็ไม่ได้เข้าใจยากอย่างที่คิด ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ (ที่ไม่ต้องเป็นพวกบ้ารถ) คุณขับเจ้า Kicks นี้ในโหมด One-Pedal ในถนนแถวๆบ้านสักชั่วโมงนึง ยังไงก็สามารถจับทางการตอบสนองของรถได้แน่นอน ขี้คร้านพอออกถนนจริง คุณจะชอบมันเสียด้วยซ้ำ เพราะเวลาที่รถติดหนักๆ แบบขยับทีละช้าๆ คุณแทบไม่ต้องขยับเท้าออกจากแป้นคันเร่งเลย

เรื่องช่วงล่างก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ประหลาดใจมาก เพราะแม้จะไม่ได้มาสไตล์หนึบสปอร์ตแบบ CX-30 หรือ C-HR แต่ก็ให้ความมั่นใจได้มากกว่า HR-V แบบไกลโข ระบบ VDC เซ็ตมาได้อย่างฉลาดคิดฉลาดเลือก ช่วยให้รถเข้าโค้งได้ไว ออกโค้งแล้วปลอดภัย แต่ต้องบอกไว้นิดนึงว่า อาการสะบัดของรถสำหรับคนที่ไม่ชิน ก็อาจจะตกใจอยู่บ้าง แต่ผมลองมาแล้วว่ามันเป็นการสะบัดเพื่อหันจับหน้ารถให้ไปตามทาง ไม่ได้สะบัดแบบกูหมุนแล้วเว้ย

นี่คือความประทับใจในเบื้องต้นที่ผมรู้สึกว่า Kicks สามารถเปลี่ยนตัวเอง จากรถที่ผมไม่เคยสนใจใยดี กลายเป็นรถที่ผมคว้ากุญแจขอลงไปขับในสนามเป็นรอบที่สอง แม้แต่พี่คิง คิงสลีย์ นักขับมืออาชีพสายโหดก็ยังเล่นกับ Kicks อย่างสนุกสนาน น้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ ซึ่งปกติแกจะไม่ขับรถคันไหนซ้ำสอง แต่ในวันนี้ น้าฉ่างลงสนามซ้ำไปสามรอบ มากกว่าผมเสียอีก

ถ้ามีจุดใดที่ผมอยากให้เปลี่ยนในรถคันนี้…เท่าที่นึกออกก็คือตำแหน่งของเบาะคนขับครับ มันสูงมาก สูงเหมือนทำมาเอาใจคนตัวสูงไม่เกิน 155 เซนติเมตร พอเจอไซส์ผมเข้าไป เบาะสูงบวกกับพวงมาลัยที่เตี้ย ทำให้ประสบปัญหาเวลาหมุนพวงมาลัยยูเทิร์นพอสมควร นั่นอาจเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม และไม่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ แต่ถ้า Nissan ทำเบาะให้ขันลงได้อีกสักนิ้วเดียว ผมเชื่อว่าทุกอย่างจบ

อย่างที่สองคือ เบาะตอนหลัง มันก็สบายดีอยู่ เอนไม่ได้ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ช่วยใส่พนักเท้าแขนเบาะหลังมาให้หน่อยเถอะจะเป็นพระคุณอย่างสูง

สำหรับข้อที่ผมยังไม่ชอบในระบบ e-POWER นั้น สิ่งเดียวที่ทราบคือ เสียงเครื่องยนต์ตอนปั่นไฟแบบเร่งรีบนั้น ดังมาก และสะท้านมาก ท่านใดที่ประสาทเสียง่ายกับเรื่องพวกนี้ อย่าลืมไปหาทางทดสอบก่อนนะครับ แต่คุณจะเจอเคสแบบนี้เมื่อขับอย่างหนักหน่วงเท่านั้น ในสถานการณ์ทั่วไป ก็อาจจะพบแค่การปั่นไฟในโหมดปกติ ซึ่งเสียงเครื่องยังไม่ดังมาก พอรับได้

ส่วนเรื่องอื่นๆ ขอติดไว้ก่อน เราต้องมีการลองขับจริง บนถนนจริงกันอีกรอบ เพื่อหาคำตอบที่เหลือให้ครบ ถ้าคาดไว้ไม่ผิด สิงหาคมครับ เจอกัน

สำหรับประสบการณ์ขับในวันนี้ ผมยอมรับแล้วในหลายสิ่ง …ยอมรับว่าอัตราเร่งมันได้ ยอมรับว่าออพชั่นและดีไซน์รถคันจริง ก็ได้เหมือนกัน ยอมรับว่าเรื่องช่วงล่างนี่เกินคาดอีกด้วย

แต่จะบอกว่า EV 100%… ผมไม่ยอมรับได้ไหม ขอเรียกว่า EV แบตแคระเหมือนเดิมแหละ

—-/////—–

ขอขอบคุณ / Special Thanks to: ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

Communications Department, NISSAN MOTOR (THAILAND) CO., LTD.

Pan Paitoonpong และ Yutthapichai Phantumas เขียน

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นของ Nissan Motor และผู้เขียน ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com  16 มิถุนายน 2020

Copyright (c) 2018 Text and PicturesUse of such content either in part or in whole without permission is prohibited. First published in www.Headlightmag.com. 16th June 2020


บทความอื่นที่น่าสนใจ

ถาม-ตอบเจาะลึกข้อมูลระบบ e-POWER ใน Nissan Kicks ในสิ่งที่คุณอยากรู้