ค่ายสี่ห่วงเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์ขุมพลัง Plug-in Hybrid ให้ครบ 5 รุ่น ภายในครึ่งหลังของปี 2019 และรุ่นล่าสุดที่ตามมาคือ Audi Q7 TFSI e Quattro มาพร้อมกับการจับคู่ เครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบ เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ทั้งยังมีสองระดับความแรงให้เลือก โดยรุ่นแรงสุดพกกำลังมา 456 แรงม้า

ในรุ่นท็อป 60 TFSI e จะตกแต่งภายนอกในแบบ S line พ่นสีเดียวกันทั้งคันพร้อมชุดแต่งพิเศษ เสริมด้วยการตัดสีดำ, ไฟหน้า Matrix LED และ ล้อขนาด 20 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดง ห้องโดยสารติดตั้งเบาะทรงสปอร์ต และผ้าหลังคาสีดำ เสริมด้วยการนำอะลูมิเนียมมาตกแต่งรอบคัน และฉายไฟ LED รูปโลโก้สี่ห่วงลงพื้นเมื่อเปิดประตู สำหรับผู้ที่ซื้อรุ่น 55 TFSI e สามารถสั่งติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้เพิ่มได้

ขุมพลังของ Audi Q7 TFSI e Quattro เป็นเครื่องยนต์เบนซิน TFSI แบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ tiptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ส่วนระบบ Hybrid ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ lithium-ion ระบายความร้อนด้วยของเหลว ด้านความแรงมีให้เลือก 2 ระดับ ดังนี้

Audi Q7 55 TFSI e

กำลังสูงสุดทั้งระบบ 381 แรงม้า แรงบิดสูงสุดทั้งระบบ 600 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง

Audi Q7 60 TFSI e

กำลังสูงสุดทั้งระบบ 456 แรงม้า แรงบิดสูงสุดทั้งระบบ 700 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง

 

ทั้งสองรุ่นสามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นระยะทางสูงสุด 43 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุดใน EV Mode ได้ 135 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ Audi Q7 TFSI e Quattro จะเข้าสู่ระบบ EV โดยอัตโนมัติ และเครื่องยนต์จะติดเมื่อผู้ขับขี่กดคันเร่งเท่านั้น ส่วนการขับขี่แบบ Hybrid สามารถปรับได้ระหว่าง Auto ที่สลับการทำงานของเครื่องยนต์ – มอเตอร์ และ Hold ที่เน้นสงวนพลังงานในแบตเตอรี่ เพื่อเก็บไว้ใช้ภายหลัง

รูปแบบการขับขี่ สามารถปรับได้ผ่านระบบ Audi drive select เพื่อเลือกใช้รูปแบบ comfort, efficiency, auto, dynamic, individual, allroad และ offroad ซึ่งมีผลต่อการตอบสนองของการส่งกำลัง, พวงมาลัย และช่วงล่าง ทั้งยังยกช่วงล่างสูงขึ้นอีก หากมีการติดตั้งระบบ adaptive air suspension เพิ่ม

Audi Q7 TFSI e Quattro ยังรองรับการชาร์จไฟ โดยจุดรับเบ้าชาร์จติดตั้งอยู่ฝั่งซ้ายด้านหลังของตัวถัง ทั้งนี้ ไม่มีการระบุว่าต้องใช้เวลาเท่าใด ถึงจะชาร์จไฟจนเต็ม สำหรับกำหนการออกจำหน่ายได้เริ่มขึ้นแล้วในประเทศเยอรมนี สนนราคาจำหน่ายซึ่งยังไม่รวมภาษีนำเข้าของประเทศไทย ดังนี้

  • Audi Q7 55 TFSI e ราคาเริ่มต้น 74,800 ยูโร (ราว 2,507,000 บาท)
  • Audi Q7 60 TFSI e ราคาเริ่มต้น 89,500 ยูโร (ราว 3,000,000 บาท)

 

ที่มา: Audi