เรียกว่าอาจจะเป็นภาพสอดแนมครั้งสุดท้ายของ All New Ford Explorer : Mid-SUV ขนาด 7 นั่ง ซึ่งกำลังจะกลายเป็นรุ่นเจเนอเรชั่นที่ 6 ใหม่ล่าสุด ต่อจากรุ่นที่ 5 ที่ออกจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2011 โดยทาง Ford เอง ก็ได้ประกาศกร้าวว่า All New Explorer คันนี้ มีกำหนดการเปิดตัวประเดิมศักราชใหม่ในวันที่ 9 มกราคม ภายในงาน Detroit Auto Show 2019 อีเว้นท์ใหญ่ครั้งแรกของปี

จากภาพ Spyshot ที่ถูกเปิดเผยออกมาในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของ Explorer ที่ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานงานวิศวกรรมใหม่ ในคราบของ CD6 Platform ซึ่งจากคำกล่าวของทาง Ford ระบุว่า มันจะช่วยยกระดับการขับขี่ของตัวรถให้ดีขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก

ในขณะที่รูปร่างภายนอกของ All New Explorer ยังคงรักษาหุ่นที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ตามแบบฉบับของรถ SUV สไตล์อเมริกันไว้อย่างครบครัน ตลอดจนการออกแบบบริเวณกระจังหน้าลักษณะ 6 เหลี่ยม ที่ทำให้หน้ารถดูกว้างขึ้น สอดรับกับแนวไฟหน้าที่เพรียวยาวขึ้น เพื่อความโฉบเฉี่ยว ไล่ไปจนถึงแนวหลังคาที่ลาดเท ลดหลั่นระดับความสูงลง เมื่อมองจากเสา A-Pillar ไปจรด C-Pillar

สำหรับด้านหลัง มากับไฟท้ายที่ใช้รูปทรงคล้ายรุ่นเดิม แต่มีสัดส่วนที่ต่างออกไป พร้อมทั้งลวดลายกราฟิกแบบใหม่ดูทันสมัย และสอดแทรกความดุดันด้วย ปลายท่อไอเสียแบบคู่ พ่นออกทั้ง 2 ฝั่ง บริเวณใต้กันชน

ขยับมาที่ห้องโดยสารภายใน โดดเด่นด้วยหน้าจอกลางที่ติดตั้งแยกออกมาจากแผงแดชบอร์ด และถ้าสังเกตดีๆ จะมองเห็นหน้าจอมาตรวัดที่ใช้เป็นแบบ Full Digital Display รวมไปถึง บริเวณคอนโซลกลาง ซึ่งใช้การปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ด้วยปุ่มควมคุม

เรื่องราวของขุมพลังเครื่องยนต์ เป็นไปได้ว่าอาจจะนำเสนอบล๊อกใหม่แบบ เบนซิน V6 ขนาด 3.3 ลิตร ที่ทำงานร่วมกับระบบ Hybrid เป็นครั้งแรกใน Explorer และอาจจะทำตลาดควบคู่ไปกับตัวแรงในเวอร์ชั่น Explorer ST ซึ่งเตรียมเข้ามาแทนที่ตำแหน่งเดิมของ Explorer Sport ในรุ่นปัจจุบัน โดยคาดว่า จะถูกจับวางขุมพลังแบบ เบนซิน V6 ขนาด 3.0 ลิตร Twin-Turbo ส่งผลให้สามารถผลิตกำลังสูงสุดได้กว่า 400 แรงม้า เลยทีเดียว

รวมไปถึงบล๊อกเล็กสุดอย่าง เบนซิน 4 สูบ 2.3 ลิตร เทอร์โบ (EcoBoost) ซึ่งได้ประจำการอยู่ในรุ่นปัจจุบันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งให้ตัวเลขกำลังสูงสุด 284 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที

ขณะที่ระบบส่งกำลังนั้น จะใช้การจับคู่กับ เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ซึ่งเป็นรหัสเดียวกับที่ปรากฏในรถยนต์หลายรุ่นก่อนหน้าของค่าย ไม่ว่าจะเป็น F-150, Ranger, Ranger Raptor หรือแม้กระทั่ง Mustang ตลอดจนระบบการถ่ายทอดกำลัง แน่นอนว่าคงต้องเป็นแบบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ (AWD) โดยมาพร้อมโปรแกรมควบคุมระบบขับเคลื่อน (Drive Mode) ที่มีการขับขี่ให้เลือกหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของสภาพเส้นทาง

ท้ายที่สุด กับข้อมูลด้านราคาค่าตัวนั้น อาจจะเริ่มต้นกันที่ช่วงประมาณ 30,000 เหรียญสหรัฐฯ กลางๆ (ประมาณ 980,000 บาท) ไปจนถึง 50,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,633,000 บาท) โดยขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย รวมไปถึงออปชั่นต่างๆที่สั่งติดตั้งเพิ่มเติมเข้าไปเป็นพิเศษ

ที่มา : caranddrivermotorauthority