Alfa Romeo Stelvio ซึ่งเป็น SUV รุ่นแรกของค่าย ได้เปิดเผยรายละเอียดของรุ่นย่อย
อื่นๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประกอบไปด้วย 3 รุ่นย่อย พร้อมขุมพลัง 2 ทางเลือก ทั้งยังมี
ให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 2 และ 4 ล้อ โดยตั้งเป้าที่จะมาบัญญัติกฎของ Mid-Size
Premium SUV ขึ้นใหม่

Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-7a

Alfa Romeo Stelvio มีรุ่นย่อยด้วยกัน 3 รุ่นย่อย ประกอบไปด้วย Stelvio, Super และ
Business ซึ่งในแต่ละรุ่นจะแตกต่างกันออกไป โดยที่ลูกค้าสามารถเลือกสีตัวถังได้
มากถึง 13 สี ครบทั้งแบบ Pastel, Metallic และ Tri-Coated ลายล้อนั้นมีให้เลือก
ด้วยกัน 13 ลาย ตั้งแต่ขนาด 17 – 20 นิ้ว สำหรับรายละเอียดอุปกรณ์ในแต่ละรุ่นย่อย
โดยสรุปคร่าวๆ มีดังต่อไปนี้

Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-79 Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-7b

Alfa Romeo Stelvio รุ่นพื้นฐานมาพร้อมกับล้อขนาด 17 นิ้ว, ไฟหน้า Halogen และ
ไฟท้าย LED สำหรับภายในมีเครื่องเสียง Premium พร้อมลำโพง 8 ตัว, หน้าจอ
เครื่องเสียงขนาด 6.5 นิ้ว, หน้าจอแสดงผล TFT ขนาด 3.5 นิ้ว, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์,
พวงมาลัยหุ้มหนัง และเบาะผ้าสีดำ

Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-4f

ขยับขึ้นมาอีกรุ่นกับรุ่น Super เพิ่มเติมในส่วนของการตกแต่งเฉพาะ ทั้งภายนอกและ
ภายใน โดยที่ภายนอกมาพร้อมกับ ล้อขนาด 18 นิ้ว ส่วนภายในเปลี่ยนวัสดุหุ้มเบาะ
ไปใช้หนังผสมผ้า มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี ประกอบไปด้วย ดำ, ดำ-น้ำตาล และ ดำ-แดง
นอกจากนี้แผงแดชบอร์ด และแผงประตูยังสามารถเลือกโทนสีที่กล่าวมาข้างต้นได้ทั้ง
3 สี เสริมด้วยตกแต่งโดยใช้วัสดุโลหะ

Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-7eAlfa_Romeo-Stelvio-2018-800-8f Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-86 Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-89

ส่วนรุ่นสุดท้ายที่เหลืออยู่ของ Alfa Romeo Stelvio นั้นมีชื่อว่า Business ตั้งเป้ามา
สำหรับกลุ่มลูกค้า Fleet โดยเฉพาะ ซึ่งมีเพียงเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกเท่านั้น สำหรับ
อุปกรณ์เฉพาะที่ติดตั้งมาให้ประกอบไปด้วย ไฟหน้า 35 W B-Xenon พร้อมกระจก
มองข้างพับไฟฟ้า ส่วนภายในมีหน้าจอเครื่องเสียงขนาด 6.5 นิ้ว  พร้อมระบบ Alfa
Connect 2D NAV

Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-8c Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-8e

ขุมพลังของ Alfa Romeo Stelvio มีให้เลือกด้วยกัน 2 ทางเลือก โดยมีรายละเอียด
ปลีกย่อย ดังต่อไปนี้

– เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 284 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด
40.78 กก-ม. (400 นิวตันเมตร) ที่ 2,250 รอบ/นาที เครื่องยนต์ส่งกำลังลงพื้นทั้ง 4 ล้อ
ผ่านระบบ Q4 All-Wheel Drive ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ให้อัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทั้งนี้จะมีรุ่นที่ให้กำลังสูงสุด 203 แรงม้า (PS) ตามมาภายหลังด้วย

– เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.2 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด
40.78 กก-ม. (400 นิวตันเมตร) เครื่องยนต์ส่งกำลังลงพื้นทั้ง 4 ล้อผ่านระบบ Q4 All-
Wheel Drive และมีรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังให้เลือกด้วย ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ
8 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 6.6 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่
215 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทั้งนี้จะมีรุ่นที่ให้กำลังสูงสุด 183 แรงม้า (PS) ตามมาภายหลังด้วย

Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-9c

Alfa Romeo Stelvio มาพร้อมกับ Alfa DNA Selector ซึ่งเป็นการปรับรูปแบบการทำงาน
ของเครื่องยนต์, พวงมาลัย และช่วงล่าง ให้เหมาะสมกับการใช้งาน มีด้วยกัน 3 แบบ
ประกอบไปด้วย Dynamic ซึ่งเน้นสมรรถนะ พร้อมการตอบสนองช่วงล่างที่ฉับไว, Natural
สำหรับการใช้งานในเมือง หรือเดินทางไกล และ Advanced Efficiency สำหรับการประหยัด
เชื้อเพลิง พร้อมปล่อยมลพิษต่ำ

Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-54

ระบบความปลอดภัยของ Alfa Romeo Stelvio มีทั้งระบบเบรกอัตโนมัติที่สามารถหยุดรถ
ได้เอง โดยใช้กล้องและเรดาร์คำนวณระยะ ทำงานได้ถึงความเร็ว 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทั้งยังสามารถตรวจจับคนเดินถนนได้ด้วย, ระบบเตือนออกนอกเส้นจราจร ซึ่งจะทำงาน
หากพบว่าผู้ใช้งานออกนอกเส้นจราจรโดยไม่ให้สัญญาณไฟ และระบบเตือนมุมอับ เวลา
ถอยออกจากช่องจอด ซึ่งจะเตือนหากมีพาหนะวิ่งเข้ามา ระหว่างที่ใช้ความเร็วไม่เกิน 35
กิโลเมตร/ชั่วโมง

Alfa_Romeo-Stelvio-2018-800-71

Alfa Romeo Stelvio จะประกอบที่โรงงานของ FCA หรือ Fiat Chrysler Automobiles
ที่ตั้งอยู่ในเมือง Frosinone ของประเทศอิตาลี่ โดยมีความสามารถในการผลิตรถยนต์
สูงสุดเป็นจำนวน 1,000 คันต่อวัน

 

ที่มา : netcarshow