(่ถ่ายเอง ณ สี่แยกสะพานแดง ปี 2008)

หลายปีก่อน เคยมีคนถามผมว่า ทำไมไม่เปิดเว็บของตนเอง
ในวันที่ เริ่มทำรีวิวทดลองรถยนต์ ใน Pantip.com ห้องรัชดา มาได้สักพักใหญ่ๆ

ถึงตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

ก็แน่ละ ใครจะเชื่อว่า ผมไม่เคยมีความคิดเรื่องการทำเว็บไซต์ของตัวเองอยู่ในหัวมาก่อนเลย

การทำรีวิวทดลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ผมทำ นั้น มันเริ่มต้นจากแนวคิดที่ง่ายดายมาก ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย

ก็แค่อยากจะทำให้ทุกคนดูว่า รีวิว บทความทดลองรถยนต์
แบบที่ไม่มีผลประโยชน์เม็ดเงินมาเกี่ยวข้องหนะ มันจะออกมาเป็นแบบไหน

เพราะเห็นเรียกร้องกันนักว่า ทำไม สื่อมวลชนสายรถยนต์ในเมืองไทย ดูเหมือนมีภาพลักษณ์ค่อนข้างเอาใจกับบริษัทรถยนต์

และมันก็คลอดออกมาเป็นรีวิวกว่าร้อยเรื่อง จากรถนับร้อยๆคัน ให้คุณๆได้อ่านกัน ชนิดคนทำก็ตาเหลือก คนอ่านก็ตาแฉะ

ต้นเหตุที่แท้จริง มันเกิดจากความรู้สึกในสมัยยังเด็กว่า ทำไมเราอ่านบทความทดสอบรถ ในนิตยสารรถยนต์ ยุคแรกๆแล้ว
รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ได้รับรู้ ข้อมูลต่างๆ อย่างที่รถได้แสดงออกมา เสมือนว่า เรากำลัง ชมการแสดงของวงดนตรี
ซึ่งอาจมีฝีมือไม่ถึงกับเด่นนัก เมื่อเทียบกันในระดับสากล กระนั้น ยังถือว่า ดีที่สุดในสยามประเทศ

แต่พอเข้าสู่ทศวรรษ 1990 ขึ้นมา นิตยสารที่ดีเหล่านั้น เริ่มเปลี่ยนแนวทางกันไป เหลือเพียงไม่กี่เล่ม
ที่ เติมเต็มความรู้สึกเหล่านั้นได้เหมือนในอดีต นอกนั้น ไม่ว่าจะหยิบเล่มไหนๆขึ้นมาเปิดอ่าน
ก็พบเจอแต่การเขียนในสไตล์ เกรงอกเกรงใจ ไม่กล้าเขียนกันเต็มๆ ซึ่งพอจะอธิบายได้ว่า
มาจากเจ้าสัวผู้ค้ารถในสมัยก่อน ถือว่า มีอิทธิพลมากพอจะสั่งทำโน่นทำนี่สารพัด

และผู้บริโภคเอง ก็ยังไม่มีช่องทาง
ในการตีฆ้องร้องป่าวเรื่องราวของตนเอง ออกสู่สังคม

เหมือนถูกบังคับให้ดูวงดนตรีวงเดิม ที่มีปัญหาภายในวง สมาชิกเหล่านั้นเลยแยกตัวออกไปเป็นศิลปินเดี่ยว บ้างก็รุ่งเรือง บ้างก็รุ่งริ่ง
ผู้จัดการวง จึงต้องทำเพื่อความอยู่รอด ทางธุรกิจ ด้วยการ เอาเด็กรุ่นหลังๆ มาทำงาน (ไม่ได้มาปั้น) บรรเลงเพลงเก่าบ้าง ใหม่บ้าง
ขายคละเคล้าหากินกันไป เน้นจัดแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ปีละ 1-2 ครั้ง สร้างความบันเทิงใจ ให้กับทั้ง ผู้ฟัง นายทุน และเจ้าของสถานที่

แต่วงการ ก็ยังเหมือนว่า ไม่ได้ขยับไปไหน…ในทางที่ดีขึ้นมากมายนัก

เรา ในฐานะคนอ่าน ต้องทนกล้ำกลืนฝืนใจ เบนหน้าหนีไปหานิตยสารรถยนต์เมืองนอก อ่านกัน แม้จะรู้ในภายหลังว่า
ฝรั่ง มันก็มีนอกมีใน ไม่แพ้คนไทยเราเลยด้วยซ้ำ เผลอๆจะหนักกว่าขึ้นอยู่กับว่า เป็นหัวไหน ค่ายไหน ประเทศใด

