Los Angeles Autoshow 2017 ประจำปีนี้ก็ยังคงโดนงานแสดงรถยนต์ตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลกแย่งซีนอยู่เช่นเคยและก็ร่ำไป แต่ใช่ว่าในงานนี้จะไม่มีสิ่งใดที่น่าสนใจเลย อย่างน้อย ๆ ก็มีรถยนต์รุ่นใหม่ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนบ้าง ไม่ว่าจะเป็น All NEW Aston Martin Vantage และ All NEW Mercedes-Benz CLS

ภาพรวมของงานคือเป็นการรวมญาติของบริษัทรถยนต์ที่คุ้นเคยในวงการรถยนต์สหรัฐอเมริกา ไม่โดดเด่น ไม่ยิ่งใหญ่ ไม่ตระการตา แต่ก็สามารถชมงานได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่น่าเกลียดแต่อย่างใด


Aston Martin

จังหวะการเปิดตัว Aston Martin ในงาน LA Autoshow 2017 นี้ อยู่ในขั้นดีเพราะว่าแบรนด์รถยนต์อื่น ๆ ต่างมุ่งมั่นและทุ่มเทกับการเปิดตัวรถยนต์ SUV กันอย่างบ้าคลั่ง แต่บังเอิญว่า Aston Martin เป็นค่ายที่ไม่ได้เน้น SUV ขนาดนั้นก็เลยสามารถเปิดตัว All NEW Aston Martin Vantage ได้อย่างสง่าผ่าเผย

All NEW Aston Martin Vantage จะเป็นการตีความใหม่ด้านศิลปกรรมของตัวรถ ด้วยดีไซน์ภายนอกที่ทันสมัยที่ได้รับอิทธิพลจาก DB10 ในด้านเส้นสายและสัดส่วนตัวถัง แต่จะมีการนำเอาความสง่างามคลาสสิคมาจาก DB11 รุ่นพี่ เห็นได้จากเส้นสายด้านข้าง เหนือซุ้มล้อหลังที่ดูอ่อนช้อยกว่า DB10 , เส้นสายข้างประตูที่ดูซับซ้อนกว่า และมีการผสมเส้นสายกลมมนจาก Vantage รุ่นเดิมมาประยุกต์ ซึ่งเป็นการประณีประณอมทางด้านการออกแบบมากที่สุด เพื่อป้องกันลูกค้าเก่าตกใจ Shock จนไม่กล้าซื้อ ทั้งหมดทีมวิศวกร Aston Martin ตั้งใจสร้างเพื่อหวังผลด้านอากาศพลศาตร์ช่วยเพิ่มแรงกดตัวรถ

เครื่องยนต์ใหม่ที่ได้รับมาจาก Mercedes-AMG แบบ V8 ขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ใช้อินเตอร์คูลเลอร์ระบายความร้อนด้วยน้ำ อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 510 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 685 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF ขับเคลื่อนล้อหลัง อัตราทดเฟืองท้าย 2.93 ให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 313 กิโลเมตร/ชั่วโมง

จุดขายที่สำคัญมาก ๆ ก็คือชุดช่วงล่างมาพร้อมกับระบบ Adaptive Damping System สามารถปรับรูปแบบการทำงานได้ 3 แบบ ประกอบไปด้วย Sport, Sport Plus และ Track นอกจากนั้น ยังมีการติดตั้ง Electronic Rear Differential ใน All NEW Aston Martin Vantage เป็นรุ่นแรกของค่ายอีกด้วย ระบบบังคับเลี้ยวเป็นพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า ตั้งอัตราทดไว้ที่ 13.09 : 1 ระบบเบรกใช้จานเบรกขนาด 400 มิลลิเมตร ในด้านหน้า และ 360 มิลลิเมตร ในด้านหลัง

ราคาจำหน่าย All NEW Aston Martin Vantage ในสหรัฐอเมริกา จะอยู่ที่ $149,995 ดอลลาร์ ประมาณ 4,800,000 บาท


