By Gigabright

 

ได้เวลาปรับโฉมเพื่อเพิ่มความสดใหม่กันแล้วสำหรับ Lexus LS เรือธงคันใหญ่ของแบรนด์ Lexus ซึ่งรุ่นปัจจุบันนั้นนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 5 แล้ว โดยถูกเปิดตัวสู่ตลาดโลกครั้งแรกในปี 2017 ภายใต้รหัสตัวถัง VXFA55 ที่ขยับมาใช้บนพื้นฐานโครงสร้างใหม่ TNGA : Toyota New Global Architecture เฉกเช่นรถยนต์ร่วมค่ายอีกหลายรุ่นในยุคเดียวกัน

มาในครั้งนี้ Lexus นำเอากลิ่นอายการออกแบบและตกแต่งมาจาก Lexus IS โฉมล่าสุดที่เพิ่งเผยโฉมกันไปได้ไม่นาน โดยยังคงเน้นความโอ่อ่ากว้างขวางอันเป็นเอกลักษณ์ ของแบรนด์รถยนต์พรีเมี่ยมจากแดนปลาดิบ ผสานเข้ากับความพริ้วไหวของเส้นสาย ที่ทำให้ตัวรถดูล้ำสมัยและสอดรับกันได้ดี ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร

เริ่มกันที่ส่วนหน้าของรถซึ่งโดดเด่นด้วยโคมไฟหน้าสีรมดำ ที่มีชุดหลอดไฟแบบ LED ถึง 3 จุดมาพร้อมกับไฟ DRL แบบ L-shaped รับกับชุดกันชนหน้า – กระจังหน้าที่เปลี่ยนลายของซี่ด้านในใหม่ ให้รับกับช่องดักลมด้านล่าง ซึ่งเปลี่ยนมาใช้สี dark metallic เพื่อเสริมความดุดันให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องดักลมบริเวณแก้มข้างรถในรุ่นไฮบริด (LS500h) เข้าไปอีกด้วย

เมื่อพิจารณาในส่วนอื่น จะพบว่าแทบจะไม่มีความแตกต่างจากเดิม นอกจากล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้ว สำหรับรุ่น F Sport ที่เลือกใช้สีเดียวกับชุดกระจังหน้า ด้านท้ายรถยังคงความโดดเด่นด้วยรูปทรงของไฟท้ายแบบ LED และกันชนท้ายที่เข้ากันเป็นอย่างดี ไฮไลท์สำหรับภายนอกอย่างสุดท้าย เห็นจะเป็นสีตัวถังรถใหม่ที่เรียกว่า “Gin-ei Luster” ซึ่งใช้เทคนิคการพ่นสีแบบพิเศษที่ทาง Lexus ภูมิใจและถือว่ามันเป็นสีที่เข้ากับเส้นสายของรถเป็นอย่างมาก

จุดเปลี่ยนหลักในห้องโดยสาร คือหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่านระบบ SmartDeviceLink, Apple CarPlay และ Andriod Auto สามารถสั่งการผ่านแผงควบคุมที่คอนโซลกลาง หรือ ปุ่มกดบนพวงมาลัยได้อย่างสะดวกสบาย มีปุ่มทำความร้อน (heater) สำหรับสร้างความอบอุ่นให้กับเบาะนั่งและพวงมาลัยเพิ่มขึ้นมา โดยถูกติดตั้งเอาไว้ที่ชุดคอนโซลกลางของรถ

ส่วนเบาะนั่งของ Lexus LS ใหม่นั้นเลือกใช้วัสดุอย่างดี ตัดเย็บด้วยความประณีตเพื่อให้รอยตัดเย็บจมลึกลงไป ผลคือความนุ่มสบายที่จะสร้างความผ่อนคลายตลอดการเดินทาง โดยมีรุ่นย่อยพิเศษที่เรียกว่า “Nishijin & Haku” ที่ตกแต่งแผงประตูด้วยวัสดุสีเทาปักเป็นลายดอกไม้โลหะ สอดคล้องกับโทนสีภายในห้องโดยสาร สมกับความเป็นอัครยานยนต์ของค่าย Lexus

