ฟอร์มของงาน New York Autoshow 2018 ยังเป็นงานที่อยู่ในระดับเท่าเดิม คือ เป็นงานจัดแสดงรถยนต์ที่มีขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่ เนื่องจากในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ต่างตัดสินใจเปิดตัวรถรุ่นใหม่กระจายกันไปยังงานจัดแสดงรถยนต์ที่อื่นในโลกกันบ้างแล้ว

แต่ในงานประจำปีนี้ดูน่าจับตากว่างาน New York Autoshow ในปีอื่น ๆ เพราะมันมีรถยนต์รุ่นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเมืองไทยหลายรุ่น อาทิ All NEW Toyota Corolla Hatchback ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านั้นแล้วในชื่อ Auris ที่งาน Geneva Motorshow 2018 ซึ่งรถคันนี้อาจให้จับตาในโฉม Corolla Sedan ที่จะเตรียมเปิดตัวในไทยปี 2019 และที่มา Debut ครั้งแรกในงานนี้ก็คือ All NEW Toyota RAV4 และ All NEW Nissan Altima รวมไปถึง All NEW Subaru Forester ที่จะผลิตในไทยปี 2019 และ Mazda CX-3 Minorchange ที่จะเปิดตัวในไทยปีนี้

ในภาพรวม ทิศทางของการจัดแสดงรถยนต์รุ่นใหม่ก็ยังตอกย้ำความคิดของผู้ผลิตเช่นเคยว่า ทำ SUV เท่านั้นถึงจะยอดขายดี มีกำไร พวกเขาก็เลยส่ง SUV, Crossover และรวมถึงรถกระบะหลายรุ่น เพื่อเรียกกระแสและสร้างยอดขายกัน ตัดสลับกับรถยนต์แบบอื่น ๆ เข้ามาแซมประปรายบ้าง อาทิ รถต้นแบบไฟฟ้า EV, รถสปอร์ตทั้งแบบจำหน่ายจริงและรถต้นแบบ เป็นต้น และในบทความนี้เราจะเสนอรถยนต์ใหม่และรถต้นแบบที่เปิดตัวระดับ World Premier ที่งานนี้ ล้วน ๆ ถ้าพร้อมแล้ว เรามารับชมกันเลยครับ

Audi

หากหันหน้าไปยังบูธ Audi ก็อย่าเพิ่งประหลาดใจว่าทำไมบูธนี้มีรถสีเขียวแมลงทับมาอวดโฉม หากเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็จะพบว่าที่อยู่ตรงหน้านี้มันคือ All NEW Audi RS5 Sportback : Fastback 5 ประตูสไตล์ Coupe

ภายนอกของ Audi RS5 Sportback มาพร้อมกับกระจังหน้าชิ้นเดียวขนาดใหญ่ ตามสไตล์ตระกูล RS เสริมด้วยตรา Quattro สีเงิน บนช่องลมกันชนหน้า พร้อมโคมไฟหน้าพ่นสีดำเงา ด้านข้างเสริมมาดดุ ด้วยล้อขนาด 19 – 20 นิ้ว เลือกสีได้ระหว่างสีดำเงา, สีคาร์บอน และสีอะลูมิเนียมด้าน ด้านหลังติดตั้งท่อไอเสียทรงรี ปลายเดี่ยวออก 2 ฝั่ง และสปอยเลอร์หลังขนาดเล็ก มาให้ สีตัวถังภายนอกกับ สีเขียว Sanoma Green

ขุมพลังของ Audi RS5 Sportback เป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ V6 ขนาด 2.9 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 450 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,900 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro กระจายแรงบิดล้อคู่หน้า : ล้อคู่หลัง ในอัตรา 40 : 60 ให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 280 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ช่วงล่างเป็นแบบ five-link ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมลดความสูงจากรุ่นปกติลงมา 7 มิลลิเมตร ทั้งยังมีระบบ Dynamic Ride Control, พวงมาลัยที่ปรับจูนแบบ RS, เบรกเซรามิค และระบบปรับรูปแบบการขับขี่ Audi Drive Select Dynamic Handling System ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานด้วย

Cadillac

ขึ้นชื่อว่าเป็น Cadillac หลายคนอาจคิดว่ารถมันต้องมาแนวใหญ่ หรู แพง และดูเป็นเจ้าพ่อเท่านั้นถึงจะสมชื่อของมัน แต่ในโลกของความเป็นจริง Cadillac ก็เหมือน ๆ กับผู้ผลิตรถหรูรายอื่น ๆ ที่ต้องมีการปรับตัวไปตามตลาดโลก เพราะหากไม่ปรับเปลี่ยนเลยแบรนด์ Cadillac คงได้กลายเป็นตำนานที่ถูกลืมไปสักวัน