BMW

BMW i8 Roadster เป็นผลิตผลจากตระกูล i-Series และใช้เวลานานกว่า 3 ปีนับตั้งแต่เปิดตัว i8 Coupe เห็นแบบนี้ก็อย่าเพิ่งคิดว่า BMW จะทำได้เพียงแค่ออกแบบตัวรถให้สวยงามลงตัวในแบบรถยนต์เปิดประทุนเท่านั้น แต่ว่ายังมีการปรับปรุงช่วงล่างเพื่อรองรับความเร็วที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นการตีโจทย์ของรถเปิดประทุนได้แตก เพราะเชื่อว่าหลายคนก็น่าจะอยากขับรถแบบจี๊ด ๆ มากกว่าจะขับชิล ๆ

ขุมพลังของ BMW i8 Roadster ยังคงเป็นแบบ Plug-in Hybrid อยู่ โดยไม่ได้ปรับแต่งเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ตัวเดิม แต่มีการเพิ่มกำลังให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 12 แรงม้า จนเพิ่มเป็น 143 แรงม้า ทั้งยังเพิ่มความจุของแบตเตอรี่ lithium-ion จาก 7.1 kWh เป็น 11.6 kWh พร้อมเพิ่ม cell capacity ของแบตเตอรี่จาก 20 Ah เป็น 34 Ah

กำลังสูงสุดของ BMW i8 Roadster จึงเพิ่มเป็น 374 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้งยังสามารถเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเป็นระยะทางสูงสุด 53 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุดในรูปแบบการขับขี่แบบ eDrive ที่ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แต่ความเท่ห์นั้นมักมากับการเสียสละเบาะนั่งหลังอันยิ่งใหญ่ (แต่เอาเข้าจริง คนที่ซื้อรถระดับนี้มักไม่มาเพื่อนมานั่งเบียดเสียดในพื้นที่ Dog Seat เช่นนี้) เพราะมันจะถูกเสียสละไปให้ชุดหลังคาผ้าใบที่มีน้ำหนักเพียงแค่ 60 กิโลกรัม ใช้เวลาเปิด-ปิดแค่เพียง 15 วินาที มีน้ำหนักตัวถังโดยรวม 1,600 กิโลกรัม


Chevrolet

Chevrolet Corvette ZR1 เปิดประวัติศาสตร์ใหม่แห่งความแรงอีกครั้ง ที่ครั้งนี้ลงทุนออกแบบด้านหน้าใหม่หมด โดยเน้นการส่งลมเย็นเข้าไประบายความร้อนในห้องเครื่องยนต์ พร้อมฝากระโปรงคาร์บอนไฟเบอร์แบบ halo ที่ออกแบบมาให้รองรับ Supercharger และ Intercooler โดยเฉพาะ ส่วนสปอยเลอร์หลังเลือกได้ 2 แบบ โดยแบบ Low Wing ซึ่งเป็นแบบติดรถ สามารถสร้างแรงกดได้มากกว่าของเดิมที่อยู่ใน Z06 ถึง 70% ทั้งยังเป็นแบบที่ ZR1 สามารถทำ top speed ได้สูงที่สุดด้วย

สปอยเลอร์หลังอีกแบบเป็นรุ่น High Wing ปรับระดับ 2 ทิศทาง สร้างแรงกดได้มากกว่าของเดิมในรุ่น Z06 อยู่ 60% แต่สปอยเลอร์รุ่นนี้สามารถช่วยให้ Chevrolet Corvette ZR1 ทำเวลาต่อรอบได้น้อยที่สุด และไม่ว่าจะเลือกสปอยเลอร์แบบใดก็ตาม ZR1 ทุกคัน จะมาพร้อมกับ Front Underwing ถือเป็นครั้งแรกที่ติดตั้งในรถยนต์ Chevrolet

ขุมพลังของ Chevrolet Corvette ZR1 เป็นเครื่องยนต์เบนซินรหัส LT5 แบบ V8 ขนาด 6.2 ลิตร พร้อม Supercharger ให้กำลังสูงสุด 765 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 969 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อม Paddle Shift ถือเป็นครั้งแรกใน ZR1 ที่มีเกียร์ออโต้ให้เลือก ส่วนความเร็วสูงสุดทำได้มากกว่า 337 กิโลเมตร/ชั่วโมง (สำหรับ Convertible จะทำความเร็วสูงสุด 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง)