ด้านความสุนทรีย์การขับขี่ Lexus ไม่เคยทำให้ผิดหวัง มีการพัฒนาและนำเอาระบบกันสะเทือนแบบแปรผัน Adaptive Variable Suspension เข้ามาใช้ใน Lexus LS ใหม่ นอกจากนี้ ยังมีระบบซับแรงสั่นสะเทือนในแนวดิ่งที่จะเกิดจากยางรถยนต์แบบ run-flat และการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อให้ทุกเส้นทางคือความนุ่มนวลที่สุด

เรื่องของการเก็บเสียงก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ Lexus LS ให้ความสำคัญ มีการปรับจูนเครื่องยนต์ทั้งในรุ่นเบนซินแบบสันดาปภายในและรุ่นไฮบริด ให้เกิดความเงียบมากที่สุดทั้งในยามที่เครื่องยนต์เดินเบา (idling) และเมื่อต้องเร่งเครื่องเพื่อทำความเร็ว

ขุมพลังของ Lexus LS ยังคงใช้เครื่องยนต์บล็อกเดิม ได้แก่

LS500

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส V35A-FTS V6 3.5 ลิตร 3,444 ซีซี. เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 422 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 4,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ Direct Shift

LS500h

Lexus Multi Stage Hybrid System เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 8GR-FXS V6 3.5 ลิตร 3,456 ซีซี. กำลังสูงสุด 299 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 356 นิวตันเมตร ที่ 5,100 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า 300 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ที่น้ำหนักเบากว่ารุ่นเดิม 20% เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จะให้กำลังสูงสุด 359 แรงม้า (PS) ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT ล็อคพูเล่ย์ 10 จังหวะ

แต่มีการนำเอามาปรับจูนเพื่อให้ได้สมรรถนะที่สูงสุด โดยรุ่นไฮบริดได้เพิ่มช่วงการทำงานของระบบไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ให้มากขึ้น เพื่อช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์และเสริมอัตราเร่งในเวลาเดียวกัน ส่วนรุ่น LS500 นั้นมีการปรับปรุงระบบส่งกำลังโดยการเพิ่มความกว้าง ของระยะทำความเร็วในแต่ละจังหวะของเกียร์ ผลที่ได้คือสามารถลากรอบได้สูงขึ้น และลดความถี่ในการคิกดาวน์ลง

ส่วนระบบความช่วยเหลือผู้ขับขี่นั่นถูกอัดแน่นมาอย่างครบครัน โดย Lexus เรียกว่า “AI-powered Lexus Teammate advanced driving assist suite” ที่ถูกนำร่องในประเทศญี่ปุ่นเป็นที่แรก โดยมีระบบช่วยเหลือต่างๆมากมายดังเช่นที่มีใน Lexus Safety System+ 2.0 แต่มีการเพิ่มเติมในส่วนของระบบ Advanced Park ที่ใช้กล้องและคลื่นเสียง ultrasonic ในการช่วยจอดแบบอัตโนมัติ, กระจกมองหลังแบบดิจิตอลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และระบบไฟสูงอัตโนมัติแบบใหม่ (BladeScan AHS) เพิ่มขึ้นมา

กำหนดการเปิดตัว Lexus LS Minorchange นั้นคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ของอเมริกา (เดือนกันยายน – พฤศจิกายน) โดยมีราคาค่าตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบัน ซึ่งมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 76,475 – 82,475 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.39 – 2.58 ล้านบาท) ในรุ่น LS500 และ เริ่มต้นที่ 81,035 (ราว 2.53 ล้านบาท) ในรุ่น Hybrid (LS500h) อันเป็นราคาที่รวมค่าขนส่งถึงปลายทางในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ไม่รวมภาษีนำเข้าสำหรับประเทศไทย

ที่มา: Lexus