Mercedes-Benz E 350 e ถูกแทนที่แล้วด้วยรหัส Mercedes-Benz E 300 e และ E 300 de ซึ่งผ่านการปรับปรุงระบบ Plug-in Hybrid ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม พร้อมตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการรถยนต์ผู้บริหาร สำหรับการเดินทางไกล, ใช้แรงบิดสูง และลดมลพิษจากการขับขี่ในเขตเมือง ส่วนรายละเอียดขุมพลังของแต่ละรุ่น มีดังนี้

 

E 300e

เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,991 ซีซี. กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 120 แรงม้า ทั้งระบบให้กำลังสูงสุด 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

E 300de

เครื่องยนต์ดีเซล OM654 แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,950 ซีซี. กำลังสูงสุด 194 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 120 แรงม้า ทั้งระบบให้กำลังสูงสุด 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ทั้ง Mercedes-Benz E 300e และ E 300de ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9G-TRONIC 9 จังหวะ สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว เป็นระยะทาง 50 และ 54 กิโลเมตร ตามลำดับ โดยทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนแบตเตอรี่มีขนาดเท่ากับรุ่นก่อนหน้าอย่าง E 350 e แต่ความจุเพิ่มขึ้นจาก 6.4 kWh เป็น 13.5 kWh ด้วยการปรับเปลี่ยนสารเคมีในเซลส์

ส่วนการชาร์จไฟฟ้านั้น สามารถชาร์จไฟจากระดับ 10 % ถึง 100% ได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ผ่านที่ชาร์จ Wallbox หรือใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง เมื่อชาร์จผ่านกระแสไฟฟ้าปกติ ซึ่งเวลาที่ลดลงนี้เป็นผลมาจากการใช้ระบบหล่อเย็น on-board charger ด้วยของเหลวขนาด 7.4 kW ส่วนระยะเดินทางสูงสุด เมื่อใช้ถังน้ำมันขนาด 60 ลิตร จะไปได้ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร

Mercedes-Benz E 300e และ E 300de ยังปรับรูปแบบการขับขี่ได้ 5 รูปแบบ พร้อมระบบปฏิบัติการอีก 4 แบบ โดยนำข้อมูลจากเรดาร์ กล้อง และระบบนำทาง มาปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ พร้อมมีระบบ ECO Assist ที่แนะแนวความลึกของการแตะคันเร่ง ให้ผู้ขับขี่ปรับตามเพื่อประสิทธิภาพความประหยัดสูงสุด

ที่มา: Daimler