ทุกครั้งเมื่อยามที่คุณผู้อ่าน เพื่อนฝูง ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้คนรอบข้าง ทักทายมา
เพื่อปรึกษาว่าจะซื้อรถยนต์สักคัน ผมเองก็ยินดีจะช่วยเหลือ เพื่อให้แต่ละ
ครอบครัว ได้รถยนต์ที่ถูกใจ ตรงกับความต้องการ ตามกำลังทรัพย์ ที่มี

เพราะผมเชื่อว่า การใช้ชีวิตของเรานั้น ถ้าได้รถยนต์ที่ถูกใจ ใช้แล้วถูกชะตา
ปลอดภัยไร้ปัญหา ก็จะนำมาซึ่งความสุขสบายใจแก่บรรดาสมาชิกในครอบครัว
อย่างถ้วนหน้า

แต่ในระยะหลังๆมานี้ ยอมรับเลยครับว่า การให้คำปรึกษาแก่ใครก็ตาม มัน
เริ่มไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อนอีกต่อไป…

เดี๋ยวนี้ ถ้าใครจะถามผมว่า เขาหรือเธอ ควรซื้อรถยนต์อะไรดี ? ผมจำเป็นต้อง
ค้นหาบุคลิก และความต้องการลึกๆในใจเขา โดยเริ่มจากการถามย้อนกลับ
ไปว่า นอกเหนือจากงบประมาณที่มีอยู่แล้ว คุณต้องการรถยนต์คันใหม่ ไว้
ใช้ทำอะไรบ้าง ?

สิ่งที่ผมต้องการรู้เพิ่มเติม มีทั้ง บุคลิก แนวความคิด รูปแบบการใช้ชีวิต ภาระ
หน้าที่การงาน สมาชิกในครอบครัว รวมถึงนิสัยใจคอของทุกคนในบ้าน นี่ดีนะ
ที่ยังไม่ถึงขั้นต้องถามว่า เกิดเมื่อไหร่ ปีนักษัตร เวลาตกฟากเท่าไหร่ เพราะถ้า
เช่นนั้น ผมคงปิดเว็บ Headlightmag ไปเปิดสำนักโหราศาสตร์ดูดวง แข่งกับ
คุณลุง เพื่อนบ้าน ในอีก 2 ซอยถัดไปแหงๆ

คุณจำเป็นต้องบอกผมว่า ปกติแล้ว เคยมีรถยนต์มาก่อนหรือไม่ เป็นรถยนต์
คันแรก หรือคันที่เท่าไหร่ของบ้าน ซื้อทดแทนคันเดิม หรือซื้อเพิ่มเติมให้
โรงรถมันเต็มเล่นๆ ใครเป็นคนขับรถคันใหม่นี้บ่อยๆ ขับออกจากบ้าน ไป
ที่ทำงาน ไกลแค่ไหน ไปเที่ยววันหยุดบ่อยไหม ในเมือง ไปศูนย์การค้า
ไปช็อปปิง หรือไปยิงนกตกปลานอนค้างอ้างแรมกันตามต่างจังหวัด ขับ
บนถนนลูกรัง ขรุขระ พื้นผิวไม่เรียบ ชนิดที่ต้องให้องค์การ NASA มา
ออกใบรับรองว่า นี่คือ ถนน ไม่ใช่พื้นดาวพลูโต บ่อยมากน้อยแค่ไหน ?
มีลูกเล็กแดงแดงนั่งไปด้วยกี่คน แล้วผู้อาวุโสในบ้านละ จะนั่งรถคันนี้
บ่อยแค่ไหน ?

ยังไม่จบครับ ผมต้องถามต่อไปอีกว่า คุณชอบขับรถแบบไหน ขับช้าๆ
เรื่อยๆ สบายๆ ราวกับนั่งตากลมอยู่เกาะเสม็ด หรือขับแบบหมายเผด็จ
รถทุกคันที่อยู่ข้างหน้า ราวกับว่า ทางด่วน คือสนามบุรีรัมย์เซอร์กิต ที่
คุณจะต้องพิชิตชัยในทุกทางโค้งและทางตรง จนรถคันข้างๆเขาด่าว่า
เป็น “ไอ้พวกบ้าพลัง” จี้ตูดรถคันข้างหน้าเสียจนต้องถามว่า ชาติก่อน
พ่อมึงเป็นโจรจี้ชิงทรัพย์ตามมุมตึกในหนังสือขายหัวเราะ หรือไงฟะ!!?

บางคนอยากได้ความประหยัด และความคุ้มค่าชนิดว่า ขี้ไม่ให้หมาแXก
ต้องประหยัดน้ำมันเยอะๆ ออพชั่นแยะๆ ท่วมคันรถ ราคาขายต่อต้องสูง
ปรี๊ดกว่ารถคันอื่น ราวกับตึกใบหยก 2 โดยเฉพาะกลุ่มหลังนี่บ้าไปแล้ว
มองรถยนต์ เป็นทรัพย์สิน ซื้อมา แล้วขายต่อไป ต้องได้กำไร ราคาต้อง
ไม่ตกมากนัก อยากจะบอกเหลือเกินว่า พี่ครับ ยังไม่ทันจะซื้อรถมา
คิดจะขายต่อเสียแล้ว งั้นไม่ต้องซื้อเลยครับ โบก Taxi เรียก Uber
แล้วนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่บนเบาะหลังเขาไปน่ะดีแล้ว

เหตุผลก็เพราะ ยิ่งผมเรียนรู้จักคุณและทุกคนในบ้านมากขึ้นเท่าไหร่
นั่นยิ่งช่วยให้ผม สามารถเฟ้นหารถยนต์ให้เหมาะกับคุณมากขึ้น

แต่บางครั้ง ก็ใช่ว่าชีวิตจะง่ายเสมอไป ตัวเลือกที่ผมเสนอให้เป็นคำตอบ
บางคน กลับไม่ชอบใจ จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การที่รถยนต์คันนั้น
ไม่ตรงกับใจตนเองตั้งแต่แรก อาจเป็นเพราะเคยมีประสบการณ์แย่ฝังใจ
กับบางยี่ห้อ หรือในบางกรณี ก็เป็นปัญหาโลกแตก เพียงเพราะแค่ว่า
แม่ยายเซย์โน ต้องซื้อ Toyota หรือ Honda เท่านั้น นางถึงจะโอเค

กลายเป็นปัญหาโลกแตก ปวดตับ ลำบากลำไส้ หนักขึ้นไปอีก

2015_01_05_Honda_HR_V_01

ไม่แปลกหรอกครับ ความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ในโลกนี้
ไม่มีรถยนต์รุ่นใดที่ตอบโจทย์รองรับความต้องการของทุกคนในครอบครัว
ได้ครบถ้วนในทุกทาง

ยิ่งถ้าเป็นรถยนต์แบบดั้งเดิมที่เราๆท่านๆคุ้นเคยกันดี ทั้งแบบ เก๋ง Sedan
Hatchback หรือ SUV ต่อให้อเนกประสงค์เต็มที่ แบบรถกระบะ 4 ประตู
ก็ยังมีจุดที่คุณ หรือคนในบ้าน ไม่ถูกใจ ต้องหาเรื่องตำหนิ และพยายาม
ปฏิเสธ ไม่ซื้อรถคันนั้นให้ได้อยู่ดี

ผู้ผลิตรถยนต์ ก็ไม่ยอมแพ้ครับ พวกเขาต่างพยายาม พัฒนารถยนต์รุ่นใหม่่
ออกมาให้โดนใจคนทั่วโลก มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งระยะหลังๆ นี้
ถึงขั้นต้องนำเอาคุณสมบัติต่าง อันเป็นข้อดีที่หลายคนชื่นชอบ จากรถยนต์
แต่ละประเภท จับมาเข้าเครื่องปั่นน้ำผลไม้ มูลิเน็กซ์ แล้วก็เขย่าๆ ปล่อย
ใบพัด หมุนควงสว่าน จนเละเป็น Smoothies เทออกมาเสิร์ฟคุณ

ไม่สิ…ถ้าเป็นเครื่องดื่ม..เราเรียก Smoothies น่ะถูกแล้ว แต่ถ้าเป็นรถยนต์
เราต้องเรียกว่า รถยนต์แบบ Crossover ถึงจะตรงเผง!

Crossover ก็คือรถยนต์ที่จับเอาบุคลิกของรถยนต์ประเภทต่างๆ มาผสม
ผเสปนเปกัน โดยมีลักษณะบังคับคือต้องใช้พื้นตัวถัง หรือ Platform แบบ
Monocoque จากรถเก๋ง พูดง่ายๆคือใช้โครงสร้างแบบรถเก๋งล้วนๆ ไม่ใช่
การเอาตัวถัง มาวางบน Chassis Frame แบบรถกระบะ SUV/PPV อย่าง
Toyota Fortuner, Isuzu MU-X, Mitsubishi Pajero Sport ฯลฯ

ประการต่อมา รถยนต์ Crossover ต้องมีระยะใต้ท้องที่สูงกว่ารถเก๋งทั่วไป
ไม่ได้สูงโย่งแบบ Toyota Land Cruiser แต่อย่างน้อยก็ควรจะมากพอให้
ลุยน้ำท่วมบนถนนอันสุดแสนจะประเสริฐเพริศแพร้ว ของกรุงเทพมหานครฯ
ดีกว่ารถยนต์นั่งตัวเตี้ยทั่วไปแล้วกัน นอกจากนี้ Crossover ในปัจจุบันยังมี
ความใกล้เคียงกับ SUV ที่มีพื้นฐานมาจากรถเก๋ง ชนิดที่พวกอเมริกันมักเรียก
สลับกันไปมาอย่างสับสนระหว่าง SUV กับ CUV ซึ่งย่อมาจาก Crossover
Utility Vehicle โดยมีเพียงรูปทรงเท่านั้นที่ผู้คนเอามาใช้ตัดสินว่าจะเรียก
อย่างไร ถ้าดูเพรียว หลังคาเตี้ย ท้ายสั้นคล้ายรถเก๋งแฮทช์แบ็ค ก็มีแนวโน้ม
จะถูกเรียกว่า Crossover ได้เหมือนกัน

ทุกวันนี้ รถยนต์ Crossover ในโลกใบนี้กลับประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
เกินคาดไม่ว่าจะเป็นตลาดใหญ่อย่างอเมริกาเหนือ ตลาดที่ล้มบ้างลุกบ้างอย่าง
ทวีปยุโรป หรือตลาดที่กำลังโตอย่างบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน มันเป็นตัว
พิสูจน์ว่า ไอ้รถที่ “อยากจะเป็นอะไรก็ไม่เลือกให้มันชัดๆไปสักอย่างนั้น” มีที่ยืน
ในสังคมทั่วโลก แถมยังจะฆ่ารถยนต์ตัวถังอื่นๆ จากพี่น้องร่วมค่ายเลยด้วยซ้ำ

และแล้ว รถยนต์ Crossover ก็เริ่มต้นพาเหรด เข้ามาบุกลาดบ้านเราเสียที!

2015_01_05_Honda_HR_V_02

ประเทศไทยเรา เพิ่งมาเริ่มรู้จักคำว่า Crossover กันในยุคที่ Subaru ใจป้ำนำรุ่น XV
จากมาเลย์เข้ามาขายในบ้านเรา แปะป้ายราคาที่คนทั่วไป สามารถเอื้อมถึงได้โดยไม่กลัว
ถังแตก เมื่อยอดขายของ XV พุ่งพรวดพราดถล่มทลาย พลิกชีวิตแบรนด์ Subaru จากคน
ป่วยใกล้ตาย กลายมาเป็นคนปกติอย่างน่าอัศจรรย์ จนเปรียบเสมือนร้านอาหารในตรอกมืดๆ
ลูกค้าผ่านมาวันละคนสองคน  มีจิ้งหรีด และตุ๊กแก ร้องเรื่อยๆ ให้กำลังใจเจ้าของอยู่ไกลๆ
แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง มี Celebrities มานั่งกินแล้วโพสท์ลง Instagram ว่า “เฮ้ย เช็ดดดด!
อร่อยว่ะ!”  ทายสิว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น..ที่พูดนี่ไม่ได้เวอร์ ในฐานะที่ผมต้องเดินทาง
ไปๆมาๆที่โชว์รูม Subaru เสรีไทยมาตลอดตั้งแต่ ปี 2008-2009 จนถึงปัจจุบัน ผม
เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากๆ ผู้คนหนาตาขึ้นกว่าเดิมแบบพลิกแผ่นดิน!

แต่ความจริง รถยนต์ Crossover ในประเทศไทยมีมานานชาติเศษๆแล้วครับ คุณผู้อ่าน
ยังจำ Volvo V70XC , Subaru Legacy Outback หรือ Suzuki SX-4 ได้ไหม?
นั่นล่ะครับรถยนต์ Crossover รุ่นบุกเบิกในบ้านเรา ทั้งนั้น

เมื่อ XV พิสูจน์ว่าประเทศไทยให้การยอมรับรถยนต์ Crossover จนลูกค้าหลายคน
ยอมเสี่ยงผละจากแบรนด์ตลาดมาซื้อได้มากขนาดนี้ แน่นอนว่าค่ายเจ้าตลาด ยอดขาย
อันดับต้นๆของประเทศ ย่อมรู้สึกกล้า และมั่นใจที่จะกระโดดเข้าร่วมชิงก้อนเค้กใน
ตลาดกลุ่มนี้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน

การที่ XV เปิดตัว ด้วยราคา 1.3 ล้านบาท ในช่วงแรกๆ นั้น ทำให้ช่องว่างสำหรับ
รถยนต์ Crossover ราคาหลักแสน จึงเกิดขึ้น Nissan Juke และ Ford EcoSport
ก็เป็นผู้เล่นอีก 2 ราย ที่เปิดตัวตามติดต่อเนื่องกันมา กอบโกยยอดขายได้ระดับหนึ่ง
ก่อนจะถึงจุดแผ่วตามอายุตลาดที่ล่วงเลยไป

#Honda ก็เช่นกัน !!

ผมแอบแปลกใจเล็กน้อย เมื่อรู้ว่า Honda Vezel คันที่ผมกำลังยืนดูอยู่ในงาน Tokyo
Motor Show เดือนตุลาคม 2013 กำลังจะถูกนำเข้ามาประกอบขายในเมืองไทย เพราะ
ไม่คิดมาก่อนว่า Honda จะมีความคิดดีๆแบบนี้กับเขาก็เป็นด้วย

ความจริงแล้ว พวกเขาซุ่มศึกษาตลาด Crossover ในบ้านเรามานานแล้ว เห็นแนวทาง
ความต้องการของลูกค้าที่เริ่มเปลี่ยนไปมาได้สักพักแล้ว ตอนนั้น ผมลุ้นอยู่ว่า คนไทย
จะได้ใช้รุ่นเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี เหมือนเวอร์ชันญี่ปุ่น หรือ 1,800 ซีซี เหมือนตลาด
ส่งออกกันแน่ ตอนเปิดตัว ก็แอบยินดีปรีดา ที่พวกเขา เลือกขุมพลังแบบหลัง

ถึงหลายคนจะบ่นว่า “แพง!” หรือ “ตั้งราคามาอย่างนี้ซื้อ XV ไม่ดีกว่าหรือ?” หรือ
“อีกนิดเดียวก็ Accord แล้ว!” ท้ายสุด เป็นไงละครับ! นอกจากจะได้กระแสตอบรับ
ที่ดีมากแล้ว ยอดจองที่หลั่งไหลเข้ามานั้นเยอะมากจนทาง Honda ประเทศไทย
ต้องสั่งปิดการรับจองชั่วคราว ไปเรียบร้อยแล้ว และรุ่นที่ขายดีที่สุดนั้นก็คือรุ่น EL
ตัวท็อป พร้อมออพชั่นเต็มหลังคากระจก ที่มีค่าตัวทะลุ 1 ล้านบาท ที่หลายคน
ยังคิดว่ามันแพง นั่นแหละ!

มองกันอย่างละเอียดๆ การที่ Honda ขาย HR-V ได้มากขนาดนี้ ในปีที่ภาวะของ
เศรษฐกิจไม่แน่ไม่นอน แถมยังเป็นรถยนต์ราคาตั้งแต่เฉียด 900,000 ไปจนถึง
1 ล้านบาทเศษๆ อีก นั่นไม่ใช่เรื่องธรรมดา

นั่นจึงเป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องหาทางมาค้นหาคำตอบเพิ่มเติมว่า HR-V มันดี
ถึงขนาดนั้นเลยหรือ? เพราะแม้ผมจะลองขับและทำบทความ First Impression
มาให้คุณผู้อ่านดูกันแล้ว ผมยังจำได้ว่าเรามีเรื่องที่ยังคาใจรอให้ตอบกันอยู่บ้าง

แต่ก่อนที่จะเคลียร์ปัญหาคาใจ ให้กระจ่างใสดุจการเคลียร์ปัญหาสิวจากหน้าผากวัยรุ่น
ผมอยากให้คุณผู้อ่านได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว Honda ไม่ได้เพิ่งเริ่มทำ รถยนต์ Crossover
และ HR-V รุ่นล่าสุดที่คุณเห็นอยู่นี้ มันก็ไม่ใช่ HR-V รุ่นแรกอย่างที่คุณคิด!

เราจะนั่ง Time Machine ของ โดราเอมอน กันไปไม่นานนัก แค่สักช่วงปี 1997 ก็พอ!