ดังนั้น การเข้ามาของ อินเตอร์เน็ต ในช่วง ปี 1995 แม้ว่า ตอนนั้น เทคโนโลยี ด้าน IT จะยัง
ไม่อาจก้าวล้ำมากไปได้มากนัก แต่ ด้วยช่องทางใหม่นี้ ผมก็เริ่มมองเห็นความเป็นไปได้อีกมากมาย

ทว่า กว่าที่ความเป็นไปได้ จะเริ่มเด่นชัดขึ้นในสายตาของผู้คนทั่วไป เรายังคงต้องรอการสุกงอมอีกสักระยะหนึ่ง

ช่วงปี 1998 ผู้คนในบริษัทรถยนต์ บ้านเรา ต่างยังใหม่ต่อการนำอินเตอร์เน็ตมาใช้ในองค์กร
ยังเป็นยุคสมัยที่ ใครมีอีเมล์ ถิอเป็นเรื่องเท่ เอาไว้คุยอวดในหมู่เพื่อนฝูงได้ และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ที่รู้ว่า ชุมชนออนไลน์ เริ่มก่อร่างสร้างฐานของตนขึ้นมาแล้ว

ปี 2001 หลังจากเข้ามาเริ่มต้นขีดๆเขียนๆ ได้สักพัก ผมก็เริ่มต้น เขียนรีวิวแรก ลงใน Pantip.com
ห้องรัชดา จำได้ว่า เป็นรีวิว Toyota Corolla ALTIS ไปขับที่สนามพีระอินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต
มันเป็นความทรงจำที่ไม่สวยงามนัก เพราะมีคนไม่เห็นด้วย กับสิ่งที่ผมทำ และ ผมยังคงสงสัยในความเชื่อของตนเองอยู่

ความเชื่อที่ว่า จะเป็นไปได้หรือ ที่เราจะเริ่มทำรีวิวขึ้นมา ในสไตล์ของเราเอง

จนกระทั่ง ปลายปีเดียวกัน “นาย หนึ่ง” ผู้ซึ่งเคยแวะเวียนมาที่ ออฟฟิศ ของ THAIDRiVER ตอนหัวค่ำ
ไปๆมาๆ กลายเป็นเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งไปในที่สุด ถามผมทางโทรศัพท์ว่า ไม่คิดจะเอารถมาลองทำรีวิว
ลงในอินเตอร์เน็ตบ้างหรือ

หนึ่งไม่เพียงแต่เป็นคนจุดประกายให้ผม ได้มั่นใจ ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ หากแต่ยังหาโอกาส นำ Volvo XC70
มาให้ทดลองขับถึงบ้าน…จากการที่หนึ่ง เคยเป็นเซสส์ของโชว์รูมวอลโว ที่ลาดพร้าว และนั่นจึงกลายเป็น
ฟูลรีวิว รายการแรกของผมไปในที่สุด…

(ทุกวันนี้ หนึ่งเป็นคนที่ผมเห็นว่า สมควรเข้าทำงานในบริษัทรถยนต์ แต่กลับไม่ได้รับโอกาสนั้น
เขาจึงเบนเข็ม ไปเป็นพนักงานให้กับ Hutch ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ จนถึงปัจจุบัน อย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด)

———————————–

ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา  ผมขับรถเดินทาง ผ่านถนนสารพัดรูปแบบ

ไม่ว่าจะเป็นวันที่แดดจ้า ฟ้าสวย ยังไม่ทันจะเอ่ยปากชมจบวจีดีนักเลย
เมฆก็ตั้งเค้า พระพิรุณก็พิโรธอยู่พักใหญ่ ตะวันบ่ายคล้อย จนอาทิตย์ใกล้อัศดงได้ไม่ทันไร
ความหนาวเหน็บก็เข้ามากัดกร่อนใจลงไปทุกวัน การขับรถ ฝ่าสภาพอากาศที่แปรปรวนนั้น
กลายเป็นชีวิตประจำวันของผมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ไม่ทราบได้

จนวันหนึ่ง เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ผมตัดสินใจจอดแวะพัก ที่สถานีบริการแห่งหนึ่ง
ริมทางเปลี่ยว กลางทะเลทราย ที่ผมเพิ่งจะขับแล่นเข้ามาในเขตแห้งแล้งนั้นได้สักพัก

