Toyota Camry เวอร์ชั่นสหรัฐฯ เคยมีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทำตลาดในปี 1988 – 1991 ล่าสุด ระบบดังกล่าวพร้อมกลับมาแล้วในโฉมปัจจุบัน ตอบโจทย์การใช้งานลูกค้าในเมืองหนาว ที่ต้องขับขี่บนถนนเปียกลื่นจากหิมะ ส่วนขุมพลังจำกัดไว้แบบเดียวกับ เบนซิน 2.5 ลิตร Dynamic Force ใช้ร่วมกับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า ด้านน้ำหนักที่เพิ่มเข้ามามีเพียง 74 กิโลกรัม

หน้าตาของ Toyota Camry AWD ไม่มีอะไรแตกต่างจากรุ่นธรรมดา นอกจากโลโก้ AWD ท้ายรถฝั่งขวาใต้รุ่นย่อย ส่วนห้องโดยสารสามารถติดตั้ง Cold-Weather Package เพิ่มได้ ประกอบด้วย ระบบอุ่นเบาะ – พวงมาลัย และระบบละลายน้ำแข็งกระจกมองข้าง ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานทั้งหมดใช้ร่วมกับรุ่นขับหน้า

ขุมพลังของ Toyota Camry เวอร์ชั่นสหรัฐฯ รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ Dynamic Torque Control AWD มีให้เลือกแบบเดียวกับ เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร Dynamic Force อัตราส่วนกำลังอัด 13.0 : 1 กำลังสูงสุด 205 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 249 นิวตันเมตร ที่ 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Direct Shift 8 จังหวะ

มีการระบุด้วยว่า Toyota Camry โฉมนี้ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ตั้งแต่แรก แต่ Toyota ในสหรัฐฯ เล็งเห็นการเติบโตของตลาดรถยนต์นั่งขับสี่ และได้รับเสียงเรียกร้องจากตลาด งานจึงเกิดกับศูนย์ Research & Development ของ Toyota North America ที่ต้องพัฒนาระบบ AWD เอง โดยมีโจทย์เรื่องความประหยัดเชื้อเพลิงด้วย

โชคดีว่า platform ของ Toyota Camry เป็นแบบ TNGA เหมือนกับ SUV ขับสี่อย่าง RAV4 และ Highlander นำไปสู่การยำขึ้นมา โดยทีมวิศวกรได้ยกช่วงล่างหลังแบบ multi-link จาก RAV4 มาดัดแปลงให้เข้ากับรถยนต์ Sedan พร้อมกับนำเพลากลางจาก (propeller shaft) จาก Highlander มาใส่ เสริมด้วย differential หลัง และเปลี่ยนถังน้ำมันเป็นรูปตัว U เพื่อหลบกลไกขับสี่ พร้อมเพิ่มเบรกมือไฟฟ้ามาให้

ระบบ AWD ใน Toyota Camry เวอร์ชั่นสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ในห้องโดยสาร หรือพื้นที่บรรทุกสัมภาระเลย ส่วนการทำงานนั้น หากขับขี่บนถนนปกติ เครื่องยนต์จะส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าเท่านั้น แต่ถ้าระบบพบว่าผู้ขับขี่ต้องใช้อัตราเร่งกะทันหัน หรือ ล้อหน้าเริ่มสูญเสียการยึดเกาะ กำลังจากเครื่องยนต์จะถูกถ่ายถอดไปยังล้อคู่หลังทันที ในอัตราสูงสุด 50% โดยที่คนในรถจะไม่รู้สึกถึงการทำงานของระบบ

ระบบ AWD ใน Toyota Camry มีให้เลือกในรุ่นย่อย LE, XLE, SE และ XSE ทุกคันจะประกอบขึ้นจากโรงงานใน Kentucky สหรัฐฯ และจะออกจำหน่ายในช่วงต้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 นอกจากนั้น จะมีการเพิ่มระบบนี้เป็นครั้งแรกให้กับ Toyota Avalon อีกด้วย ซึ่งจะตามมาในปี 2021 พร้อมทางเลือกรุ่นย่อย XLE และ Limited

ที่มา: Toyota