Cadillac XT4 : Compact SUV คือตัวอย่างล่าสุดของการปรับตัวให้เข้ากับรสนิยมของลูกค้าในปัจจุบัน โดยใช้พื้นฐานเดียวกับ Chevrolet Equinox ที่ถึงแม้ว่ามันจะถอดแบบการออกแบบมาจาก XT5 SUV รุ่นพี่ แต่ดีไซน์โดยรวมดูเหมือนถูกปรับปรุงให้ดูแปลกตา ด้วยการออกแบบไฟ DRL LED ทรงปีกกาที่ดูพิสดารมากยิ่งขึ้น รวมถึงการออกแบบขอบสันของกันชนหน้าที่ดูแข็งแกร่งขึ้น

ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบให้มีความหรูล้ำ และพิเศษกว่ารถยนต์ GM ในระดับเดียวกัน ห่อหุ้มด้วยวัสดุที่มีพื้นผิวสัมผัสดี ลูกค้าสามารถเลือกวัสดุตกแต่งเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นลายไม้หรือว่าเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ กว้างขวางสะดวกสบายด้วย พื้นที่ Legroom สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง 1,004 มิลลิเมตร และห้องเก็บสัมภาระ 1,385 ลิตร

Cadillac XT4 ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร 237 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ส่งกำลังยังล้อคู่หน้าหรือสามารถเลือกระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Twin Clutch ได้

Genesis

ถึงแม้ Genesis เป็นแบรนด์รถหรูในเครือ Hyundai อาจจะดูยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์บริษัทแม่ แต่ถ้าวัดจากยอดขายและความแข็งแกร่งของแบรนด์ ก็นับว่า Genesis ยังเป็นค่ายรถหรูที่มีขนาดเล็กมากอยู่ดี ดังนั้น การจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่หรือรถต้นแบบก็อาจจะต้องสร้างรถที่ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงกว้างมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

Genesis Essentia GT Concept คือตัวอย่างล่าสุดของความพยายามที่จะสร้างความโดดเด่น ที่ดูกึ่งล้ำสมัยและกึ่งย้อนยุค ยืนยันว่ารถแนวคิดคันนี้จะการบ่งบอกถึงอนาคตของบริษัท ซึ่งมันอาจไม่ได้เป็นแม่แบบของงานออกแบบโดยตรง แต่จะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีไม่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนเลย แค่มือจับประตูก็มีเซ็นเซอร์ตรวจลายนิ้วมือ สำหรับเปิด-ปิดประตูกันแล้ว

ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบมาแนวย้อนยุค ดูโบราณไปหมด แต่ล้ำยุคด้วยหน้าจอแสดงผลขนาดยาว ตามสมัยนิยม นอกจากนี้ตัวรถยังติดตั้งขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีระยะทางวิ่งสูงสุด 373 กิโลเมตร ทำความเร็วสูงสุด 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง

Genesis ได้ปล่อยข่าวว่ารถต้นแบบคันนี้จะมีสิทธิ์ขึ้นสายการผลิตจริง เพื่อให้กลายเป็นรถ Halo Car ถือว่าเป็นความพยายามในการผลักดันแบรนด์ที่น่าสนใจไม่น้อย

Honda

All NEW Honda Insight เผยโฉมตัวเป็น ๆ และเผยรายละเอียดทั้งหมดกันที่งาน New York Autoshow 2018  หลังจากที่เผยภาพและข้อมูลเบื้องต้นก่อนหน้านั้นแรมเดือน เหตุผลสำคัญที่ทำไม Honda ต้องเตรียมการเปิดตัว Insight โฉมใหม่ล่วงหน้าเป็นเดือน คงเพราะว่า All NEW Honda Insight คันนี้มีความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่รายละเอียดทางเทคนิค และ Positiong ในการทำตลาดใหม่ทั้งหมด

All NEW Honda Insight ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ Civic FC นั่นหมายความว่า Insight คันเดียวจะมาแทนที่ทั้ง Civic Hybrid และเป็นการขยับตำแหน่งทางการตลาดจาก B-Segment Hybrid กลายเป็น C-Segment Hybrid ที่จะมาฟาดฟันกับ Toyota Prius อย่างเต็มตัว

การออกแบบด้านหน้าควรจับตาไว้ให้ดี เพราะกระจังหน้า Flying Wing ที่เป็นแนวกระจังแถบโครเมี่ยมมีส่วนปลายของกระจังหน้าแหลมทิ่มยังไฟหน้า และมีช่องดักลมขนาดใหญ่กินพื้นที่ขอบกันชนหน้าด้านล่าง น่าจะไปปรากฏในรถยนต์ All NEW Honda City และ Jazz ที่จะเปิดตัวภายใน 2 ปีข้างหน้า เพียงแต่ยังไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าเส้นสายที่ดูสะอาดเนียนตาของ Insight โฉมใหม่จะไปปรากฏในรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ของ Honda หรือไม่?