เพื่อทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามา

เพียงเพื่อพบว่า อีกไม่ไกลนั้น ทางแยกข้างหน้า

ถึงเวลาแล้วละ ที่ผมต้องเลือก ว่าจะขับรถมุ่งหน้าไปทางไหนต่อ

ไม่มีป้ายบอกทางใดๆ ไม่มีแม้รถสักคันที่ควรจะแล่นสวนมา

อย่างน้อย ผมยังดีใจว่า ถนนสายนี้ ไม่ได้ร้างผู้คน
และผม ก็ไมได้ขับรถบนเส้นทางนี้เพียงลำพัง

เพราะยังมี เพื่อน สนิท มิตรสหาย ที่ร่วมจะเดินทางร่วมกับผมอยู่ในตอนนี้
อย่างเต็มใจ และเข้าใจดี ว่าผมเองมีจุดดี จุดด้อยตรงไหนอย่างไร

เข้าใจกระจ่างแจ้งกว่าใครที่เคยอ้างว่า เข้าใจผมทะลุหมดเปลือกแล้วเสียอีก

เพื่อนสนิทเหล่านี้ รวมทั้ง เพื่อนฝูงพี่น้อง ในวงการ ที่เข้าใจผมดีว่า

ผมก็แค่ มนุษย์คนหนึ่ง ไมได้วิเศษวิโส มาจากไหน
ทำผิดพลาดพลั้งเผลอบ่อยไป รักแต่ไม่โลภ โกรธแต่ไม่หลง นั้นไซร้ ไม่ยาก จะคบหา

ไม่ต้องมีองค์ลง ไม่ต้องวางตนราวกับเทพเกรียนเหนือเทวดา

ที่เหลือ ปล่อยไปตามโชคชะตาและฟ้าลิขิต

———————————–

สิ่งหนึ่งที่คิด และกังวลอยู่ ก็คือ

การสตาร์ทเครื่องในครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้น สู่การเดินทางครั้งสำคัญ

และมันจะกลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ ที่จะพิสูจน์ว่า

เราจะยังรักษาคุณภาพ และความตรงไปตรงมา ในสายตาของคุณ ในสไตล์ของเรา เอาไว้ได้หรือไม่ และอย่างไร?

เพราะประเด็นนี้ละ เป็นหัวใจหลัก ที่ทำให้ คุณผู้อ่านทุกท่าน ยังคงสนับสนุนผมมาตลอด

ในสายตาของผู้ที่ปิดใจอยู่แต่ในโลกมืดบอดของตนเช่นนั้น อาจจะไม่ใช่กลุ่มคนที่ผมเป็นห่วงเท่าใดนัก

เพราะต่อให้ชีแจงอย่างไร คนกลุ่มนี้ ก็คงไม่มีทา่งจะเห็นดีเห็นงามกับผมได้ง่ายแน่ๆ

บางที เราอาจต้องปล่อยคนเหล่านั้นไป ไม่มีใครจะหลีกเลี่ยงการติฉินนินทากาเล เหล่านั้นได้

แต่กลุ่มคนที่ผมแคร์ ที่สุด ก็คือ

– ชายคนหนึ่ง  ที่เดินเข้ามาทัำกทายผมระหว่าง นั่งทานข้าวเย็น กับตาแพน Commander CHENG ริมถนน บนฟุตบาธในซอยอารีย์ เย็นวันหนึ่ง

ทั้งที่ข้าวไข่เจียวก็ยังค้างเติ่งอยู่ในปากผมนั่นละ ให้กำลังใจเสร็จ ก็เดินขึ้น BMW 323i E46 สีเงิน  ขับออกไปต่อหน้าต่อตา ตรงริมถนนนั้นเอง…

– คุณพ่อ หัวหน้าครอบครัว ท่านหนึ่ง ในร้านอาหาร The Biscuit ที่ย่าน บอง มาเช่ เมื่อเสาร์ที่แล้ว ลุกขึ้นมายังโต๊ะที่พวกผมนั่งอยู่ ทักทายกันอย่างดี

บอกว่าติดตามผลงานของผมมานานแล้ว ก่อนจะได้รู้ความจริงว่า  พี่ท่านเป็น “ผู้พิพากษา” !!!