1997_Honda_J_WJ_Concept_EDIT

ทศวรรษ 1990 เป็นช่วงเวลาที่ Honda ตัดสินใจเริ่มเปลี่ยนนโยบายจากการ
ทำรถเก๋งแต่เพียงอย่างเดียว มาเป็นการขยายสายพันธุ์ ริเริ่มเพิ่มโครงการพัฒนา
รถยนต์อเนกประสงค์จำพวก Minivan และ SUV เพื่อเอาใจลูกค้าทั่วโลกที่นิยม
อุดหนุนรถยนต์ 2 ประเภทนี้มากขึ้น จากเหตุผลสำคัญที่ว่า ถ้า Honda ยังคงทำ
รถเก๋งขายอย่างเดียว ยอดขายจะเริ่มลดลง และสถานภาพของ Honda ในตลาด
รถยนต์ 4 ล้อ คงไม่รอดแน่ๆในระยะยาว

เมื่อ Odyssey Minivan รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ ของ Honda ออกสู่ตลาดเมื่อ
วันที่ 20 ตุลาคม 1994 ตามด้วย CR-V รุ่นแรก เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1995 (หรือ
อีก 1 ปีถัดมา) ต่างประสบความสำเร็จในตลาดญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา เป็นอย่างดี
ทำให้ Honda เริ่มตื่นจากภวังค์ เร่งผุดโครงการรถยนต์อเนกประสงค์ ขนาดเล็ก
รุ่นต่างๆ ออกมาขนานใหญ่ ภายใต้โครงการ J-Mover ซึ่งมีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกัน
ได้แก่ J-MW (ต่อมาเป็น Honda Capa ทำออกมารุ่นเดียวในปี 1998 แล้วก็
เจ๊ง) J-MJ (Small SUV ทรงสูง ขนาดเล็ก ที่ไม่ได้รับการผลิตจริง เพราะเสียง
ตอบรับ ไม่ดีเท่าไหร่) และ J-WJ ซึงก็คือ HR-V รุ่นแรกนั่นเอง

อันที่จริง Honda มีแนวคิดอยากทำ SUV ขนาดเล็กกว่า CR-V มานานแล้ว
เพราะจากการสำรวจตลาด พวกเขาพบว่า ยังมีกลุ่มลูกค้าที่มองว่า รถยนต์ SUV
4WD ขนานแท้นั้น ดูจะเกินความจำเป็นไปหน่อย ลูกค้ากลุ่มนี้ อยากได้รถยนต์
ยกสูงแบบ SUV แต่เหมาะกับการเดินทางในเมือง ต้องมีความคล่องตัวมากกว่า
น้ำหนักเบา ขนาดกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป Honda จึงซุ่มพัฒนา HR-V
รุ่นแรกอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ช่วงปี 1995 – 1996

ก่อนการเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริง Honda ได้สร้างรถยนต์ต้นแบบ ซึ่งนำ
แนวเส้นสายของ HR-V คันจริง มาแปลงโฉมในสไตล์ Futuristic เพิ่มจาก
ปกติเล็กน้อย ใช้ชื่อ Honda J-WJ ออกมาอวดโฉมครั้งแรกในโลก ณ งาน
Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 1997 ก่อนจะนำไปจัดแสดงในงาน
Geneva Motor Show อีกครั้ง เมื่อเดือนมีนาคม 1998

ด้วยรูปลักษณ์แบบล้ำสมัยแต่แฝงความเรียบง่ายของเส้นสาย ภายใต้ตัวถังที่
ยาว 3,950 มิลลิเมตร กว้าง 1,780 มิลลิเมตร สูง 1,775 มิลลิเมตร ระยะ
ฐานล้อสั้นแค่ 2,360 มิลลิเมตร วางขุมพลัง 4 สูบ 16 วาล์ว 1,500 ซีซี
พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VTEC ออกแบบมาเพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้ากลุ่มที่เพิ่ง
เริ่มทำงาน วัยระหว่าง 25 – 35 ปี (ในตอนนั้น) ที่อยากได้ SUV ขนาดเล็ก
ใช้งานในเมือง แทนรถเก๋ง หรือ Hatchback ทั่วๆไป ทำให้เสียงตอบรับ
ในญี่ปุ่น และยุโรป ดีเกินคาด จน Honda เริ่มมั่นใจมากพอที่จะเดินหน้าส่ง
Honda HR-V ขึ้นสายการผลิตอย่างจริงจัง

1998_Honda_HR-V_01_EDIT

เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ HR-V รุ่นแรก ออกสู่ตลาดญี่ปุ่นครั้งแรก เมื่อวันที่
21 กันยายน 1998 ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิดการออกแบบที่ว่า Jet-Feel
Hi-Rider จุดเด่นอยู่ที่การออกแบบไฟหน้าให้เป็นแบบ 4 ดวง (ไฟกลมคู่)
ยกพื้นตัวถังให้สูงขึ้นจากพื้นถนน เป็น 190 มิลลิเมตร ภายในห้องโดยสาร
โอ่โถงเพียงพอสำหรับ 4 คน เบาะหลังแยกพับปรับได้อเนกประสงค์ เพื่อ
การใช้งานสารพัดรูปแบบ แต่มีขนาดย่อมเยากว่า CR-V ลงมานิดๆ

ตัวถัง ยาว 3,995 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,590 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,360 มิลลิเมตร วางขุมพลังรหัส D16A เบนซิน 4 สูบ SOHC
16 วาล์ว 1,590 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 75 x 90 มิลลิเมตร กำลังอัด
9.6 : 1 หัวฉีด PGM-FI มีให้เลือก 2 ระดับความแรง ในรุ่น J และ J4 จะมี
กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.1
กก.-ม.ที่ 3,400 รอบ/นาที แต่รุ่น JS4 จะเพิ่มระบบแปรผันวาล์ว VTEC
แรงขึ้นเป็น 125 แรงม้า (PS) ที่ 6,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด เพิ่มขึ้น
อีกนิดนึงอยู่ที่ 14.7 กก.-ม.ที่ 4,900 รอบ/นาที

ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ Real Time แบบ
Dual Pump System ด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ อัตโนมัติ CVT
MultiMatic-S (รุ่นท็อป JS4 ขุมพลัง VTEC จะเป็นรุ่นเดียวที่เลือกได้แค่
เกียร์ CVT เชื่อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เท่านั้น)

พวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิก
ระบบกันสะเทือนหน้า – หลัง เป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ยกเว้นรุ่น 4WD
ที่จะเปลี่ยนช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบ De-Dion ระบบห้ามล้อด้านหน้า
ดิสก์เบรก หลังดรัมเบรก ยางติดรถจากโรงงาน ขนาด 195/ 70R15 92S

หลังจากเปิดตัวรุ่น 3 ประตูไปได้เกือบ 1 ปี รุ่น 5 ประตู จึงตามออกมาเสริมทัพ
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 1999 ตัวรถมีขนาดเท่ากันกับรุ่น 3 ประตู ทุกประการ
แต่เพิ่มบานประตูคู่หลัง ด้วยวิธีลดขนาดบานประตูคู่หน้าให้สั้นลงนิดหน่อย
ทำให้สะดวกต่อการเข้า – ออก จากห้องโดยสารด้านหลัง มากยิ่งขึ้น HR-V รุ่น
5 ประตู จะเครื่องยนต์กลไก และรายละเอียดวิศวกรรม ร่วมกันกับรุ่น 3 ประตู
ทุกประการ

เมื่อเปิดตัวในญี่ปุ่นไปแล้ว ก็จำเป็นต้องมีการกระตุ้นตลาด เริ่มจากรุ่นพิเศษชื่อ
“Player” แถมวิทยุ AM/FM/CD 1 แผ่น เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ (Auto
Aircon) และกระจกหน้าต่าง ติดฟิล์มครึ่งคันหลังแบบ Privacy Glass จาก
โรงงาน (เพราะในญี่ปุ่น ลูกค้าที่ซื้อ HR-V รุ่นแรก ต้องสั่งซื้อเครื่องเสียง และ
ฟิล์ม Privacy Glass กันเอาเอง ในฐานะอุปกรณ์สั่งพิเศษ)  ออกขายเมื่อ
25 กุมภาพันธ์ 2000 จำกัดจำนวน 1,500 คัน

จากนั้น 31 สิงหาคม 2000 HR-V “Navi Player” ติดตั้งชุดเครื่องเสียงวิทยุ
AM/FM เครื่องเล่นเทป เครื่องเล่น CD 1 แผ่น พ่วงด้วย TV-Tuner 4 ลำโพง
และระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System แสดงภาพบน
จอมอนิเตอร์สี TFT พร้อมเสาอากาศ TV พิมพ์ฝังกระจกบังลมหลัง จากโรงงาน
เครื่องปรับอากาศอัตโนมัติ (Auto-Aircon) กระจก Privacy Glass และเพิ่ม
สีตัวถัง Brilliant White Pearl

1 กุมภาพันธ์ 2001 เพิ่มรุ่นพิเศษ J4 Sound Player ติดตั้งชุดเครื่องเสียงมาให้
จากโรงงาน ก่อนปรับโฉม Minorchange เมื่อ 5 กรกฎาคม 2001 เปลี่ยนเปลือก
กันชนหน้า เพิ่มไฟตัดหมอก เปลี่ยนลายกระจังหน้ามาเป็นแบบรังผึ้ง เปลี่ยนไฟเลี้ยว
ในโคมไฟหน้า มาเป็นเลนส์ขาว จากเดิมสีส้มอำพัน และเปลี่ยนลายไฟท้ายเล็กน้อย

จากนั้น 17 ธันวาคม 2001 เพิ่มรุ่นพิเศษ J special แบบ 5 ประตู เน้นความคุ้มค่า
เพิ่มถุงลมนิรภัยคู่หน้า แต่ไม่มีไฟตัดหมอกหน้า เว้นไปอีก 1 ปี 12 ธันวาคม 2002
เพิ่มรุ่นย่อยพิเศษกระตุ้นตลาด  J Super Player ทั้ง 3 และ 5 ประตู เน้นความคุ้มค่า
ปิดท้ายด้วย การปรับอุปกรณ์ แบบ Minorchange เพิ่มล้ออัลลอยให้รุ่น JS เมื่อวันที่
21 ตุลาคม 2003 เป็นรุ่นสั่งลา แต่เอาเข้าจริง Honda ยังคงลากทำตลาด HR-V ใน
บ้านเกิดตัวอง ไปจนถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2006

ไม่เพียงแค่ขายในญี่ปุ่นเท่านั้น Honda ยังส่ง HR-V รุ่นแรก ออกไปบุกตลาดยุโรป
ตามหลังการเปิดตัวในญี่ปุ่นไม่นานนัก และมีให้เลือกเฉพาะรุ่น 3 ประตูในช่วงเริ่มแรก
วางเครื่องยนต์ 3 แบบ ทั้งรหัส D16W1 กับ D16W2 บล็อก 4 สูบ SOHC 16
วาล์ว 1,590 ซีซี 105 แรงม้า (PS) ที่ 6.200 รอบ/นาที แรงบิด 138 นิวตันเมตร
(14.06 กก.-ม.ที่ 3,400 รอบ/นาที ส่วนอีกรุ่น จะเป็นรหัส D16W5 บล็อกเดียวกัน
ทุกอย่างเท่ากันหมด แต่ติดตั้งระบบแปรผันวาล์ว VTEC แรงขึ้นเป็น 125 แรงม้า (PS)
(PS) ที่ 6,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร (14.7 กก.ม.) ที่ 4,900
รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 4 จังหวะ

อย่างไรก็ตาม HR-V ก็มีสภาพไม่ต่างจาก Honda หลายๆรุ่น ที่ไม่ค่อยประสบความ
สำเร็จด้านยอดขายมากนัก ในญี่ปุ่นเอง แม้จะเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1998 แต่การลากขาย
ไปเรื่อยๆ อีกนานถึง 8 ปี ก่อนยุติการผลิต ถือเป็นเรื่องแปลก ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับ
Honda ส่วนสถานการณ์ในตลาดยุโรป ก็แทบไม่ต่างกัน อาจมีอังกฤษ และ เยอรมัน ที่
ยังพอจะขายได้บ้างในช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้น ยอดขายก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ และต้อง
ปิดฉากไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่ตัวรถ ก็สวยแบบเรียบๆ และน่าดึงดูดใจวัยรุ่นเอาเรื่อง

ทำไม HR-V รุ่นแรก ถึงขายไม่ดี?

2015_01_05_Honda_HR_V_Design

Mr.Naohisa Morishita : LPL (Large Project Leader) หรือ หัวหน้า
วิศวกรโครงการพัฒนา HR-V (รหัสโครงการ 2XP) เล่าว่า “HR-V รุ่นแรก ยุติการ
ทำตลาดไปในช่วงปี 2006 เนื่องจากมียอดขายไม่ค่อยดี ทั้งในญี่ปุ่น และในยุโรป
อันเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญ ลูกค้าส่วนใหญ่มองว่า ขนาดตัวรถของ HR-V นั้น
ใกล้เคียงกับ CR-V Gen 1 มากเกินไป เพิ่มเงินอีกนิดหน่อย ปีนขึ้นไปอุดหนุน
CR-V รุ่นปี 1996 – 2001 ซึ่งมีพื้นที่ห้องโดยสาร โปร่งสบายขึ้น จะคุ้มเงินกว่า”

ถ้าให้พูดกันตรงๆ ก็คือ HR-V เป็นรถยนต์ที่ มีแนวคิดดี แต่ดันเปิดตัวผิดที่แถม
ยังผิดเวลา คือเร็วเกินกว่าความต้องการของผู้บริโภค ถึง 16 ปี !!

วันนี้ สถานการณ์ของตลาดรถยนต์ในปี 2014 – 2015 มันเปลี่ยนไปแล้ว CR-V
ถูกพัฒนาออกมาจนถึงรุ่นที่ 4 และขนาดตัวถังของมันก็ถูกขยายให้ใหญ่โตขึ้น
ตามธรรมเนียมที่ผู้ผลิตรถยนต์ ทำกันมาช้านาน ทำให้ ภาพลักษณ์ของ CR-V
ที่เคยกระฉับกระเฉง ถูกเปลี่ยนแปลงไป เป็น SUV ที่เน้นความอเนกประสงค์
เพื่อการใช้งานของครอบครัวมากยิ่งขึ้น มีลูกค้าบางกลุ่ม ซึ่งเป็นคนโสด หรือ
ยังคบหาดูใจกับแฟนอยู่ อยากขับรถยนต์สไตล์ยกสูง เพราอยากมองเห็นถนน
ข้างหน้า ชัดเจนขึ้น แต่มองว่า CR-V มีขนาดใหญ่เกินไปสำหรับการใช้ชีวิต
ของพวกเขา

ช่องว่างในตลาด จึงเกิดขึ้นขึ้นด้วยประการฉะนี้ และหน้าที่ของ Honda คือ
ต้องรีบเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค ในเวลาอันรวดเร็ว จะมัวเอ้อระเหย
ลอยชายส่ายไปส่ายมาไม่ได้เด็ดขาด!

Morishita-san จึงถูกมอบหมาย ให้เริ่มงานวิจัยและพัฒนา รถยนต์นั่งโดยสาร
Crossover SUV คันเล็กกว่า CR-V สำหรับใช้งานในเมือง บนพื้นตัวถังเดียวกับ
รถยนต์ในกลุ่ม Global Compact Series Model ทั้ง Fit / Jazz และ City
ใหม่ (ซึ่งเป็นรถยนต์ในกลุ่ม B-Segment) แต่ ใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ และงานวิศวกรรม
ร่วมกันกับทั้ง Fit/Jazz , City เลยเถิดไปถึง Civic อีกด้วย

ยิ่งทำการบ้านไปเรื่อยๆ ยิ่งพบว่า รถยนต์กลุ่ม B-Segment Crossover SUV
มีปัญหาเรื่องขนาดตัวถัง ที่อาจเพียงพอต่อการเดินทาง 2 คน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ต้อง
บรรทุกสัมภาระ หรือผู้โดยสารด้านหลัง พื้นที่ภายในรถจะไม่เพียงพอ ไหนๆ ก็ไหนๆ
เพื่อสร้างความแตกต่างจากชาวบ้านเขา Honda เลยตัดสินใจยกระดับขนาดตัวรถ
ให้ใหญ่ขึ้นกว่าคู่แข่ง จนสมควรถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม C-Segment Crossover
SUV แบบ 5 ที่นั่ง และถูกจัดประกบคู่กับรถยนต์ของคู่แข่งอย่าง Nissan Juke
Subaru XV และ MINI Countryman ไปเลย

Morishita – san เล่าว่า จุดมุ่งหมายของการสร้างรถยนต์รุ่นนี้ ก็คือ เอาใจกลุ่ม
ลูกค้ายุคใหม่ ที่อยากได้รถยนต์ Crossover C-SUV ยกสูง ไว้ใช้งาน เน้นให้
มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง แต่ต้องมีรูปลักษณ์โดดเด่น กระฉับกระเฉง และดูเท่ ต้อง
แตกต่างไปจากรถคันอื่นบนถนน

2013_Honda_Urban_SUV_Concept_01

หลังการพัฒนาเสร็จสิ้น Honda เริ่มเผยเวอร์ชันต้นแบบของ รถยนต์รุ่นใหม่เป็น
ครั้งแรก ในชื่อ Honda Urban SUV Concept ณ งาน Detroit Auto Show
(NAIAS) เดือนมกราคม 2013 จากนั้น รถคันนี้ ได้ถูกส่งไปจัดแสดงเฉพาะ
ประเทศที่ Honda มีแผนจะส่ง เวอร์ชันขายจริง เข้าไปบุกตลาดเท่านั้น

ในช่วงก่อนเปิดตัว รถคันนี้ ถูกคาดหมายกันว่า จะมีใช้ชื่อ Honda CR-U แต่
เมื่อเอาเข้าจริง Honda เลือกใช้ชื่อ Vezel สำหรับตลาดญี่ปุ่นเพียงแห่งเดียว
โดยชื่อนี้ มาจากคำว่า Bezel แปลตามพจนานุกรมภาษาไทย Longdo ได้ว่า
“ฐานสำหรับรองรับเพชรพลอยที่อยู่บนแหวน” แล้วมีการเปลี่ยนตัว B มาเป็น V
ทดแทน โดยสื่อความหมายให้ตัว V เป็น Vehicle หรือยานพาหนะ

ถ้าให้แปลกันแบบตรงๆ บ้านๆ เลย Vezel น่าจะแปลได้ถึงความตั้งใจของ
Honda ในการสร้างรถยนต์ ที่ให้ทั้งเสน่ห์และความคุ้มค่ารอบด้าน เฉกเช่น
เดียวกับหน้าตัดของเพชร ที่สวยงามไม่ว่าจะถูกมองจากมุมใดก็ตาม

ส่วนตลาดส่งออก นอกญี่ปุ่น ทั้งหมด จะใช้ชื่อเดียวกัน คือ HR-V ย่อมาจากคำว่า
Hi-rider Revolutionary Vehicle หรือ “ยานยนต์ที่ปฏิวัติการขับขี่แบบยกสูง”

2015_01_05_Honda_HR_V_03

ในที่สุด Honda ก็เผยโฉมเวอร์ชันจำหน่ายจริง ของรถคันนี้ ในญี่ปุ่น เป็น
ประเทศแรก บนแท่นหมุนในบูธ Honda กลางงาน Tokyo Motor Show
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2013 ก่อนจะเริ่มส่งขึ้นโชว์รูมทั่วเกาะอาทิตย์อุทัย
เริ่มขายจริงกันเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2013

หลังการเปิดตัว Vezel ได้รับความนิยมอย่างมาก จนทำยอดสั่งจองสะสมได้
มากถึง 24,900 คัน ในเวลาเพียง 24 วันแรกที่เปิดตัว ก่อนจะพุ่งขึ้นไปเป็น
33,000 คัน ในเวลาเพียงแค่ 1 เดือนกับ 10 วัน (นับจาก 20 ธันวาคม 2013 ถึง
31 มกราคม 2014) ถือว่าทำยอดจองได้สูงที่สุดในบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่
เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่น ช่วงปี 2013 ต่อเนื่องถึงปี 2014 เลยทีเดียว โดยยอดขาย
ส่วนใหญ่ มาจากรุ่น Hybrid 1.5 ลิตร มากถึง 82% ขณะที่รุ่น เบนซิน 1.5 ลิตร
มีลูกค้าอุดหนุนไป 18%

