หลายประเทศในยุโรปเริ่มร่างมาตรการลดบทบาทรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างรวดเร็ว และเตรียมสนับสนุนให้ประชากรหันมาใช้รถยนต์ที่ปล่อยมลภาวะ 0% แทน อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า EV, รถยนต์รังเชื้อเพลิง Fuel Cell เพื่อช่วยลดมลภาวะที่เป็นพิษในท้องอากาศ ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตประชากรที่ยืนยาวยิ่งขึ้น

รัฐบาลอังกฤษเองก็เริ่มร่างมาตรการ ‘Road to Zero’ ทุกท้องถนนจะต้องปลอดมลภาวะจากรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซล ภายในปี 2040 โดยรถยนต์รุ่นใหม่ที่จำหน่ายในช่วงนั้นจะต้องเป็นรถยนต์ปลอดมลภาวะเท่านั้น สาเหตุที่รัฐบาลอังกฤษจำเป็นต้องออกมาตรการขั้นเด็ดขาด คือรัฐบาลได้เล็งเห็นแนวโน้มของก๊าซไนโตรเจนอ๊อกไซด์จากเครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซล ที่เพิ่มสูงขึ้นจนสามารถทำลายสุขภาพของประชากรได้

รัฐบาลคาดการณ์ว่าผลกระทบของสิ่งแวดล้อมมีปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชากรอังกฤษ อาจทำให้มีการสูญเสียมูลค่าผลผลิตสูงถึง 2,700 ล้านปอนด์หรือ 119,000 ล้านบาท เพียงแค่ปีเดียว

แรกเริ่มเดิมทีรัฐบาลอังกฤษต้องการให้รถยนต์รุ่นใหม่ที่จะจำหน่ายในปี 2040 เป็นรถยนต์โดยสารและรถยนต์ส่วนบุคคลปลอดภาวะ นั่นก็คือจะต้องไม่เป็นรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซล ไม่เว้นแม้แต่รถยนต์ Hybrid แต่ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2018 ก็ได้มีมติใหม่อนุโลมให้รถยนต์ Hybrid ที่จับคู่เครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซล สามารถผลิตจำหน่ายต่อไปหลังจากปี 2040 เป็นต้นไปได้ โดยรถยนต์ Hybrid จะถูกจัดอยู่ในคลาสรถยนต์ปล่อยมลภาวะต่ำมาก ultra-low-emissions vehicles (ULEV)

รัฐบาลอังกฤษมุ่งหวังว่ารถยนต์ใหม่ประเภท ULEV จะต้องมียอดขายไม่ต่ำกว่า 50% ของรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในปี 2030 (แต่เป้าสูงสุดของรัฐบาลคือต้องมียอดขายถึง 70% เมื่อถึงปีนั้น)

Mike Hawes ประธานสมาคมผู้ค้าและผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า เครื่องยนต์สันดาปภายในยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อภาคการขนส่งอยู่ แม้ว่าจะถึงปี 2040 แล้วก็ตาม โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลจะยังทำหน้าที่ได้ดีที่สุดต่อการขับขี่ทางไกลและการขนส่งสินค้าหรือบริการแก่ประชาชนทั่วประเทศ อีกทั้งผู้ผลิตก็พยายามพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลให้สามารถปล่อยค่าไอเสียได้ต่ำลงตามมาตรฐานบังคับสุดโหดได้

รัฐบาลอังกฤษไม่ได้ประกาศนโยบายแบบเล่น ๆ เพราะพวกเขาได้ทุ่มทุนงบประมาณ 1,500 ล้านปอนด์หรือ 65,670 ล้านบาท สำหรับสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถยนต์หันมาผลิตรถยนต์ ULEV ภายในปี 2020 นอกจากนี้ยังทุ่มทุนเงิน 400 ล้านปอนด์ หรือ 17,517 ล้านบาทสำหรับก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องกับระบบชาร์จกระแสไฟฟ้า โดยเจียดงบ 40 ล้านปอนด์หรือ 1,750 ล้านบาทสำหรับพัฒนาและทดสอบระบบชาร์จแบบไร้สายและติดตั้งแท่นชาร์จตามจุดบนท้องถนน

ที่มา : Autocar