– คุณลุงคนหนึ่ง มากับคุณป้า (รู้ภายหลังว่า อยู่ธนาคารไทยพาณิชย์) พบกันในงาน Motor Expo และบอกกับผมว่า “ประเทศเราควรจะมีคนอย่างคุณไว้มากๆ”

และอีกมากมายหลายครั้ง ที่ได้พบเจอกับตนเอง

กำลังใจจากบุคคลเหล่านี้ คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ผม มั่นใจว่า วันนี้ เราเดินกันมาถูกทางแล้ว

เป็นบุคคลสำคัญ ที่จะเป็นแรงผลักดันให้เรา ทำในสิ่งที่ดียิ่งขึ้นกว่าที่เคยทำมา

เพื่อให้เรา ยังยืนหยัดในการสร้างโลกที่เคยเป็นเพียงกลุ่มก้อนความฝัน ให้พลันกลายเป็นจริง

ท่ามกลางกระแสความเปลียนแปลงอันเชี่ยวกราก ของสังคมโลกในปัจจุบัน

และด้วยเหตุนี้

ผมจึงกำหนดกฎเหล็กขึ้นมา ข้อหนึ่ง เป็นข้อสำคัญ เป็นเป้าหมายสำคัญ ที่ผมตั้งใจจะทำให้ได้ ตราบเท่าที่ยังมีแรงจะทำไหว

นั่นคือ

ทุกรีวิวที่ผมทำ ไม่ว่าจะเป็น First Impression หรือ Full Review จะยังคง รักษามาตรฐานเดิม  คือ ตรงไปตรงมา ขบกัด เหน็บ จิกบ้าง

ตามแต่ตัวรถจะแสดงออกมา ดีก็พูดกันตรงๆ แต่ถ้าไม่ดี ก็ต้องบอกกันชัดว่า ตรงไหน และอย่างไร เพื่อที่จะได้มีกา่รมองหาลู่ทางปรับแก้ไข

เพื่อให้ผลประโยชน์สุดท้าย ตกอยู่กับผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมีกำลังทำได้

และ ด้วยเหตุนี้ จึงอยากฝากบอกกับ ทุกบริษัทรถยนต์ ไว้ล่วงหน้า ตรงนี้ก่อนว่า ถ้าสนใจจะลงโฆษณากัน ยินดี และขอบคุณมากครับ

แต่ มีข้อแม้เดียว ที่ผมจะขอ คือ ขอให้ การรายงานเรื่องราวต่างๆ รวมทั้ง การทำรีวิวของตัวรถ เป็นไปอย่างโปร่งใส

และตรงไปตรงมา ในแบบที่ผมยึดถือ และไม่มีการก้าวก่ายล่วงล้ำในความคิดเห็นของผม และน้องๆในทีม The Coup ทั้งหมด ทุกคน

พวกเขาเป็นผู้บริโภคธรรมดา และยังไม่ใช่สื่อมวลชนเต็มตัวนัก ความเห็นของพวกเขา ใสสะอาด และปราศจากอคติใดๆมาก่อนทั้งสิ้น

ถ้าจะให้เขียนเชียร์กัน ก็คงต้องบอกว่า “เสียใจด้วยครับ ผมคงทำให้ไม่ได้”

แต่…ถ้า คุณ ยินดีจะสนับสนุน ให้ผม ทำในสิ่งที่ตั้งปณิธานอยู่นี้ ต่อไป เพื่อประโยชน์ท้ายที่สุดแล้ว จะวนกลับมาหาทั้งผู้บริโภคของคุณ

และตัวบริษัทของคุณเอง โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับเนื้อหาบทความใดๆของผม แม้แต่น้อยเลย แล้วละก็ ยินดีอย่างมากที่จะได้พูดคุยกันเสมอครับ

เพราะความตั้งใจในการเปิดเว็บไซต์ Headlightmag.com แห่งนี้ขึ้นมา

เรามีแนวทางการดำเนินเว็บ ที่แตกต่างจากเว็บไซต์รถยนต์อื่นๆว่า

“เพื่อเป็นยาทิพย์แก่ผู้ติดตามข่าวสารรถยนต์ด้วยข้อมูลที่สัตย์จริงและยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมา (และฮาบ้างในบางเวลา)”
“To entertain car-loving reader with truthful information and fairness to all.”