เมื่อผ่านไปแล้ว 11 เดือน เวอร์ชันสำหรับตลาดโลก ก็พร้อมปล่อยออกสู่สายตา
สาธารณชน ชาวโลก โดยประเทศไทย เปิดตัวเป็นอันดับ 2 ตามมาด้วย เวอร์ชัน
อเมริกาเหนือ ที่เปิดตัวในงาน Los Angeles International Auto Show เมื่อ
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2014 ใช้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT
เหมือนกันกับเวอร์ชันไทยเป๊ะ! แต่กว่าที่ลูกค้าชาวอเมริกัน จะได้เป็นเจ้าของ
HR-V ก็ต้องรอให้ โรงงานใหม่ล่าสุดของ Honda ที่เมือง Celaya ประเทศ
Mexico เตรียมสายการผลิต ควบคู่ไปกับ การประกอบ Honda Jazz US.
Version ให้เรียบร้อยก่อน จึงจะเริ่มออกสู่ตลาดจริงได้ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ปี 2015 นี้

ถัดมาเป็นคิวของตลาดยุโรป Honda เผยโฉมเวอร์ชันจำหน่ายจริง ของ HR-V
ในงาน Geneva Auto Salon เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2015 ที่ผ่านมา โดยตลาด
ยุโรป จะมีขุมพลัง ให้เลือก 2 ขนาด แตกต่างจากที่อื่นทั้งเครื่องยนต์เบนซิน
4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,500 ซีซี i-VTEC 128 แรงม้า (BHP) และ Diesel
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,600 ซีซี i-DTEC 118 แรงม้า (BHP) เชื่อมด้วยเกียร์
อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT และจะเริ่มออกขายในช่วงกลางปีนี้

เหตุผลที่ Honda ต้องส่ง HR-V ไปขายในยุโรป ก็ไม่มีอะไรมากครับ ตัวเลข
ต่อไปนี้ คงพอจะบอกอะไรได้บ้าง ยอดขายรถยนต์ Crossover SUV ใน
อังกฤษ มีสัดส่วนมากขึ้นเป็น 3.6 % คิดเป็นตัวเลขยอดขายกว่า 87,000 คัน
ในปี 2013 นั่นเป็นปัญหาใหญ่ของ Honda มาตลอด เพราะพวกเขา ประสบ
กับยอดขายที่ไม่ได้ดังหวัง และช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะกระตุ้น
ยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้นัก Civic เวอร์ชันยุโรป ก็ทำตัวเลขได้แค่ประคับประคอง
ขณะที่ Accord กับ Legend ทรุดหนัก จนถึงขั้นต้องถอนตัวจากตลาดยุโรป
ไปทั้งหมดแล้ว นั่นเอง

2015_01_05_Honda_HR_V_04

นอกเหนือจากการเปิดตัวในตลาดหลักๆ ทั่วโลกแล้ว ประเทศไทย ยังถูก
เลือกให้เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่จะได้ทำตลาด HR-V ใหม่ กับเขาด้วย
เหตุผล นั่นเพราะว่า ตลาดรถยนต์ประเภท Crossover SUV ในบ้านเรานั้น
กำลังขยายตัวเต็มที่ ในทิศทางเดียวกันกับตลาดรถยนต์ทั่วโลก ลูกค้าคนไทย
เริ่มหันมาซื้อรถยนต์ประเภทนี้กันมากขึ้น ทำให้ Honda ตัดสินใจเลือกให้
ชาวไทย ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ HR-V ด้วยเช่นกัน

ในช่วงก่อนเปิดตัว มีสารพัดกระแสความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกมา
เยอะกว่า Honda รุ่นอื่นๆ ยิ่งช่วงใกล้วันเปิดตัว ข้อมูลรายละเอียดทางเทคนิค
หลุดเผยแพร่ทาง Internet เต็มไปหมด จนเหลือเพียงเรื่องเดียว ที่หลายคน
เฝ้าลุ้นเกาะติดการะชั้นชิด นั่นคือ ราคาขายปลีกจะอยู่ที่เท่าไหร่?

เวอร์ชันไทย ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2014 โดย
ติดป้ายราคาเอาไว้ ในระดับที่แพงกว่าการคาดเดาของหลายคนพอสมควร แต่
น่าสังเกตว่า เมื่อเห็นตัวรถคันจริง ลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่ จะมองว่า ราคาของ
รุ่นล่างสุด และรุ่นกลาง เหมาะสมดีแล้ว ขณะที่รุ่นท็อป ส่วนใหญ่จะมองว่าแพง
เกินไปหน่อย ราคาขายไม่ควรเกินกว่า 1 ล้านบาท

แต่ถึงจะบ่นกันระงมเซ็งแซ่ขนาดไหน กระแสความนิยมใน HR-V ก็ดังกระหึ่ม
ทั่วบ้านทั่วเมือง ในช่วงเปิดตัวจนถึงวันสิ้นสุดงาน Motor Expo 2014 มียอด
สั่งจอง หลั่งไหลไปยังโชว์รูม Honda ทั่วประเทศไทย มากถึงกว่า 6,000 คัน
6,000 คัน โดยยอดสั่งจอง ตลอดช่วงเดือนพฤษภาคม – ธันวาคม 2014 นั้น
แบ่งเป็นรุ่น S เพียงแค่ 17% เท่านั้น ส่วนรุ่น E อยู่ที่ 34% และรุ่น Top อย่าง
EL ที่หลายคนบ่นว่าแพงไปนั้น กลับมีสัดส่วนยอดสั่งจองสูงที่สุด คือ 49%
หรือเกือบครึ่งหนึ่งของตัวเลขทั้งหมด!!

ท้ายที่สุด เพียง 1 เดือนครึ่ง หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ผ่านพ้นไป
Honda Automobile Thailand ก็ต้องประกาศ ปิดรับจอง HR-V รุ่นท็อป
เป็นการชั่วคราว แต่ยังคงเปิดรับจองรุ่น E และ S กันต่อไปตามปกติ
โดยมียอดสั่งจองสะสม จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2015 อยู่ที่ 15,000 คัน
ถือเป็นสถิติ ที่สูงมาก อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

แน่นอนครับ รถยนต์ Honda ที่มียอดสั่งจองในช่วงเปิดตัวเทียบเคียง
กับ HR-V ได้นั้น เห็นจะมีก็แค่เพียง Honda Civic 3 ประตู ที่ทำสถิติ
ยอดสั่งจองทั่วประเทศ 3 วัน 9,000 คัน ในปี 1993 เท่านั้น

HR-V โดนใจลูกค้าชาวไทยมากขนาดนี้เชียวหรือ? อะไรที่ทำให้เป็น
ไปได้ถึงเพียงนี้ มาดูที่รายละเอียดของตัวรถกันดีกว่า

2015_01_05_Honda_HR_V_05

HR-V มีตัวถังยาว 4,294 มิลลิเมตร กว้าง 1,772 มิลลิเมตร สูง 1,605 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,610 มิลลิเมตร (สั้นกว่า Civic Dimension 10 มิลลิเมตร และ
แน่นอนว่า สั้นกว่า Civic FB 50 มิลลิเมตร) ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า / หลัง (Front
& Rear Thread) 1,535 และ 1,540 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ (Ground
Clearance) 185 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่า ตั้งแต่ 1,255 – 1,292 กิโลกรัม ตาม
แต่ละรุ่นย่อย ความจุถังน้ำมัน 50 ลิตร (ไม่รวมคอถัง)

ถ้าเปรียบเทียบขนาดกับคู่ชกร่วมพิกัดอย่าง Subaru XV ซึ่งมีความยาว 4,450
มิลลิเมตร กว้าง 1,780 มิลลิเมตร สูง 1,550 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,640
มิลลิเมตร จะพบว่า HR-V สั้นกว่า XV 156 มิลลิเมตร แคบกว่าแค่ 8 มิลลิเมตร
สูงกว่า 55 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อสั้นกว่า XV 30 มิลลิเมตร

ถ้าเทียบกับ Nissan Juke ที่มีความยาว 4,135 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร
สูง 1,565 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,530 มิลลิเมตร งานนี้ แค่เห็นตัวเลข ก็รู้
ได้ทันทีว่า Juke มีขนาดตัวถัง เล็กกว่า HR-V ในทุกด้าน

แต่ถ้าเทียบกับ Ford EcoSport ที่ยาว 4,245  มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร
สูง  1,708 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,521 มิลลิเมตร จะพบว่า HR-V ยาวกว่า
50 มิลลิเมตร เตี้ยกว่าถึง 105 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อ HR-V ยาวกว่าถึง
89 มิลลิเมตร

สรุปได้ว่า HR-V มีขนาดตัวถังใหญ่กว่าทั้ง Juke และ EcoSport แต่ยังเล็ก
กว่า Subaru XV เพียงนิดหน่อย เท่านั้น

2015_01_05_Honda_HR_V_06

เส้นสายตัวถังออกแบบภายใต้แนวคิด Dynamic Cross Solid เน้นให้ลู่ลมตาม
หลักอากาศพลศาสตร์ ผสานรูปลักษณ์ของรถยนต์ Coupe 2 ประตู หลอมรวม
เข้ากันกับ Crossover SUV ที่มีขนาดตัวถังเหมาะสมกับการใช้งานในเมือง

กระจังหน้าและชุดไฟหน้าแบบ Solid Wing Face ตามสไตล์ Honda รุ่นใหม่
ที่คลอดออกมาในช่วง 2 ปีมานี้ ชุดไฟหน้าเป็นแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่าง
ขณะขับขี่กลางวัน LED Daytime Running Light แถมระบบปรับระดับสูง – ต่ำ
ต่ำ อัตโนมัติ กับไฟตัดหมอกหน้า และระบบเปิด – ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ มีให้
ครบทั้งรุ่น E และ EL (ส่วนรุ่น S เป็นไฟหน้าแบบ Multi Reflector ตามปกติ
ไม่มีไฟตัดหมอกหน้า และมีแค่ระบบเปิดไฟหน้าอัตโนมัติ เท่านั้น)

จุดเด่นของงานออกแบบ HR-V อยู่ที่ เส้นโค้งคาดกลางลำตัวรถ จากบริเวณ
มือจับเปิดประตูคู่หลัง ที่ออกแบบซ่อนไว้กับแนวกระจกหน้าต่างของบาน
ประตูคู่หลัง ในสไตล์รถยนต์ Coupe (ที่ชวนให้นึกถึง Alfa Romeo 156 อยู่
ไม่น้อย) เชื่อหรือไม่ว่า ครั้งแรกที่เห็นรถคันจริง มีผู้คนรอบข้างหลายคน
หามือจับเปิดประตูคู่หลัง ไม่เจอ! ส่วนมือจับประตูคู่หน้าจะเป็นสีเดียวกับ
ตัวถัง ยกเว้นรุ่น EL ที่จะเป็นแบบโครเมียม

กระจกมองข้างของทกรุ่นเป็นแบบมีไฟเลี้ยวฝังมาให้ ปรับและพับด้วย
สวิตช์ไฟฟ้า ส่วนรุ่น EL จะสามารถสั่งพับได้จากกุญแจรีโมท หรือระบบ
ควบคุมประตูอัตโนมัติ ตั้งค่าได้จากมาตรวัดในรถ

ขอบกันชนหน้า และชายล่างกันกระแทกของรุ่น S กับ E จะเป็นสีดำด้าน
เน้นทำความสะอาดง่าย แต่เฉพาะรุ่น EL จะพ่นสีเดียวกับตัวถัง มาให้

ทุกรุ่นมีสปอยเลอร์หลัง และใบปัดน้ำฝนหลังพร้อมที่ฉีดน้ำล้างในตัว
ควบคุมการใช้งานบนหัวก้านสวิตช์ใบปัดน้ำฝนที่หมุนได้นั่นละ

ไฟท้าย LED มีมาให้ครบทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น EL ที่เป็นแบบ Tube เพื่อลด
ความเข้มของแสง ลดการแยงสายตา ส่วนไฟเลี้ยวที่ยื่นห้อยมาเป็นติ่ง
ขนาดใหญ่ ชวนให้นึกถึงอยู่ 2 อย่าง

1. หินงอกหินย้อย ตามถ้ำต่างๆในประเทศไทย
2. ไฟท้ายของ Acura SUV พี่น้องร่วมค่าย บางรุ่น

ล้ออัลลอย มีให้เลือก ขนาดเดียว คือ 17 นิ้ว x 7.0 J สวมยางติดรถขนาด
215/55 R17 แต่ในรุ่น EL จะได้ล้ออัลลอยปัดเงา สลับกับสีดำแบบสปอร์ต
เป็นพิเศษไปจากรุ่นอื่นๆ

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_01

ทุกรุ่นติดตั้งระบบกุญแจ Honda Smart Key System มีรีโมท หน้าตาเหมือน
กุญแจของ Honda รุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวในบ้านเรา มาตลอดปี 2013 – 2014
พร้อมสวิตช์ติดเครื่องยนต์แบบ Push Start และระบบกันขโมย Immobilizer
ครบถ้วนทั้ง 3 รุ่นย่อย

การใช้งาน ถูกยกระดับให้ดีขึ้นจากเดิมนั่นคือ เพียงพกกุญแจไว้ เดินเข้าใกล้
ตัวรถ คุณก็สามารถดึงมือจับเปิดประตูได้ทันที เพราะระบบกลอนจะปลดล็อก
ให้ในเวลาเสี้ยววินาที โดยไม่ต้องกดปุ่มสีดำ บนมือจับประตู แล้วค่อยดึงเปิด
เหมือนก่อน แต่ถ้าปิดประตูแล้ว ต้องการล็อกประตู ยังต้องกดปุ่มสีดำบนมือจับ
โครเมียมตามเดิม

น่าเสียดายว่า รีโมทบนชุดกุญแจ มาในแนวเดียวกับ Honda Jazz เป๊ะ คือไม่มี
สวิตช์ เปิดฝาประตูห้องเก็บของด้านหลังมาให้

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_02

ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั่งบนเบาะคู่หน้า ผมรับรู้ได้ถึงความพยายามของทีม
ออกแบบ ในความตั้งใจที่จะยกระดับการตกแต่งภายในห้องโดยสาร ให้หรู
ด้วยสารพัดวัสดุบุนุ่ม อย่าง หนังสังเคราะห์ เสริมฟองน้ำด้านใต้ บริเวณแผง
ประตูทั้ง 4 บาน มือจับประตู และขอบลำโพง ประดับด้วยโครเมียม

การเข้า – ออก จาก เบาะคู่หน้า ถือว่า ทำได้ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการออกแบบ
ให้ตำแหน่งเบาะนั่ง อยู่สูงในระดับ ไล่เลี่ยกันกับ พี่ชายร่วมค่ายอย่าง CR-V

อย่างไรก็ตาม การเข้า – ออกได้โดยไม่ต้องกังวลว่า หัวจะเฉี่ยวกับขอบเสาหลังคา
คู่หน้า A-Pillar ยังคงขึ้นอยู่กับ การปรับตำแหน่งเบาะนั่งของคุณ หากปรับไว้
ต่ำเตี้ยสุดๆ ปัญหานี้ จะไม่มีให้พบเลย แต่ถ้าปรับเบาะนั่งให้สูง หรือเข้าไปนั่ง
บริเวณเบาะด้านหน้าฝั่งซ้าย ซึ่งล็อกตำแหน่งความสูงเอาไว้ อาจต้องระมัดระวัง
เพิ่มขึ้นนิดนึง

พื้นที่วางแขนบนแผงประตูคู่หน้า แอบเตี้ยไปหน่อย แต่การบุหนังเสริมฟองน้ำ
ด้านในมาให้ ก็ช่วยเพิ่มสัมผัสอันนุ่มสบาย ระดับ Premium มาให้ จนพอที่จะ
ยอมไม่คิดมากในประเด็นนี้ได้ส่วนหนึ่ง

ช่องวางของ ด้านข้างลำโพงที่แผงประตู มีขนาดใหญ่พอจะวางขวดน้ำ 7 บาท
ได้ 2 ขวด หรือวางข้าวของจุกจิกชั่วคราว หรือแม้แต่สมุดเล่มเล็กๆ ก็ย่อมได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ขอบประตูด้านล่าง ไม่ได้ยื่นไปคลุมทับพื้นที่บริเวณ
ชายขอบกรอบประตูด้านล่าง ทำให้การก้าว เข้า – ออก ในวันที่คุณพึ่งนำ HR-V
ไปลุยน้ำ ลุยฝุ่น ลุยโคลนมา ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะขากางเกง หรือ
ชายกระโปรง อาจเลอะเทอะเปรอะเปื้อนได้

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_03

เบาะนั่งคู่หน้า มาในสไตล์นุ่มปานกลาง เกือบจะแข็ง และมีปีกข้างโอบกระชับ
อย่างชัดเจน ล็อกตัวและสร้างความกระชับให้ผู้ขับขี่ในระดับกำลังดี ไม่มากและ
ไม่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับรถยนต์ Honda ยุคใหม่ รุ่นอื่นๆ ในช่วง 2 ปีมานี้

พนักศรีษะ บุนุ่ม สบายเวลาพิงหัว แอบดันหัวนิดๆ แต่ยังอยู่ในระดับยอมรับได้
สำหรับบางคนอาจก็เกือบเข้าขั้นเมื่อย ต้องปรับพนักพิงหลังเอนช่วยนิดหน่อย

เบาะรองนั่ง ค่อนข้างแบนราบ มุมเงยไม่มาก แต่มีความยาวในระดับเหมาะสม
อันที่จริง ถ้ายาวขึ้นอีกนิดนึง ก็คงจะนั่งได้เต็มก้นจนถึงท่อนขามากกว่านี้

จะว่าไปแล้ว มันคงจะดีไม่น้อย ถ้ารุ่น EL จะมีสวิตช์ปรับตำแหน่งเบาะนั่ง
ด้วยไฟฟ้า มาให้ แทนที่จะเป็นแบบคันโยกกลไกปรับมืออย่างในปัจจุบัน

ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะนั้น แม้หลังคารถจะดูเหมือนเตี้ย แต่พอเอาเข้าจริง กลับมี
พื้นที่มากพอที่จะให้คุณส่ายหัวไปมาได้อย่างโล่งสบาย ไม่อึดอัดอย่างที่คิด

เข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า และผู้ขับขี่ เป็นแบบ ELR 3 จุด
ปรับระดับสูง – ต่ำได้ แบบมาตรฐานทั่วไป

