McLaren คือค่ายรถสปอร์ตและซูเปอร์คาร์ ที่เป็นเจ้าของตำนานความเร็วมากมายรวมถึงการเป็นแชมป์ในกีฬามอเตอร์สปอร์ต และสร้างสรรค์ผลงานอย่าง McLaren F1 ซูเปอร์คาร์ที่ครองสถิติ Production car ที่เร็วที่สุดในโลกอยู่นานนับทศวรรษ ส่วน Senna ก็คือ Ayrton Senna นักแข่งรถสูตร 1 ในตำนาน ชาวบราซิลผู้ซึ่งไต่บันไดสู่แชมป์ร่วมไปกับทีมของ McLaren ในยุค 80s ขึ้นชื่อเรื่องความกล้าบ้าบิ่น เด็ดเดี่ยว ฉลาด และมีเทคนิคในการบังคับควบคุมรถที่นักแข่งรุ่นหลังยกนิ้วให้ว่าหาตัวจับยาก

ถึงแม้ว่า Senna จะลาจากโลกนี้ไป 20 กว่าปีแล้ว แต่ชื่อของเขายังคงอยู่ในใจของหลายคน และล่าสุด ก็ได้กลับมาเป็นชื่อรถรุ่นใหม่ล่าสุด จากฝีมือของ McLaren เพื่อเป็นการประกาศศักดาและให้เกียรติบุคคลผู้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง

McLaren Senna คือรถยนต์ที่ผู้ผลิตพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในสนามแข่ง แต่ยังสามารถเอามาใช้งานจริงบนถนนได้ มีน้ำหนักตัวถังที่เบาที่สุดเพียง 1,198 กิโลกรัม นับได้ว่าเป็นรถของ McLaren ที่เบาที่สุดนับตั้งแต่รุ่น F1 เป็นต้นมา (F1 หนัก 1,138 กิโลกรัม) ใช้เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 800 แรงม้า ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ทรงพลังที่สุดที่ McLaren เคยทำมา (เครื่อง M838TQ ของ P1 ถ้าไม่นับพลังจากมอเตอร์ จะมีแรงม้า 737PS)

McLaren Senna มาพร้อมกับเส้นสายตัวถังทรงหยดน้ำตา (Teardrop) ที่ลู่ล่มที่สุด เสริมด้วยชิ้นส่วนตัวถังแบบ Active ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อสร้างแรงกดให้เกาะถนนอยู่ตลอดเวลา ประกอบไปด้วย ชายกันชนหน้า และดิฟฟิวเซอร์หลังแบบ 2 ชั้น ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ขึ้นรูปชิ้นเดียว ช่องลมซุ้มล้อหลังขนาดใหญ่ทำหน้าที่ 2 อย่างทั้งระบายความร้อน และรีดลมในเวลาเดียวกัน

ไฟหน้าและไฟท้ายเป็นแบบ LED พร้อมโคมไฟที่ออกแบบมา โดยคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์โดยเฉพาะ  ส่วนสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ เป็นแบบปรับระดับได้ ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์เช่นกัน ปิดท้ายด้วยปลายท่อไอเสียไททาเนียมแบบ Slash Cut สำหรับสีตัวถังมีให้เลือกระหว่างสีน้ำเงิน Azura Blue และสีส้ม McLaren Orange พร้อมสั่งพ่นสีคาลิปเปอร์เบรก และค้ำโช๊คประตูด้วยสีเดียวกับตัวถังได้

ประตูของ McLaren Senna ออกแบบมาให้เข้าออกโดยง่าย แม้ว่าผู้ใช้งานจะใส่หมวกกันน็อคและชุดนักแข่งอยู่ เนื่องจากประตูเปิดแบบปีกนกทั้งยังเอียงไปทางด้านหน้า กระจกหน้าต่างจะแบ่งเป็น 2 ชั้น ซึ่งจะเปิด-ปิด ได้แค่ส่วนล่างเท่านั้น เมื่อเข้ามาในห้องโดยสารจะพบกับเบาะ 2 ตัว และไม่ค่อยมีอุปกรณ์อะไรมากนักเพื่อรีดน้ำหนัก รวมไปถึงพวงมาลัย 3 ก้าน แบบไม่มีปุ่มกด และค้ำโช๊คประตูโล้นๆ

วัสดุที่นำมาใช้ตกแต่งส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนข้อมูลต่างๆ จะแสดงผ่านหน้าปัดวัดรอบ และจอแสดงผลตรงแดชบอร์ดเท่านั้น ส่วนปุ่ม Push Start, ปุ่มควบคุมกระจกหน้าต่าง, ปุ่มล็อคประตู และปุ่ม Race Mode ล้วนถูกอัญเชิญไปอยู่บนหลังคา ใกล้กับตำแหน่งไฟอ่านหนังสือที่เราคุ้นชิน พื้นที่เก็บของจะเหลือเพียงด้านหลังเบาะที่ออกแบบมาไว้วางชุดนักแข่ง และหมวกกันน็อค 2 ใบ

ขุมพลังของ McLaren Senna เป็นเครื่องยนต์เบนซิน วางกลางลำ รหัส M840TR แบบ V8 ขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 800 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 จังหวะ พร้อม Paddle Shift ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง ส่วนตัวเลขสมรรถนะไม่เป็นที่ปรากฏ นอกจากคำนิยามจาก McLaren ว่า “หลังจมเบาะ”

ด้วยน้ำหนักตัวถังเพียง 1,198 กิโลกรัม อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักจึงอยู่ที่ 668 แรงม้า ต่อ 1 ตัน ดังนั้น คำนิยาม “หลังจมเบาะ” ไม่น่าจะใช่เรื่องกล่าวเกินจริง ส่วนช่วงล่างเป็นแบบ Double Wishbone พร้อม Adaptive Dampers และ RaceActive Chassis Control II ที่ปรับการทำงานได้ 3 รูปแบบ ทั้ง Comfort, Sport และ Track โดยที่ตัวโช้คอัพนั้นจะเป็นระบบไฮดรอลิก และเชื่อมต่อถึงกันระหว่างโช้คอัพทั้ง 4 กระบอก ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ได้ความหนืดที่เหมาะสมกับการใช้งานหรือการแข่งในรูปแบบต่างๆ

ระบบเบรกเป็นแบบที่ดีที่สุดเท่าที่ McLaren เคยติดตั้งให้ในรถบ้านกับ ระบบเบรก Carbon Ceramic พร้อมยาง Pirelli P Zero Trofeo R ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะภายใต้ความร่วมมือของ McLaren และ Pirelli ที่ออกแบบมาสำหรับสนามแข่ง แต่ยังพอเกาะถนนทั่วไป เผื่อเอามาขับไปซื้อแกงปากซอยได้ ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบา พร้อมน็อตล้อล็อคกลาง

McLaren Senna ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คันเท่านั้น ทุกคันประกอบด้วยมือที่ McLaren Production Center ในประเทศอังกฤษ สนนราคาจำหน่าย รวมภาษีในประเทศอังกฤษที่ 750,000 ปอนด์ (ราว 32,000,000 บาท) และทั้งหมดมีเจ้าของหมดแล้ว

 

ที่มา: mclaren