วันที่ 12 เมษายน 2019 ตามเวลาท้องถิ่น Florida 16.00 น. Nissan ใช้เวทีงานดนตรี Rock the Ocean’s Tortuga Music Festival ในการเผยโฉม All-new Nissan Versa รถซีดานขนาดเล็กรุ่นใหม่ ซึ่งทำตลาดในอเมริกาในระดับ B-Segment สำหรับคนชอบรถเล็ก รถรุ่นนี้ก็คือร่างเดียวกันกับ Nissan Almera ที่จะเปิดตัวในไทยช่วงปลายปีนี้ เพียงแต่อาจมีรายละเอียดบางส่วนที่ต่างกันตามลักษณะของตลาด และคุณสมบัติที่ถูกบังคับโดยรัฐบาลท้องถิ่นหรือรสนิยมของลูกค้า

ความแตกต่างที่แน่นอนประการหนึ่งก็คือ Versa ของอเมริกานั้น มิได้ถูกกรอบบังคับด้วยข้อตกลง Eco car แบบบ้านเรา จึงได้ใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร HR16DE แบบหัวฉีดคู่ 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 154 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ CVT หรือเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ

และในรุ่นย่อยระดับสูง เช่นรุ่น SR ในภาพที่เรานำมาให้ชมนี้ จึงได้อุปกรณ์เต็มคัน และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว แต่สำหรับเมืองไทย รถ Almera ที่จะเปิดตัวปลายปีนี้ ทาง Nissan ได้นำเข้าร่วมในข้อตกลงการเป็น Eco car Phase 2 ซึ่ง “ห้ามมิให้ CO2 สูงเกินกว่า 100 กรัม/กิโลเมตร” และถ้าเป็นเครื่องเบนซินก็ห้ามมีความจุเกิน 1.3 ลิตร ดังนั้นเวอร์ชั่นไทย จึงต้องใช้เครื่องยนต์ 1.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จแทน

โดยนับตั้งแต่ปี 2006 Nissan USA เริ่มใช้ชื่อรุ่น “Versa” ในการทำตลาดรถขนาดเล็ก (เล็กของบ้านเขา) ซึ่งมีราคาถูกกว่า “Sentra”  ในช่วงแรก Versa ที่ขาย ก็คือ Nissan Tiida ที่เอาไปปรับกระจังหน้าเล็กน้อยแล้วก็ขายโดยเน้นความกว้างขวางของรถ ต่อมาเมื่อ Nissan สำนักงานใหญ่ปรับแผนใหม่ เนื่องจาก Tiida เป็นรถที่มีความก้ำกึ่งระหว่าง B และ C-Segment ซึ่งลูกค้าบางส่วนแยกไม่ออก จึงฆ่า Tiida ทิ้งแล้วทำให้เหลือแค่รถ B-segment แท้ อย่าง March (Micra), Note และ Almera (โฉมที่ขายบ้านเราตอนนี้) ส่วนรถ C-segment ก็เหลือ Sentra, Sylphy และ Pulsar แยกเซกเมนต์กันชัดเจนขึ้น

Nissan ที่อเมริกาก็ตกที่นั่งลำบากว่า แล้วจะเอาอะไรมาขายเป็นรถระดับ Entry Level ล่ะ ก็เลยต้องเอา Almera ของตลาดโลกมาขายในชื่อ “Versa Sedan” และเอา Note มาขายในชื่อ Versa Note พูดง่ายๆคือเอารถที่คลาสเล็กลงมาทำตลาดในชื่อรุ่นเดิม คล้ายกับการที่ไทยเองก็คือมีการเอา Sunny NEO มาวางเครื่อง 1.8 แล้วขายในชื่อ Sunny Almera แล้วต่อมา ชื่อนี้ก็ไปอยู่ในอีโคคาร์ของทางค่ายนั่นเอง