จุดเด่นการออกแบบ All NEW Honda Insight ที่เหนือชั้นกว่า Civic ก็คือการขัดเกลาเส้นสายตัวถังรอบคันที่ดูสะอาดตาซึ่งตรงกับเทรนด์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมในปัจจุบัน และยังมีการออกแบบบั้นท้ายใหม่ที่ดูหรูหราขึ้นด้วยไฟท้าย LED ทั้งหมดนี้จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ Insight ใหม่ ดูเป็นรถมีระดับกว่า Civic ในระดับหนึ่ง ตามจุดประสงค์ของ Honda

หลังจาก Honda Insight ไม่ประสบความสำเร็จ 2 Generation อย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ Honda ต้องระดมเทคโนโลยีขุมพลัง Hybrid ให้เหนือชั้นยิ่งกว่า Toyota Prius ได้สำเร็จ Honda ถึงขั้นติดตั้งขุมพลัง Honda Sport Hybrid i-MMD เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson cycle พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ และ แบตเตอร์รี่แบบ Lithium-ion ขนาด 60 cells ให้กำลังสูงสุดรวมกัน 151 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 267 นิวตันเมตร มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยที่ 23.38 กิโลเมตร/ลิตร

รูปแบบการขับขี่สามารถปรับได้ 3 รูปแบบ ประกอบด้วย Normal, ECON และ Sport โดยผู้ใช้งานสามารถขับขี่ All NEW Honda Insight ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เป็นระยะทางสูงสุดราว 1.6 กิโลเมตร ในรูปแบบการขับขี่แบบ Normal ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ Macpherson strut ด้านหลังเป็นแบบ Multi-link สำหรับระบบความปลอดภัยนั้น ยกชุด Honda Sensing มาให้

จุดขายสำคัญอีกประการที่ Honda พยายามเคลมเป็นอย่างมากเลยก็คือ All NEW Insight มันมีห้องโดยสารที่บุด้วยวัสดุสัมผัสนุ่ม ให้ความรู้สีกพรีเมี่ยม และมีเนื้อห้องโดยสารกว้างขวางมากที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์ระดับเดียวกัน

อีกประเด็นที่ยังน่าจับตามองคือ เราไม่แน่ใจว่า All NEW Honda Insight จะมีการปรับปรุงระบบช่วงล่างและระบบบังคับควบคุมให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่า Civic หรือไม่ เพราะก่อนหน้านั้นเคยมีข่าวแว่ว ๆ มาว่า Insight ใหม่อาจจะมีการปรับปรุงช่วงล่างให้ที่แตกต่างจาก Civic

Hyundai

Hyundai Tucson รุ่นปัจจุบันเปิดตัวเมื่อปี 2015 ที่มาพร้อมกับ Design Theme ‘Fluidic Sculpture 2.0’ ที่ฉีกแนวไปจากรถ Sedan ที่เปิดตัวในช่วงนั้น ก็เพราะว่ารถคันนี้เน้นตลาดยุโรปมากกว่าที่อื่น จึงต้องเน้นการออกแบบที่ดูพิเศษกว่า Hyundai คันอื่นเสียหน่อย

เมื่อเวลาผ่านพ้นไปราว 3 ปี Hyundai จึงจำเป็นต้องปรับโฉม Tucson ให้มีความสดใหม่ด้วยกระจังหน้า Cascade Grille ที่มีความอ่อนช้อย และที่แปลกตาโดดเด่นมากที่สุดก็คือการออกแบบไฟ DRL LED ที่ดูแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่น ๆ

และที่น่าประหลาดใจมากที่สุดก็คือ Hyundai ถึงขนาดลงทุนยกเครื่องภายในห้องโดยสารใหม่ด้วยการออกแบบแผงแดชบอร์ดครึ่งบนใหม่ให้มีทิศทางการออกแบบที่ใกล้เคียงกับ Hyundai i30 และ Santa Fe โดยย้ายตำแหน่งช่องแอร์กลางให้มาอยู่ใต้หน้าจอสัมผัส พร้อมทั้งเปลี่ยนโทนสีภายในห้องโดยสารเป็นสีสว่าง