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_04

การก้าวเข้า – ออก จากพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลัง ทำได้สะดวกสบาย
เกินหน้าเกินตาคู่แข่งในพิกัดใกล้เคียงกันทั้ง Juke และ EcoSport
เนื่องจากบานประตู คู่หลัง กว้ากว่าเพื่อนฝูงพอสมควร ไม่ต้องใช้ความ
พยายามมากนัก ในการก้มศีรษะระหว่างเข้าไปนั่งบนเบาะหลัง

พื้นที่วางแขนบนแผงประตูคู่หลัง บุด้วยหนัง เหมือนบานประตูคู่หน้า
แต่สามารถวางได้เพียงแค่ท่อนแขน ไม่ค่อยรองรับกับข้อศอกเท่าไหร่
ช่องใส่ของ ข้างลำโพง ใหญ่พอให้ใส่ขวดน้ำ 7 บาท ได้ 1 ขวดพอดีๆ

กระจกหน้าต่างไฟฟ้า เลื่อนลงมาได้ แต่ไม่สุดขอบล่าง

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_05

เบาะหลัง มีพนักพิงที่นั่งสบายใช้ได้ ไม่แข็งและไม่นุ่มจนเกินไป อย่างใน
CR-V รุ่นปัจจุบัน ขณะที่พนักศีรษะ เป็นรูปตัว L คว่ำ ที่สามารถยกใช้งาน
ขึ้นสุดได้แต่มีตำแหน่งล็อกไว้ให้แค่ 1 จังหวะ เท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว
ควรจะต้องมี 2 จังหวะตัวพนักศีรษะเอง มีขอบด้านล่าง ที่แอบ ทิ่มต้นคอ
ของผมนิดหน่อย

นอกจากนี้ เบาะนั่งแถวหลังของ HR-V ยังสามารถปรับเอนลงไปได้อีก
1 จังหวะ เพื่อให้สามารถนั่งทางไกลได้สบาย ไม่ว่าผู้โดยสารจะเป็นเด็ก
หรือผู้ใหญ่ก็ตาม

เบาะรองนั่ง ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินมาตรฐานรถยนต์ทั่วไป รองรับต้นขา
ได้อยู่ ขณะเดียวกัน พื้นที่เหนือศีรษะยังเหลืออีกราวๆ 1-2 นิ้วมือ สอด
ตรงกลางตามแนวนอน ด้านพื้นที่วางขา หายห่วงครับ มันเยอะเหลือเฟือ
ใกล้เคียงกันกับ

พนักวางแขนบนเบาะหลัง มีมาให้ เป็นแบบพับเก็บได้ แต่ขนาดของมัน
ค่อนข้างสั้น และวางได้แค่ข้อศอกจริงๆ น่าจะยาวกว่านี้อีกสักหน่อยจึงจะ
ใช้งานได้เต็มที่กว่านี้

เข็มขัดนิรภัยสำหรับเบาะหลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด ทั้งฝั่งซ้าย – ขวา
ส่วนผู้โดยสารตรงกลาง จะได้รับเข็มขัดนิรภัย LR คาดเอว 2 จุด ตาม
ปกติ พร้อมจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐาน ISOFIX ทั้ง 2 ฝั่ง

ด้านบนเพดาน เหนือช่องประตูทางเข้าทั้ง 4 จะมีมือจับศาสดา (ไว้
เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ ขณะผู้ขับขี่ กำลังสนุกกับทางโค้งตามไหล่เขา)
ติดตั้งมาให้ครบทุกตำแหน่ง

พื้นที่วางขา หายห่วงครับ เหลือเฟือ ถึงขนาดที่ว่า ผมลองปรับตำแหน่งนั่ง
ในระดับปกติที่ผมขับรถใช้งานทั่วไป ผู้โดยสารที่นั่งบนเบาะหลัง ด้านหลัง
ของผม ยังสามารถนั่งไขว่ห้างได้สบายๆ ขาไม่ติดกับพนักพิงเบาะหน้า
อีกต่างหากแน่ะ!

แน่นอนว่า ในเมื่อเบาะหลังปรับเอนได้ ก็ย่อมสามารรถพับพนักพิงหลัง
ทั้งซ้าย และขวา ลงมาได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของ
ด้านหลัง โดยรูปแบบการพับเบาะ จะถอดแบบมาจาก Honda Fit/Jazz
ชนิดถ่ายสำเนากันมาเลย เมื่อดึงสลักพับเบาะ แล้วโยกพนักพิงหลังให้
โน้มไปข้างหน้า เบาะรองนั่งที่ติดตั้งเชื่อมยึดกันไว้ จะถูกโน้มกดลงไป
แนบกับพื้นที่วางขาของผู้โดยสารด้านหลัง เพื่อให้ด้านหลังของพนักพิง
มีความยาวต่อเนื่อง กับพื้นห้องเก็บสัมภาระ ในลักษณะ Flat Cargo

เหตุผลที่ เบาะหลังสามารถพับราบได้เหมือน Fit/Jazz ก็เพราะว่า ถังน้ำมัน
ถูกย้ายไปติดตั้งไว้ใต้เบาะคู่หน้า เหมือน Fit/Jazz ไมมีผิดเลยนั่นเอง!

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_06

ฝาประตู ห้องเก็บของ เปิดยกขึ้นได้ด้วยกลอนไฟฟ้า และค่ำยันด้วย
ช็อกอัพไฮโดรลิก ทั้ง 2 ฝั่ง รวม 2 ต้น ความสูง ปากช่องทางเข้าห้อง
เก็บสัมภาระ สูง 900 มิลลิเมตร กว้าง 1,180 มิลลิเมตร วัดจากจุดที่
กว้างสุด และสูงที่สุด ระยะห่างจากพื้นถนน จนถึงขอบกันชนหลัง
อยู่ที่ 650 มิลลิเมตร

อันที่จริง แผงพลาสติก บุภายใน ด้านหลังฝาประตูห้องเก็บของ น่าจะ
ออกแบบให้คลุมทับบริเวณกลอน ตามส่วนโค้งเว้า และมือจับสำหรับ
ดึงปิดฝาประตูลงมา เพื่อความสวยงาม และไม่ดูขาดๆเกินๆ อย่างนี้

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_06_2

ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีขนาดความจุ 565 ลิตร จริงอยู่ว่ามันมี
ขนาดเล็กกว่า ห้องเก็บสัมภาระของ CR-V Gen 4th อย่างชัดเจน
แต่ทีมวิศวกร Honda ก็ออกแบบมาให้มีพื้นที่ใหญ่โตกว่า Honda
Jazz ทำให้สามารถขนข้าวของไปพร้อมกับการบรรทุกคนได้สบายๆ
ทีมออกแบบ ถึงขั้นทดลอง ขน จักรยานเสือภูเขาได้ 2 คัน ใส่เข้าไป
ในบั้นท้ายของ HR-V ได้สบายๆ (มีข้อแม้ว่าต้องถอดล้อหน้าออก
แค่นั้นเอง)

ผนังห้องเก็บของฝั่งซ้าย จะมีไฟส่องสว่างขนาดเล็กมาให้ ซึ่งใน
การใช้งานจริง แสงสว่างจากไฟดังกล่าว มีไม่เพียงพอ เท่าไหร่

เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบถาดโฟม สำหรับวางเครื่องมือ
ประจำรถ ทั้งแม่แรง เหล็กถอดล้อ และห่วงลากรถ แถมยังมีช่องหลุม
สำหรับวางของ ซ่อนเก็บไว้อีกด้วย และถ้ายกถาดโฟมขึ้น จะพบกับ
ยางอะไหล่ ขนาดมาตรฐานมาให้ (ไม่ใช่ล้อสีเหลืองยางหน้าแคบ)

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_07

แผงหน้าปัดถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดภายใต้แนวคิด “Expansive Cockpit”
โดยคำว่า “Expanse (Expansive)” สะท้อนให้เห็นถึงความกว้างขวาง โปร่งโล่ง
ของพื้นที่เหนือแผงคอนโซล ผสมกับคำว่า “Cockpit” ที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์
สไตล์สปอร์ต

หากพินิจกันดีๆ จะพบว่า ลักษณะการจัดวางตำแหน่งของอุปกรณ์บนหน้าปัด
ของ HR-V จะมาในแนวทางเดียวกันกับบรรดารถสปอร์ตของ Honda ช่วงยุค
ทศวรรษ 1990 – 2000 หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Honda Integra โฉมสุดท้าย รุ่นปี
2001 – 2008) Honda Insight รุ่นแรก (1999 – 2003) หรือแม้แต่ Honda S2000
คือลดทอนความสำคัญของช่องแอร์คู่กลาง เพื่อเน้นให้แผงควบคุม อยู่ใกล้กับ
มือของผู้ขับขี่มากที่สุด

จุดเด่นในงานออกแบบภายในของ HR-V อยู่ที่แผงคอนโซลกลาง แบบใหม่
ลอยตัวจากพื้นรถ ที่เรียกว่า High Deck ด้านบนเป็นพื้นที่ของคันเกียร์ ตกแต่ง
บริเวณฐานด้วย วัสดุพลาสติกสีดำเงาแบบ Piano Black (เฉพาะรุ่น EL เท่านั้น)
ส่วนด้านล่าง จะเป็นพื้นที่วางของจุกจิก ที่มีพื้นที่ พอให้วางกล้องถ่ายรูปขนาด
Compact พกพา หรือซ่อนโทรศัพท์มือถือ จากสายตาของคนอื่น

แม้ว่า Vezel เวอร์ชันญี่ปุ่น จะมีสีภายในรถ รวมทั้งแผงหน้าปัดให้เลือกได้ถึง
3 แบบ คือ Black , Passion Black และ น้ำตาล Just Brown แต่เวอร์ชันไทย จะ
มีสีดำ เพียงแบบเดียว กระนั้น การตกแต่งภายใน ก็แทบไม่แตกต่างจากเวอร์ชัน
ญี่ปุ่นเลย ยกมาเกือบทั้งดุ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งการประดับแถบโครเมียม ตามจุด
ต่างๆ ทั้งบริเวณช่องแอร์ แผงประตูข้างรวมถึงกรอบลำโพง ที่แผงประตู ฯลฯ

มองขึ้นไปด้านบน จะเห็นแผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าและฝาปิด ติดตั้ง
มาให้ครบทกรุ่น แต่เฉพาะรุ่น EL จะเพิ่มไฟแต่งหน้ามาให้ ทั้ง 2 ฝั่ง

ไฟส่องสว่างภายในรถ ถูกปรับปรุงสวิตช์ ให้ดูดีมีชาติตระกูลขึ้น แต่การใช้งาน
ในยามค่ำคืนนั้น ยากกว่า Honda ยุคใหม่รุ่นอืนๆ ชัดเจน เพราะในบางครั้ง ผม
จำเป็นต้องละสายตาจากถนน มองขึ้นไปหาสวิตช์กดเปิดไฟ ซึ่งมีขนาดเล็กลง
ไม่สะดวกในการใช้งานเท่าที่ควร กระนั้น ข้อดีก็คือ แสงไฟเป็นสีขาวนวลตา
เพิ่มอารมณ์หรูในยามค่ำคืน พอใช้ได้

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_08

จากแผงประตูฝั่งขวา มาทางซ้าย

กระจกหน้าต่างเป็นแบบเลื่อนขึ้นลงได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ตามปกติแล้วทุกรุ่น
จะติดตั้งระบบ One-Touch กดหรือยกสวิตช์ขึ้นครั้งเดียว หน้าต่างจะเลื่อน
ขึ้น หรือลง เองโดยอัตโนมัติ มาให้เฉพาะฝั่งคนขับ แต่ในรุ่น EL จะติดตั้งมา
ให้ครบทั้งฝั่งคนขับ และฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าซ้าย มาพร้อมระบบดีดกลับเมื่อ
มีสิ่งกีดขวาง Jam-Protection และสวิตช์ล็อกการใช้งานชุดกระจกหน้าต่าง
ไฟฟ้าฝั่งผู้โดยสาร ทั้ง 3 บานที่เหลือ พร้อม สวิตช์ปลดและล็อกกลอนประตู
(สวิตช์ Central Lock) รวมทั้งสวิตช์ปรับและพับกระจกมองข้างด้วยไฟฟ้า
อยู่อาศัยรวมกัน ณ พื้นที่วางแขนบนแผงประตูฝั่งคนขับ

ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาสุด ฝั่งคนขับ ยังคงมีสวิตช์ ECON Mode หน้าตาคล้าย
ใบกัญชา มาให้ เหมือน Honda รุ่นอื่นๆ เมื่อกดลงไปในโหมด ECON ON
สมองกลเครื่องยนต์ ก็จะยังคงสั่งการให้คันเร่งไฟฟ้า ทำงานหน่วงขึ้นกว่าเดิม
แถมลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศลงให้ เหลือแค่เฉพาะในยามจำเป็น
และปรับการเปลี่ยนเกียร์ให้ไวขึ้น เพื่อให้ใช้รอบเครื่องยนต์ แค่ เท่าที่จำเป็น
ลดการใช้เชื้อเพลิงลงได้ทางอ้อม แต่ถ้าปิด ECON OFF การตอบสนอง
ของคันเร่ง และระบบต่างๆในรถ จะกลับมาเป็นแบบเดิมตามปกติ

ถัดลงไป เป็นสวิตช์ เปิด – ปิด การทำงานของระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS
Traction Control และ ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้งหรือบนถนน
เปียกลื่น VSA (Vehicle Stability Control) ฝังรวมอยู่ในตัว

พวงมาลัย 3 ก้าน ยกมาจาก City และ Jazz ปรับระดับ สูง – ต่ำ และระยะ
ใกล้ – ห่าง Telescopic มีสวิตช์ Multi-Function ควบคุมชุดเครื่องเสียง
บนฝั่งซ้าย (มีมาให้ครบทั้ง 3 รุ่นย่อย)

ส่วนก้านพวงมาลัยฝั่งขวา จะมี สวิตช์ ระบบล็อกความเร็วอัตโนมัติ Cruise
Control และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift สีดำ ด้านหลังวงพวงมาลัย
( 2 รายการหลังนี้ มีเฉพาะรุ่น E และ EL) บริเวณใต้แป้นแตรฝั่งซ้าย จะมี
สวิตช์รับ-วางสายโทรศัพท์ และเลือกหน้าจอ MID (เฉพาะรุ่น EL) ไว้ปรับ
ตั้งค่าต่างๆของตัวรถ ทั้งระบบล็อกประตู ระบบไฟส่องสว่างในรถ หรือการ
เปลี่ยนชุดมาตรวัดให้มีสีพรรสรรพางค์หลากเฉด

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_09

ชุดมาตรวัด มีการจัดวางตำแหน่ง ทั้งมาตรวัดความเร็ว มาตรวัดรอบ ไฟแจ้ง
ตำแหน่งเกียร์อัตโนมัติ รวมทั้ง หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (Multi-
Information Display) แสดงผลทั้งอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย หรือ
Real Time ระยะทางที่แล่นได้อีกจนกว่าน้ำมันจะหมดถัง ฯลฯ รวมไปถึง
ไฟสัญญาณเตือนระบบต่างๆ แทบจะเหมือนชุดมาตรวัดของ City กับ Jazz
รุ่นใหม่ล่าสุด แบบไม่ผิดเพี้ยน! เพียงแต่ว่า ความแตกต่างจาก 2 รุ่นดังกล่าว
มันอยู่ที่ ชุดมาตรวัดเป็นแบบเรืองแสง บริเวณเข็มความเร็ว จะมีแถบแผ่รังสี
รังสีออราสีฟ้า ดูหลอนๆในยามค่ำคืน นอกจากนี้ กรอบชุดมาตรวัดยังสามารถ
ปรับเปลี่ยนสีได้ตามความชอบของคุณ ถึง 7 สีเลยทีเดียว ทั้งชมพู แดง ส้ม
เหลือง ขาว น้ำเงิน ม่วง หรือจะปล่อยให้มาตรวัด สุ่ม Random เลือกเปลี่ยน
เฉดสีไปเองตามใจรถมันก็ได้

กลายสภาพเป็น มาตรวัดแบบ “ราหู Display” กันเลยทีเดียว!