เชื่อหรือไม่ว่า Chevrolet Corvette ZR1 Convertible จะมีน้ำหนักตัวถังมากกว่า Coupe แค่เพียง 27 กิโลกรัม สามารถทำความเร็ว 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายในเวลาไม่ถึง 3 วินาที แรงใช่ย่อยทีเดียว


Hyundai

ในภาวะตลาด B-SUV ที่เริ่มมาแรงในตลาดสหรัฐอเมริกา Hyundai เลยส่ง Kona มาลุยตลาดแห่งนี้อย่างรวดเร็ว รูปร่างหน้าตาและภายในห้องโดยสารก็ไม่แตกต่างจากเวอร์ชันเกาหลีใต้และยุโรปมากนัก โดยพยายามชูจุดขายในเรื่อง ของราคาจำหน่ายเริ่มต้นในย่าน 19,000 ดอลลาร์ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ตัวรถถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ i30 แต่ปรับปรุงให้มีระยะฐานล้อที่สั้นลง และนั่นก็ต้องแลกเปลี่ยนกับวัสดุภายในห้องโดยสารที่ลดทอนความหรูหราลงไปมากเมื่อเทียบกับ i30 เพื่อให้สามารถทำราคาขายและไม่เป็นการแย่งลูกค้ากันเอง

Hyundai Kona ดำเนินกลยุทธ์งานวิศวกรรมที่แปลกไปจากค่ายอื่น ๆ คือหากลูกค้าจะซื้อรุ่นขับเคลื่อนสองล้อหน้า ก็จะได้ช่วงล่างหลังแบบทอร์ชันบีม แต่ถ้าซื้อรุ่น 4WD จะได้ช่วงล่างหลังแบบอิสระ กลยุทธ์นี้จะคล้าย ๆ กับ SUV-Crossover ของบางยี่ห้อที่ทำตลาดในยุโรป

สำหรับสเป็คสหรัฐอเมริกาจะติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ 2.0 ลิตร (แต่ยังดูเล็กในสายตาชาวอเมริกัน) MPI Atkinson 147 แรงม้า (HP) แรงบิด 179 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ แต่ถ้าใครรู้สึกว่าเครื่อง 2.0 ลิตรอืดไป ก็ต้องเลือกเครื่องยนต์เบนซิน Gamma 1.6 ลิตร T-GDI เทอร์โบ 175 แรงม้า (HP) แรงบิด 265 นิวตันเมตรที่ 1,500 – 4,500 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ (DCT) 7 จังหวะ
Hyundai Kona เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมราคาในสหรัฐอเมริกาช่วงไตรมาส 1 ของปี 2018 คาดว่าน่าจะช่วยทำให้ยอดขาย Hyundai โดยรวมดีขึ้นไปอีกขั้น และต้องลุ้นกว่า Hyundai Thailand จะมีแผนนำเข้ามาหรือไม่?


Infiniti

น่าแปลกใจไม่น้อยเลยว่ากว่าที่ Infiniti จะเปิดตัว All NEW QX50 ก็ใช้เวลานานถึง 10 ปีนับตั้งแต่ที่มันเคยใช้ชื่อว่า Infiniti EX มาตั้งแต่ปี 2007 ถึงจะเปิดตัวล่าช้า แต่ก็ยังไม่สายที่จะแนะนำนวัตกรรมเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น

All NEW Infiniti QX50 ถูกสร้างขึ้นบน Platform ขับเคลื่อนล้อหน้าใหม่ล่าสุด (ซึ่ง Infiniti ได้ปกปิดข้อมูลตรงนี้ไว้ แต่มีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐาน CMF-C/D ร่วมกับ Nissan Qashqai) มีการพัฒนาดีไซน์ใหม่ทั้งคันที่ดูสวยงามและมีเอกลักษณ์มากขึ้น โดยยึกหลักการการออกแบบ Powerful Elegance พร้อมให้ความสำคัญเรื่องหลักอาการพลศาสตร์ โดยใช้ฝากระโปรง, กันชนหน้า – หลัง, เสาหลังคา A-Pillar, ฝากระโปรงหลัง และใต้ท้องรถแบบปิด ที่ออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ช่วยให้รีดลมได้ดีกว่ารุ่นเดิม