Hyundai Tucson Minorchange ยังคงติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ฉีดเชื้อเพลิง 164 แรงม้า แรงบิด 204 นิวตันเมตร และรุ่นบนสุดจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร 181 แรงม้า แรงบิด 265 นิวตันเมตร แทนที่เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร เทอร์โบ 175 แรงม้า

สำหรับฟังก์ชันระบบความปลอดภัยพื้นฐานก็มีเต็มพิกัด ได้แก่ ระบบเบรกอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน, ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ, ระบบปัดน้ำฝนทำงานอัตโนมัติ, กล้องมองรอบคัน, ระบบช่วยรักษาเลน เป็นต้น

Kia

All NEW Kia K900 อัครยานยนต์ที่ค่ายรถแดนกิมจิภูมิใจนำเสนอ และน่าภาคภูมิใจยิ่งกว่าก็คือ ผู้ที่ซื้อรถคันนี้ ก็เหมือนได้ซื้อ Genesis G90 : Flagship Sedan ที่เทียบชั้นได้กับ Mercedes-Benz S-Class ในราคาที่ถูกกว่า และเราก็เชื่อเหลือเกินว่า Kia K900 ก็คงยังคุณค่าความดีงามใกล้เคียงกับ Genesis G90 หรืออย่างน้อยก็เป็นรถที่ด้อยกว่าไม่มากนัก

สิ่งเดียวที่อาจทำให้ค่ายรถยนต์เกาหลีใต้สามารถสร้างรถยนต์ระดับหรูภายใต้แบรนด์ระดับแมสได้ก็คือราคาจำหน่าย และการอัดฟังก์ชันหรูหราที่ก่อให้เกิดความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับรถยนต์พรีเมี่ยมในระดับเดียวกัน และนอกจากนี้การอ้างอิงดีไซน์จากรถหรูฝั่งตะวันตก ก็ช่วยสร้างค่านิยมใหม่ให้แก่ลูกค้าชาวเกาหลีใต้ ว่าถึงแม้จะเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับ Local ก็ตาม

All NEW Kia K900 ยังคงใช้พื้นตัวถัง Hyundai-Kia BH-L (VI) Platform ร่วมกับรุ่นเดิม แต่มีการปรับปรุงสัดส่วนครึ่งคันหลังใหม่ ให้ดูลดความเป็น BMW ลง แต่เพิ่มกรอบกระจกโอเปร่าท้าย เอาใจกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่ที่ต้องการรถยนต์ที่ดูสง่างาม บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นรถที่ดูสูงวัย แต่นี่คือรถยนต์จาก Kia ก็ถือว่ามันมีความสปอร์ตมากกว่า Genesis G90 อยู่ดี ส่วนภายในห้องโดยสารไม่ต้องบอกเลยว่ามันคือการ Mix & Match ของงานออกแบบจากค่ายรถเยอรมนี

สำหรับเวอร์ชันสหรัฐอเมริกา จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.3 ลิตร เทอร์โบจาก Kia Stinger ให้กำลังสูงสุด 365 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะที่พัฒนาด้วยตนเอง ส่งกำลังขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา โดยมีการกระจายน้ำหนักอัตราแปรผัน ลงสู่ล้อคู่หน้าสูงสุด 50% และลงสู่ล้อคู่หลังสูงสุด 80% พร้อม differential lock แบบอิเล็กทรอนิคส์

Lincoln

แม้ Lincoln ไม่ได้มีรถใหม่เปิดตัวอย่างสม่ำเสมอมากนัก แต่ทุกครั้งที่เปิดตัว ก็ถือว่าน่าจับตามอง ในครั้งนี้ Lincoln ได้เปิดตัว Aviator Prototype : Flagship SUV ที่เล็กกว่า Navigator โดยมีไฮไลต์สำคัญ คือตัวรถถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังใหม่ ที่จะใช้ร่วมกับ All NEW Ford Explorer

ภายใต้ดีไซน์ที่ดูหรูหรา สง่างาม แต่เต็มไปด้วยสัดส่วนตัวถังค่อนข้างเหลี่ยมสัน ก็ติดตั้งขุมพลัง Plug-in Hybrid ที่ไม่ได้ระบุว่าจะใช้ความจุเครื่องยนต์เท่าไร ส่วนภายในห้องโดยสารก็จัดเต็มความหรูหราเต็มพิกัด ทันสมัยด้วยหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 12 นิ้ว

ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ก็เต็มพิกัดด้วยชุดระบบความปลอดัย Co-Pilot 360 แต่เพิ่มฟังก์ชันสแกนพื้นถนนเพื่อปรับช่วงล่างให้รับกับสภาพของถนน