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_10

ทุกรุ่นติดเครื่องยนต์ด้วยปุ่ม Push Start สีแดง เหมือนใน Civic FB และ
City กับ Jazz ใหม่ เหนือขึ้นไป เป็นสวิตช์ไฟฉุกเฉินที่ถูกวางตำแหน่งไว้
ให้ใกล้มือคนขับมากที่สุด ในยามจำเป็น

ถัดลงไป เป็นแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ แบบอัตโนมัติ ไม่สามารถแยกฝั่ง
ซ้าย – ขวา ได้ แต่ชดเชยด้วยแผงควบคุมแบบสัมผัส ที่จะติดสว่างขึ้นมา เมื่อ
กดปุ่มติดเครื่องยนต์ไปที่ Mode Accessory On ให้อุปกรณ์ในรถทำงาน

หน้าตาของแผงควบคุม เป็นแบบเดียวกันกับ Honda City และ Jazz ใหม่
แต่จะมีกรอบด้านข้างทั้งซ้าย – ขวา ต่างกัน กระนั้น ตำแหน่งของสวิตช์ต่างๆ
และรูปแบบการลากนิ้วเลื่อนอุณหภูมิได้ เหมือนกันทั้งยวง เรื่องความเย็นนั้น
ไม่ต้องเป็นห่วง เย็นเร็วใช้ได้ สมกับเป็นเครื่องปรับอากาศสำหรับรถยนต์ใน
เมืองร้อนอยู่แล้ว แต่อาจก่อฝ้าที่กระจกหน้าต่าง ในตอนกลางคืนได้เหมือน
เช่นใน City อีกข้อด้อยประการหนึ่งคือ หน้าจอแบบนี้ อาจทำให้ผู้ขับขี่ต้อง
ละสายตาจากถนน เพื่อหันมากดเลือกดูว่าจะลดความแรงพัดลมลงที่ตรงไหน

ช่องแอร์ สำหรับฝั่งผู้โดยสาร และคู่กลาง ถูกจับแยกออกจากกัน โดยช่องแอร์
กลางฝั่งขวา จัดวางไว้ใกล้กับชุดมาตรวัด ส่วนช่องแอร์ที่เหลือ ถูกจับรวบไว้
รวมกัน แล้วลากเส้นยาวต่อเนื่องจนถึงฝั่งซ้ายสุดของแผงหน้าปัด

ปริมาณช่องแอร์ที่เยอะมากมายขนาดนี้ ต้องมีคนสงสัยบ้างแหละครับว่า จะมี
ปริมาณลมที่ออกมาจะเท่ากันหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่เท่ากันครับ เพราะจาก
ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านซ้าย ที่ยาวเฟื้อยเป็นพิเศษนั้น ฝั่งซ้ายสุด จะมี
การปล่อยกระแสลม แรงสุด ตามมาด้วย ฝั่งขวาสุด ส่วนช่องแอร์ตรงกลาง
จะปล่อยกระแสลมออกมาน้อยที่สุด รับรองว่า แอร์เป่าแล้ว หน้าไม่ชา แน่ๆ

ลิ้นชักเก็บของ (Glove Compartment) ฝั่งผู้โดยสารด้านซ้าย มีขนาด
ใหญ่ และต่อให้ต้องใส่เอกสารประจำรถ ทั้งคู่มือผู้ใช้รถ กรมธรรม์ประกันภัย
และสมุดใบรับประกันคุณภาพต่างๆ ก็ยังมีพื้นที่เหลือพอให้ใส่เอกสารต่างๆ
หรือข้าวของอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกพอสมควร

ชุดเครื่องเสียง ของรุ่น EL คันนี้ เป็นแบบหน้าจอสี Advanced Touch
ขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth แสดง
ข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง รองรับการเชื่อมต่อภาพและเสียงผ่าน
HDMI (เสมือนเป็นหน้าขอของ iPhone ไปในตัว) รองรับระบบสั่งการ
ด้วยเสียงพูด Siri Eye Free Mode (สำหรับ iPhone 4s ขึ้นไป) และ
รองรับการเชื่อมต่อ HondaLink Application (เฉพาะ Smart Phone
บางรุ่น) พร้อมกล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ ลำโพง 6 ชิ้น
ในรุ่น E และ EL (รุ่น S เป็นชุดเครื่องเสียงแบบปกติ 4 ลำโพง) หน้าจอสี
แบบ Touch Screen ยกมาจาก City Jazz และ Odyssey ชนิดที่เรียกว่า
ถ่ายเอกสารพิมพ์เดียวโขลกกันออกมาเลย แต่คุณภาพของเสียงที่ออกมา
ถือว่า พอยอมรับได้อยู่ เสียงดีปานกลาง ใช้ได้

นอกจากนี้ ใครที่มีปัญหากะระยะตอนถอยรถยากลำบาก Honda เขา
ติดตั้งตัวช่วยมาให้ โดยรุ่น S มีเซ็นเซอร์กะระยะ 4 จุด ที่มุมกันชน
หลัง พร้อมระบบแสดงผลบนหน้าจอ แต่ในรุ่น E กับ EL จะติดตั้ง
กล้องมองหลัง ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ เหมือน Honda รุ่นใหม่ๆ
คันอื่นๆ

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_12

การออกแบบแผงคอนโซลกลาง แบบ High Deck มีข้อดีคือ เพิ่มพื้นที่วางของ
ด้านล่างให้มากยิ่งขึ้น ผิดกับรูปแบบของ แผงหน้าปัด Floating ของ Volvo ที่
เก็บของได้ไม่ถึงกับมากมายนัก เชื่อไหมว่า ถาดใต้แผงคันเกียร์นี้ ใหญ่พอให้
วางกล้องถ่ายรูปได้สบายๆ เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม แผงคอนโซลกลาง ให้ลอยขึ้นแบบ High Deck นี้ มีจุดอ่อนที่ผม
มองว่า น่าปรับปรุงแก้ไข คือ การจัดวางตำแหน่งบรรดาช่องเสียบเชื่อมอุปกรณ์
ต่างๆ ทั้ง USB HDMI และช่อง Power Outlet 12 V ที่จำเป็นต้องถูกเนรเทศ
ย้ายลงไปอยู่ข้างล่าง ซ่อนอยู่ใต้คอนโซลกลาง

ถ้าคุณไม่ชอบไปยุ่งอะไรกับเครื่องเสียง หรือสวิตช์ต่างๆ นั่นก็ดีไป แต่ถ้าคุณคิด
จะเสียบชาร์จแบ็ตเตอรีให้โทรศัพท์มือถือ หรือเปลี่ยน Flash Drive ขณะกำลัง
เดินทาง คุณอาจต้องไหว้วานให้ผู้โดยสารที่นั่งมาด้วยกัน ช่วยจัดการให้ หรือ
ไม่เช่นนั้น ก็ต้องถึงขั้น จอดรถข้างทาง ก่อนจะเปิดประตู ก้มลงไปถอดเปลี่ยน
Flash Drive กันเอาเอง

ตำแหน่งติดตั้งปลั๊กต่างๆเหล่านี้ มันไม่สะดวกต่อการใช้งานเลย ถ้าสามารถ
ย้ายขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งใกล้มือกว่านี้ได้ น่าจะช่วยคืนความสุขให้ลูกค้า
ชาวไทย กลับมาได้ดังเดิม…

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_11

มองขึ้นมาด้านบน พื้นที่แผงคอนโซลที่ทำตัวเป็น กขค. ขวางความสุขของ
ทั้งคนขับและคนนั่ง ในรุ่น EL ตัวท็อป จะตกแต่งด้วย Trip สีดำ Piano
Black เงางาม สวย แต่พร้อมจะเป็นรอยได้ง่ายดายทันที ที่นิ้วคุณกรีดกราย
ไปโดนเข้า

ช่องวางแก้วน้ำ มีมาให้ 2 ตำแหน่ง แถมมีพื้นที่ต่างระดับสำหรับขนาดของ
แก้วหรือขวดน้ำที่แตกต่างกันด้วย ใช้งานได้จริง

กล่องเก็บของตรงคอนโซลกลาง มีขนาดเล็กมาก มีช่องแบบถาดสำหรับใส่
ข้าวของจุกจิกนิดๆหน่อย และมีช่องสำหรับใส่โทรศัพท์มือถือขนาดเล็ก
ลงไปในแนวตั้งพอได้อยู่ เพียงแค่นั้น ไม่อเนกประสงค์ เท่าที่ควร

ฝากล่องเก็บของกลาง หุ้มด้วยหนัง ออกแบบให้เป็นพื้นที่วางแขนในตัว
ใช้งานได้แค่การเอาท่อนแขนไปแปะเท่านั้น ต่อให้สามารถเลื่อนขึ้นหน้า
หรือถอยหลังได้ ก็ยังวางแขนได้ไม่สะดวกสบายเลย

2015_01_05_Honda_HR-V_Interior_13_EDIT

สำหรับรุ่น EL จะมีอุปกรณ์พิเศษ ติดตั้งมาให้โดยเฉพาะรุ่นท็อป เท่านั้น
ได้แก่ สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบเลื่อนขึ้นหรือลง เพียงครั้งเดียว
One Touch ให้มาครบทั้งบานประตูคู่หน้า ฝั่งซ้ายและขวา (ไม่มีคู่หลัง)
รวมทั้งจุดขายสำคัญอย่าง หลังคา Panoramic Sunroof เลื่อนเปิด – ปิด
ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า One Touch พร้อมแผงบังแดด เลื่อนด้วยไฟฟ้า พร้อมกัน

หลังคากระจกจะเลื่อนได้ไม่สุด ทำได้แค่เพียงครึ่งหนึ่งของพื้นที่กระจก
ทั้งหมดเท่านั้น เพราะไม่เช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ให้กระจกหลังคา
ทั้ง 2 บาน เปิดซ้อนกันขึ้นไป ซึ่งเป็นเรื่องยาก และเกินจำเป็น

ส่วนม่านบังแสงแดดนั้น เป็นแบบนุ่ม ม้วนเลื่อนเก็บเข้าไปได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า
สำหรับคนอย่างผม ถือว่า บังแดดได้ในระดับกำลังดี แต่ถ้าใครที่เป็นคนขี้ร้อน
อาจคิดว่ามันร้อนตับแล่บ เลยทีเดียว ขอแนะนำให้ลองออกมานั่งรถคันจริง
นอกตัวอาคารโชว์รูม ก่อนตัดสินใจซื้อ

ถ้าสังเกตให้ดี คุณจะเห็นว่า คราวนี้ Honda ใจป้ำ ติดตั้ง มือจับศาสดา (หรือ
ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตอนคนขับเหยียบคันเร่งจมมิด) มาให้ ครบทั้ง 4 ตำแหน่ง
เหนือประตูรถทั้ง 4 บาน พร้อมตะขอเกี่ยวไม้แขวนเสื้อ เฉพาะคู่หลัง

2015_01_05_Honda_HR_V_Visibility_1

ทัศนวิสัยด้านหน้า ถูกใจบรรดาคุณแม่บ้านขาซิ่งทั้งหลายอย่างมาก เพราะว่า
ตำแหน่งเบาะนั่ง อยู่สูงกว่ารถเก๋งทั่วไป ราวๆ 100 มิลลิเมตร แต่ไม่สูงมากเท่า
บรรดา รถกระบะยกสูง หรือ SUV/PPV เรียกได้ว่า อยูในตำแหน่งกำลังเหมาะ
มองทางข้างหน้าชัดเจนขึ้น นั่งแล้วสัมผัสว่า โปร่งสบายตากำลังดี

2015_01_05_Honda_HR_V_Visibility_2

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา ไม่ค่อยบดบังรถที่แล่นสวนมา จากทางโค้ง
บนถนนสวนกันสองเลน มากนัก ถือว่า ดีกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย กระจกมองข้าง
มีขนาดใหญ่กำลังดี แต่ถ้าปรับให้มองตัวถังเห็นเพียงขอบๆแล้ว คุณจะพบว่า
กรอบพลาสติกด้านในของ ฝาครอบกระจกมองข้าง มันกินพื้นที่ฝั่งขวาของตัว
กระจกไปพอสมควรเหมือนกัน จุดนี้ควรปรับปรุงอีกนิดหน่อย

2015_01_05_Honda_HR_V_Visibility_3

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย อาจดูปกติ ธรรมดาทั่วไป แต่คุณจะพบกับ
การบดบังอย่างเต็มที่ ในจังหวะที่ต้องเลี้ยวกลับรถ ยิ่งโดยเฉพาะ จุดกลับรถ
บริเวณที่มีเสารถไฟฟ้า BTS บังชัดเจนอย่างนี้ แทบไม่ต้องพูดอะไรกันต่อ
ดูจากภาพ ก็น่าจะเห็นได้ขัดเจน

กระจกมองข้างฝั่งซ้าย พอจะมีการเบียดบังพื้นที่ขอบซ้ายสุด เข้่ามาบ้าง แต่
ยังไม่มากมายนัก

2015_01_05_Honda_HR_V_Visibility_4

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลัง เป็นไปตามคาด เสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar ออกแบบ
ค่อนข้างหนา แต่เห็นได้ชัดว่า ทีมวิศวกรของ Honda พยายามแก้ปัญหานี้
อย่างสุดความสามารถแล้ว เราจึงไม่ได้เห็นกระจกหูช้างสำหรับบานประตู
คู่หลัง ใน HR-V อีกทั้งพื้นที่กระจกบังลมด้านหลัง ยังใหญ่พอประมาณ ที่
จะช่วยให้คุณมองเห็นรถที่แล่นตามมาได้ดีขึ้นนิดๆ กระนั้น การเปลี่ยน
ช่องทางจราจร เบี่ยงเข้าเลนซ้าย หรือ ขวา ต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น
เพราะบางที เพียงแค่เหลือบมอง อาจไม่เพียงพอ

2015_01_05_Honda_HR_V_Engine_01

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ตามแผนที่ Honda วางไว้ HR-V จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวมแล้วมากถึง 3 แบบ
เพื่อรองรับกับความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าในแต่ละภูมิภาค

เวอร์ชันญี่ปุ่นในชื่อ Vezel จะมีขุมพลังหลัก เบนซิน 1,500 ซีซี ให้เลือกทั้งแบบ
มาตรฐาน และแบบ Hybrid โดยรุ่นมาตรฐาน จะวางเครื่องยนต์ใหม่รหัส L15B
ที่พัฒนาต่อเนื่องมาจาก L15A ซึ่งคนไทยคุ้นเคยกันดีมาแล้วใน Jazz และ City
ยังคงเป็นบล็อก 4 สูบ แต่เปลี่ยนระบบขับวาล์ว จากเพลาราวลิ้นเดี่ยวเหนือฝาสูบ
(SOHC) มาเป็นเพลาราวลิ้นคู่ เหนือฝาสูบ (DOHC หรือ Twin Cam นั่นแหละ)
16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 89.4 มิลลิเมตร กำลังอัด
11.5 : 1 หัวฉีด PGM-FI แรงสะใจถึง 131 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 15.8 กก.-ม.ที่ 4,600 รอบ/นาที ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
หรือ 4 ล้อแบบ Real Time ด้วยเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT พร้อมระบบ
Idling Stop ดับและติดเครื่องยนต์ให้เองเมื่อจอดติดไฟแดง

ส่วนรุ่น Sport Hybrid i-DCD ( Dual Clutch Drive) จะวางเครื่องยนต์รหัส LEB
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 89.4 มิลลิเมตร
กำลังอัด 11.5 : 1 หัวฉีด PGM-FI เหมือนกันกับ L15B เป๊ะ แรงขึ้นนิดนึง เป็น 132
แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดเพิ่มเป็น 15.9 กก.-ม.ที่ 4,600 รอบ/
นาที แต่เชื่อมเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมชุดเกียร์ในตัว (คล้ายใน Accord Hybrid)
22 กิโลวัตต์ (29.5 แรงม้า PS) ที่ 1,313 – 2,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.3
กก.-ม.(160 นิวตันเมตร) ที่ 0 – 1,313 รอบ/นาที เชื่อมแบ็ตเตอรี Lithium-ion
และระบบ Idling Stop

ทว่า สำหรับตลาดโลกแล้ว HR-V ทั้งเวอร์ชันไทย สหรัฐอเมริกา ไปจนถึง บราซิล
จะเปลี่ยนมาใช้ขุมพลังเดียวกันหมด เป็นเครื่องยนต์หน้าตาเดิม ที่ถูกผลิตออกมา
ตั้งนานแล้ว โดยยังคงประจำการอยู่ใน Civic FD ตั้งแต่ปี 2005 มาจนถึงเวอร์ชัน
ปรับปรุงใหม่ Civic FB ในปี 2012 และยังคงลากผลิตต่อเนื่องตราบจนปัจจุบัน

นั่นคือ เครื่องยนต์ รหัส R18Z1 บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 87.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1
จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC และลิ้น
ปีกผีเสื้อ (คันเร่ง) ไฟฟ้า Drive-by-Wire พละกำลังสูงสุดยังคงเท่าเดิม คือ
141 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด ลดลงจาก Civic FB
0.2 กก.-ม. เหลือ 17.5 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที

Morishita-san ให้เหตุผลของการเลือกใช้ขุมพลัง แตกต่างไปจากเวอร์ชัน
ญี่ปุ่น ไว้ว่า “ในมุมมองของหัวหน้าวิศวกรโครงการพัฒนา HR-V ผมมองว่า
เครื่องยนต์ R18Z1 1,800 ซีซี เป็นขุมพลังที่ให้สมรรถนะเหมาะสมมากที่สุด
สำหรับรถยนต์รุ่นนี้ เพราะให้อัตราเร่งที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวรถ ซึ่งน่าจะ
ตรงกับความต้องการของตลาดโลก ในขณะที่เวอร์ชันญี่ปุ่่น ติดตั้งเครื่องยนต์
ขนาดแค่ 1,500 ซีซี ทั้งแบบปกติ และแบบ Hybrid เพราะคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่
ไม่ได้ขับรถเร็วนัก เนื่องจากกฎหมายที่เข้มงวด อัตราเร่งของขุมพลัง 1,500
ซีซี แม้จะแรงขึ้น หากเทียบกับ Jazz แต่ก็ยังทำได้แค่ใกล้เคียงรุ่น 1,800 ซีซี
ส่วนเครื่องยนต์ Hybrid นั้น ตั้งใจทำออกมาเพื่อเอาใจลูกค้าที่มุ่งเน้นความ
ประหยัดน้ำมันมากกว่า”

เครื่องยนต์ของ HR-V ยังคงถูกปรับแต่งให้สามารถเติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทุกแบบ
ที่มีขายในประเทศไทย รวมทั้ง Gasohol E85 ด้วย (ก็เหมือนกับ Civic FB
1.8 L นั่นแหละ)

2015_01_05_Honda_HR_V_Engine_02_CVT

อย่างไรก็ตาม ขุมพลังของ HR-V จะไม่ได้ติดตั้งเชื่อมกับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
หรือแม้กระทั่งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เหมือนเช่นใน Civic FB เพราะคราวนี้
Honda เลือกจะเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT ลูกใหม่ ที่
พัฒนาขึ้นภายใต้แนวทางของ Earthdream Technology พร้อมระบบ Shift
Control of Cornering Gravity และ G Design Shift เฉพาะรุ่น E และ
EL จะมีแป้นเปลี่ยนเกียร์บริเวณด้านหลังพวงมาลัย Paddle Shift เพิ่มมาให้
เป็นพิเศษ

อัตราทดเกียร์ D อยู่ที่ 2,526 – 0.408 : 1
อัตราทดเกียร์ R (ถอยหลัง) อยู่ที่ 2.706 – 1.480 : 1
อัตราทดเฟืองท้าย 4.992

ในเมื่อ เครื่องยนต์ ให้สมรรถนะในห้องแล็บของ Honda R&D ออกมา
เท่าๆกันกับ Civic FB 1.8 ลิตร คำถามก็คือ ถ้ามาเชื่อมกับเกียร์ CVT แล้ว
วางลงในตัวถังที่สูงขึ้น ต้านลมขึ้น ตัวเลขอัตราเร่ง จะออกมาเป็นเช่นไร

เราจึงทำการทดลองขับเวลากันในตอนกลางคืนตาม มาตรฐานดั้งเดิม นั่นคือ
เปิดแอร์ นั่ง 2 คน (น้ำหนักตัว ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสักขีพยาน รวมกันต้อง
ไม่เกิน 170 – 180 กิโลกรัม เปิดไฟหน้า ผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเทียบกับ คู่แข่ง
คันอื่นๆ มีดังนี้

2015_01_05_Honda_HR_V_Data_1

เห็นตัวเลขแล้ว เป็นอย่างไรบ้างครับ ชัดเจน แบบหมดข้อกังขากันไหม?