เรื่องความสวยงามโดดเด่นนั้นเป็นปัจเจก คือสายตาใครสายตามัน แต่ที่แน่ ๆ มันมาพร้อมนวัตกรรมเครื่องยนต์กำลังอัดแปรผัน เทอร์โบ (VC-Turbo) ขนาด 2.0 ลิตร 1,997 ซีซี. เมื่อกำลังอัด 8 : 1 (หรือ 1,970 ซีซี. เมื่อกำลังอัด 14 : 1) พร้อมเทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.0 x 90.1 มิลลิเมตร เมื่อกำลังอัด 8 : 1 (หรือ 84.0 x 88.9 เมื่อกำลังอัด 14 : 1) อัตราส่วนกำลังอัดแบบแปรผัน 8 : 1 – 14 : 1

กำลังสูงสุดอยู่ที่ 268 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT พร้อม Manual Shift ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.7 และ 6.3 วินาที ตามลำดับ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 11.4 กิโลเมตร/ลิตร ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า และ 11.0 กิโลเมตร/ลิตร ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ

คาดว่า All NEW Infiniti QX50 นอกจากจะทำตลาดในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก รถคันนี้ก็น่าจะทำตลาดยังตะวันออกกลางและยุโรปอีกด้วย

Infiniti QX80 Minorchange ที่เอาเข้าจริงก็น่าจะเรียกว่า Big Minorchange เฉพาะดีไซน์ด้านหน้าก็ได้ เพราะมันดูดีขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบันเยอะมาก ๆ ด้วยแนวคิดการออกแบบ ‘Powerful Elegance’ โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED ดีไซน์ใหม่ล่าสุด และมีการเปลี่ยนรายละเอียดที่ทำให้รู้สึกว่าดูหรูหราขึ้น

แต่น่าเสียดายที่ Infiniti ไม่กล้าลงทุนดีไซน์ภายในห้องโดยสารใหม่ จึงทำให้เป็นรถที่มีความเปลี่ยนแปลงไม่ถึงกับสุดนัก


Jaguar

Jaguar XF Sportbrake ก็มา American Premier ที่งานนี้ด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขามองว่าตลาดรถยนต์หรูบั้นท้ายแวกอนก็มีกำลังซื้อเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อันเป็นผลพวงมาจากกระแสความนิยม SUV และ Crossover เติบโตนั่นเอง

Jaguar XF Sportbrake มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง Cd 0.29 เท่านั้น ในส่วนของการออกแบบ Ian Callum หัวหน้าฝ่ายการออกแบบของ Jaguar ระบุว่าหน้าตาของ Estate คันนี้ดู Sport มากกว่าตัวถัง Saloon เนื่องจากมีการวางแผนให้ Jaguar XF สามารถนำมาต่อยอดเป็นตัวถัง Sportbrake ได้แต่แรกเริ่ม ส่งผลให้การออกแบบหลังเสา B-Pillar เปลี่ยนไปจากตัวถัง Saloon ซึ่งเป็นแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าที่ไม่ได้มีการเตรียมการเอาไว้แต่แรก

เครื่องยนต์สำหรับเวอร์ชันอเมริกันนั้นจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0 ลิตร Supercharger ให้กำลังสูงสุด 380 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นทั้ง 4 ล้อ ให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 5.3 วินาที

Jaguar XF Sportbrake มีราคาจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา 70,450 ดอลลาร์


Jeep

1 ในไฮไลต์ของ LA Autoshow 2017 ก็คือ All NEW Jeep Wrangler ที่เปลี่ยนโฉมใหม่มีวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ดีขึ้นตามวันและเวลา อาทิ แชสซีส์ขั้นบันได ที่มีการอัพเกรดช่วงล่างใหม่หมด พร้อมทั้งนำวัสดุอลูมิเนียมาใช้ในโครงสร้างตัวถังทำให้มีน้ำหนักเบาลงกว่ารุ่นเดิมถึง 86 กิโลกรัม

เครื่องยนต์กลไกนั้นจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน Pentastar ขนาด 3.6 ลิตร 285 แรงม้า แรงบิด 352 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ , ขุมพลัง Mild Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ 268 แรงม้า แรงบิด 400นิวตันเมตร แบตเตอรี่ 48V พร้อม Generator