Mazda

ถึงแม้ว่า Mazda CX-3 ไม่ได้เป็นรถขายดีในสหรัฐอเมริกาเลยแม้แต่น้อย (จากรายงานล่าสุดพบว่าในเดือนมีนาคม 2018 ขายได้ 1,728 คันเติบโต 33.2% แต่ยอดยังห่างชั้นจาก CX-5 เยอะมาก ๆ ) แต่ Mazda ก็ยังคงทุ่มเทสรรพกำลังยังตลาดนี้เพราะถือเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญมากของ Mazda

Mazda CX-3 Minorchange ได้เวลาปรับโฉมเพื่อต้อนรับคู่แข่ง B-SUV เจ้าอื่น ๆ ที่กำลังเดินทัพมาลุยตลาดกันอย่างพร้อมเพรียง ด้วยด้านหน้าที่ถูกปรับปรุงใหม่ อาทิ กระจังหน้า, ปรับรายละเอียดไฟหน้าและไฟท้าย, เพิ่มแถบชายล่างกันชนหน้า

ภายในห้องโดยสารมีการปรับปรุงรายละเอียดบางอย่างให้ดูหนักแน่นและดูมีราคายิ่งขึ้น ได้แก่ การเปลี่ยนแผงช่องแอร์กลาง, เปลี่ยนแผงคอนโซลเรือนเกียร์ใหม่, เพิ่มกล่องเก็บของคอนโซลกลาง, เปลี่ยนจากเบรกมือธรรมดาเป็นเบรกมือไฟฟ้า

สำหรับเวอร์ชันสหรัฐอเมริกาจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร SkyActiv-G 148 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตร ที่มีการปรับจูนให้ประหยัดน้ำมันยิ่งกว่ารุ่นเดิม พร้อม G-Vectoring Control ช่วยควบคุมเสถียรภาพในการขับขี่ขณะเข้าโค้ง

สำหรับตลาดเมืองไทยรอได้ไม่นานาภายในปี 2018 นี้

MINI

การ Re-Plan ของ MINI ในสหรัฐอเมริกาที่จะเน้นขายรถยนต์ไฟฟ้า EV อาจไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้แก่วงการมากนัก เพราะคนสหรัฐฯก็แทบไม่ได้สนใจแบรนด์นี้กันอยู่แล้ว (เพราะมันเล็กเกินไปสมชื่อของมัน) แต่ก็เชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงในจุดเล็ก ๆ น่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

The Classic MINI Electric คือการนำ MINI ดั้งเดิมมาฟื้นฟูสภาพใหม่หมด โดยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่แทนที่ระบบส่งกำลังแบบเดิม ๆ ทำความเร็วได้สูงสุด 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถเดินทางเป็นระยะทางสูงสุด 104 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง

การชาร์จแบตของ The Classic MINI Electric ผ่านไฟบ้านจนเต็มจะใช้เวลาราว 4 ชั่วโมง ในเรื่องของการขับขี่ BMW ระบุว่ายังคล้ายคลึงกับ Classic MINI ต้นตำรับ ที่ให้ความรู้สึกแบบขับรถโกคาร์ท ส่วนน้ำหนักตัวถังนั้นอยู่ที่ราว 770 กิโลกรัม เท่านั้น

โดยส่วนตัวเชื่อว่า MINI สหรัฐอเมริกาคงไม่น่าจะคิดทำขายจริง แต่ทำเพราะประกาศให้โลกรู้ว่า MINI จะเอาจริงกับตลาด EV เสียมากกว่า

หมายเหตุ : เนื่องจากไม่มีสื่อมวลชนรายใดถ่ายภาพรถคันจริง ผู้เขียนจึงขอจาก Press Release แทนครับ

Nissan

All NEW Nissan Altima หรือที่คุ้นเคยกันดีในบ้านเราว่า Teana ได้สร้างความฮือฮาให้แก่คุณผู้อ่านเป็นอย่างมาก เพราะพลิกโฉมการออกแบบเกินความคาดหมายของใครหลาย ๆ คน ถึงแม้ตัวรถมันยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐาน D-Platform เหมือนรุ่นเดิม แต่มีวิวัฒนาการหลายจุดจน Nissan กล้าเรียกว่าเป็น New Platform เข้าใจว่า ถ้าหาก Nissan รีบไปใช้พื้นตัวถัง CMF-C/D อาจทำให้ การพัฒนา All NEW Altima เป็นไปด้วยความล่าช้า และอาจทำให้มีต้นทุนที่สูงจนไม่สามารถอัดเทคโนโลยีใหม่เพื่อสร้างความตื่นตาได้