HR-V ทำตัวเลขออกมาได้เร็วกว่าคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน และใกล้เคียงกัน
ทุกรุ่น ไม่เพียงเท่านั้น HR-V ยังทำตัวเลขอัตราเร่ง ได้กระฉับกระเฉงกว่า
Civic FB 1.8 ลิตร ราวๆ 0.6 วินาที ทั้ง 2 หมวด! (Civic FB 1.8 ลิตร จับเวลา
0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ 11.34 วินาที ส่วนอัตราเร่งแซงช่วง 80 – 120
กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ 8.37 วินาที)

ตัวเลขทั้งหมด สรุปความด้วยตัวของมันเอง จนไม่เหลืออะไรให้ผมพูดต่อ

คุณงามความดีที่เกิดขึ้นนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เป็นผลมาจากการเปลี่ยนมา
ใช้เกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT ที่หลายคน เกลียดเสียงครางยาวๆ
เขย่าประสาท ขณะเหยียบคันเร่งจมมิด เพื่อลากรอบเครื่องยนต์ นั่นละครับ

2015_01_05_Honda_HR_V_Engine_03_Top_Speed

ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น ช่วงออกตัว เข็มความเร็วจะไต่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในระดับเดียวกับรถยนต์ 1.8 ลิตร ทั่วๆไป แม้จะพ้นช่วง 120 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ไปแล้ว เข็มความเร็วยังคงไหลเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ดีอยู่ อย่าง
น่าแปลกใจไม่เบาเลย พอเข็มความเร็วแตะระดับ 1ุ60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ตัวรถจะเริ่มไต่ขึ้นไปช้าลงนิดนึง และเมื่อพ้น 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว
เข็มจะไต่ช้าลงอย่างชัดเจน ต้องใช้เวลาพักหนึ่ง กว่าจะแตะถึงระดับ 202
กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 6,000 รอบ/นาที ทำให้ HR-V มีตัวเลข Top Speed
สูงที่สุด ในบรรดา Sub-Compact Crossover SUV ประกอบในบ้านเรา

ขอย้ำกันเหมือนเช่นเคยว่า เรายังคง มีจุดยืนที่จะไม่สนับสนุนให้ใครก็ตาม
ที่อ่านบทความนี้จบแล้ว ไปทดลองหาความเร็วสูงสุดกันเอาเอง เพราะอาจ
ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตตนเอง และเพื่อนร่วมทาง ซึ่งการขับรถที่เร็วจน
เกินกฎหมายกำหนด ก็ถือเป็นความผิดทางกฎหมายจราจรอีกด้วย

อีกทั้งรถยนต์ประเภท Crossover มักจะมีความสูงมากกว่ารถยนต์ทั่วไป
ไม่เหมาะกับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง เพราะง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุ
จากปัญหาเสียการทรงตัวกระทันหัน เราทำตัวเลขออกมาให้ดู เพื่อให้
ประชาชน ได้ทราบข้อเท็จจริง และเป็นประโยชน์ในแง่ของการศึกษา
ด้านวิศวกรรมยานยนต์ เท่านั้น

2015_01_05_Honda_HR_V_Engine_04_JIMMY_Drive

ในการขับขี่จริง ต้องยอมรับว่า ประสบการณ์ของแต่ละคน ก่อนที่จะได้
ทดลองขับ HR-V มีส่วนสำคัญต่อทัศนคติที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง
และน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ผมประเมินไว้…

สำหรับสุภาพสตรี ผมเชื่อว่า อัตราเร่ง ที่รถคันนี้มีมาให้ มันแรงเกินพอ
และกระฉับกระเฉงดีพอให้คุณลืมความสนใจจาก CR-V 2.0 ลิตร ได้
บางคนอาจถึงขั้นกลัว แต่สาวๆบางคนที่เคยขับรถแรงๆมาก่อน อาจจะ
เฉยๆ พอรับได้ นั่นเพราะในช่วงออกตัว รถพุ่งออกไปในระดับกำลังดี

สำหรับใครที่ยังไม่เคยขับ Civic FB 1.8 ลิตร มาก่อน คุณจะมองว่า
แรงดึงจาก HR-V มันทำให้คุณสนุกได้ไม่เลวเลยทีเดียว แรงใช้ได้
จนอาจทำให้ลืมสนใจเสียงครางยาวๆ ขณะลากรอบเครื่องยนต์
ตามนิสัยของเกียร์ CVT ไปได้เลย

แต่สำหรับใครที่เคยลองขับ หรือกำลังขับ Civic FB 1.8 ลิตร อยู่แล้ว
อัตราเร่งที่เกิดขึ้น คนกลุ่มหลังนี้ อาจคิดว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก
รถที่พวกเขาเคยขับอยู่ แถมยังจะคล้ายคลึงกับ Civic FB 1.8 ลิตรมาก
นั่นเพราะ แรงดึง และบุคลิกของตัวรถ ขณะพุ่งออกจากจุดหยุดนิ่ง
มันแทบให้ความรู้สึกไม่ต่างกันนัก

ทางเดียวทื่จะทำให้คุณเห็นความแตกต่างได้ คือ การจับเวลาอย่างจริงจัง
ซึ่งนั่นจะทำให้เราได้เห็นว่า ทีมวิศวกร Honda คิดถูกต้องแล้ว ในการ
เปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT แทนที่จะยืนหยัดอยู่กับ เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
เพราะมันช่วยให้อัตราเร่งดีขึ้นทันตาเห็น

ยิ่งในขณะที่คุณจำเป็นต้องเร่งแซงรถคันข้างหน้า ไม่ว่าจะเหยียบคันเร่ง
ลงไปแค่ครึ่งเดียว หรือจมมิดจนแทบจะทะลุไปห้องเครื่องยนต์ HR-V
ก็จะเร่งแซงในระดับที่เกือบเรียกได้ว่า “ฉีกแซง” ออกไปทั้งแบบเนียนๆ
หรือแบบเกรี้ยวกราด ขึ้นอยู่กับการบังคับคันเร่ง ผสานกับพวงมาลัยของคุณ

อัตราเร่งที่มีมาให้ มันชวนสนุกมากพอที่จะทำให้ผม แซงผ่านบรรดาเต่าถุย
ขับช้าแช่เลนขวา ได้อย่างไม่เกรงใจใคร แถมยังทิ้งห่าง Toyota Vios สีดำ
แต่งซิ่งแนวแว๊นๆ ที่ขับแซงขึ้นหน้าผมไป ในช่วงกลางดึกวันหนึ่ง บนถนน
บางนา – ตราด ก่อนที่ผมจะมีจังหวะแซงขึ้นไป แบบเรียบๆ เนียนๆ ซึ่งนั่น
ทำให้ Vios เกิดอาการคับแค้นใจ ขอไล่ตามตูด HR-V ดู หวังจะเอาคืน ทั้งที่
ผมแซงเขาไปด้วยความเร็วปกติ คือ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ผมไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่า กดคันเร่งจมมิด แล้วปล่อยให้ HR-V พุ่ง
ทะยานขึ้นไปแตะระดับ 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง สบายๆ ทิ้งให้ Vios สีดำ
แต่งแว๊นๆ คันนั้น ได้แต่ ตามตูดผมอยู่ ไม่ใกล้ ไม่ไกลกันจนเกินไปนัก
เพราะดูท่าทาง นางก็คงกดสุดเต็มตีนแล้ว จึงยังแซงผมไม่ได้สักที

ทางข้างหน้าที่แสนโล่ง ผมตบไฟเลี้ยวซ้าย เพื่อจะเข้าเลนคู่ขนาน กลับ
เข้าบ้าน ปล่อยให้ Vios ผู้คับแค้นใจ ได้แซงผมไปให้หายคันในร่มผ้า เพราะ
ถ้านางแซง HR-V ไม่ได้ เดี๋ยวคืนนี้ นางจะนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย จน
กระวนกระวายตลอดคืนที่เหลืออยู่แน่ๆ เดี๋ยวไม่ได้ชื่อว่าเป็น “เกรียนติดล้อ”

ยอมรับครับว่า ผมเผลอใจสนุกไปกับอัตราเร่งของ HR-V อยู่เหมือนกัน
และไม่แปลกใจแล้วละว่า หลังจากนี้ ถ้า HR-V หลายๆคัน จะทำตัวเป็น
ไอ้เปี๊ยกบ้าพลัง ไล่จี้ตูดชาวบ้าน อย่างที่ตาแพน ของเรา โดนไปเมื่อตอน
ลองขับ Nissan X-Trail ร่วมทริปสื่อมวลชน ช่วงปลายปี 2014 ผมคงจะ
ไม่แปลกใจแล้วละ

เพียงแต่ว่า อัตราเร่งน่ะ มันสนุก แต่ช่วงล่างของรถเนี่ย มันทำให้ผม
พอจะยั้งๆเท้าขวาไว้อยู่…

การเก็บเสียงในช่วงความเร็วต่ำนั้น ทำได้ดีกว่า Honda รุ่นอื่นๆ อยู่
นิดหน่อย เสียงลมที่ไหลเข้ามายังห้องโดยสารนั้น น้อยกว่าชัดเจน
และต้องรอให้ผ่านพ้นช่วง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปก่อน จึงจะ
เริ่มดังข้น แต่ยังอยู่ในระดับที่เบากว่า Honda ในอดีตหลายๆรุ่น

ส่วนการเก็บเสียงจากพื้นรถ แม้จะทำได้ดีกว่า Civic แต่ยังมีเสียง
จากยางรถที่บดลงไปบนพื้นถนน ดังขึ้นมามากในระดับที่รับรู้ได้
ชัดเจนอยู่ดี ขณะที่การเก็บเสียงเครื่องยนต์ แม้จะเงียบกว่า Civic
แต่ก็ยังไม่เงียบมากเท่าที่ควร

ระบบบังคับเลี้ยว ยังคงเป็นพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมระบบ
ผ่อนแรงเพาเวอร์แบบไฟฟ้า MA-EPS (Motion Adaptive Electric
Power Steering System) รัศมีวงเลี้ยว แคบเพียง 5.3 เมตร แถมยังมี
ระยะหมุนจากซ้ายสุด ไปขวาสุด อยู่ที่ 2.79 รอบ ดังนั้น จึงช่วยให้การ
เลี้ยวกลับรถ บนถนนที่มีความกว้างไม่มากนัก ทำได้อย่างง่ายดายและ
คล่องแคล่ว จนผมแอบประหลาดใจอยู่พอสมควร

พูดกันตรงๆก็คือ มันมีบุคลิกคล้ายกับบรรดาพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า
ซึ่งติดตั้งอยู่ในรถยนต์ Honda รุ่นอื่นๆ ในช่วงก่อนหน้านี้ นั่นละครับ
แต่มันถูกปรับแต่งมาให้มีความหนืดเพิ่มขึ้นจากพวงมาลัยของ Civic
FB อยู่ประมาณ 6%

เหตุผลนี้ จึงทำให้พวงมาลัยของ HR-V มีน้ำหนักเบากำลังดี ในช่วง
ความเร็วต่ำ ขณะขับขี่ในเมือง บังคับเลี้ยวได้คล่องแคล่ว แต่พอจะมี
แรงขืนที่มือ เพิ่มขึ้นจาก Civic FB มาให้อีกนิดนึง ซึ่งช่วยเพิ่มความ
มั่นใจในการบังคับเลี้ยว ขณะขับขี่ลัดเลาะไปตามทางโค้งมากขึ้นอีก
นิดหน่อย ความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์ไล่เลี่ยกับ Civic FB นั่นละครับ
แต่ที่แน่ๆ น้ำหนัก และความหนืด ยังมากกว่าพวงมาลัยของ Accord
G9 ชัดเจน แบบไม่ต้องสืบ

อย่างไรก็ตาม ผมยังคงยืนยันข้อสังเกตเดิมไว้ว่า Honda อาจจะใช้ชุด
แร็คพวงมาลัย ของ Civic มาดัดแปลง โดยใช้ มอเตอร์ติดตั้งอยู่ที่แกน
พวงมาลัย อีกทั้งการสวมล้ออัลลอย 17 นิ้ว พร้อมยาง Dunlop ขนาด
215/55 R17 ซึ่งมีน้ำหนักถ่วงเพิ่มขึ้นมา น่าจะทำให้แร็คพวงมาลัยมี
น้ำหนักสมดุลขึ้นถือได้ว่า เซ็ตมาลงตัวกว่าพวงมาลัยรถยนต์ Honda
รุ่นอื่นๆ ในช่วงนี้

เพราะในช่วงความเร็วสูง การตอบสนอง คล้ายคลึงกับพวงมาลัยของ
Civic FB อย่างมาก เพียงแต่ว่า มั่นใจกว่ากันนิดหน่อย เท่านั้นเอง
ถ้าเป็นทางตรง บนถนนที่เรียบและนิ่ง พวงมาลัยจะไม่วอกแวกชวน
สะกิดต่อมใดๆเลย On Center Feeling อยู่ในระดับกำลังดีมากพอจะ
มั่นใจ และวางใจได้ อัตราทดที่เซ็ตมา ช่วยให้การบังคับเลี้ยวขณะ
เข้าโค้งยาวๆต่อเนื่อง ยังมีความแม่นยำในระดับที่ SUV ทั่วไปควร
จะเป็น

ถือได้ว่า หลังจากผ่านช่วงปี 2009 จนถึงปีนี้ 2015 นี่คือพวงมาลัยที่
Honda เซ็ตมาได้ ลงตัวที่สุด สำหรับรถยนต์ประกอบในประเทศ
ของพวกเขา ในช่วง 6 ปีมานี้ น้ำหนักกำลังดี ไม่ไวเกินไป แต่ยัง
เลี้ยวได้คล่องแคล่วในความเร็วต่ำ แถม On-Center Feeling ยัง
ถือว่าใช้ได้ในช่วงความเร็วสูง ต้องขอชมเชย และอยากจะบอกว่า
ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงเพิ่มเติม เว้นแต่ว่า ถ้าเพิ่มความหนืดกว่านี้
เฉพาะช่วงหลังจาก 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
แต่นั่นก็ไม่จำเป็นนัก เมื่อนำความต้องการของกลุ่มลูกค้าผู้หญิง
ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่อุดหนุนรถคันนี้ มานั่งพิจารณาร่วมด้วย

2015_01_05_Honda_HR_V_Engine_05_Suspension

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง
ส่วนด้านหลังเป็นแบบ ทอร์ชันบีม H-Shape ใช้ช็อกอัพแบบใหม่ ชื่อ
Amplitude Reactive Dampers เหมือนทั้ง Honda Accord Hybrid
และ Honda Odyssey

ช็อกอัพแบบ Amplitude Reactive Dampers เป็นระบบกลไกล้วนๆ
ไม่ต้องพึ่งพาระบบไฟฟ้า หรืออิเล็กทรอนิกส์ใดๆ มาช่วยทำงาน
ทั้งสิ้น หลักการก็คือ ใช้ลูกสูบช็อคอัพแยกกัน 2 ตัว แบ่งเป็นตัวหลัก
และตัวรอง ลูกสูบตัวหลัก จะเน้นการดูดซับแรงกระแทกเล็กๆน้อยๆ
จากผิวถนนในสภาพการขับขี่ทั่วไปแบบปกติ ส่วนลูกสูบตัวที่ 2 จะ
เข้ามาช่วยดูดซับแรงกระแทกในกรณีที่เจอพื้นผิวถนนขรุขระ หรือ
มีหลุมบ่อมากๆ

ฟังดู หลักการก็เข้าท่าดี แต่ในความเป็นจริง ผมกลับมองว่า อยากให้
Morishita-san ปรับปรุงแก้ไขช่วงล่างของ HR-V ต่ออีกสักหน่อย

จริงอยู่ว่า HR-V ในแต่ละตลาด ทั้งญี่ปุ่น อเมริกาเหนือ จีน ยุโรป
จะถูกเซ็ตช่วงล่างมาให้แตกต่างกัน ตามความต้องการของแต่ละ
ตลาด และตามความเหมาะสมในสายตาของวิศวกร

แต่สำหรับเวอร์ชันไทย ผมพบว่า ยังเซ็ตมาไม่ลงตัวเท่าที่ควร แม้
ในช่วงความเร็วต่ำ ขณะขับขี่ในเมือง อาการตึงตังเล็กๆน้อยๆ แบบ
ช่วงล่างของ Honda รุ่นเก่าๆ ยุคก่อนๆ ที่หลายคนคุ้นเคยจะกลับมา
เซย์ฮัลโหลกับคุณอีกครั้ง หากคุณใช้ความเร็ว ไม่เกิน 40 กิโลเมตร/
ชั่วโมง และจำเป็นต้องขับผ่านถนนลูกรัง ก้อนหิน ดินกรวด หรือขับ
ผ่านหลุมบ่อต่างๆ ช็อกอัพกับสปริง จะยุบตัวค่อนข้างน้อย จนคุณ
จะเจออาการตึงตังดังกล่าว พอลงหลุมแล้ว ช่วงล่างถือว่ากระด้าง
นิดๆ แม้ว่า ตัวช็อกอัพเอง จะมีระยะยุบตัวค่อนข้างเยอะพอสมควร
ก็ตาม

หากพอใช้ความเร็วเพิ่มขึ้น หากพื้นผิวถนนราบเรียบ และไม่มีลม
มาปะทะด้านข้าง ตัวรถจะนิ่งอยู่ในระดับใช้การได้

แต่ถ้าขับขี่บนทางด่วน หรือถนนบางนา – ตราด กับถนนวงแหวน
กาญจนาภิเษก หรือแม้แต่ มอเตอร์เวย์ ด้วยความเร็วเกินกว่า 120
กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป ช่วงล่างจะออกอาการ ยวบยาบเพิ่มขึ้น
ชัดเจน ยิ่งถ้าเป็นพื้นถนนแบบลอนคลื่น ตัวรถจะเกิดอาการโคลง
ขึ้นๆลงๆ ซ้ายๆ ขวา ตามผิวถนน แถมยังพอจะมี”อาการแกว่งข้าง”
มาให้พบอีกเล็กน้อยด้วยซ้ำ ดังกล่าวจะเกิดขึ้นชัดเจนมากจนผม
ขอไม่แนะนำให้คุณขับ HR-V ด้วยความเร็วเกินกว่า 120 – 140
กิโลเมตร/ชั่วโมง บนพื้นผิวถนนแบบลอนคลื่น หากไม่จำเป็น
เร่งด่วนคอขาดบาดตายจริงๆ

อีกทั้งยังต้องขอแนะนำเพิ่มเติมด้วยว่า หากไม่จำเป็น อย่าเผลอ
หักหลบน้องหมาที่เดินข้ามถนนตัดหน้าในจังหวะนั้นด้วยอาการ
ตกใจนะครับ โอกาสหลุดลงข้างทางพอจะเกิดขึ้นได้บ้างนะ

ถามว่า ทำไมเป็นเช่นนั้น?
อธิบายไม่ยากครับ

ในประเด็นการเข้าโค้งนั้น การติดตั้งถังน้ำมันไว้กลางลำตัว
ของรถใต้เบาะคู่หน้า มันอาจส่งผลดีให้กับ รถยนต์ที่เตี้ยกว่า
อย่าง Honda City หรือ Jazz เพราะน้ำหนักของน้ำมันที่ถูก
โยกจากท้ายรถมาอยู่ตรงกลาง ช่วยให้การกระจายน้ำหนักรถ
เทมายังด้านหน้ามากขึ้น ช่วยให้คุณเข้าโค้งได้มั่นใจขึ้น และ
ทำให้หน้ารถจิกโค้งมากขึ้น (หากใช้ความเร็วไม่สูงเกินไป
จนหน้ารถบานออก)