All NEW Jeep Wrangler มีให้เลือกทั้งแบบตัวถัง 2 ประตูและ 4 ประตู มีหลังคาแข็ง, หลังคาเปิดประทุนและหลังคาผ้าใบพับไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชัน Rubicon ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เหมาะกับการขับลุยทาง Off-Road เป็นพิเศษ ประกอบไปด้วยล้อขนาด 33 นิ้ว , เพลา Dana 44, ซุ้มโป่งล้อขนาดใหญ่, ช่วงล่าง Anti-Rollbar แยกอิสระ ปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมทั้งปรับช่วงล่างใหม่หมด

Kia

Kia Sorento Minorchange เปิดตัวเงียบ ๆ ภายในงานนี้เช่นเดียวกัน มีการปรับปรุงรายละเอียดใหม่ให้ดูสดพร้อมที่จะแข่งกับคู่แข่งให้ได้ ด้วยไฟหน้าที่เปลี่ยนไฟ DRL LED ที่ดูสวยงามสว่างมากยิ่งขึ้น, เปลี่ยนลวดลายบานเกล็ดกระจังหน้าที่ดูเป็นลวดลายกราฟิกทันสมัย, เปลี่ยนดีไซน์กันชนหน้าใหม่ ที่ดูมีรายละเอียดซับซ้อนยิ่งขึ้น

ภายในห้องโดยสารก็จะมีการเปลี่ยนพวงมาลัยใหม่, เปลี่ยนการตกแต่งหัวเกียร์ใหม่, มีการปรับปรุงปุ่มกดและกราฟิคบางอย่างใหม่, ปรับปรุงคอนโซลกลางใหม่, อัพเกรดชุดเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสเป็น AVN 5.0, เพิ่มแท่นชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย

Kia Sorento Minorchange ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ 185 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะแบบปรับปรุงใหม่, เครื่องยนต์ V6 3.3 ลิตร GDI 290 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ


Lexus

หากใครที่ติดตามข่าวสารจาก Headlightmag.com มาตลอดจะพบว่า Lexus ก็พยายามจะเก็บข้อมูลความต้องการลูกค้าเพื่อพัฒนารถอเนกประสงค์ให้มีความหลากหลายมากกว่านี้ เคยมีข่าวก่อนหน้านั้นด้วยว่า ดีลเลอร์สหรัฐฯ อยากจะให้ Lexus ทำรถตู้ออกมาขายด้วย แต่ก็ดูเหมือนว่ามันไม่น่าจะใช่ทางออกที่สวยงามนัก

ล่าสุด Lexus ก็ได้แนะนำ Lexus RX L มีตัวถังที่ยาวขึ้น 110 มิลลิเมตร ทั้งยังมีการปรับแต่งด้านหลังให้มีพื้นที่เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหลังมากขึ้น ด้านหน้ามีกระจังหน้าทรงเอกลักษณ์ประจำค่าย ไฟหน้าเป็นแบบ LED ทรงตัว L ซ้อนกันข้างละ 3 ชั้น เสา C-Pillar พ่นสีดำแบบ Floating Roof ส่วนล้อมีขนาด 20 นิ้ว นอกจากนี้ สีตัวถังทุกสียังเคลือบสาร macromolecular polymer ที่ทนรอยและฟื้นฟูความเสียหายได้เอง

ภายในมาพร้อมกับเบาะ 3 แถว โดยเบาะแถว 2 เป็นเบาะยาวพับแยก 60:40 ให้ผู้โดยสารแถวหลังสุดขึ้นลงได้โดยง่าย ทั้งยังมีตำแหน่งที่สูงกว่าเบาะแถว 3 ทำให้มีพื้นที่ legroom มากกว่า ส่วนเบาะแถว 3 สามารถพับแบนราบได้ด้วยไฟฟ้า ทั้งยังมีการเพิ่มระบบปรับอากาศแยก 3 แถว และประตูบานหลังแบบไฟฟ้า ที่ควบคุมการเปิดปิดได้ด้วยการโบกมือผ่านตรา Lexus บนฝาท้าย


