Ford Ranger กับรหัส T6 เปิดตัวครั้งแรกในไทย เมื่อ 23 มีนาคม 2011 ในงาน Motor Show 2011 ครบเวลา 4 ปี ก็ได้เปิดตัวรุ่น Minorchange ออกมา เมื่อ 17 กรกฎาคม 2015 จัดงานเปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการ >> ชมคลิปเปิดตัวได้ที่นี่ << เป็นการยกงานดีไซน์ด้านหน้าตัวรถใหม่ทั้งหมด รวมถึงแดชบอร์ดภายในห้องโดยสาร ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกินคำว่า Minorchange ไปพอสมควร

ในขณะที่ปัจจุบัน การแข่งขันของตลาดรถกระบะในไทยก็ดุเดือด Ford จึงต้องทำการปรับ Minorchange เป็นรอบที่ 2 คราวนี้งานดีไซน์กลับเป็นเรื่องรอง เพราะมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ ” เครื่องยนต์ และ ระบบส่งกำลังใหม่ “

Ford Australia ได้เผยภาพ และ ข้อมูลของ Ranger Minorchange รอบที่ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อ 16 พฤษภาคม 2018 ที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับงานดีไซน์ด้านหน้าเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น กระจังหน้า และ กันชนหน้าดีไซน์ใหม่, ไฟหน้า Projector Lens แบบ HID ที่จะมาตั้งแต่รุ่น XLT และ Wildtrak พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED ด้านล่างเป็นชุดไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่

สีตัวถังภายนอก ในรุ่น Wildtrak มาพร้อม สีส้ม เฉดใหม่ ” Sabre Metallic ” ที่โทนสีอ่อนลงกว่ารุ่นเดิม นอกเหนือจากนี้รายละเอียดยังคงเหมือนเดิม ในรุ่น XLT จะมาพร้อมล้อ 17 นิ้ว และ รุ่น Wildtrak จะมาพร้อมล้อ 18 นิ้ว

 

Ford Ranger Minorchange นอกเหนือจากการปรับปรุงงานดีไซน์ด้านหน้าตัวรถเล็กน้อยแล้ว ยังจะมีการปรับปรุงการเซ็ตช่วงล่างใหม่อีกด้วย (เนื่องจากน้ำหนักของเครื่องยนต์มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร) ส่วนระบบความปลอดภัยมีการเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีระบบ Active Safety (ระบบความปลอดภัยก่อนเกิดเหตุ) อยู่แล้ว ก็จะเพิ่มความสามารถในการปกป้องมากขึ้น

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบรักษาระยะห่าง Adaptive Cruise Control
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System
  • ระบบเตือนรถให้อยู่ในช่องจราจร Lane Keeping System
  • ระบบช่วยเตือนการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Alert System
  • ระบบเบรกอัตโนมัติ ตรวจจับรถ และ คนเดินถนน AEB : Autonomous Emergency Braking (NEW)

โดยระบบเบรกอัตโนมัติ AEB จะใช้เรดาร์ และ กล้องด้านหน้ารถในการตรวจจับวัตถุด้านหน้า ทำงานเมื่อความเร็วมากกว่า 3.6 km/h (ปกติระบบเดิม เตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System จะทำการส่งสัญญาณไฟ และ สัญญาณเสียงเตือนเท่านั้น ไม่ได้ช่วยเบรกอัตโนมัติ)

 

ด้านระบบอำนวยความสะดวกที่ลูกค้าชาวไทยหลายคนเรียกร้อง และ รอคอย ก็ได้ติดตั้งมาแล้วในรุ่น Minorchange นี้ ได้แก่

  • ระบบกุญแจอัจฉริยะ Smart Keyless Entry (NEW)
  • ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button (NEW)

โดยทั้ง 2 อย่างนี้ ใน Ranger Minorchange เวอร์ชั่นออสเตรเลีย จะติดตั้งมาให้ในรุ่น XLT และ Wildtrak นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งอุปกรณ์ เพิ่มความสะดวกสบายเพิ่มเติม ระบบช่วยผ่อนแรงฝาท้ายกระบะ Easy Lift Tailgate ที่จะทำให้เมื่อเปิดฝาท้ายกระบะ ไม่กระแทกลงอย่างแรง แต่จะค่อยๆเลื่อนเปิดลงมาอย่างนุ่มนวล