All NEW Nissan Altima ถูกออกแบบโดยยึดหลัก ความต้องการพื้นฐานของลูกค้า 3 ประเทศ ได้แก่ จีน, ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นรถที่ดูหรูหรา. สง่างามและดูสปอร์ตไปในตัว โดยภายในห้องโดยสารก็ดูเหมือนว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากความคิดเห็นของลูกค้าฝั่งเอเชียพอสมควร

ขนาดตัวถังมีความยาว 4,899 มิลลิเมตร กว้าง 1,851 มิลลิเมตร สูง 1,440 มิลลิเมตร มีระยะฐานล้อ 2,824 มิลลิเมตร

(Nissan Maxima : ยาว 4,897 มิลลิเมตร กว้าง 1859 มิลลิเมตร สูง 1,435 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,776 มิลลิเมตร

Nissan Altima/Teana L33 : ยาว 4,859 มิลลิเมตร กว้าง 1,829 มิลลิเมตร สูง 1,471 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,776 มิลลิเมตร)

เมื่อดูมิติตัวเลขแล้วถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าแปลกใจ เพราะในอดีต Nissan ไม่ค่อยกล้าพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ให้เหนือชั้นกว่ารถคลาสบนที่เปิดตัวไปก่อนหน้านั้น แต่ในวันนี้ All NEW Nissan Altima กลับมีตัวเลขขนาดตัวถังที่ยาวกว่าและยังมีระยะฐานล้อที่ยาวกว่า Nissan Maxima ด้วย นั่นเท่ากับว่า จุดขายของ Nissan Maxima ในวันนี้มีเพียงแค่เครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตรและมีภายในห้องโดยสารที่ดูหรูหราพรีเมี่ยมกว่า เท่านั้น!

All NEW Nissan Altima มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบ ได้แก่

2.0 VC-Turbo

เครื่องยนต์ VC-Turbo 2.0 ลิตรเป็นเครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,997 ซีซี. เมื่อกำลังอัด 8 : 1 (หรือ 1,970 ซีซี. เมื่อกำลังอัด 14 : 1) พร้อมเทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.0 x 90.1 มิลลิเมตร เมื่อกำลังอัด 8 : 1 (หรือ 84.0 x 88.9 เมื่อกำลังอัด 14 : 1) อัตราส่วนกำลังอัดแบบแปรผัน 8 : 1 – 14 : 1

กำลังสูงสุดอยู่ที่ 248 แรงม้าที่ 5,600 แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที เมื่อเติมน้ำมันเกรดพรีเมี่ยม ใน Press Release ไม่ได้ระบุว่าจะจับคู่เกียร์อะไร แต่จงมั่นใจได้เลยว่าคงหนีไม่พ้น Xtronic CVT เหมือนกับ Infiniti QX50 โฉมใหม่ ส่งกำลังยังล้อคู่หน้า ซึ่ง Nissan เคลมว่าเครื่องยนต์ VC-Turbo มีบุคลิกการขับขี่เหมือนมีสองเครื่องยนต์ในคันเดียวกัน คือทั้งให้พละกำลังแรงเกินคาด แต่ขณะเดียวกันก็ประหยัดน้ำมันกว่าเครื่องยนต์ VQ V6 3.5 ลิตร สองหลักเปอร์เซ็นต์

2.5 Direct Injection e-VTC

อีกทางเลือกหนึ่งคือเครื่องยนต์เบนซินใหม่ PR25DD DOHC 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร Direct Injection พร้อม e-VTC ฝั่งไอดี และ EGR กำลังสูงสุด 188 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 244 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ Xtronic CVT ส่งกำลังยังล้อคู่หน้า และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive แบบกระจายแรงขับเคลื่อนอัตโนมัติ พร้อมระบบ limited slip differential และ Hill Start Assist เป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากซื้อ SUV

สำหรับบ้านเรายังต้องลุ้นกันต่อไปว่าโรงงานย่านบางนา กม.21 จะมีสิทธิ์ผลิต All NEW Nissan Teana สำหรับป้อนตลาดอาเซียนและโอเชียเนียหรือไม่ เพราะในเบื้องต้นได้ยินว่า Nissan วางแผนลากขาย Teana รุ่นเดิมต่อไปพร้อมแนะนำรุ่นปรับโฉม Minorchange ซึ่งเปิดตัวในตลาดโลกช่วงปลายปี 2005 แต่ทุกอย่างจะมีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ต้องติดตามกันต่อไป