Lincoln

ที่ขาดไปไม่ได้โดยเด็ดขาดเมื่อมีการจัดงานโชว์รถในสหรัฐอเมริกา นั่นก็คือแบรนด์ Lincon แบรนด์รถหรูในเครือ Ford Motor งานนี้มีการนำ Lincoln MKC Minorchange : Compact Premium SUV ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ Ford Kuga เปิดตัวครั้งแรกในปี 2014 ถือว่ามียอดขายในช่วงเริ่มแรกที่ใช้การได้ทีเดียว

Lincoln MKC Minorchange จะมีการปรับปรุงรูปลักษณ์ด้านหน้าใหม่ ที่เปลี่ยนชิ้นส่วนแค่ไม่กี่ชิ้น แต่ส่งผลต่อภาพลักษณ์โดยรวมของรถได้มาก ด่านแรกเลยคือ Lincoln ลงทุนเปลี่ยนชุดกระจังหน้าเอกลักษณ์ใหม่ โดยทรงกรอบกระจังหน้าจะแลดูคล้ายกับขนมปังมิใช่น้อย พร้อมลายบานเกล็ดกระจังหน้าที่ดูคลาสสิค เป็นรูปโครง Logo ของแบรนด์ Lincoln นั่นเอง พร้อมทั้งปรับปรุงไฟหน้า LED แบบใหม่ให้สว่างสดใสขึ้น

เครื่องยนต์มีให้เลือก 2 ขนาดได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Ecoboost 240 แรงม้าและเบนซิน 2.3 ลิตร Ecoboost เครื่องบล็อกเดียวกันกับที่ติดตั้งใน Ford Mustang และ Ford Focus RS 275 แรงม้า แรงบิด 406 นิวตันเมตร

ไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว Lincoln Nautilus ชื่อคล้ายปลาทูน่ากระป๋องในบ้านเราเป็นอย่างมาก และมันเกิดมาเพื่อแทนที่ MKX ที่เป็น Mid-Size SUV โดยเฉพาะ ดีไซน์โดยรวมแทบไม่แตกต่างจาก MKC Minorchange ที่มาพร้อมกับใบหน้าเอกลักษณ์ใหม่

Lincoln Nautilus จะมีเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Ecoboost 245 แรงม้าและเครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร Ecoboost เทอร์โบคู่ 335 แรงม้า แรงบิด 515 นิวตันเมตร ทั้งสองเครื่องจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ


Mazda

Mazda 6 Big Minorchange เปิดตัวคั่นเวลาก่อนที่จะอวดโฉมรถรุ่นใหม่แบบ Full Modelchange ภายใน 2-3 ปีข้างหน้าที่ต้องจับตาดูกันว่า มันจะถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นตัวถังขับเคลื่อนล้อหลังหรือไม่

Mazda 6 Big Minorchange มาพร้อมกับดีไซน์ใบหน้าที่ดูใกล้เคียงกับ CX-5 โฉมใหม่ ด้วยกันชนหน้าที่มีมิติเว้าลึก, กระจังหน้าเป็นแบบ 3 มิติมากยิ่งขึ้น โดยรวมถือว่าเป็นแนวทางการออกแบบ Mature Elegance ความสง่างามที่มีการเติบโตขึ้น

ห้องโดยสารยกแนวทางการออกแบบใหม่จาก Mazda Vision มาใช้กับแดชบอร์ดของ Mazda 6 พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุหนัง Nappa, UltraSuede และไม้ Sen บริเวณเบาะ แผงประตู และแผงแดชบอร์ด หน้าปัดเปลี่ยนมาใช้แบบ TFT ขนาด 7.0 นิ้ว ส่วนจอสัมผัสมีขนาด 8 นิ้ว ที่ให้สีคมชัดขึ้น พร้อมติดตั้งระบบ Mazda Connect มาให้

ไฮไลต์สำคัญคือการแนะนำเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ Skyactiv-G 2.5T แบบ 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร 2,488 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ บูสต์สูงสุด 17.4 ปอนด์ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 89.0 x 100.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 กำลังสูงสุด 253 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิด 420 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Skyactiv-Drive ขับเคลื่อนล้อหน้า