แต่ใน HR-V หากคุณเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกินไป รถจะเริ่มมี
อาการท้ายปัดออก (Oversteer) ซึ่งยังดีที่ว่า อาการดังกล่าว จะ
เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทีละช้าๆ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่คุณ
ใช้ในขณะเข้าโค้ง เข้าช้าๆ ท้ายก็ไม่ออก ควบคุมรถได้ตามปกติ

แต่ถ้าเข้าเร็วไป บั้นท้ายออก ทางแก้ก็คือ ดึงพวงมาลัยคืนกลับมา
ให้หน้าบานออกเพิ่มนิดๆ แล้วเลี้ยวเพิ่มกลับเข้าไปอีกครั้ง ใน
ระดับที่เหมาะสม ก็พอจะแก้อาการท้ายปัดของ HR-V ได้ง่ายๆ

แต่ถ้าคุณเร่งส่งในโค้งมากเกินไป ผมพบอาการ Understeer หรือ
ด้านหน้าของรถบานออกนิดหน่อย ในช่วงที่เลี้ยวพวงมาลัย จน
ตัวรถอยู่ในโค้ง สันนิษฐานว่า ถ้าใส่ยางแนว Sport ที่ดีกว่านี้ ก็
อาจจะช่วยลดอาการดังกล่าวลงได้นิดหน่อย แต่คงไม่เยอะนัก

ความเร็วในการเข้าโค้งรูปเคียว บนทางด่วนขั้นที่ 2 เหนือต่างระดับ
มักกะสัน กระทั่ง โค้งตัว S ช่วงต่างระดับคลองเตย มุ่งหน้าจากถนน
พระราม 3 จะไปบางนา ไม่ควรเกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นจึงจะ
อยู่ในระดับที่ยังปลอดภัย และสำหรับ โค้งตัว S เชื่อมทางด่วนขั้นที่ 1
เข้ากับทางยกระดับ บูรพาวิถี บริเวณ ทางราบสุขุมวิท 62 ไม่ควรใช้
ความเร็วหน้าโค้ง ก่อนเข้าโค้ง และในโค้ง เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แม้ว่าภาพรวมของการเซ็ตรถในตอนนี้ จะทำให้ผู้ขับขี่ รู้สึกได้ว่า
ตัวรถมีความคล่องแคล่วสูงมาก ในการลัดเลาะ หรือหักหลบ แล้วเร่ง
ออกจากการจราจรติดขัด หรือสถานการณ์คับขันใดๆ การทำงานที่
ประสานกันดีทั้งพวงมาลัย ช่วงล่าง และอัตราเร่งจากเครื่องยนต์
ช่วยเพิ่มความสนุกเล็กๆ ให้กับชีวิตประจำวันคุณพอได้อยู่

ผมไม่ว่าเลย ถ้ารถคันนี้ มีโจทย์ในการออกแบบมาเพื่อเอาใจลูกค้า
กลุ่มที่ต้องการความสบาย รื่นรมย์ในการขับขี่ ช่วงล่างนุ่มๆ โยนๆ
นิดๆ ในช่วงความเร็วสูงแบบนี้ อาจตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ แต่ถ้า
คุณจะบอกว่า นี่คือ Premium Sport Crossover ที่ต้องผสมผสาน
บุคลิกของทั้ง รถยนต์ Sport Sedan , Sport Coupe และ SUV
เข้าไว้ด้วยกันในคันเดียวแล้ว ผมถือว่า ยังต้องมีการปรับปรุงให้
ช็อกอัพ หนืดขึ้น ในช่วงความเร็วสูงมากกว่านี้ ช่วงล่างต้องแข็ง
เพิ่มขึ้นกว่านี้ อีกนิดนึง จึงจะเหมาะสมกับบุคลิกของตัวรถที่
Morishita-san ตั้งเป้าไว้

สำหรับใครที่ซื้อไปแล้ว และไม่พอใจกับช่วงล่าง คงต้องหาชุด
ช็อกอัพของแต่ง จากเมืองนอก มาใส่ ลองดูได้ตามเว็บไซต์ใน
เมืองนอก โดยเฉพาะบรรดาสำนักแต่งรถยนต์ในญี่ปุ่นกันตาม
อัธยาศัย นั่นคือวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายสุด และน่าจะจบที่สุดแล้ว

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ มาพร้อม ระบบป้องกันล้อล็อก
ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตาม
น้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics Brake Force Distributor)
ระบบควบคุมการทรงตัว VSA (Vehicle Stability Control) และ
ระบบช่วยการออกตัว ขณะรถหยุดนิ่งบนทางลาดชัน HSA (Hill
Start Assist) ถ้าเหยียบเบรกจนสุด ขณะจอดบนทางชัน เมื่อปล่อย
แป้นเบรก ระบบจะสั่งให้ยังรักษาแรงดันน้ำมันเบรก ค้างไว้อีกราวๆ
2-3 วินาที เพื่อป้องกันไม่ให้รถไหล ในขณะที่คุณสลับเท้าจากการ
เหยียบแป้นเบรก มาเหยียบคันเร่งแทน

จุดขายสำคัญของ HR-V ใหม่ คือการเปลี่ยนระบบเบรกมือ จากแบบ
กลไก มาเป็นสวิตช์ไฟฟ้า เป็นรายแรกของรถยนต์ญี่ปุ่น ประกอบใน
เมืองไทย การใช้งาน เหมือนเบรกมือไฟฟ้าในรถยนต์ Premium
ทั่วไป คือ ถ้าจะดึงเบรกมือใช้งาน เอานิ้วเกี่ยวสวิตช์ไฟฟ้า ที่บริเวณ
ฐานคันเกียร์ จนไฟแสดงการทำงานสีแดง ติดขึ้นบนมาตรวัด และ
ถ้าจะปลดเบรกมือออก ต้องเหยียบเบรก แล้วกดสวิตช์เดิมลงไป

นอกจากนี้ยังมี สวิตช์ Hold สำหรับการขับขี่ในเมือง ถ้าจอดติดไฟแดง
อยากเข้าเกียร์ค้างไว้ที่ D แต่ขี้เกียจเหยียบเบรก เมื่อติดเครื่องยนต์แล้ว
ให้เหยียบเบรก แล้วกดสวิตช์ Hold 1 ครั้ง จนไฟสัญญาณของระบบ
สีเขียวสว่างขึ้นบนมาตรวัด เมื่อจอดติดไฟแดง แค่เหยียบเบรกให้สุด
จนรถหยุดนิ่ง แล้วถอนเท้าจากแป้นเบรกได้เลย ระบบจะล็อกล้อหลัง
ไว้ให้ ถ้าไฟเขียว ก็เหยียบคันเร่ง ส่งรถพุ่งออกไปได้เลย แต่ ถ้าคุณมี
ลูกหลานใครสักคนเกิดซน ดึงสวิตช์เบรกมือขึ้นไป รถก็จะค่อยๆชะลอ
ความเร็วลงมาให้ แบบเบรกมือปกตินั่นละ

การปรับเซ็ตระบบเบรก ถือว่าทำได้ดี ไม่ขี้เหร่ อาจต้องปรับตัวเล็กน้อย
ถ้าเพิ่งลงจากรถยนต์คันอื่นมา ระยะเหยียบเหมือนจะยาว แต่จริงๆแล้ว
ไม่ได้ยาวอย่างที่คิด น้ำหนักแป้นเบรก มาในแนวเบากำลังดี สำหรับคุณ
สุภาพสตรีทั้งหลาย น่าจะชอบ เหยียบลงไปแล้วคล้ายบุคลิกของเบรกใน
Civic FB แต่เมื่อเข้าใกล้ช่วงลึกสุด จะมั่นใจกว่ากันพอสมควร การหน่วง
ความเร็วลงมา จากระดับตั้งแต่ 120 จนถึงหยุดนิ่ง  ถือว่าค่อนข้างไว้ใจได้
แต่ถ้าในช่วงความเร็วช่วง 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลงมา ขอแนะนำให้เผื่อ
ระยะเบรกไว้สักหน่อย  แม้ว่าเบรกจะวางใจได้ แต่พอจะมีโอกาส Fade
ได้บ้าง ยิ่งพอบู๊หนักๆสะสมเข้าผ้าเบรกจะออกอาการเร็วกว่า XV เห็นได้ชัด

ส่วนการเลี้ยงแป้นเบรกให้รถหยุดได้นุ่มนวล ขณะคลานไปตามสภาพ
การจราจรติดขัด ทำได้ดีตามมาตรฐานของระบบเบรกใน Honda ทั่วๆไป

2015_01_05_Honda_HR_V_Engine_06_Body_Structure

ด้านความปลอดภัย HR-V ยังคงถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีโครงสร้าง
ตัวถัง GCON ที่ได้รับการพัฒนาให้ปกป้องผู้โดยสาร รวมทั้งคนเดินถนน
ได้ดียิ่งขึ้น โดยการใช้เหล็กแบบ Ultra High Tensile Steel ที่ทนทานต่อ
แรงการเสียรูปสูง มาใช้เป็นวัสดุ เพื่อช่วยดูดซับและกระจายแรงปะทะที่
เกิดขึ้นจากการชนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสียหายจากการ
ชนกันแบบประสานงาทางด้านหน้าระหว่างรถยนต์ที่มีขนาดต่างกันได้
อีกด้วย

สิ่งที่แตกต่างจากโครงสร้างตัวถังแบบเดิม คือ แรงกระแทกจะถูกส่งลง
ไปยังโครงสร้างตัวถังด้านล่างเป็นหลัก กระจายไปตามแนวโครงสร้าง
ตัวถังทั้งด้านบนและด้านล่าง และเสากระจกบังลมหน้า A-Pillar เพื่อ
ทำให้แรงกระแทกที่เกิดจากการชนทางด้านหน้า กระจายไปโครงสร้าง
ส่วนต่างๆ ทั่วทั้งตัวถัง ลดปัญหาการเสียรูปของโครงสร้างห้องโดยสาร

ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย ของเวอร์ชันไทย ทุกรุ่นย่อยจะติดตั้งระบบ
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า i-SRS มาให้ ส่วนถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านลม
นิรภัย สำหรับผู้โดยสารยาวต่อเนื่องถึงด้านหลัง ครบ 2 ฝั่ง จะมีมาให้
เฉพาะรุ่น EL เท่านั้น นอกจากนี้ ทุกรุ่นจะมีไฟฉุกเฉินเปิดอัตโนมัติ
ESS (Emergency Signal System) ติดสว่างขึ้นมาให้เองเมื่อผู้ขับขี่
เหยียบเบรกกระทันหัน มีระบบล็อกประตุรถอัตโนมัติ เมื่อเริ่มออกรถ
รวมทั้งระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยฝั่งคนขับ (เฉพาะรุ่น EL จะเตือน
ฝั่งคนนั่งด้านซ้ายเพิ่มมาให้ด้วย)

ไม่เพียงแค่นั้น ทุกรุ่นยังมีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็กมาตรฐานของ
ISOFIX มาให้ที่เบาะหลัง ทั้งฝั่งซ้าย-ขวา อีกด้วย

ณ วันที่บทความนี้ออกเผยแพร่ HR-V ผ่านมาตรฐานทดสอบการชน
เฉพาะ JNCAP ของรัฐบาลญี่ปุ่น เพียงรายการเดียวในเบื้องต้น และ
หลังจากนี้ น่าจะมีการทดสอบโดย Euro NCAP กับ ASEAN NCAP
ตามมาภายหลัง

2015_01_05_Honda_HR-V_Fuel_Consumption_1

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

แม้ว่า HR-V จะใช้เครื่องยนต์ร่วมกันกับ Civic FB 1.8 ลิตร แต่ในเมื่อมีการเปลี่ยน
มาใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT อีกทั้งยังมีโครงสร้างตัวถัง แตกต่างจาก Civic ชัดเจน
ดังนั้น ไม่แปลกที่หลายคนจะอยากรู้ว่า อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ของ HR-V จะ
ลดทอนความประหยัดลงมาจาก Civic มากน้อยแค่ไหน

เราจึงทำการทดลองด้วยมาตรฐานดั้งเดิมของเว็บเรา ด้วยการนำรถไปเติมน้ำมัน
เบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน ใกล้สถานี
รถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน เหมือนเช่นเคย

อย่างไรก็ตาม ต้องขอแจ้งคุณผู้อ่านให้ทราบกันไว้ก่อนว่า ตามธรรมเนียมแล้ว หาก
รถยนต์ที่เรานำมาทดลองขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ซีซี ราคาไม่เกิน
1,300,000 บาท หรือรถกระบะ เราต้องเขย่ารถและอัดกรอกน้ำมันลงถังให้ได้มาก
ที่สุด จนกระทั่งน้ำมันเอ่อออกมาถึงคอถัง เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความผิดเพี้ยนของ
ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้เหลือน้อยที่สุด

แต่ในเมื่อ HR-V ถูกออกแบบให้มีการติดตั้งถังน้ำมันไว้ตรงกลางลำตัวรถ เหมือน
Honda City และ Honda Jazz ทำให้เราไม่สามารถเขย่ารถเพื่อการทดลอง
ตามปกติ เนื่องจาก คอถังที่ยาวมาก จะต้องใช้เวลาในการเขย่าและกรอกเติมนาน
จนมีโอกาสเกิดความเพี้ยนของตัวเลขผลลัพธ์ที่สูง (เราเคยเจอประสบการณ์นี้มาแล้ว
ในการทดลองกับ Honda City เมื่อ เกือบ 10 ปีก่อน)

เราจึงใช้วิธีที่ง่ายที่สุดที่เคยทำมาแล้วกับ ทั้ง City และ Jazz นั่นคือ เราเติมน้ำมัน
เบนซิน 95 ล้วนๆ (ไม่ใช้แก็สโซฮอลล์ในการทดสอบทั้งสิ้น) จนเต็มถัง เอาแค่เพียง
หัวจ่ายตัดก็พอ ไม่ต้องเขย่า ไม่ต้องกรอกน้ำมันลงไปมากกว่านี้

2015_01_05_Honda_HR-V_Fuel_Consumption_2

จากนั้น เราจะใช้วิธีการดั้งเดิม คือ ขับออกจากปั้ม เลี้ยวกลับที่ถนนพหลโยธิน เข้า
ซอยอารีย์ เลี้ยวขวาลัดเลาะไปออกซอยโรงเรียนเรวดี ถนนพระราม 6 ขึ้นทางด่วน
ที่ด่านพระราม 6 แล้วก็ ขับรถกันไปยาวๆ จนถึงปลายสุดของระบบทางด่วน สาย
อุดรรัถยา เลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนสายเดิม มุ่งหน้าย้อนกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยใช้
ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน ตามมาตรฐานเดิม

ผู้ร่วมทดลองในคราวนี้ คือน้อง Pao Dominic สมาชิก The Coup Team รายล่าสุด

เมื่อถึง ทางลง จากทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน
เลี้ยวกลับที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex
พหลโยธิน กันอีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมัน เบนซิน 95 Techron ให้เต็มถัง เอาแค่เพียง
ให้หัวจ่ายตัดก็พอ เหมือนครั้งแรกที่เริ่มต้นทดลอง

2015_01_05_Honda_HR-V_Fuel_Consumption_3

มาดูผลลัพธ์ที่ HR-V ทำได้ กันดีกว่า

ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 93.5 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเบนซิน 95 เติมกลับ 5.93 ลิตร
คำนวณแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉี่ย 15.76 กิโลเมตร/ลิตร

2015_01_05_Honda_HR_V_Data_2

ถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งในกลุ่ม Small Crossover SUV ด้วยกันทั้งหมดแล้ว
ชัดเจน ไม่ต้องสืบสวนต่อครับ HR-V ประหยัดน้ำมันที่สุดในกลุ่ม ส่วนหนึ่ง
ต้องยกคุณงามความดีให้ทั้งเกียร์ CVT และการออกแบบให้ตัวรถลู่ลม แถม
ตัวเลขที่ออกมา ยังประหยัดด้อยกว่า Civic FB 1.8 ลิตร เพียงแค่นิดเดียว ต้อง
ถือว่า ทำผลงานออกมาได้ดีกว่าที่เราคิดไว้

ส่วนการใช้งานจริง น้ำมันเต็มถัง สามารถแล่นได้ไกลแค่ไหนนั้น เราลอง
ขับขี่ไปจนกระทั่ง เข็มน้ำมันลงต่ำไปจนเหลือเพียง 1 ใน 4 ของถัง ตัวเลข
มาตรวัด Trip Meter A อยู่ที่ 356.9 กิโลเมตร แสดงว่า ถ้าเติมน้ำมันเต็มถัง
แล้วขับจนกระทั่งไฟเตือนน้ำมันใกล้หมด ติดสว่างขึ้นมา ระยะทางน่าจะ
แล่นได้ราวๆ 450 กิโลเมตร ด้วยการขับแบบปกติทั่วไป มีเร่ง มีผ่อน แล่น
ในเมืองและบนทางด่วนเป็นหลัก

2015_01_05_Honda_HR_V_07

********** สรุป **********
เหมือนกาแฟซอง 3 in 1 แต่ยังต้องปรับจูนช่วงล่างอีกหน่อยนะ

ใครที่เปิดบทความนี้มา แล้วใช้วิธี เลื่อนเมาส์ หรือ เลื่อนนิ้ว ลงมาจนถึง
บรรทัดนี้ ในทันที เพียงเพื่อหวังว่าจะประหยัดเวลา ในการอ่าน คงต้อง
ขอบอกว่า คุณพลาดอะไรไปหลายสิ่งหลายอย่างมาก ช่วยไม่ได้ ในเมื่อ
คุณเลือกจะอ่านแบบนี้เอง ก็คงจะได้รับรู้แค่การสรุปความเห็นของผม
ที่มีต่อ ผลผลิตล่าสุดของ Honda คันนี้

แต่ใครที่เริ่มอ่านบทความนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ผมเชื่อว่า คุณคงได้รับรู้ว่า
ความจริงแล้ว ผู้ผลิตรถยนต์แทบทุกราย ไม่ว่าจะเป็นค่ายญี่ปุ่น หรือ
ยุโรป อเมริกา ก็ตาม มักจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ ในการมองเห็นความ
ต้องการของลูกค้าในอนาคต มันเป็นเรื่องยาก ที่จะต้องคาดการณ์ถึง
รสนิยม รูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในทศวรรษข้างหน้า

