Nio แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่จากประเทศจีน เดินเกมรุกในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ส่ง Mid-SUV ในชื่อ ES6 ออกมาสู่ตลาดเป็นรุ่นที่ 3 จากทางค่าย หลังจากบริษัทได้ประเดิม 2 รุ่นแรก ไปแล้วก่อนหน้านี้ อันได้แก่ EP9 : ซุปเปอร์คาร์ EV พละกำลังกว่า 1,300 แรงม้า และอีกหนึ่งคันก็คือ ES8 : Luxury SUV ขนาด 7 ที่นั่ง คันใหญ่ ซึ่งการถือกำเนิดของ ES6 คันล่าสุดนี้ ก็เพื่อออกมาสอดแทรกในตำแหน่งทางการตลาดที่อยู่ต่ำกว่ารุ่น ES8 นั่นเอง

สำหรับการเปิดตัวของ Nio ES6 เพิ่งจะเกิดขึ้นไปสดๆร้อนๆในงานอีเว้นท์ที่นคร เซี่ยงไฮ้ เมื่อวันกี่วันก่อนหน้านี้ โดย SUV พลังไฟฟ้า คันดังกล่าว ถูกอธิบายว่า มันจะมีประสิทธภาพสูง และ วิ่งได้ระยะทางที่ไกล ดังเช่นพี่น้องทั้ง 2 รุ่น

แน่นอนว่า หัวใจหลักในการขับเคลื่อนของ ES6 นั่นก็คือ ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า 100% (Pure EV) แต่จะมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นระดับพละกำลังด้วยกันคือ รุ่น Standard ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet (PM) ให้กำลังสูงสุด 218 แรงม้า เคลมตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 5.6 วินาที

ส่วนตัวที่เป็นไฮไลท์ในรุ่น Performance ได้เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Induction Magnet (IM) 326 แรงม้า เข้าไปที่ล้อหลัง ทำให้กำลังสูงสุดรวมนั้น ถูกฉีกขึ้นไปมากถึง 544 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 725 นิวตันเมตร ส่งผลให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ในเวลา 4.7 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในขณะที่ การเบรกจากความเร็ว 100-0 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวรถสามารถหยุดนิ่งสนิทได้ในระยะทาง 34 เมตร

ในด้านความจุของแบตเตอรี่ ถูกติดตั้งเป็นแบบ Lithium-ion ก้อนใหญ่ ขนาดประจุ 84 kWh ซึ่งเคลมตัวเลขว่า สามารถแล่นเป็นระยะทางสูงสุด 510 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) และมีอีกหนึ่งออปชั่นที่ย่อมลงมาเป็นขนาด 70 kWh จะพาตัวรถวิ่งได้ระยะทางลดลงมาเล็กน้อย ด้วยตัวเลขเคลมที่ 410 กิโลเมตร

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านลบที่ส่งผลต่อรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดก็คือ ในเรื่องของน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมาก ซึ่ง Nio เอง ก็ได้คำนึงถึงจุดนี้ โดยได้หาทางออกด้วยการใช้พื้นตัวถังบางส่วนทำจากวัสดุ Carbon-Fibre Reinforced Plastic (CFRP) ซึ่งเป็นวัสดุที่ให้ทั้งความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาที่สุด เท่าที่จะค้นพบได้ในวิทยาการยุคปัจจุบัน ตลอดจนโครงสร้างตัวถัง อะลูมีเนียม ส่งผลให้ Nio สามารถลดน้ำหนักที่ตัวรถต้องแบกรับไว้ ออกไปได้มากมายเลยทีเดียว

ขณะเดียวกัน ทางด้านจุดเด่นของภายใน จะเป็นการพัฒนาต่อยอดแนวคิดออกมาจากในรุ่นพี่อย่าง ES8 โดยมาพร้อมกับ หน้าจอความบันเทิงแบบ Touchscreen ขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางแผงแดชบอร์ด รวมทั้งหน้าจอข้อมูลการขับขี่ ที่แสดงรายละเอียดเป็นแบบ Full Digital Display ด้วยเช่นเดียวกัน

อีกทั้งยังมีการติดตั้งเทคโนโลยี ระบบ Nio Pilot ซึ่งใช้ชิปเซ็ต EyeQ4 ของ Mobileye โดยเป็นแบบเดียวกับที่ปรากฏอยู่ในระบบขับขี่อัตโนมัติ / กึ่งอัตโนมัติ ต่างๆ ตลอดจนการโต้ตอบกับ AI ด้วยคำสั่งเสียง ที่มีชื่อเรียกว่า Nomi ซึ่งจะมีการพัฒนาต่อยอดความฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการส่งอัปเดตมายังตัวรถในรูปแบบ Over-The-Air Updates

ทั้งนี้ Nio ES6 จะมีการแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อย ได้แก่

  • Performance Edition (Active Air Suspension Include All Optional Packages & Premier Signature Pack) ราคา 498,000 หยวน (ประมาณ 2,350,000 บาท) เริ่มทำตลาดในช่วง ไตรมาส 2 ปี 2019 ผลิตจำนวนจำกัด 6,000 คัน
  • Performance Edition (Active Air Suspension) ราคา 398,000 หยวน (ประมาณ 1,880,000 บาท) เริ่มต้นในช่วง ไตรมาส 3 ปี 2019
  • Standard Edition ราคา 358,000 หยวน (ประมาณ 1,690,000 บาท) ตามออกมาท้ายสุดในช่วง ไตรมาส 4 ปี 2019

อย่างไรก็ตาม ลูกค้าชาวจีนสามารถสั่งจองแบบ Pre-Orders ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ที่มา : caradvice, drive.com.au