—————————————————-

และในโอกาส นี้
ก่อนที่เราจะเหยียบคลัชต์ ใส่เกียร์ 1 แล้วพาคุณโลดแล่นไปสู่หนทางข้างหน้า
ผมอยากขอใช้พื้นที่เล็กๆ ในการขอบคุณ สำหรับบุคคลที่ผม เห็นว่า ควรค่าแก่การระลึกถึงบุญคุณ

พี่หมอ นายแพทย์ สุรพงษ์ อนุรักษ์เลขา ผู้เป็นคนแรก”อย่างแท้จริง“ที่เปิดโอกาสให้ผมได้เริ่มต้นเข้ามาขีดเขียนบทความรถยนต์ในโลกอินเตอร์เน็ต ผ่านทางเว็บไซต์ Car&Medical;

พี่บอย วรพล สิงห์เขียวพงษ์
สำหรับการเปิดโอกาส ให้ผมได้มีโอกาสเริ่มต้นการเขียนบทความ ตีพิมพ์ สู่สาธารณชน ในรูปแบบนิตยสาร GM CAR ก่อนที่จะชักชวนกันมาร่วมงานเป็นหนึ่งในสมาชิกของ บ้านที่ชื่อว่า นิตยสาร THAIDRiVER จนถึงทุกวันนี้ และยังคงเป็นพี่ชายที่ดี และน่านับถือ เสมอมา

คุณ ธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา สำหรับ การเปิดโอกาส ให้เข้ามาทำรายการวิทยุ รวมทั้งบทเรียนต่างๆ

แหล่งข่าวทุกท่าน ทั้งใน และต่างประเทศ ที่ไม่อาจเปิดเผยนามได้ แต่คอยช่วยเหลือ และเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกในด้านต่างๆ มาโดยตลอด ระยะเวลา 10 ปีมานี้
อยากจะบอกว่า ถ้าไม่มีน้ำใจไมตรี ความไว้ในเชื่อใจกัน และมิตรภาพที่มีให้ ผมเองก็คงไม่อาจอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ครับ

ผู้บริหาร ผู้จัดการ เจ้าหน้าที่ ฝ่ายการตลาด ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายเทคนิค ของบริษัทรถยนต์ ทุกแห่ง ที่ยังคงยืนยัน ในความกรุณา และในความเป็นมิตร ระหว่างเรา

ว่ายังคงเหนียวแน่นเหมือนเดิม และ อาจจะดียิ่งกว่าเดิมที่เคยเป็นมา แม้ว่าที่ผ่านมา จะสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับผมก็ตาม

The Coup Team ทั้ง แพน บอมบ์ กล้วย หลุยส์ เนย ถัง ตอย เติ้ล แบงค์ หน่อย เก๋า ไหม และอีกหลายๆคน ที่ไมไ่ด้เอ่ยชื่อ

สำหรับมิตรภาพ น้ำใจไมตรี ที่ยากจะหาเพื่อนที่ไหนเหมือนได้ สำหรับผมแล้ว เพื่อนๆและน้องๆ คือกลุ่มคนที่ผมดีใจด้วยมากๆ ที่ได้รู้จักกัน

และสุดท้าย แต่ไม่ท้ายที่สุด

คุณผู้อ่านทุกท่าน ทั้งที่ผมเคยพบเจอ ตามท้องถนน ระหว่างเดินทาง หรือแม้แต่ทานอาหารเย็นอยู่กับผองเพื่อน ไปจนถึงผู้ที่อาจจะไม่เคยพบกันมาก่อน

ทุกท่าน เป็นกำลังใจที่หาค่าไม่ได้ อย่างที่ผมเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้พบเจอ อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจเริ่มต้นของผมเสมอ

ฟังดูน้ำเน่า ยิ่งกว่า Soap Opera
แต่โปรดเชื่อเถิด มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ผมไม่มีทาง มีวันนี้ได้ ถ้าผมไม่มีทุกๆท่าน ที่เอ่ยชื่อ และไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่อยู่ในกลุ่มข้างบนทั้งหมดดังกล่าวนี้

————————————————-

รัตติกาลเริ่มคืบคลานมาเยือนอีกครั้ง

ผมคาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ ปลดเบรกมือ ปรับตำแหน่งเบาะให้เรียบร้อย จัดกระจกหน้าต่างให้เข้าที่เข้าทาง เหยียบคลัชต์เข้าเกียร์ 1

และ เปิด ไฟหน้า…ไฟหน้าดวงนี้ พร้อมแล้ว ที่จะนำคุณ เปิดสู่แสงสว่าง เปิดสู่ความกระจ่าง ตรงไปตรงมา เปิดสู่ความเข้าใจอันดีของผู้บริโภคกับผู้ผลิตรถยนต์

ระหว่างที่เรา กำลังจะเริ่มต้น เดินทางไปบนเส้นทางที่ไม่มีใครคุ้นเคยกันมาก่อน…ด้วยกัน

 

NOW….WE’RE READY!!

Let’s TURN THE LIGHT ON!!!

—————————————————-///—————————————————

J!MMY

สงวนลิขสิทธิ์

24 กุมภาพันธ์ 2009