Subaru

All NEW Subaru Forester ถือเป็นไฮไลต์สำคัญที่คนไทยหลายคนสนใจเพราะมันจะขึ้นไลน์ประกอบในประเทศไทยที่โรงงาน T.C.Manufacturing & Assembly (Thailand) หรือ TCMA TH ต้นปี 2019 ที่มาพร้อมกับ Eyesight อย่างแน่นอน

เมื่อดูจากหน้าตาภายนอกอาจจะมองว่ามันเปลี่ยนแปลงยังไง? นี่ก็เป็นความตั้งใจของ Subaru เพราะ Forester รุ่นเดิมมันมียอดขายที่ดีมากในตลาดสหรัฐอเมริกา เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านั้น (โฉมที่ 2) จึงทำให้ All NEW Forester ดูมีหน้าตาที่ไม่แตกต่างจากเดิมนัก

All NEW Subaru Forester ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง SGP Platform (Subaru Global Platform) แนวคิด “ Less Shake, Less Body Roll, and Way More Fun ”

วิวัฒนาการที่ลูกค้าชาวอเมริกันเห็นแล้วอาจชอบใจ คือการตกแต่งภายในห้องโดยสารที่ดูดีขึ้นพอสมควร และที่สำคัญ Subaru มีการขยาย Legroom ห้องโดยสารตอนหลังเพิ่มขึ้นถึง 35.5 มิลลิเมตร ซึ่งเกิดจากการขยายระยะฐานล้อจาก 2,639 มิลลิเมตรเป็น 2,669 มิลลิเมตร

เครื่องยนต์เบนซิน BOXER 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร Direct Injection พร้อมระบบ Active Valve Control (AVCS) กำลังสูงสุด 185 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 239 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT พร้อมโปรแกรมล็อคพูเล่ย์ 7 จังหวะ และ แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift ขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical All-wheel Drive

นอกจากชุดระบบความปลอดภัย Eyesight ที่เป็นจุดขายแล้ว Subaru ก็ยังติดตั้ง DriveFocus ระบบแจ้งเตือนเมื่อผู้ขับขี่ เหนื่อยล้า พร้อมทั้งปรับตำแหน่งเบาะนั่งใหม่, ปรับอุณหภูมิแอร์ และหน้าจอต่าง ๆ ตามการตั้งค่าของผู้ขับขี่ที่แตกต่างได้ถึง 5 Preset

Toyota

ภาพลักษณ์ของงาน New York Autoshow 2018 ครั้งนี้ดูอลังการและเป็นที่น่าสนใจมากกว่าปีก่อน ๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ Toyota กล้าเปิดตัวรถรุ่นใหม่ถึง 2 รุ่นพร้อมกันได้แก่ All NEW Toyota Corolla Hatchback และ All NEW Toyota RAV4

All NEW Toyota RAV4 มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงใหม่หมดจดตั้งแต่งานออกแบบที่ดูดุดันขึ้น แต่ก็ดูเพรียวบางกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด และมันถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง TNGA ใหม่ล่าสุด ที่รองรับการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง

Toyota เผยว่าทีมวิศวกรได้ใช้เวลาถึง 4 ปีในการปรับจูนสมรรถนะ, เสถียรภาพการบังคับควบคุม และการขับขี่ที่สะดวกสบาย จนมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ให้ความมั่นใจและเป็นธรรมชาติ

ขุมพลังของ All NEW Toyota RAV4

  • เครื่องยนต์ Dynamic Force เบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร VVT-ie จับคู่กับอัตโนมัติ Direct-Shift 8 จังหวะ
  • ขุมพลัง Toyota Hybrid System II (THS II) เครื่องยนต์ Dynamic Force เบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร จับคู่เกียร์ eCVT

 

Volkswagen

Volkswagen อวดรถแนวคิดสำหรับรุกตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ถึง 2 คัน เป็นรถ SUV 1 คันและรถกระบะ 1 คัน ซึ่งล้วนแต่เป็นรถยนต์ที่น่าจะสามารถสร้างยอดขายให้แก่ Volkswagen ในสหรัฐอเมริกาให้สูงขึ้นกว่าทุกวันนี้

คันแรก Volkswagen Atlas Sport Cross Concept เบาะ 5 ที่นั่ง ทางเลือกใหม่ล่าสุดที่คุ้มค่ากว่า Touareg ด้วยขนาดตัวถังที่ใหญ่น่าจะพอ ๆ กัน แต่มีความสปอร์ตปราดเปรียวและดูดุดันกว่าซึ่งน่าจะตรงใจกับรสนิยมลูกค้าชาวอเมริกันมากที่สุด