EXTERIOR DESIGN

ไฮไลท์การออกแบบภายนอก Nissan ตั้งใจออกแบบตัวถังรถของ Versa ใหม่ให้สอดคล้องกับแนวทาง “Emotional Geometry” ของทางค่าย ซึ่งจะเห็นได้แล้วจากรถอย่าง Micra, Altima (US), Maxima และ LEAF ซึ่งประกอบไปด้วยกระจังหน้า V-Motion ไฟหน้าและไฟท้ายแบบบูมเมอแรง ประตูบานหลังตรงกระจกที่ออกแบบให้เส้นหักเฉียงขึ้น และการใช้วัสดุสีดำเงาตกแต่งบริเวณเสา C-pillar เป็นต้น

สิ่งที่นักออกแบบของ Nissan ทราบมาจากรุ่นเดิมก็คือสัดส่วนของตัวรถยังดูกระย่องกระแย่งในสายตาลูกค้า ในรถรุ่นใหม่นี้ Giovanny Arroba ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ จาก Nissan Global Design Center บอกว่า “สัดส่วนที่ดูดี เป็นสิ่งที่สำคัญ ผมอยากให้คนเห็นรถของเราแล้วรู้สึกว่า ว้าว นั่น Versa ใหม่หรือเปล่า ด้วยเหตุนั้น Versa ใหม่จึงได้รับการออกแบบให้มีกระจังหน้าขยายออกในแนวนอนมากขึ้น ล้อทั้งสี่ข้างขยับไปทางกันชนมากกว่าเดิม ทุกอย่างนี้โดยรวมแล้วเราต้องการทำให้รถ กว้างขึ้น ยาวขึ้น และเตี้ยลงกว่าเดิม”

INTERIOR DESIGN

ส่วนภายในนั้น Versa ใหม่ก็ดูคล้ายกับ Micra ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยเป็นการออกแบบตามแนวคิด “Gliding Wing” โดยมีแผงแดชบอร์ดที่ดูแผ่ขยายเหมือนปีกที่กางกว้างออก ทำให้รู้สึกโล่งตาเวลามอง แต่ในขณะเดียวกันทาง Nissan ก็ใส่ใจเรื่องวัสดุที่นำมาติดตั้ง โดยใช้วัสดุที่ดีขึ้นกว่าเดิม และมีการตกแต่งที่พยายามฉีกภาพลักษณ์ความเป็นรถราคาถูก ตีห่างออกจากรุ่นเดิมให้ได้มากที่สุด (ตามที่ต้นทุนอำนวย – อันนี้ผู้เขียนเสริมเอง)

เอกลักษณ์ภายในใหม่ ประกอบไปด้วย

  • พวงมาลัยท้ายตัดแบบ D-shape ซึ่งมาแทนพวงมาลัย 3 ก้านหน้าแพะแบบเดิม (อันที่จริง Nissan เริ่มใช้พวงมาลัยดีไซน์ใหม่นี้มาสักพักแล้ว Note และ Almera ไทยที่ขายขณะนี้ก็เช่นกัน)
  • จอกลาง ขนาด 7 นิ้ว ออกแบบให้ดูเหมือนนูนลอยออกมาจากแดชบอร์ด เครื่องเสียงรองรับ Apple CarPlay/Android Auto
  • ในรุ่นย่อยระดับสูง มีการตกแต่งด้วยวัสดุลายคาร์บอน และมีการเย็บตะเข็บสีส้ม หรือสีตัดกับโทนภายในรถ
  • ชุดมาตรวัดแบบใหม่ คล้าย Nissan LEAF ทางขวาเป็นมาตรวัดความเร็วแบบเข็มธรรมดา ทางซ้ายเป็นจอ TFT ที่ปรับแสดงค่าได้หลากหลาย

Giovanny Arroba กล่าวว่า “นอกจากจะมีเทคโนโลยี Nissan Intelligent safety แบบเดียวกับที่พบในรถซีดานรุ่นอื่นของค่ายแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ เราต้องเอาความรู้สึกและดีไซน์จากรถซีดานรุ่นใหญ่กว่าเข้ามาประยุกต์ด้วย เราจึงออกแบบให้มีส่วนโค้งและมิติมากขึ้นกว่าเดิม ลักษณะการออกแบบอย่างนี้ปกติจะพบได้ในรถระดับสูงกว่าอีก 1 ขั้น (C-segment) เท่านั้น Versa ใหม่นี้มีภายในที่ดูหรูหรา ใส่ใจรายละเอียดมากขึ้น และมันจะดูเหมือนรถของผู้ใหญ่มากกว่าที่คุณคาดหวังจากรถเล็กระดับ Entry level ของค่ายแบบนี้”