นอกจากจะปรับปรุงดีไซน์และเครื่องยนต์ใหม่ให้มีพลังแรงขึ้น Mazda ยังลงทุนปรับปรุงช่วงล่าง, การบังคับควบคุม, การเก็บเสียงรบกวน/การสั่นสะเทือน/ความกระด้างให้ดียิ่งขึ้น

คำถามที่ต้องตอบกันซ้ำ ๆ เหมือนเดิมเลยคือ เมื่อไร Mazda 6 จะมาขายในไทยบ้าง คำตอบคือ ไม่มาครับสำหรับโฉมนี้


Mercedes-Benz

All NEW Mercedes-Benz CLS ก็เป็นอีกรถยนต์รุ่นหนึ่งที่มาเปิดตัวในงานนี้ถูกจังหวะ สวนทางกับผู้ผลิตรายอื่นที่พยายามนำ SUV มาเปิดตัว ความแปลกใหม่ของ CLS รุ่นนี้คือวิวัฒนาการการออกแบบ Sensual Purity เวอร์ชันใหม่ล่าสุด มาพร้อมกับไฟหน้าทรงใหม่, กระจังหน้า Diamond Grille ที่ใหญ่ขึ้นและมีเส้นสายโดยรวมที่สะอาดตา นั่นเป็นเพราะผู้บริหารต้องการให้ CLS โฉมใหม่เป็นรถยนต์ที่ดูข้ามกาลเวลาเหมือนกับ CLS โฉมแรกนั่นเอง

ห้องโดยสารของ All NEW Mercedes-Benz CLS-Class เน้นความสปอร์ต พร้อมออกแบบให้ดูลื่นตาเหมือนกับมีคลื่นไล่จากประตูบานหน้าสู่ประตูบานหลัง แผงแดชบอร์ดมาพร้อมกับจอแสดงผลแบบคู่ขนาด 12.3 นิ้ว ตัวคอลโซลตกแต่งด้วยวัสดุไม้ ช่องแอร์ดูคล้ายกับท่อของเครื่องบินเจ็ท ส่วนไฟ LED ลากยาวรอบห้องโดยสาร สามารถปรับได้ 64 สี ทั้งยังปรับเป็นสีแดงเวลาเพิ่มอุณหภูมิ และสีน้ำเงินเมื่อลดอุณหภูมิด้วย

แม้ว่าของเล่นในรถยนต์คันนี้หลายอย่างจะหยิบยืมมาจากรุ่นพี่ แต่ตัวเบาะนั้นออกแบบมาโดยเฉพาะ ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อให้ดูกลมกลืนกัน เบาะหลังรองรับผู้โดยสาร 3 ที่นั่ง ทั้งยังพับ 40 : 20 : 40 ได้ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายขนาด 520 ลิตร จากในห้องโดยสาร


Mitsubishi

Mitsubishi ก็จัดการเผยโฉม Eclipse Cross : C-Segment Crossover ในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ แค่ชื่อก็พอให้นึกถึงรถสปอร์ตที่ชื่อ Eclipse ในอดีตกาลไม่น้อยเลยทีเดียว โดยพยายามชูจุดขายความเป็น Crossover ที่มีประวัติศาสตร์ด้านสไตล์, เทคโนโลยีและการขับขี่ที่สนุกสนาน คล้าย ๆ กับว่าอยากจะเชื่อมโยงไปยังรถสปอร์ต Eclipse ในอดีตนั่นเอง

เส้นสายการออกแบบจะเน้นเส้นสายที่ดูเหลี่ยมและเฉียบคมแต่ไม่ลดเนื้อที่ภายในห้องโดยสาร เพราะ Mitsubishi ยังคงยึดหลักการออกแบบที่เน้นความอเนกประสงค์อยู่

ไฮไลต์อีกประการคือการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ ฉีดเชื้อเพลิงตรง 152 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 250 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที พร้อมวาล์วหล่อเย็นด้วยโซเดียม ช่วยขยายขีดจำกัดด้านสมรรถนะให้เหนือกว่าเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร และ 2.4 ลิตรทั่วไป