รถยนต์รุ่นใดก็ตาม ที่คุณเห็นมันเปิดตัวในวันนี้ หมายถึงว่า พวกเขา
คิดและเตรียมการ รวมทั้งคาดเดาความต้องการของพวกคุณ กันตั้งแต่
เมื่อ 4 ปีก่อน เป็นอย่างต่ำ (บางที ก็ 10 ปี เลยก็มี)

ถ้าจะต้องบอกว่า HR-V ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทั่วโลก
รวมทั้งเมืองไทย ได้ดีเช่นนี้ ก็คงไม่ผิดนัก เราต้องยกความดีความชอบ
ครั้งนี้ ให้กับทีมวิจัยตลาด และทีมวิศวกรของ Honda R&D ที่พยายาม
เอาชนะทุกอุปสรรค ในการผสมผสาน ความอเนกประสงค์ กระทัดรัด
คล่องตัว ที่เหมาะกับการใช้งานในเมือง ของ Honda Fit/Jazz บุคลิก
รถเก๋ง แนว Sport Saloon กึ่ง Coupe อย่าง Honda Civic และแฝงไว้
ซึ่งความภูมิฐานตามสไตล์ SUV ยกสูง อย่าง Honda CR-V มาเขย่าๆ
โขลกรวมเข้าไว้ด้วยกัน จนกลายเป็น Crossover SUV ขนาดเล็ก
รุ่นใหม่ ที่โดนใจผู้บริโภค อย่างเกินความคาดหมายถึงเพียงนี้

จุดเด่นที่ทำให้ HR-V แตกต่างจาก คู่แข่งที่ชิงเปิดตัวไปก่อน อย่าง
Nissan Juke และ Ford EcoSport คือ ขนาดตัวถัง ที่กว้าง และใหญ่
ในระดับเหมาะสม รวมเข้ากับปรัชญาการออกแบบห้องโดยสาร
ของ Honda ที่เรียกว่า Man Maximum Machine Minimum ที่เน้น
ให้พื้นที่ใช้สอยของมนุษย์ เยอะกว่าเครื่องยนต์กลไกต่างๆ อยู่แล้ว

การตัดสินใจ ใช้พื้นตัวถัง ของ Honda Fit/Jazz ซึ่งต้องมีถังน้ำมัน
ติดตั้งย้ายจากใต้เบาะหลัง มาไว้ใต้เบาะนั่งคู่หน้า เป็นการทำลาย
ข้อจำกัดเดิมๆ ที่ทุกคนเคยพบในรถยนต์ SUV ตลอดยุคทศวรรษ
ที่ผ่านมา ไปได้จนเกือบหมดสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้การ
ออกแบบเบาะหลัง ให้ใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์สูงสุดเท่าที่
เคยมีมาในรถยนต์ประเภทนี้ กลายเป็นจุดขายสำคัญที่รองรับ
การใช้งานของลูกค้าได้อย่างดียิ่ง

ไม่เพียงเท่านั้น การตัดสินใจเลือกให้ประเทศไทย ได้ใช้ขุมพลัง
ที่แรงสุดในบรรดาเครื่องยนต์ที่ Honda ตั้งใจจะติดตั้งให้กับ HR-V
ถือว่า พวกเขาอ่านเกมขาด รู้เลยว่า คนไทยส่วนใหญ่ ชองซิ่ง แถม
ตีนหนักอีกต่างหาก เพราะนอกจากเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี จะให้
เรี่ยวแรงที่เหมาะสม กับขนาดและน้ำหนักตัวรถแล้ว ยังทำให้
Honda ประหยัดต้นทุนการเปิดสายการผลิต HR-V ในบ้านเรา
ไปได้มากโข เพราะแทบไม่ต้องลงทุนนำเครื่องยนต์ใหม่ ที่
ไม่เคยทำตลาดในบ้านเรามาก่อน มาผลิตขาย จนอาจทำให้
กำไรต่อคันลดลง จนถึงจุดที่อาจไม่คุ้มทุน

การปรับเซ็ตรถในภาพรวม ถือว่า เน้นเอาใจลูกค้ากลุ่มผู้หญิง
ที่อยากได้ รถเก๋ง ยกสูง แต่ต้องมีพื้นที่ด้านหลังอเนกประสงค์
คนกลุ่มนี้ มีทั้งพวกที่ขับรถเรื่อยเปื่อย ซื้อรถไว้เพื่อแสดงออก
ถึงสถานะทางสังคม ว่า ฉันมีตังค์จะซื้อ CR-V แต่ฉันอยากได้
ความหรู Premium จาก HR-V ในขนาดตัวรถที่เหมาะกำลังดี
กับสรีระของพวกเขา

ฟังดู ก็เหมือนว่า HR-V ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้
อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับ ซื้อรถคันเดียว ได้ครบถึง 3 บุคลิก
จากรถยนต์ 3 รุ่นดัง ทั้ง Jazz Civic และ CR-V

เดี๋ยวๆๆ นี่มัน กาแฟ เบอร์ดี 3 in 1 นี่หว่า! hahahahaha

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของผม HR-V ทำได้ดีในระดับหนึ่ง
แต่ยังไม่เท่ากับที่ คนชอบขับรถส่วนใหญ่ หลายๆคนคาดหวัง
คงเป็นเพราะยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกันอยู่อีก 2 ประเด็น
จึงจะกลายเป็น Crossover SUV ระดับ Premium ที่สมบูรณ์แบบ
อย่างที่ Morishita-san ตั้งใจ

แล้วยังเหลืออะไรให้ต้องปรับปรุงแก้ไขกันอีกละ?

2015_01_05_Honda_HR_V_08

อันที่จริงก็มีอยู่หลายข้อนะครับ

1. ปรับเปลี่ยนสเป็กของช่วงล่าง ให้คงการตอบสนองแบบตึงตังเล็กๆใน
ช่วงความเร็วต่ำแบบนี้ไว้ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางแบบสปอร์ตที่ตั้งใจ
แต่เพิ่มความหนึบแน่น ในช่วงความเร็วสูงให้มากกว่านี้ เพื่อเพิ่มความ
มั่นใจในการขับขี่ย่านความเร็วสูงให้มากกว่านี้ **แก้อย่างเร่งด่วน!**

ถ้านึกไม่ออกว่าจะเอาใครเป็น Benchmark ดี ขอแนะนำว่า เดินเข้าไปที่
โชว์รูม Subaru แล้วขอเขาลองขับ Subaru XV ไปเลย คุณจะเข้าใจได้ว่า
ช่วงล่าง สำหรับรถยนต์แนว SUV แบบที่คนไทยอยากได้ เป็นอย่างไร
ลองวิ่งสัก 100 แล้วเปลี่ยนเลนเร็วๆดูก็จะเข้าใจความต่างของรถคนเมือง
กับรถคนเดินทางได้แล้ว

2. ตำแหน่งของช่องเสียบ USB HDMI ฯลฯ นั้น อยู่ลึกไป และใช้งานยาก
เพราะต้องหยุดรถ และลุกออกจากรถ เพื่อก้มตัว มุดลงไปเปลี่ยน และเสียบ
Flash Drive กันใหม่เลยทีเดียว กันเลยทีเดียว ถ้าสามารถย้ายตำแหน่งขึ้นมา
ให้สะดวกกว่าตำแหน่งเดิมได้ น่าจะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าได้ดี
มากยิ่งขึ้น

3. ปรับการออกแบบพนักศีรษะ ลดการดันกบาลลงไปให้อยู่ในระดับเท่ากันกับ
Honda Accord G9 หรือ Honda Odyssey G5 รุ่นล่าสุด ซึ่งนั่นถือว่าเป็นระดับ
ที่พอจะยอมรับได้มากที่สุดด้วยเถอะ HR-V มีพนักศีรษะที่ดันมากไปนิดนึงนะ

4. รู้ดีว่า ทีมวิศวกรของ Honda พยายามแก้ไขปัญหาเรื่อง การเก็บเสียง มากๆ
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา ยังทำได้ไม่ดีพอ เมื่อเทียบกับรถยนต์ประเภทเดียวกัน
ขอแนะนำว่า อย่าแค่ทดลองขับในสนามที่ญี่ปุ่น แต่ลองมาทดสอบบนถนน
ในเมืองไทย ให้เยอะขึ้น อย่าใช้แค่ความเห็นของคนในทีมทดสอบเป็นตัว
พิจารณา แต่อยากให้เอาคนนอก หรือลูกค้ากลุ่มตัวอย่าง มาทดลองนั่งแล้ว
ฟังเสียงรบกวนไปพร้อมๆกัน น่าจะช่วยให้ทีมวิศวกรญี่ปุ่น เห็นภาพชัดขึ้น
ว่าควรแก้ไขไปในทิศทางใด

ถ้ายังไม่พอ..ไปขอความช่วยเหลือ จากทีมวิศวกร NVH ของ Accord Hybrid
รุ่นปัจจุบันได้เลย! พวกเขาทำผลงานออกมาได้ดีมากในสายตาผม!

2015_01_05_Honda_HR_V_09

 แล้วถ้าต้องเทียบกับ คู่แข่งในตลาดบ้านเราตอนนี้ละ?

ยืนยันว่า ไม่ได้อวยนะครับ แต่ในเมื่อ HR-V ถูกสร้างขึ้นมา ให้ตอบโจทย์
ของลูกค้า ได้ครบถ้วนขนาดนี้ ตอนแรกผมจึงมองไม่ออกเลยว่า เรายังเหลือ
เหตุผลอะไร ในการซื้อ Nissan Juke และ Ford EcoSport อีก

แต่..พอมานั่งไล่นึกดูกันดีๆ Nissan Juke ยังมีจุดเด่นที่เหนือกว่า HR-V นั่นคือ
การเซ็ตช่วงล่าง และพวงมาลัย  ที่เน้นเอาใจคนชอบขับรถ เข้าโค้ง แถมยัง
มีของเล่น ชุดแต่ง มากมายก่ายกอง เหมาะกับคนโสดที่มักใช้ชีวิตตามลำพัง
กับเพื่อนที่รู้ใจอีกแค่คนเดียว โดยไม่ใช่พวกบ้าหอบฟาง

ใครจะซื้อ Juke คุณจงเก็บคำว่า อเนกประสงค์ ใส่มือแล้วเขวี้ยงลงถังขยะ
ได้เลย พื้นที่โดยสารด้านหลัง เขาออกแบบมาอย่าง “จงใจให้คับแคบ” แถมยัง
นั่งไม่ถึงกับสบายนัก เครื่องยนต์ ก็มีเรี่ยวแรง น้อยกว่า HR-V แต่ยังไม่ขี้เหร่

ส่วน Ford EcoSport นั้น ยังมีจุดเด่นเรื่องความกระทัดรัด และพื้นที่เหนือศีรษะ
ที่สูงกว่าชาวบ้าน แต่เมื่อลองนั่งจริง กลับรู้สึก อุดอู้ ไปคนละทางกับ Juke แม้ว่า
จะมีเบาะนั่งสูง เอาใจผู้หญิงมากๆ ก็ตาม แต่เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และ
การบังคับควบคุมรถ ภาพรวมยังถือว่าด้อยกว่าชาวญี่ปุ่นทั้ง 2 คัน มีเพียงการ
เซ็ตช่วงล่าง ให้หนึบ และมั่นใจในช่วงความเร็วต่ำ ถึง ปานกลาง เท่านั้น ที่
เอาชนะช่วงล่างขอ HR-V ได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณกำลังเทียบ HR-V กับ Subaru XV ขอบอกเลยว่า ไม่ต้อง
แปลกใจ หากคุณจะคิดหนัก และหาคำตอบให้ตัวเองได้ยากกว่า 2 คันข้างต้น

เพราะ XV เป็น รถยนต์ Compact Hatchback รุ่น Impreza ที่ถูกเพิ่มความสูง
อีกเล็กน้อย จุดเด่นที่ไม่ว่าจะเป็น HR-V Juke หรือ EcoSport ไม่มีวันทาบ
รัศมี XV ได้เลย คือความมั่นใจจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ตลอดเวลา ขณะ
ขับขี่บนทางลื่น และการเซ็ตพวงมาลัยกับช่วงล่าง ให้หนึบ มาในสไตล์ของ
รถยนต์ที่เหมือนจะมีน้ำหนักมาก เอาใจคนชอบเล่นกับทางโค้ง ชัดๆ แถม
พื้นที่ภายในรถ ก็ยังดูโปร่งโล่งสบายกว่า ทั้ง 3 คัน

เพียงแต่ว่า ข้อด้อยของ XV อยู่ที่ เรี่ยวแรงของเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี แบบ
Boxer สูบนอน ยังมีไม่เพียงพอที่จะไล่หวดกับ HR-V ในช่วงออกตัว และ
ช่วงปลายๆ แค่นั้นเลยจริงๆ ต้องไม่ลืมว่า XV นี่เป็นรถขับสี่ตลอดเวลาซึ่ง
ชุดเพลาขับเคลื่อนทั้งหมดมันก็กินแรงจากเครื่องอยู่พอสมควรเช่นกัน

ฉะนั้น ถ้าคุณอยากได้ความมั่นใจในการขับขี่ และห้องโดยสารที่โปร่งตา
รับได้กับงานออกแบบแผงหน้าปัด ที่ดูเหมือนถอดมาจากรถเก๋งเมื่อ 10 ปี
ที่แล้ว รับได้กับเครื่องยนต์ ที่อาจไม่ถึงกับแรงนัก แต่ก็มีทางโมดิฟายต่อ
ได้อีกพอสมควร Subaru XV น่าจะเป็นคำตอบที่ดี

แต่ถ้าคุณอยากได้รถยนต์ Croosover SUV ที่ให้คุณได้ครบ จบทุกสิ่ง และ
ยอมเอาไปเปลี่ยนช็อกอัพ 4 ต้น เสียใหม่ ให้หนึบขึ้น ตามใจคุณได้ดีกว่านี้
HR-V คือคำตอบที่เหมาะกับคุณครับ

 

2015_01_05_Honda_HR_V_10

แล้วถ้าตัดสินใจได้ว่า จะเลือก HR-V ละ? รุ่นย่อยไหน คือทางเลือกที่คุ้มค่าสุด?

HR-V มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น S ราคา 890,000 บาท รุ่น E ราคา 975,000 บาท
และ รุ่น EL ราคา 1,045,000 บาท โดยมีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีดำ Crystal Black
(Pearl) สีขาว Orchid White (Pearl) สีเงิน Alabaster Silver (Metallic) และ 2 สี
ใหม่ มีเฉพาะรุ่น HR-V เท่านั้น คือ สีเทา Roots black (Metallic) สีน้ำเงินแบบ
Morphoe Blue (Pearl)

รายละเอียดอุปกรณ์ แต่ละรุ่นย่อยนั้น น้องหมู Moo Cnoe สมาชิกของ
The Coup Team เรา เตรียมไว้ให้คุณ เรียบร้อยแล้ว คลิกได้ที่นี่ Click Here!

แต่ถ้าจะถามความเห็นของผม รุ่น E ดูจะให้ความคุ้มค่ามากสุด โดยที่คุณ
แทบไม่จำเป็นต้องเพิ่มเงิน เพื่อขยับขึ้นไปเล่นรุ่นท็อป ที่หลายคนบ่นว่า
“แพง”ในตอนเปิดตัว นั่นเลย

เพียงแต่ว่า ถ้าคุณต้องการข้าวของที่ครบถ้วน สมดังความต้องการแล้ว รุ่น
EL จะเพียบพร้อมจนคุณไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่รีวิวนี้ คลอดสู่สายตาคุณผู้อ่าน (สิ้นเดือนมีนาคม
2015) Honda Automobile Thailand จำเป็นต้องปิดรับจอง HR-V รุ่น EL
ออกไปก่อน เนื่องจาก มีชิ้นส่วนอะไหล่บางรายการ ที่ทางซัพพลายเออร์
ป้อนส่งให้โรงงาน Honda ที่โรจนะ ไม่ทัน อันเป็นผลจากความต้องการ
HR-V ที่พุ่งสูงขึ้นพร้อมกัน ทั่วโลก

ดังนั้น ใครที่จองรุ่น EL ไปก่อนหน้านี้ คงต้องบอกว่า ใจเย็นๆ ค่อยๆรอ
กันไป คาดว่า Honda น่าจะทะยอย เคลียร์ยอดสั่งจอง แล้วส่งมอบ HR-V
รุ่น EL ได้ครบ ประมาณ เดือนกรกฎาคม 2015

ช่วยไม่ได้ครับ นานๆที ตลาดเมืองไทย จะได้เจอกับรถยนต์ ที่โดนใจ
ผู้บริโภคส่วนใหญ่ของประเทศ พร้อมๆกัน ได้มากขนาดนี้ ถึงขั้นสร้าง
ประวัติศาสตร์ ยอดสั่งจอง 3 เดือน 15,000 คัน ถือว่าเยอะมาก เป็นอันดับ
ต้นๆ ในบรรดา Honda รุ่นที่ประสบความสำเร็จในบ้านเรา

กระนั้น อย่าเพิ่งดีใจไป Honda ยังคงมีการบ้านที่จะต้องทำ ทั้งในเรื่อง
การรักษามาตรฐาน งานบริการหลังการขาย ของแต่ละดีลเลอร์ การดูแล
เอาใจใส่ลูกค้า ของพนักงานขายในโชว์รูม ที่ยังคงมีรายงานมาให้ผม
ได้ยินเรื่อยๆ ว่า บางแห่ง ไม่ใส่ใจลูกค้า รวมทั้งปัญหาด้านคุณภาพ
ของชิ้นส่วนอะไหล่ สำหรับรถยนต์หลายๆรุ่น ในระยะยาวๆ

เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผม ยังคงอยากจะฝากให้ Honda เดินหน้า
ปรับปรุงกันต่อไป ไม่ใช่แค่เพียงเน้นออกแคมเปญสารพัดวิธีการ
เพื่อกระตุ้นยอดขายกัน ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
ของ Honda เหมือนอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ต่อให้ลูกค้าซื้อรถยนต์ได้ในเงื่อนไขที่เขาพอใจ
แต่ถ้าบริการหลังการขาย ทำให้ลูกค้าเซ็งจิต ก็อย่าคิดว่าพวกเขาจะหวน
กลับมาซื้อ Honda คันต่อไป

เตือนกันด้วยความปราถนาดี เหมือนเช่นเคย!

———————————///——————————–

2015_01_05_Honda_HR_V_11

ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Honda Automobile (Thailand ) จำกัด

เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

————————————————

บทความของรถยนต์ในกลุ่มตลาดเดียวกัน ที่ควรอ่านเพิ่มเติม
รวมบทความทดลองขับ รถยนต์กลุ่ม Compact Crossover SUV

————————————————

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
30 มีนาคม 2015

Copyright (c) 2015 Text and Pictures 
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 30th,2015

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!