รายละเอียดอื่นๆ

Nissan เตรียมเผยโฉมและข้อมูลเพิ่มเติมของรถในงาน New York Autoshow แต่ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลใดๆ รวมถึงยังไม่ได้เปิดเผยราคาที่จะจำหน่าย เพียงแค่บอกว่า Versa จะขายจริงในช่วงฤดูร้อนของอเมริกาที่จะถึงนี้ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเดือน กรกฎาคมหรือสิงหาคม อย่างไรก็ตาม รุ่นย่อยระดับสูงจะมีอุปกรณ์ความปลอดภัยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาการตลาด Nissan Intelligent Mobility ยกตัวอย่างเช่น

  • ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Automatic Emergency Braking ทำงานทั้งตอนเดินหน้าและถอยหลัง
  • ระบบเตือนรถเบี่ยงออกนอกเลน Lane Departure Warning System
  • ระบบไฟสูงเปิด/ดับอัตโนมัติเมื่อมีรถสวย (Automatic high-beam headlights)
  • ระบบเตือนรถอยู่ในจุดบอดกระจกมองข้าง (Blind Spot Monitoring system)
  • ระบบเตือนรถวิ่งตัดผ่านเวลาถอยหลัง (Rear Cross-traffic alert)
  • ระบบแจ้งเตือนเมื่อคนขับเหนื่อยล้า (Driver-alert system)
  • นอกจากนี้ ยังมีระบบ Cruise Control แบบปรับความเร็วตามรถคันหน้าอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ที่เสียเงินสั่งติดตั้งเพิ่มได้

สำหรับเวอร์ชั่นไทย ผู้เขียน (Pan Paitoonpong) มีความเห็นเพิ่มแบ่งปันกับท่านผู้อ่านดังนี้

  • แม้ตัวถังภายนอกจะเหมือนกันมากระหว่าง Versa USA และ Almera ไทย แต่รายละเอียดบางส่วนอาจต่างกันโดยมีตัวแปรสำคัญคือการพยายามควบคุมราคา, คู่แข่งในตลาด และกฎข้อบังคับ Eco car PHASE 2
  • เครื่องยนต์ของ Almera ไทย จะเป็นแบบ 1.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ เป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่มาแทน H4Bt 0.9 ลิตรเทอร์โบใน Micra ยุโรปไม่นานมานี้ เป็นเครื่องยนต์พัฒนาร่วมกันระหว่าง Nissan/Renault/Mitsubishi/Mercedes-Benz
  • เครื่องยนต์นี้จำหน่ายแล้วที่ยุโรป โดยรุ่น 1.0 IG-T มีพละกำลัง 100 แรงม้า มีแรงบิด 144 นิวตันเมตรเมื่อประกบกับเกียร์ CVT และ 166 นิวตันเมตรเมื่อใช้กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
  • รุ่นเกียร์ CVT จะมีการไล่รอบขึ้น/ลง เลียนแบบรถเกียร์อัตโนมัติปกติ (เป็นแบบนี้อยู่แล้วใน Note และ X-Trail)
  • เครื่องยนต์รุ่น 1.0 DIG-T ที่มีพละกำลังสูงกว่า (117 แรงม้า/180 นิวตันเมตร) มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จะมาทำตลาด เนื่องจากการใช้หัวฉีด Direct Injection จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
  • อุปสรรคสำคัญคือ เครื่องยนต์ 1.0 IG-T 100 แรงม้านั้น เมื่อทดสอบที่ยุโรปก็ยังได้ค่า CO2 เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร วิศวกรทีมไทยยังต้องหาทางจูนดึงตัวเลขให้ไม่เกิน 100 กรัม ซึ่งอาจส่งผลให้เครื่องยนต์มีกำลังน้อยลง หรืออาจจะไม่ก็ได้
  • เครื่องยนต์ HR12DE ที่รับใช้มานานอาจยุติบทบาทการทำตลาด แม้จะมีต้นทุนในการผลิตถูกกว่า 1.0 IG-T แต่ในปัจจุบันค่า CO2 ของรถที่ใส่เครื่องบล็อคนี้สูง 120 กรัม/กิโลเมตร ถ้าจะเข้าเกณฑ์ Eco car PHASE 2 จะต้องมีการปรับปรุงเครื่องยนต์อีกมาก จะไปลดน้ำหนักตัวรถก็คงยาก เพราะขนาด Micra ยุโรปยังทะลุ 1 ตันแล้ว
  • ในด้านอุปกรณ์ต่างๆ Nissan ที่ไทยน่าจะพยายามเพิ่มลูกเล่น เช่นกล้อง 360 องศา ระบบเบรกอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วใน Nissan Note รวมถึงการใช้อุปกรณ์ใดๆก็ตามที่ไม่ส่งผลเรื่องน้ำหนักรถ อันจะส่งผลต่อ CO2 ระบบ Adaptive Cruise Control ไม่น่าจะมี เพราะเพิ่มต้นทุนพอสมควร ทำให้รถราคาสูงขึ้น แต่ถ้ามา ก็จะเป็นอีโคคาร์รุ่นแรกที่มีอุปกรณ์นี้
  • ล้ออัลลอย 17 นิ้วไม่น่ามาถึงเมืองไทยได้ เนื่องจากตัวล้ออย่างเดียวส่งผลในการเพิ่มค่า CO2 ได้ 5-10 กรัมต่อกิโลเมตร