เทอร์โบลูกใหม่ถูกออกแบบให้มีการตอบสนองอัตราเร่งที่ทันใจเพื่อความมั่นใจในการขับขี่ และมี flat torque ที่รอบเครื่องต่ำ เครื่องยนต์ถูกพัฒนาให้ทำงานราบเรียบในย่านความเร็วต่ำจนถึงสูง

ระบบขับเคลื่อน ส่งกำลังลงพื้นทั้ง 4 ล้อ ผ่านระบบ Super All-Wheel Control (S-AWC) พร้อมระบบ Active Yaw Control ที่สามารถกระจายกำลังสู่ล้อคู่หลัง อย่างอิสระ ซ้ายและขวา

ไม่ต้องบอกเลยว่า Mitsubishi Eclipse Cross นั้นไม่มาเมืองไทยแน่นอน


Nissan

Nissan Kicks เวอร์ชันสหรัฐอเมริกาลงมาสู้ศึก B-SUV ในสหรัฐอเมริกาที่มีคู่แข่งค่อนข้างแน่นเลยทีเดียว จุดขายหลักคือราคาที่เป็นเจ้าของได้ และอุปกรณ์มาตรฐานที่ค่อนข้างอัดแน่น เพียงแต่ว่างานนี้ Nissan Kicks อาจจะต้องเจอคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Hyundai Kona ที่สามารถทำราคาไม่แพงได้ แต่ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรให้เป็นเครื่องพื้นฐานเลย

เครื่องยนต์ Nissan Kicks จะเป็นเครื่องยนต์ HR16DE 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร ระบบวาล์วแปรผัน CVTC ให้กำลังสูงสุด 125 แรงม้า (PS) แรงบิด 155 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT ส่งกำลังยังล้อคู่หน้าเท่านั้น มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 33 MPG จัดว่าเป็น Kicks ที่มีตัวเลขแรงม้าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับสเป็คอื่นทั่วโลก

สำหรับตลาดเมืองไทยน่าจะพบกับ Nissan Kicks ภายในปี 2019 ในฐานะ Entry Level SUV ที่อยู่ในย่านราคาระหว่าง 6-8 แสนบาท


Subaru

Subaru Ascent : SUV-Crossover คันใหม่ที่ติดตั้งเบาะนั่ง 3 แถว 7-8 ที่นั่ง ถือเป็นความตั้งใจที่จะกลับมาทำตลาด SUV ขนาดใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่พลาดพลั้งไปกับ B9 Tribeca (ที่ตอนหลังพยายามจะเรียก Tribeca) ภายนอกของ All NEW Subaru Ascent ออกแบบภายใต้ปรัชญา Dynamic x Solid โดยด้านหน้ารักษาเอกลักษณ์กระจังหน้าของค่ายเอาไว้ ส่วนไฟหน้ามาในรูปตัว C เพื่อสื่อถึงทิศทางการทำงานของลูกสูบในเครื่องยนต์ Boxer ผู้โดยสารตอนหลังยังสามารถขึ้นลงได้โดยง่าย ด้วยประตูหลังที่เปิดได้กว้างถึง 75 องศา พร้อมเสาหลังคา C-Pillar ที่ตั้งชันและพื้นรถยนต์ต่ำ ส่วนล้อมีขนาด 18 – 20 นิ้ว ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย


Toyota

Toyota ขยันออกรถยนต์ต้นแบบ SUV บ่อยเอามาก ๆ ในช่วงนี้ ก็เพราะว่า Toyota ต้องการสำรวจความต้องการลูกค้าว่า ถ้า Toyota อยากจะทำรถแนว ๆ Off-Road บนพื้นฐานรถยนต์นั่ง ลูกค้าจะอยากได้แบบไหนกัน?

Toyota FT-AC Concept คือการนำ C-HR มาแปลงร่างใหม่ให้ดูเป็นรถกล้าลุยมากยิ่งขึ้น แต่โปรดสังเกตว่าช่วงครึ่งคันท้ายน่าจะมีเนื้อที่เหนือศีรษะกว้างกว่า C-HR

Toyota ไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับรถคันนี้มากนัก แต่ผู้บริหารเคยออกข่าวแล้วว่า FT-AC Concept น่าจะเป็นรถที่เป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนา SUV ขนาดเล็กรุ่นต่อไป