Volkswagen Atlas Cross Sport Concept มีทิศทางการออกแบบที่แตกต่างจาก Atlas รุ่นเบาะนั่ง 3 แถว คือการออกแบบด้านหน้าที่ดูโฉบเฉี่ยวขึ้น ด้วยเทคนิคการออกแบบไฟหน้า LED และไฟส่องสว่างตอนกลางวัน DRL LED ให้ผสานไปกับกระจังหน้าแบบ 2 ชั้นอย่างแนบเนียน สัดส่วนตัวถังมาในสไตล์ Coupe ที่มีแนวหลังคาไม่ดูลาดเทมากจนเกินไป

ภายในห้องโดยสารยังคงรักษาคุณงามความดีของ Volkswagen Atlas ด้วยดีไซน์ที่ดูเรียบหรู ใช้งานง่าย แต่จะถูกทดแทนด้วยหน้าจอสี TFT ในส่วนของมาตรวัดแสดงผลที่พวกเขาเรียกกันว่า Volkswagen Digital Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว, ปุ่มเครื่องปรับอากาศก็ถูกแทนที่ด้วยแผงควบคุมสัมผัสแทน

ขุมพลัง Plug-in Hybrid จับคู่เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.6 ลิตร FSI 276 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตันเมตร จับคู่มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวแรกจะให้กำลัง 54 แรงม้า แรงบิด 219 นิวตันเมตร และตัวที่สองจะให้กำลัง 114 แรงม้า แรงบิด 269 นิวตันเมตร ให้พละกำลังรวมกัน 355 แรงม้า ทำความเร็ว 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 5.4 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบตเตอรี่ 18 กิโลวัตต์ชั่วโมง

อีกเวอร์ชันหนึ่งคือขุมพลัง Mild Hybrid ใช้เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าร่วมกับเวอร์ชัน Plug-in Hybrid แต่ลดขนาดแบตเตอรี่ลงเหลือขนาด 2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้กำลัง 310 แรงม้า ทำความเร็ว 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 6.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ถึงจะเป็น Atlas ในเวอร์ชันที่เล็กกว่า Atlas รุ่นปกติ เบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง แต่ก็ดูเหมือนว่ามันมีวิวัฒนาการที่ดูเหนือชั้นกว่ารุ่นพี่พอสมควร ชาวสหรัฐอเมริกาสามารถสัมผัสคันจริงได้ในปี 2019

อีกคันหนึ่งน่าสนใจมาก ๆ คือ Volkswagen Atlas Tanoak Concept และดูมิติโดยรวมใกล้เคียงกับ Amarok มาก แต่เมื่ออ่านรายละเอียดทั้งหมดกลับพบว่ารถคันนี้มันถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง MQB Platform ร่วมกับ Atlas โครงสร้างตัวถังครึ่งคันหน้าคล้าย Atlas แต่หลังจากนั้นก็แตกต่างราวกับอยู่คนละโลก ส่วนภายในห้องโดยสารจะมี Layout คล้าย ๆ กับ Atlas แต่มีรายละเอียดการตกแต่งที่ดูสดใส เหมาะสำหรับรถของผู้ที่รักการเดินทางมากกว่า

นอกเหนือจากแนวทางการออกแบบและการพัฒนาที่น่าสนใจแล้ว มันยังติดตั้งขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน FSI แบบ V6 ขนาด 3.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 276 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MOTION ปรับรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพถนนได้ พร้อมระบบ Active Control ให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 8.5 วินาที

ถึงแม้รถต้นแบบคันนี้ถูกผลิตขึ้นมาจนดูจะเป็นรถขายจริงกันแล้ว แต่ทาง Volkswagen ประกาศว่ายังไม่มีแผนการผลิตใด ๆ หนำซ้ำ โฆษกยังให้ข้อมูลอีกว่า ตลาดรถกระบะ Mid-Size ในสหรัฐอเมริกามียอดขายต่ำกว่า 5 แสนคัน/ปี จากที่เคยมียอดขายถึง 1 ล้านคัน/ปี แต่ตลาดรถกลุ่มนี้ยังมียอดขายที่คงที่และมันกำลังจะกลับมาอีกครั้ง การนำรถต้นแบบคันนี้มาอวดโฉมก็เพื่อเป็นการเช็คปฏิกริยาลูกค้านั่นเอง เท่ากับว่า ถ้ามีผลตอบรับดี Volkswagen ก็จะผลิตเพื่อป้อนลูกค้าในสหรัฐอเมริกาทันที

Volkswagen Atlas Tanoak Concept จะส่งอิทธิพลต่อการออกแบบของ All NEW Volkswagen Amarok ในอนาคตหรือไม่ เห็นทีต้องจับตามองกัน