Nissan Almera ใหม่จะเปิดตัวในไทย ช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับ Honda City ใหม่ ทั้งคู่ เข้าเกณฑ์เป็น Eco car PHASE 2 และใช้เครื่องยนต์ 1.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จทั้งคู่ แต่เท่าที่ได้ยินมา Honda จะพยายามทำเครื่องยนต์ให้แรงกว่าหรือเท่ากับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเดิม นั่นหมายถึง 117-120 แรงม้า ในขณะที่สำหรับ Nissan นั้นไม่น่าทำตัวเลขได้สูงเท่า

ที่สำคัญคือ Nissan อาจเสียเปรียบเรื่องราคา เพราะสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องสิทธิพิเศษทางสรรพสามิตของ Eco car PHASE 2 นั้น Almera ก็คือรถระดับถูกสุดของตลาด เป็นอีโคคาร์ราคา 4.5-6.5 แสนมาก่อน ในขณะที่ Honda City เป็นรถระดับ B-segment 1.5 ลิตรมานานมาก และขายในราคา 5.5-7.5 แสนบาทมาก่อน ดังนั้น ในครั้งนี้แม้จะทำสงครามด้วยบุญที่สะสมมาเท่ากัน พิกัดหมัดและขนาดตัวเท่าๆกัน และต่อให้อุปกรณ์เท่ากัน ถ้า Honda ขาย 5.5-7.5 แสนบาท คนจะมองว่า ก็เท่ารุ่นเดิม แต่ถ้าขายถูก ลูกค้าก็กรี๊ด ในขณะที่ถ้าเป็น Almera มาขาย 5.5-7.5 แสนบาทบ้าง ลูกค้าจะมองว่าแพงกว่ารุ่นเดิมเป็นแสน

ดังนั้น เกมที่ยากที่สุดและเป็นเกมที่เริ่มต้นด้วยความเสียเปรียบของ Nissan ก็คือการตั้งราคานี่ล่ะครับ ถ้ายอมชักเนื้อตั้งแต่แรก Almera ก็อาจสร้างยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำ เอาชื่อ Nissan กลับมายืนหัวแถวกลุ่มได้อีกครั้ง เพราะลูกค้าไทยส่วนมาก ราคา และความง่ายในการซื้อ สำคัญกว่าแรงม้าและ 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าตั้งราคามาแพงไปในความคิดลูกค้า ก็จะต้องเป็นตัวประกอบตลาดต่อไป

ปลายปีนี้ รับรองว่าสนุก รอดูครับ

 

Image Source: Nissan USA News