และ ระบบที่เคยติดตั้งใน Ford Everest ก็ถูกนำมาติดตัั้งใน Ranger Minorchange เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือ ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Active Parking Assist ที่จะช่วยจอดรถแบบขนาน Parallel Parking

ทางด้านเครื่องยนต์ มีการเพิ่มทางเลือกใหม่ ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo เหมือนใน Ranger RAPTOR

Diesel 2.0 EcoBlue Bi-Turbo (NEW)

เครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue TDCi 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0 ลิตร 1,996 ซีซี. พ่วงเทอร์โบคู่ (ทำงานร่วมกันระหว่าง High-Pressure (HP Turbo) เทอร์โบแรงดันสูง และ Low-Pressure (LP Turbo) เทอร์โบแรงดันต่ำ ควบคุมด้วยวาล์ว Bypass) กำลังสูงสุด 213 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ พร้อมปุ่มเปลี่ยนเกียร์ Manual Mode + – ที่หัวเกียร์

Diesel 2.0 EcoBlue Turbo (NEW)

รายละเอียดเครื่องยนต์จะเหมือนกับด้านบน แต่จะเปลี่ยนจาก Bi-Turbo เป็น Turbo เดี่ยว พละกำลังยังไม่มีการเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการในขณะนี้ แต่คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่าง 170 – 190 แรงม้า

 

ในขณะที่เครื่องยนต์เดิมอย่าง ดีเซล 2.2 ลิตร และ ดีเซล 3.2 ลิตร ก็ยังคงมีให้เลือกอยู่เหมือนเดิม

2.2 Duratorq

เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว Duratorq TDCi ขนาด 2.2 ลิตร 2,198 ซีซี พร้อมเทอร์โบแปรผัน แบบมีครีบ VG Turbo พร้อม Intercooler 125 – 160 แรงม้า ที่ 3,200 รอบ/นาที แรงบิด 320 – 385 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ / เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

3.2 Duratorq

เครื่องยนต์ดีเซล 5 สูบแถวเรียง 20 วาล์ว Duratorq TDCi ขนาด 3.2 ลิตร 3,198 ซีซี พร้อมเทอร์โบแปรผันแบบมีครีบ VG Turbo พร้อม Intercooler ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 3,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 470 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ / เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

โดยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ตัวเลขจากโรงงานของเครื่องยนต์ใหม่ ดีเซล 2.0 Bi-Turbo ประหยัดขึ้นกว่า 3.2 Duratorq เดิม

  • 3.2 Duratorq 200 แรงม้า อัตราสิ้นเปลือง 12.19 km/l (8.2 l/100 km.)
  • 2.0 Bi-Turbo 213 แรงม้า อัตราสิ้นเปลือง 14.92 km/l (6.7 l/100 km.)

Ford Ranger Minorchange มีกำหนดการเปิดตัวในไทย ภายในเดือน กรกฎาคม 2018 นี้ ตามหลัง Everest Minorchange ไม่นานนัก พร้อมเครื่องยนต์ 2.0 Turbo และ 2.0 Bi-Turbo และ ยังคงเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร และ 3.2 ลิตรเอาไว้ในบางรุ่น แต่จะจัดวางรุ่นย่อย เครื่องยนต์ และ เกรดต่างๆ รวมถึง ภายในห้องโดยสาร และ ราคาอย่างเป็นทางการจะเป็นอย่างไร ปรับมากน้อยแค่ไหน คงต้องรอติดตามชมกันอย่างใกล้ชิดเร็วๆนี้


เรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดโดย www.headlightmag.com


แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่ >> community.headlightmag.com/65547.0


บทความที่น่าสนใจ : Ford Everest Minorchange : ดีเซล 2.0 Bi-Turbo 213 แรงม้า เตรียมเปิดตัวในไทย 10 ก.ค. นี้ >> http://www.headlightmag.com/ford-everest-minorchange-2-0-bi-turbo-coming-soon-thailand/

Ford Everest Minorchange : ดีเซล 2.0 Bi-Turbo 213 แรงม้า เตรียมเปิดตัวในไทย 10 ก.ค. นี้