Jaguar XF Sportbrake รุ่นล่าสุด พร้อมลุยตลาด Premium Estate แล้ว (หรือเรียกว่า Station Wagon) หลังมีการเปิดเผยรายละเอียดอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมาพร้อมกับคุณงามความดีในส่วนของพื้นที่บรรทุกสัมภาระภายในห้องโดยสาร และ รูปลักษณ์ภายนอกที่ดึงดูดตา ส่วนขุมพลังมีให้เลือกด้วยกัน 6 แบบ แบ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 รุ่น และ เครื่องยนต์ดีเซลอีก 2 รุ่น ทั้งหมดมาพร้อม Turbocharge หรือ Supercharge

Jaguar Sportbrake เป็นรถสไตล์ Station Wagon คู่แข่งโดยตรงของ Mercedes-Benz E-Class Estate, BMW 5-Series Touring, Audi A6 Avant, Volvo V90 Estate

Jaguar XF Sportbrake มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง Cd 0.29 เท่านั้น ในส่วนของการออกแบบ Ian Callum หัวหน้าฝ่ายการออกแบบของ Jaguar ระบุว่าหน้าตาของ Estate คันนี้ดู Sport มากกว่าตัวถัง Saloon เนื่องจากมีการวางแผนให้ Jaguar XF สามารถนำมาต่อยอดเป็นตัวถัง Sportbrake ได้แต่แรกเริ่ม ส่งผลให้การออกแบบหลังเสา B-Pillar เปลี่ยนไปจากตัวถัง Saloon ซึ่งเป็นแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าที่ไม่ได้มีการเตรียมการเอาไว้แต่แรก

ความยาวตัวถังของ Jaguar XF Sportbrake อยู่ที่ 4,955 มิลลิเมตร สั้นกว่าเดิม 6 มิลลิเมตร แต่ความยาวฐานล้อกลับมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 51 มิลลิเมตร หรืออยู่ที่ 2,960 มิลลิเมตร ตัวเลขนี้จึงยืนยันถึงพื้นที่วางขาด้านหลัง และพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิม ในส่วนของการกระจายน้ำหนักหน้า : หลัง สามารถทำได้เกือบ 50 : 50 ซึ่งหมายถึงคุณภาพการขับขี่ที่ดีกว่า

ห้องโดยสารของ Jaguar XF Sportbrake มาพร้อมกับหลังคา Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ สำหรับพื้นที่บรรทุกสัมภาระตอนไม่พับเบาะหลังอยู่ที่ 565 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,700 ลิตรเมื่อพับเบาะลง เครื่องเสียงมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 10 นิ้วแบบ Touch Pro ส่วนระบบปรับอากาศได้ควบรวมระบบฟอกอากาศเอาไว้ด้วยกัน

Jaguar XF Sportbrake ยังมีระบบตรวจจับความอ่อนล้าของคนขับซึ่งจะทำการเตือนให้คนขับจอดพัก ส่วนลูกเล่นอื่นๆ ประกอบไปด้วย ฝาท้ายแบบเตะเปิด ซึ่งสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้เปิดสูงแค่ไหน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายในกรณีที่ต้องเปิดฝาท้ายบริเวณที่มีหลังคาเตี้ย และกุญแจรถยนต์ที่มีรูปทรงเหมือนนาฬิกาข้อมือ พร้อมคุณสมบัติกันน้ำให้เจ้าของรถยนต์ขาลุย ไม่ต้องกังวลเรื่องลืมกุญแจ หรือกุญแจหล่นน้ำอีกต่อไป

ขุมพลังของ Jaguar XF Sportbrake มีให้เลือกด้วยกันถึง 6 รุ่นเครื่องยนต์ โดยแต่ละแบบมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

กลุ่มเครื่องยนต์ดีเซล

– ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ

ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 9.3 หรือ 9.4 วินาที ตามลำดับ ความเร็วสูงสุดทั้งคู่อยู่ที่ 219 กิโลเมตร/ชั่วโมง

– ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ

ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นผ่านล้อคู่หลังหรือทั้ง 4 ล้อ ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 8.8 หรือ 8.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 221 หรือ 219 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามลำดับ

– ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่

ให้กำลังสูงสุด 240 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,500 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นทั้ง 4 ล้อ ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 241 กิโลเมตร/ชั่วโมง

– ดีเซล V6 3.0 ลิตร เทอร์โบ

ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.6 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

กลุ่มเครื่องยนต์เบนซิน

– เบนซิน V6 3.0 ลิตร Supercharger

ให้กำลังสูงสุด 380 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นทั้ง 4 ล้อ ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 5.5 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

– เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ

ให้กำลังสูงสุด 250 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,500 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่งกำลังลงพื้นผ่านล้อคู่หลัง หรือทั้ง 4 ล้อ ทั้งคู่ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7.1 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 241 กิโลเมตร/ชั่วโมง

Jaguar XF Sportbrake พร้อมออกจำหน่ายแล้วที่ประเทศอังกฤษ สนนราคาเริ่มต้นที่ 34,910 ปอนด์ (ราว 1,511,000 บาท) ส่วนตลาดอื่นๆ ที่รถยนต์คันนี้จะเข้าไปทำตลาดมีทั้ง สหรัฐฯ, ยุโรป, จีน, ตะวันออกกลาง และ อาจจะทำตลาดที่ประเทศไทยด้วยเช่นกัน หากลูกค้าเรียกร้องเข้ามา

ที่มา: newsroom.jaguarandlandrover, autocar